สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject อาข่า,การเมือง,ประวัติศาสตร์,สมุนไพร,สุขภาพ,เชียงราย
Author ไกรสิทธิ์ สิทธิโชดก, วัชรินทร์ อยู่ลือ, พิทพงค์ สะโง้, อนุชา อำนาจสกุล พิศาล เลิศใจกุศล
Title โครงการเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนาการแพทย์ชนเผ่าอาข่า ระยะที่ 1
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity อ่าข่า, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 128 Year 2548
Source เครือข่ายหมอชุมชนอาข่า สมาคมเพื่อการศึกษาและวัฒนธรรมชาวอาข่า เชียงราย สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
Abstract

เนื้อหาของงานกล่าวถึงการจัดองค์ความรู้ด้านการแพทย์ของอาข่ารวมทั้งสมุนไพร ประวัติความเป็นมา วิถีชีวิต ความเชื่อ ชุมชนอาข่า โดยทำการศึกษาในชุมชนอาข่าในจำนวนทั้งหมด 14 หมู่บ้านที่อยู่ในพื้นที่ต่างๆ เช่นเขตอำเภอแม่ฟ้าหลวง อำเภอเชียงแสน อำเภอแม่จัน อำเภอเมืองและอำเภอแม่สรวย ซึ่งจากการศึกษาพบว่าอาข่าได้นำสมุนไพรมาประยุกต์ใช้กับความเชื่อดั้งเดิม วิถีชีวิต เช่น การรักษาในยามเจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุก็จะทำพิธีเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งรักษาด้วยสมุนไพรที่หาได้ในชุมชน ซึ่งในงานเขียนได้ระบุทั้งชื่อภาษาอาข่าและภาษาไทยว่าสมุนไพรชนิดนั้นมีสรรพคุณลักษณะและพบได้ในแหล่งใดบ้าง

Focus

เพื่อรวบรวม คัดสรรและจัดระบบองค์ความรู้การแพทย์อาข่าและสมุนไพรจนได้เอกสารตำราในการสืบทอดภูมิปัญญาด้านการดูแลรักษาสุขภาพของหมออาข่า เพื่อขับเคลื่อนโครงการในแต่ละพื้นที่ให้เกิดการดำเนินงานและเกิดผลตามเป้าหมาย เพื่อให้ชุมชนมีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่องการดูแลรักษาสุขภาพ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างหมอเมืองและหมอชนเผ่าทั้ง 6 และเพื่อทำทำเนียบหมออาข่าและจัดโอกาสให้หมอชนเผ่าได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับหมอชนเผ่าในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จีน (หน้า 5)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

อาข่าในหมู่บ้านกรณีศึกษา 14 หมู่บ้านที่อยู่ในพื้นที่อำเภอแม่ฟ้าหลวง อำเภอเชียงแสน อำเภอแม่จัน อำเภอเมือง และอำเภอแม่สรวย (หน้า 9-19)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มี

Study Period (Data Collection)

เมษายน 2547-มีนาคม 2548 (หน้า คำนำ)

History of the Group and Community

อำเภอเมืองเชียงราย
1) บ้านสองแควพัฒนา หมู่ 10 ตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง แต่เดิมมีชื่อว่า “บ้านอาโย๊ะ” โดยตั้งชื่อตามชื่อผู้นำตั้งหมู่บ้านเมื่อ พ.ศ.2510 ซึ่งแยกจากบ้านลีผ่าแม่ยาว ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าดอยบ่อ ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำแม่ยาว ซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 700 เมตร ต่อมาใน พ.ศ.2540 ผู้นำและคนหมู่บ้านได้ย้ายออกจากหมู่บ้านเดิมมาตั้งหมู่บ้านใหม่ ซึ่งห่างจากหมู่บ้านเดิม 2 กิโลเมตร เพื่อป้องกันการเสื่อมโทรมและทำลายป่าต้นน้ำ เมื่อมาอยู่ที่ตั้งใหม่ก็ได้เปลี่ยนชื่อว่า บ้านสองแควพัฒนา (หน้า9)

2) บ้านอาผ่าพัฒนา หมู่ 11 ตำบลห้วยแม่ซ้าย อำเภอเมือง เมื่อก่อนมีชื่อว่า บ้านดอยบ่อสอง กระทั่ง พ.ศ.2539 ได้อพยพมาอยู่ที่บ้านห้วยแม่ซ้าย เพื่อป้องกันการทำลายป่าต้นน้ำ เมื่อย้ายมาที่ตั้งใหม่จึงเปลี่ยนชื่อว่า “บ้านอาผ่าพัฒนา” โดยใช้ชื่อผู้นำมาตั้งเป็นชื่อใหม่ของหมู่บ้าน (หน้า 10)

3) บ้านร่มเย็น หมู่ 11 ตำบลห้วยชมภู อำเภอเมือง หมู่บ้านร่มเย็นเมื่อก่อนมีชื่อว่า บ้านห้วยแม่เหลี่ยมปู่ลึก ภายหลังได้อพยพมาอยู่ที่บ้านพญาไพร บ้านป่าคาสุขใจ ในพื้นที่อำเภอแม่ฟ้าหลวง ต่อมาย้ายมาตั้งหมู่บ้านซึ่งอยู่ใกล้ชุมชนชาวจีนเชื้อสายเหย้า เมื่อมีคนอพยพเข้ามาอยู่มาขึ้นจึงเปลี่ยนชื่อเป็นบ้านร่มเย็น เมื่อ พ.ศ.2546 (หน้า 10)

อำเภอเชียงแสนและอำเภอแม่จัน
1) บ้านดอยสะโง๊ะล่าง หมู่ 7 ตำบลศรีดอนมูล อำเภอเชียงแสน เมื่อก่อนนี้คนในหมู่บ้านเคยอยู่ที่บ้านดอยสะโง๊ะบน หลังจากที่คนในหมู่บ้านมีจำนวนประชากรมากขึ้น และอาข่าส่วนหนึ่งได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ ดังนั้นคนที่เปลี่ยนศาสนาจึงได้แยกตัวออกมาตั้งหมู่บ้านดอยสะโง๊ะล่าง(หน้า 11)

2) บ้านดอยสะโง๊ะบน หมู่ 7 ตำบลศรีดอนมูล อำเภอเชียงแสน อาข่าในหมู่บ้านเมื่อก่อนนี้เคยอาศัยอยู่ในเขตอำเภอแม่ฟ้าหลวง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง บริเวณหมู่บ้านทหารญี่ปุ่นเคยมาตั้งกองกำลังที่นี่ เพื่อสู้รบกับทหารอังกฤษที่อยู่ในประเทศพม่า (หน้า 12)

3) บ้านจอป่าคา หมู่ 10 ตำบลแม่จัน อำเภอแม่จัน ในอดีตอาข่าในหมู่บ้านเคยมีบรรพบุรุษที่อพยพมาจากหมู่บ้านผาหมี อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ภายหลังจึงมาตั้งเป็นหมู่บ้านหนองแว่นจอป่าคาอันเป็นหมู่บ้านบริวารของบ้านเย้าหนองแว่น กระทั่ง พ.ศ.2546 กลุ่มบ้านหนองแว่นจอป่าคาจึงแยกออกมาจากหมู่บ้านหลัก มาตั้งหมู่บ้านใหม่โดยตั้งชื่อว่าบ้านจอป่าคา (หน้า 12)

4) บ้านดงมะตืนอาข่า หมู่ 5 ตำบลแม่ไร่ อำเภอแม่จัน หมู่บ้านเป็นสาขาของบ้านดงมะตืน คนในหมู่บ้านแต่เดิมมีพื้นเพอยู่ในเขตอำเภอแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่สาย อำเภอแม่จัน และได้อพยพมาตั้งหมู่บ้าน เมื่อ พ.ศ.2537 (หน้า 13)

อำเภอแม่ฟ้าหลวง
1) บ้านป่ากล้วย หมู่ 7 ตำบลแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่ฟ้าหลวง บ้านป่ากล้วยเมื่อก่อนอยู่ในเขตอำเภอแม่จัน ต่อมาจึงมีการแยกออกมาเป็นอำเภอแม่ฟ้าหลวง หมู่บ้านอยู่ในพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุง (หน้า 14)

2) บ้านอาแหละ หมู่ 15 ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟ้าหลวง คนในหมู่บ้านอพยพมาจากประเทศพม่าเมื่อ 90 ปีที่แล้ว ชื่อของหมู่บ้านตั้งตามชื่อของอดีตผู้นำชุมชน (หน้า 14)

3) บ้านห้วยโย หมู่ 17 ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟ้าหลวง คนในหมู่บ้านอพยพมาจากบ้านป่าซางาเงิน เมื่อมาตั้งหมู่บ้านอยู่บนภูเขาจึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่าบ้านห้วยโยตามชื่อของลำห้วยที่อยู่ใกล้หมู่บ้าน (หน้า 15)

4) บ้านห้วยหมาก หมู่ 18 ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟ้าหลวง บ้านห้วยหมากเมื่อ 8 ปีที่ผ่านมาเคยเป็นหมู่บ้านของลาหู่ ต่อมา พ.ศ.2489 ลีซู บางส่วนได้เข้ามาอยู่ด้วย ส่วนอาข่าได้ย้ายเข้ามาเมื่อ พ.ศ.2527 กระทั่งทั้งลาหู่และลีซูได้ย้ายไปอยู่ที่อื่นในหมู่บ้านจึงเหลือเฉพาะอาข่า จึงตั้งผู้นำชุมชนของตนเอง (หน้า 16)

5) บ้านแสนใจพัฒนา หมู่ 22 ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟ้าหลวง บ้านแสนใจเมื่อก่อนมีชื่อว่า “โลโล้อาข่า” ที่ตั้งเดิมอยู่ใกล้กับบ้านสามัคคีใหม่ อยู่ใกล้กับลำน้ำแม่คำ ต่อมาจึงอพยพข้ามแม่น้ำมาอยู่ที่บริเวณดอยแสนใจ (หน้า 17)
6) บ้านสามัคคีเก่า หมู่ 11 ตำบลแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่ฟ้าหลวง เมื่อก่อนอยู่ที่บ้านขาแข้ง ต่อมาย้ายมาอยู่บ้านสามัคคีเก่าเมื่อ 60 ปีที่แล้ว (หน้า 18)

อำเภอแม่สรวย
1) บ้านห้วยขี้เหล็ก หมู่ 9 ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย อาข่ารุ่นบุกเบิกตั้งหมู่บ้านได้อพยพมาจากบ้านขาแหย่ง เมื่อ พ.ศ 2508 โดยย้ายมาตั้งหมู่บ้านแห่งใหม่ในบริเวณดอยวาวี (หน้า 18) กระทั่งต่อมาได้ตั้งชื่อหมู่บ้านอย่างเป็นทางการว่า บ้านห้วยขี้เหล็ก เมื่อ พ.ศ.2517 (หน้า 19)

Settlement Pattern

บ้านอาข่า แบ่งออกเป็นแบบต่างๆ ดังนี้ บ้านยกพื้นสูง (” นยึ้มโก้” Nyuml gol) บ้านสร้างด้วยวัสดุจากธรรมชาติ เช่น ไม้ ไม้ไผ่ มุงหลังคาด้วยหญ้าคาคลุมลงมาเกือบจรดพื้นดิน บริเวณจั่วติดกาแลทั้งสองด้าน มีชานบ้านและระเบียงกับระเบียงนอกบ้าน ส่วนฝาบ้านกั้นด้วยไผ่ซางซึ่งสับเป็นแผ่นกั้นตัวบ้าน และกั้นห้องแยกส่วนให้เป็นที่อยู่ของผู้ชาย กับส่วนที่เป็นที่อยู่ของผู้หญิง และมีเตาทำกับข้าว 3 เตาโดยแยกอยู่ในส่วนที่เป็นที่อยู่ของผู้ชาย 1 เตา และอีก 2 เตา อยู่ในส่วนที่อยู่ของฝ่ายผู้หญิง ประตูมี 2 บาน บริเวณเหนือเตาไฟจะทำเป็นที่วางสิ่งของ (หน้า 22) บ้านแบบสร้างติดพื้น (“นยึ้มเอ๊าะ” Nyuml awv) ส่วนมากผู้ชายอาข่ามักสร้างบ้านแบบนี้ภายหลังแต่งงาน ตัวบ้านมีขนาดกะทัดรัด ในส่วนที่ใช้เป็นที่นอน จะยกพื้นด้วยไม้ซาง พื้นที่ที่ติดพื้นดินจะเป็นส่วนที่ใช้นั่งพักผ่อน การใช้สอยบ้านจะเหมือนกับบ้านแบบยกพื้นสูงคือแยกส่วนที่อยู่ฝั่งชายหญิงและแยกเตาไฟ เป็นต้น (หน้า 22) เรือนหอ (“นยึ้มหย่า” Nyuml zaq) ขนาดบ้านเป็นบ้านขนาดเล็กกะทัดรัด บ้านจะกั้นห้องจำนวนหนึ่งห้อง บ้านมีทั้งแบบยกพื้นและติดกับพื้นดิน สำหรับเรือนหอของคู่บ่าวสาวจะปลูกไว้เข้าบ้านหลัก ในกรณีที่ลูกชายหลายคนหากแต่งงานก็อาจสร้างบ้านหลายหลังอยู่ใกล้เคียงบ้านหลัก (หน้า 22) บ้านนอนหนุ่ม (“หย่ากู่หยุ ดู่ Zaq guq yuvq duq) เป็นบ้านของหนุ่มอาข่า การสร้างไม่ซับซ้อนบ้านมีขนาดเล็ก บางครั้งกลุ่มที่เป็นเพื่อนกันอาจจะสร้างหลายหลังที่อยู่ใกล้กัน หรือสร้างหนึ่งหลัง โดยจะสร้างบ้านแบบนี้ในพื้นที่ว่างหรือที่ลับหูลับตาผู้คน บางครั้งคู่หนุ่มสาวจะมานั่งเกี้ยวพาราสีกันที่นี่ หญิงสาวก็ต้องระวังตัวในการมาที่นี่เพราะอาจตกเป็นที่ครหาของคนในชุมชนว่าทำตัวไม่เหมาะสม ฯลฯ (หน้า 23)

Demography

ไม่ระบุอย่างชัดเจน

Economy

อำเภอเชียงแสนและอำเภอแม่จัน บ้านดงมะตืนอาข่า หมู่ 5 ตำบลแม่ไร่ อำเภอแม่จัน อาชีพส่วนใหญ่ทำงานรับจ้างและการเกษตร (หน้า 13) อำเภอแม่ฟ้าหลวง บ้านห้วยโย หมู่ 17 ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟ้าหลวง อาชีพที่ทำส่วนใหญ่เป็นงานเพาะปลูก เช่น ทำไร่ ปลูกข้าวโพด ถั่ว พริก กาแฟ ชา เลี้ยงสัตว์และทำงานรับจ้าง (หน้า 15) ส่วนหมู่บ้านอื่นๆ ในการศึกษาไม่ระบุเรื่องเศรษฐกิจไว้

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

อำเภอเมืองเชียงราย 1) บ้านสองแควพัฒนา หมู่ 10 ตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง ในหมู่บ้านมีการปกครองสองอย่างคือแบบไม่เป็นทางการจะมี “เจ่วมา” เป็นผู้นำด้านการประกอบพิธีกรรม และการปกครองแบบเป็นทางการโดยคณะกรรมการหมู่บ้าน (หน้า9) 2) บ้านอาผ่าพัฒนา หมู่ 11 ตำบลห้วยแม่ซ้าย อำเภอเมือง หมู่บ้านมีการปกครอง ได้แก่ คือแบบไม่เป็นทางการผู้นำคือ “เจ่วมา” เป็นผู้นำด้านการประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อ และผู้นำแบบเป็นทางการโดยคณะกรรมการหมู่บ้าน (หน้า 10) 3) บ้านร่มเย็น หมู่ 11 ตำบลห้วยชมภู อำเภอเมือง การปกครองมี “เจ่วมา” เป็นผู้นำด้านการประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อ และคณะกรรมการหมู่บ้านเป็นผู้นำอย่างเป็นทางการ (หน้า 11) อำเภอเชียงแสนและอำเภอแม่จัน 1) บ้านดอยสะโง๊ะล่าง หมู่ 7 ตำบลศรีดอนมูล อำเภอเชียงแสน ด้านพิธีกรรม ศาสนาจารย์จะเป็นผู้นำโดยยึดถือโครงสร้างศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก และแบบเป็นทางการมีคณะกรรมการหมู่บ้านทำหน้าที่บริหารงาน (หน้า 11) 2) บ้านดอยสะโง๊ะบน หมู่ 7 ตำบลศรีดอนมูล อำเภอเชียงแสน การปกครองมี “เจ่วมา” เป็นผู้นำด้านการประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อ และคณะกรรมการหมู่บ้านเป็นผู้นำอย่างเป็นทางการ (หน้า 12) 3) บ้านจอป่าคา หมู่ 10 ตำบลแม่จัน อำเภอแม่จัน การปกครอง “เจ่วมา” เป็นผู้นำด้านการประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อ และคณะกรรมการหมู่บ้านเป็นผู้นำอย่างเป็นทางการ (หน้า 13) 4) บ้านดงมะตืนอาข่า หมู่ 5 ตำบลแม่ไร่ อำเภอแม่จัน หมู่บ้านมี“เจ่วมา” เป็นผู้นำด้านการประกอบพิธีกรรมทาง และคณะกรรมการหมู่บ้านเป็นผู้นำอย่างเป็นทางการ (หน้า 13) อำเภอแม่ฟ้าหลวง 1) บ้านป่ากล้วย หมู่ 7 ตำบลแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่ฟ้าหลวง การปกครอง “เจ่วมา” เป็นผู้นำด้านการประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อ และคณะกรรมการหมู่บ้านเป็นผู้นำแบบทางการ (หน้า 14) 2) บ้านอาแหละ หมู่ 15 ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟ้าหลวง “เจ่วมา” เป็นผู้นำด้านการประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อ และคณะกรรมการหมู่บ้านเป็นผู้นำอย่างแบบทางการ (หน้า 15) 3) บ้านห้วยโย หมู่ 17 ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟ้าหลวง การปกครองของหมู่บ้านห้วยโย “เจ่วมา” เป็นผู้นำด้านการประกอบพิธีกรรม และคณะกรรมการหมู่บ้านเป็นผู้นำแบบทางการ (หน้า 16) 4) บ้านห้วยหมาก หมู่ 18 ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟ้าหลวง ผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำอย่างเป็นทางการกรรมการประกอบด้วยผู้นำของแต่ละศาสนาที่คนนับถือในหมู่บ้าน (หน้า 17) 5) บ้านแสนใจพัฒนา หมู่ 22 ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟ้าหลวง การปกครองมี “เจ่วมา” เป็นผู้นำด้านการประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อ และคณะกรรมการหมู่บ้านเป็นผู้นำอย่างเป็นทางการ (หน้า 18) 6) บ้านสามัคคีเก่า หมู่ 11 ตำบลแม่ฟ้าหลวง อำเภอแม่ฟ้าหลวง ผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำอย่างเป็นทางการส่วนคณะกรรมการหมู่บ้านจะประกอบด้วย คณะผู้อาวุโส และผู้นำของแต่ละศาสนาในหมู่บ้าน (หน้า 18) อำเภอแม่สรวย 1)บ้านห้วยขี้เหล็ก หมู่ 9 ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย การปกครอง แบบไม่เป็นทางการโดยมีคณะผู้อาวุโสเป็นผู้นำด้านการประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อ และผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำอย่างเป็นทางการ (หน้า 19)

Belief System

ความเชื่อของอาข่า ความเป็นอยู่ของอาข่า มีความเกี่ยวข้องกับพิธีกรรม ดังพิธีต่างๆนี้ วิธีการตั้งชุมชนอาข่า การตั้งหมู่บ้านใหม่จะมาจากความเป็นอยู่ในหมู่บ้านเดิมไม่ดี หากินยากลำบาก มีความขัดแย้งในชุมชน เกิดสงครามหรือการเจ็บป่วย ผู้นำชุมชนกับลูกบ้านอาข่าก็ต้องไปเสาะหาทำเลที่ตั้งหมู่บ้านกันใหม่ การเลือกที่ตั้งหมู่บ้านใหม่จะทำหลังจากที่ผ่านประเพณีปีใหม่ลูกข่างหรือ “ ค้าท้อง พ้า” Kal tahl pal ซึ่งจะอยู่ช่วงปลายเดือนธันวาคมซึ่งเลยหน้าเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรไปแล้ว (หน้า20) หลังจากที่ผู้นำชุมชนพบพื้นที่ที่ต้องการจะตั้งหมู่บ้านแล้วก็จะให้ “เจ่วมา” Dzoeq ma ผู้นำทางวัฒนธรรม กับผู้อาวุโสของชุมชนทำพิธีโยนไข่ หรือ “จ้อง อุ๊ แจ เออ dzahl uv jeh-eu เพื่อทำพิธีเสี่ยงทายในการตั้งชุมชน สำหรับขั้นตอนการทำพิธีมีดังต่อไปนี้ (หน้า 21) เริ่มแรกจะทำพิธี”เปาะเหลาะ หยะ เออหรือการปลดเชือดที่มัดกระบอกหิ้งบูชาซึ่งมัดไว้ที่โครงหลังคาในส่วนที่เป็นฝั่งผู้หญิงของบ้าน ต่อมา ”เจ่วมา” และผู้อาวุโสก็จะนำถ้วยข้าวสาร กับไข่ มาที่บริเวณที่จะสร้างบ้านของเจ่วมา ผู้นำด้านพิธีกรรม เมื่อมาถึงก็จะขุดหลุมเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส โดยตีกรอบที่ปากหลุมด้วยไม้ 4 ท่อน ยาวท่อนละ 50 นิ้ว เจ่วมาจะทำการเสี่ยงทายโดยโยนไข่ลงหลุม หากไข่ไม่แตกก็จะโยนใหม่จนครบ 3 ครั้ง หากไข่ไม่แตกก็เป็นเครื่องหมายว่าเจ้าที่ไม่ยินยอมให้ตั้งบ้าน ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ต้องหาทำเลใหม่ โดยเริ่มพิธีในวันถัดไป (หน้า 21) หากไข่ที่เสี่ยงทายแตก การทำนายจะดูที่ไข่ ในส่วนของไข่แดงก็จะทำให้เห็นทิศทางการทำถนนในหมู่บ้าน สำหรับไข่ขาวจะเป็นพื้นที่ปลูกบ้าน ต่อมาก็จะปลูกกระท่อมแบบไม่ถาวรและสร้างบ้านเจ่วมาให้เสร็จเป็นหลังแรกในเวลา 1 วัน เมื่อปลูกบ้านเรียบร้อยแล้วก็จะลงมือขุดลานเที่ยวของชุมชน (หน้า 21) ซึ่งเป็นที่ละเล่น เต้นรำและพบปะของหนุ่มสาวในหมู่บ้าน เมื่อทำลานชุมชนเรียบร้อยแล้วก็จะฆ่าหมูในตอนเย็นแล้วแบ่งให้คนในหมู่บ้านจนครบทุกหลังคาเรือน ส่วนเวลากลางคืนก็จะมีพบปะสังสรรค์ที่ลานเที่ยวของหมู่บ้านเพื่อฉลองการตั้งหมู่บ้านใหม่ (หน้า 22) ส่วนประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการรักษาสุขภาพของอาข่ามีดังนี้ ประเพณี ค้าด่าฉี่เออ Kal daq ciq-eu ถวายสังฆทานและขับผีเปรต เป็นการทำบุญเพื่อเชิญวิญญาณต่างๆมารับส่วนบุญ การทำพิธีจะใช้เวลา 1 วัน จุดมุ่งหมายก็เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับคนในชุมชน การทำพิธีจะทำ 3 ช่วงคือครั้งที่หนึ่ง จะทำหลังพิธีสร้างประตูหมู่บ้านอยู่ระหว่างเดือนเมษายน-ตุลาคม,ครั้งที่สองจะทำอีกครั้งหลังจากประเพณี ”ค้อง แยะ แยะ Kahl yehv yehv ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม,ครั้งที่สามจะทำพิธีหลังจากปีใหม่เล่นลูกข่างระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม (หน้า26) การประกอบพิธีจะทำวันไหนก็ได้แล้วแต่คนในหมู่บ้านจะตกลงกัน การทำพิธีอาข่าจะตัดไม้ไผ่มาทำตะแกรงขนาด 2 คูณ 3 เมตร จำนวน 2 ตะแกรง โยทำไว้ที่บ้านเจ่วมาซึ่งเป็นผู้นำในการทำพิธี จากนั้นคนในหมู่บ้านก็จะนำเครื่องเซ่นไหว้ได้แก่อาหาร ดอกไม้และผ้าสีตัดเป็นธง จากนั้นก็จะปั้นดินเป็นรูปสัตว์ชนิดต่างๆเช่น วัว ม้า ช้าง ควาย เป็นต้น วางไว้ในตะแกรงเพื่อให้ผีร้ายทั้งหลายขี่ออกนอกหมู่บ้าน เมื่อวางเครื่องเซ่นไหว้เรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสก็จะเชิญผี (หน้า 26) มารับประทานอาหารและเชิญขี่รูปปั้นรูปสัตว์ที่ปั้นไว้ออกจากหมู่บ้าน จากนั้นก็จะยิงปืน 1 นัด ต่อมาก็จะยกตะแกรงไปทิ้งทางทิศเหนือกับทางทิศใต้ของหมู่บ้านแล้วก็จะกลับว่าถือว่าพิธีได้จบลงแล้ว (หน้า 27) ประเพณีปลูกประตูหมู่บ้าน “ล้อข่องดู่” Lawl kah duq พิธีนี้จะทำในเดือนเมษายน ซึ่งตามความเชื่ออาข่าเชื่อว่า ถ้าสร้างประตูหมู่บ้าน สิ่งอัปมงคลทั้งหลายทั้งที่เกิดจากโรคร้าย ผีดุร้ายต่างๆ จะไม่เข้ามาในหมู่บ้านหรือมาทำให้คนในหมู่บ้านได้รับความทุกข์กายทุกข์ใจ เพราะประตูหมู่บ้านจะช่วยป้องกันให้พ้นจากสิ่งไม่ดีทั้งหลาย ในวันประกอบพิธีคนในหมู่บ้านจะหยุดทำงานในไร่นา ในตอนเช้าจะเตรียมข้าวสารใส่ถ้วย พร้อมทั้งจอบ เสียม มีดไปยังบริเวณที่จะสร้างประตูหมู่บ้าน ตัดไม้ไผ่มาทำเสาประตูหมู่บ้าน และตัดไม้ไผ่มาสานเป็นรูปที่จะใช้ในพิธี เช่น ตาแหลว สร้อยเงิน ก้างปลา ตุ๊กตาชาย/หญิง และแกะสลักรูปดาบและปืนเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้าย และรูปนกแซงแซว กา นก เหยี่ยวเนื่องจากเชื่อว่านกเหล่านี้จะบินมาแจ้งเหตุร้ายให้คนในหมู่บ้านได้รับรู้ (หน้า 27) การขุดหลุมประตูหมู่บ้านจะให้ผู้นำด้านพิธีกรรมขุดก่อน จำนวน 2 หลุม ต่อมา ก็จะนำไข่ ข้าวสาร เงินใส่หลุม 3 ครั้ง จากนั้นก็จะยกเสาประตูลงหลุม เมื่อตกแต่งเสาประตู ก็จะทำตาแหลว 5 รู ปักนอกเขตประตูหมู่บ้าน ส่วนตาแหลวคุ้มครองที่มี 9 รูจะแขวนไว้ที่เสาประตูหมู่บ้าน จากนั้นผู้นำพิธีกรรมก็จะปาไข่ที่เสาประตูและเทข้าวสารที่บริเวณโคนเสาประตู ต่อมาผู้นำด้านพิธีกรรมก็จะใช้มีดฟันเบาๆที่ไม้ข้างหนึ่งฟัน 4 ครั้งส่วนอีกข้าง 5 ครั้ง รวมทั้งหมด 9 ครั้ง จากนั้นก็จะเดินกลับ เมื่อมาถึงบ้านก็จะฆ่าไก่เลี้ยงผู้อาวุโสที่เชิญมารับประทานอาหารประมาณ 2-3 คน เมื่อกินอิ่มเรียบร้อยแล้วก็ถือว่าจบพิธี (หน้า 28) ประเพณีพิธีกรรมบูชาศาลพระภูมิ “มี้ ซ้อง ล้อ เออ“ Mil shahl lawl-eu ศาลพระภูมิของอาข่าเป็นที่อยู่ของเจ้าที่ที่คุ้มครองคนในชุมชน เพื่อให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ส่วนใหญ่จะทำพิธีเมื่อทำพิธีปลูกประตูหมู่บ้านเรียบร้อยแล้ว ประมาณกลางเดือนเมษายน (หน้า 28) อุปกรณ์ที่ใช้เซ่นไหว้ประกอบด้วย ผ้าซิ่น “หละ ก่า” Lavq ghaq กับเสื้อผ้า “แพ้ ข่อง” Pehl qahq ซึ่งเป็นชุดลำลองขนาดเล็กโดยใช้อย่างละ 2 ผืน เทียน 2 เล่ม ข้าวโพดคั่ว ข้าวคั่ว ไก่ตัวเมีย 2 ตัว หมูตัวเมีย 1 ตัว กระบอกเหล้า 1 กระบอก พริก เกลือ มะเขือเทศ ข้าวห่อ และไม่ให้ผู้หญิงเข้าบริเวณที่ประกอบพิธีนั้น เมื่อมาถึงศาล เจ่วมาก็จะวางเครื่องเซ่นไหว้ไว้ที่ชั้นล่างของศาล จุดเทียนแล้วฆ่าไก่ฆ่าหมู และยกไก่และหมูมาวางไว้ทางด้านทิศตะวันออก ถอนชนไก่และหมูออกจากลำตัวแล้วนำมาวางไว้ชั้นล่างของศาลพระภูมิ จากนั้นจะดีดเลือดที่ระเบียง 3 ครั้ง (หน้า 29) ต่อมาคนที่เข้าร่วมพิธีก็จะขอให้เจ้าที่ดูแลคุ้มครองพืชผลที่เพาะปลูก หลังจากนั้นก็จะยิงปืนขึ้นฟ้า 1 นัด นำไก่และหมูไปชำแหละเพื่อนำไปเซ่นไหว้และทำอาหาร เมื่อทำอาหารเรียบร้อยแล้วก็จะรับประทานอยู่รอบๆศาล มีการทำนายโชคชะตาการเพาะปลูก และเกี่ยวกับชุมชนจากนั้นก็จะนำกระดูกห่อใบตองเหน็บไว้รั่วศาลพระภูมิ ช่วยกันทำความสะอาดรอบศาล ต่อมาก็จะกลับมาหมู่บ้านมาที่บ้านผู้นำ แล้วก็ทำอาหารจากเนื้อหมูส่วนหนึ่งแล้วก็เชิญผู้อาวุโสที่ได้เข้าร่วมพิธีมารับประทาน หลังจากที่กินเรียบร้อยแล้วก็ถือว่าจบพิธี (หน้า 30) ประเพณีโล้ชิงช้า เป็นการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษซึ่งมีผลเกี่ยวกับสุขภาพคือทำให้ได้ออกกำลังกาย (หน้า 30) และทำให้สุขภาพจิตดีเพราะได้ร้องเพลงขณะโล้ชิงช้า การจัดงานจะจัดระหว่างปลายเดือนสิงหาคม - ต้นเดือนกันยายน การทำพิธีจะทำ 4 วัน ในวันแรกจะประกอบพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับ (หน้า 31) วันที่สองสร้างเสาชิงช้า ไม่ฆ่าสัตว์งดอาหารเนื้อสัตว์ทุกชนิด (หน้า 32) วันที่สามเป็นวันฉลอง และวันที่สี่เป็นวันสุดท้ายการโล้ชิงช้าจะถึงเวลาประมาณ 18.00 น. เวลา19.00 น.ก็จะเก็บอุปกรณ์เครื่องเซ่นไหว้ ทำความสะอาดก็ถือว่าจบพิธี (หน้า 33) ประเพณี ”ค้าแยะๆ ” การไล่สิ่งอัปมงคลออกจากหมู่บ้าน จะประกอบพิธีปีละ 1 ครั้ง โดยจะให้เด็กๆ ในชุมชนได้ไล่ผีและสิ่งชั่วร้ายด้วยดาบ หอกที่ทำด้วยไม้ โดยเด็กๆ และเยาวชนจะได้ออกกำลังกายเดินตะโกนไล่ผีไปทั้งหมู่บ้านขณะทำพิธี (หน้า 33) วันประกอบพิธีจะอยู่ในช่วงเดือนตุลาคม การจัดในวันแรกจะทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับ (หน้า 34) ในวันที่สองจะทำเครื่องมือ เช่น ดาบหอกเพื่อไล่ผี(หน้า 35) ในตอนเย็นจะนำดาบที่ทำมาวางไว้ที่ประตูเข้าหมู่บ้าน แล้วยิงปืนเป็นสัญญาณ กระทั่งเวลา 19.00 น.ก็จะทำความสะอาดเครื่องเซ่นไหว้ จัดเก็บเข้าตู้ก็ถือว่าพิธีจบทั้งหมด (หน้า 36) ประเพณีปีใหม่ลูกข่าง “ค้าท้องพ้า” Kal tahl pal การประกอบพิธีจะเริ่มในเดือนธันวาคม ประเพณีจะข้องเกี่ยวกับสุขภาพเพราะทั้งเด็กและผู้ใหญ่จะได้เล่นลูกข่าง เพื่อเป็นการทดสอบกำลัง ทำให้ร่างกายแข็งแรงการประกอบพิธีจะทำ 4 วัน ในวันแรกจะทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ (หน้า 20,36) วันที่สองเป็นวันทำลูกข่าง งดฆ่าสัตว์กินเจไม่กินเนื้อ (หน้า 37) วันที่สามเป็นวันฉลองในตอนเช้าจะประกอบพิธีเซ่นไหว้ เครื่องเซ่นจะประกอบด้วยข้าวเหนียวตำหรือข้าวปุ ,ข้าวเหนียวไม่ตำ,ชา ขิงและน้ำ โดยนำสิ่งเหล่านี้ใส่ภาชนะตั้งบนขันโตกแล้วยกไปเซ่นไหว้ ตั้งไว้ประมาณ 2 นาทีก็ยกมาให้ผู้เข้าร่วมพิธีรับประทาน เมื่อถึงช่วงเช้าก็จะฆ่าหมู วัวหรือควายแล้วแบ่งเนื้อให้แต่ละบ้านเพื่อไปทำอาหารเลี้ยงฉลองต้อนรับแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน และวันที่สี่เป็นวันสุดท้าย การละเล่นจนถึงประมาณ 19.00 น.ก็จะเก็บอุปกรณ์ ทำความสะอาดเครื่องเซ่นไหว้แล้วเก็บให้เรียบร้อย ก็เป็นอันจบพิธี (หน้า38)

Education and Socialization

ไม่มี

Health and Medicine

การตั้งครรภ์และการคลอดบุตร หลังจากที่ตั้งครรภ์หญิงอาข่าจะดูแลสุขภาพด้านต่างๆ ดังนี้ การกินดิน โดยจะไปขุดในแหล่งที่เป็นที่ขุดดินกินของหมู่บ้านดินที่นำมากินจะตากรมควันจนแห้ง ขณะที่ตั้งครรภ์จะไม่กินเนื้อสัตว์ประเภทนกและเนื้อสัตว์ขนาดใหญ่ เช่น วัว หมู เป็นต้น (หน้า 46) ในระหว่างนี้ต้องเดินเหินอย่างระมัดระวังและไม่ทำงานหนัก (หน้า 47) การทำคลอด หลังจากที่ตั้งท้องประมาณ 7-9 เดือน เมื่อถึงวันคลอดหมอตำแยจะตัดสายสะดือเปลือกไม้ไผ่เหียะซึ่งเหลาจนแหลมรวมทั้งรนไฟเพื่อฆ่าเชื้อ เมื่อตัดสายสะดือเรียบร้อยแล้ว คนที่เป็นพ่อเด็กจะเอารกคลุกกับเถ้านำไม้ไผ่ยาวประมาณ 1 ฟุตมาผ่าครึ่งใช้คีบสายสะดือแล้วนำไปฝัง (หน้า 48) ตอนฝังจะให้ไม้โผล่มาส่วนหนึ่งเพราะเมื่อถึงตอนเช้าแม่ของเด็กจะไปดึงไม้ที่คีบสายสะดือนั้นออก ต่อมาจึงจะถมอีกครั้งแล้วกั้นด้วยไม้เพื่อไม่ให้สัตว์มารบกวนจากนั้นก็จะทำพิธีตั้งให้เด็ก (หน้า 49) การรักษาสุขภาพระดับครอบครัวในยามป่วยของอาข่า กล่าวถึงขั้นตอนการรักษาของอาข่าเมื่อเวลาเจ็บไข้ไม่สบาย ส่วนใหญ่จะข้องเกี่ยวกับความเชื่อเช่นการเข้าป่าแล้วป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ ก็จะทำพิธีบนบานเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้ผู้ป่วยหายจากอาการเจ็บป่วย ดังตัวอย่างที่กล่าวถึงในงานเขียน เช่น ล้าคู้คู้ Lal kul kul การประกอบพิธีเรียกขวัญให้เด็ก เพราะตกใจหรือถูกแกล้งจึงทำให้เจ็บไข้ไม่สบาย อุปกรณ์ที่ใช้ในการรักษา มี ไข่ 1 ใบ,กระด้ง,ด้าย,ของใช้เด็ก,ไม้คนข้าว พิธีจะจัดในเวลาเย็น โดยจะให้ผู้สูงอายุหรือพ่อเด็ก นำอุปกรณ์ที่เตรียมไว้ทำพิธีเดินไปที่บริเวณประตูหมู่บ้านแล้วเรียกขวัญเด็กให้กลับคืนมา เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วก็จะป้อนข้าวเด็กสักเล็กน้อย ผูกข้อไม้ข้อมือแล้วให้ศีลให้พร (หน้า 62 ) ดึ่มบี่ บี่ แจ เออ Dumq biq bi jeh-eu คือคนป่วยอย่างกระทันหัน ตัวอย่างเช่นตอนเข้าป่า อุปกรณ์ที่ใช้รักษาได้แก่ ไก่ขาวตัวเล็ก ใบดงแดง แม้แช้ ห่อข้าวสาร เงินบาท ห่อขี้เถ้า การรักษาจะให้คนไข้อยู่ด้านในบ้าน ผู้ที่ประกอบพิธีจะนำอุปกรณ์และจะฆ่าไก่ที่นำมาประกอบพิธีโดยตัดครึ่งทิ้งที่บริเวณข้างทางดินทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ฯลฯ (หน้า 69,ดูรายละเอียดทั้งหมด หน้า 58 -74) สมุนไพรของอาข่า (หน้า 77-128) งานเขียนได้ยกตัวอย่างของสมุนไพรไว้ 206 ชนิดโดยบอกว่าสมุนไพรชนิดนั้นว่ามีชื่อท้องถิ่น สรรพคุณ ส่วนที่ใช้ ลักษณะ ประเภท แหล่งที่พบ ดังตัวอย่างที่กล่าวไว้ต่อไปนี้ แหล่กู่ แหล่นี Lehq guq lehq ni (ชื่อภาษา อาข่า) สรรพคุณ แก้เต้านมอักเสบ ล้างแผล ใส่แผลสด ริดสีดวงทวาร การใช้นำเถามาต้มกิน ลักษณะสมุนไพรเป็นเครือเถาเครือใหญ่ จะพบตามบริเวณฝั่งลำธาร (หน้า 77) มะไฟ,สี่โซ้ย์ (ชื่อาข่า) ประโยชน์รักษาโรคมะเร็ง ท้องเสียและแก้ไอ โดยใช้ทั้งต้นกับรากนำมาต้มกิน ลักษณะเป็นไม้ยืนต้นพบตามป่า (หน้า 78) มะม่วงป่า, กื้อโกยะ Guil ghovq (ชื่อภาษาอาข่า) สรรพคุณ รักษาแผลข้างลำตัวหรืองูสวัด โดยนำส่วนที่เป็นเปลือกมาใช้ ลักษณะเป็นไม้ยืนต้น แหล่งที่พบคือตามป่า (หน้า 80) ผักแว่น, ด้า กึ่ม มา (ชื่ออาข่า) รักษาดีซ่าน อัมพาต โดยนำลำต้นและใบมาต้มกิน ลักษณะเป็นพุ่มเตี้ยเลื้อย พบตามแหล่งน้ำ (หน้า 84) อ้ามี้ ส่าหร่า (ชื่ออาข่า) รักษาตะคริว อัมพาต ใช้ในส่วนเปลือก เป็นไม้ล้มลุกยืนต้นเนื้ออ่อน พบตามไหล่เขา หรือใกล้กับแหล่งน้ำ (หน้า85) ฝรั่ง ,แต๊ะ มา (ชื่ออาข่า) สรรพคุณ ใช้ทาแผลสด รักษาอาการท้องเสีย ใช้ตรวจสอบน้ำเสีย เห็ดพิษ การใช้โดยนำใบมาต้มกิน ลักษณะเป็นไม้ผลยืนต้นพบตามบริเวณหมู่บ้าน (หน้า 90) ด้า ปยะ ด้า มุ (ชื่ออาข่า) รักษาโรคนิ่ว ไฟลวก ส่วนที่ใช้เป็นใบกับราก บดเป็นฝอยแล้วนำมาต้มกิน ลักษณะสมุนไพรเป็นพุ่ม พบตามบริเวณไหล่เขา (หน้า 95) หญ้าคา,อู่จี้ (ชื่ออาข่า) รักษาอาการปวดท้องโดยนำรากมาเคี้ยวกิน เป็นพืชล้มลุก พบบริเวณภูเขา (หน้า 98) ก้อย-อี้ (ชื่ออาข่า) สรรพคุณ รักษาขาลีบ ตัวลีบ ส่วนที่นำมาใช้เป็นผล ลักษณะสมุนไพรเป็นเครือเถามีหัวอยู่ใต้ดิน พบในบริเวณไหล่เขา (หน้า 100) น้ำเต้า,อี้ผู่ (ชื่อาข่า) รักษาตัวบวม แผล ตุ่มใหญ่ ส่วนที่ใช้เป็นสะดือผล เป็นเถาเลื้อย พบตามภูเขาและในหมู่บ้าน (หน้า 101) ฎ่อเยาะ ปะพื้อ Gawq yawv pavq puil (ชื่ออาข่า) รักษากระดูกหัก โดยนำใบมาบดและนำมาประกบกระดูกที่หัก ลักษณะสมุนไพรเป็นเถาเลื้อย ในบริเวณป่าดิบชิ้น (หน้า 105) ขิงดำ,ฉส่อจึนะ(ชื่ออาข่า) รักษาแผลสด ใช้แง่ง ลักษณะเป็นกอพุ่มเตี้ย ล้มลุก พบตามไร่ (หน้า 107) จอมปลวก ,ฉ่อปุ๊ (ชื่ออาข่า) สรรพคุณรักษาขาลีบ โดยใช้ดินจอมปลวกกับแมลง (หน้า 110) ทองหลาง,จ่าเซาะเน้ (ชื่ออาข่า) รักษาริดสีดวง ตัวบวม ส่วนที่นำมาใช้เป็นเปลือก เป็นไม้ยืนต้น แหล่งที่พบนั้นพบตามลำห้วย (หน้า 111) ผักหวาน,โคเผ่อ Qov peuq (ชื่ออาข่า) สรรพคุณบำรุงกำลัง โดยนำใบมาต้ม กิน ลักษณะเป็นไม้ยืนต้น พบตามป่า (หน้า 115) หยะ บอง ชี้ เนย้ว Zavq bah cil nyoel สรรพคุณ ห้ามเลือด ส่วนที่นำมาใช้เป็นลำต้นนำมาต้มดื่ม เป็นพืชเลื้อยตามดินพบตามบริเวณภูเขา (หน้า 120) จะคา Cavq ka ประโยชน์ บำรุงร่างกาย ส่วนที่ใช้เป็นราก ลักษณะเป็นเครือเถา (หน้า 125) มะแขว่น,จ่องหละ (ชื่ออาข่า) สรรพคุณคือกระตุ้นลิ้นในการกินอาหาร ดับกลิ่นปาก ขับตัวหนอน ส่วนที่ใช้เป็นผล บดใส่ปากในแผลที่เป็นหนอน หากกินเมล็ดจะมีสรรพคุณดับกลิ่นปาก ลักษณะเป็นไม้ยืนต้นแหล่งที่พบเป็นภูเขา (หน้า127) มะแฟง(ภาษาเมือง),สี่ส่อง หน่อง Siq sahq nahq (ชื่ออาข่า) ฯลฯ ประโยชน์คือกระตุ้นประสาทและบำรุงกำลัง ส่วนที่ใช้เป็นเปลือกและผล เป็นไม้ยืนต้นพบตามภูเขา (หน้า 128 ,ดูรายละเอียดสมุนไพรทั้งหมด หน้า 77-128)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ลานเที่ยวชุมชน อาข่าเรียกที่แห่งนี้ว่า “แดข่อง” Deh qahq พื้นที่แห่งนี้อาข่าจะสร้างขึ้นเมื่อมีการตั้งชุมชนเพื่อใช้ประโยชน์เป็นสถานที่ ละเล่น ร้องเพลง และเต้นรำ ในช่วงกลางคืนของคนในชุมชนและจากต่างถิ่น ลานเที่ยวชุมชนเป็นสถานที่มีประโยชน์ในการส่งเสริมสุขภาพทั้งในการเต้นรำ ร้องเพลง ทุกคืนอาข่าจะลงมาเล่นที่ลาน และจะหยุดในกรณีที่ในหมู่บ้านมีคนเสียชีวิต หรือสภาพอากาศไม่เป็นใจ เช่น ฝนตก เป็นต้น (หน้า 22,38) บ่อน้ำบริสุทธิ์ หรือ “อี้ซ้อล้อเขาะ” iL sawl qawvq อาข่าจะนำน้ำจากบ่อนี้ไปดื่มและนำไปประกอบพิธีกรรม บริเวณนี้จะไม่อนุญาตให้จับสัตว์น้ำ ตัดไม้ทำลายป่าซึ่งจะมีผลกระทบต่อแหล่งน้ำของชุมชน (หน้า 39)

Folklore

ตำนานอาข่า แบ่งเป็น 3 ตอนดังนี้
1.“บรึ่มกา” Byumq ga การเกิดสิ่งต่างๆ บนโลก ตำนานกล่าวไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ทั้งพืชและสัตว์ และผู้คนทั้งหลาย เกิดขึ้นได้เพราะองค์เทพเจ้า “อ่าเผ่วหมี่แย้” Aq poeq miq yehl ทรงสร้างสำหรับเทพเจ้าผู้สร้างนั้นได้แบ่งออกเป็นดังนี้ (หน้า 40) เทพผู้สร้างแผ่นฟ้า มี 8 องค์ ได้แก่ กือแย้ Gui yehl , นยาแย้ Nya yehl, อึ่มแย้ Umq yehl , อึ่มช้า Umq sal , อึ่มเจ่ว Umq dzoeq , อึ่มแซ Umq she อึ่มเจ้ Umq jel , อึ่มฎ้อ Umq ghahl สำหรับเทพผู้สร้างแผ่นฟ้าเป็นเพศชาย (หน้า 40) เทพผู้สร้างแผ่นดิน นั้นเป็นเพศหญิง

ตามตำนานการเกิดโลกของอาข่ากล่าวไว้ว่าสร้างขึ้นด้วยเทพ 2 องค์ คือ เทพผู้สร้างแผ่นฟ้าซึ่งมีพระนามว่า”จาบี”Ja bi กับเทพผู้สร้างแผ่นดินซึ่งมีนามว่า “อ่าหล่อ” Aq lahq ทั้งสองพระองค์ได้ตกลงกันเพื่อสร้างโลก (หน้า 40) เมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วแผ่นดินกว้างขวางเกินไปเทพเจ้าเลยดึงเข้ามาเพื่อให้เล็กกว่าเดิม แรงดึงดังกล่าวจึงทำให้เกิดภูเขา เมื่อได้สร้างแผ่นดินและท้องฟ้า จึงมอบหมายให้มีเทพที่ทำหน้าที่ดูแลดังนี้ (หน้า 41) เทพดูแลท้องฟ้า ชื่อ “หล่องดี้ อ่าช้า อึ่มจ้องจ้องโฮหละบื่อ” Lahq diql aq sal umq jahl jahl ho lavq buiq (หน้า 41) เทพดูแลผืนดินชื่อ “จาบีจาหล่อง” Ja bi ja lahq เทพผู้ดูแลพระจันทร์ชื่อ “ละล้อง” Lavq lahl เป็นผู้ชาย(หน้า 41) เทพผู้ดูแลพระอาทิตย์ชื่อ “บือล้อง” Bui lahl เป็นผู้หญิง เทพผู้ดูแลดวงดาวชื่อ “หล่องดี้ หล่องแท Lahq dil lahq teh (หน้า 41) ในภายหลังได้เกิด น้ำ ลมไฟ และพืชฯลฯบนผิวโลกต่างเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์นานาชนิด ดังนั้น จึงเกิด กฎ กติกาหรือกฎจารีต หรือเรียกว่า “ย้อง” Zahl หรือ “อาข่า ย้อง”Aq kaq zahl “ เพื่อเป็นข้อปฏิบัติและหลักเกณฑ์ในการอยู่ร่วมกันในสังคมของคนและสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นบนโลก (หน้า 41)

2.“ย้องกา” Zahl ga เกิดกฎระเบียบจารีตประเพณี และวิถีชีวิตอาข่า ในแผ่นดิน “จาแด” Ja deh หรือเมืองโบราณที่อาข่าเคยอยู่และมีเจ้าเมืองปกครองตนเอง สันนิษฐานว่าเมืองนี้อาจอยู่ในพื้นที่ประเทศจีนในอดีตแต่ไม่อาจระบุว่าอยู่บริเวณใดกันแน่ ขณะที่นักวิชาการสันนิษฐานว่าเมืองนี้อาจอยู่ในมณฑลยูนาน ตอนใต้ของประเทศจีน ทั้งนี้เมืองจาแด แบ่งออกเป็น 12 ยุค ซึ่งผู้นำแต่ละยุคได้ตั้งหลักเกณฑ์และกฎกติกาในการปกครอง ดังนี้

1)ยุค “อ่าเผ่ว จาแด “Jadeh หรือ อ่าบ้อจาแด มีความเชื่อเรื่องวิญญาณเป็นยุคบุกเบิกเริ่มตั้งกฎระเบียบในการปกครอง (หน้า 41)

2)ยุค “จ๊อบบองบองม้อง” Jawl bah bah mahl หรือ “อ่าย้อจ้อบอง” 

3)ยุค จ้อบอง บองนยี้ “Jahl bah bah nyil ทั้งยุคที่ 2 และยุคที่ 3 ผู้นำทั้งสองยุคเป็นพี่น้องกันคือยุคที่สองเป็นพี่ชายและยุคที่สามเป็นน้องชาย (หน้า 41) ในทั้งสองยุคผู้นำได้ตั้งกฎการปกครองดังนี้ กฎการบังคับ ได้แก่ให้เก็บสมองแมลงวันกับน้ำตามด ให้ได้วันละ 9 ถ้วยให้ส่งผู้ที่ทำหน้าที่ควบคุม ,กฎการเก็บส่วย ถ้าหากล่าสัตว์เช่น ปลา นกและสัตว์อื่นๆ ได้ต้องส่งเนื้อให้ผู้นำ, กฎพิษวัฒนธรรม “ย้องโดะ” Zahl dov ห้ามอยู่ด้วยกัน กฎห้ามคนเกิดห้ามคนตาย กฎไม่ให้สัตว์เกิดหรือเสียชีวิต (หน้า 42)

4)ยุค จ้อบยอง Jawl byah

5)ยุค บยองแหล่ Byah lehq ยุคที่ 4กับยุคที่ 5 ผู้นำเป็นพี่น้องกัน ทั้งสองยุคไม่ได้บันทึกข้อมูลใดๆ ไว้ (หน้า 42)

6)ยุคของ “ขะผู่ขะลู” Qav puq qav lu ไม่ระบุข้อมูลว่าตั้งกฎระเบียบการปกครองใดไว้ เพียงแต่บอกว่า ยุคนี้ผู้นำมีพลังกำลังมหาศาลตอนที่เกิดนั้น ได้ผูกครกกระเดื่องตำข้าวจำนวน 9 ลูกติดตัวออกมา แข็งแรงขนาดที่ว่าวิ่งขึ้นภูเขาได้อย่างง่ายดายมีแรงมากสามารถขว้างครกกระเดื่องขึ้นไปบนภูเขา แต่จุดจบของผู้นำคนนี้ต้องมาเสียชีวิตเพราะครกกระเดื่องกลิ้งลงมาจากภูเขาทับตาย

7) ยุคของ “เอวค้องค้อคอง Ooe kah kawl qah ผู้นำมีความสามารถวิ่งเร็วกว่าลม สามารถจับเก้งในป่ามาเป็นอาหารจนสัตว์ที่มีอยู่ในป่าร่อยหรอลงเกือบสูญพันธุ์ ผู้นำยุคนี้จึงกำหนดกฎการล่าสัตว์คือ ไม่ให้ล่าเกินจำนวน 10 ตัวต่อปี กำหนดการประดิษฐ์เครื่องมือดักสัตว์ป่า กฎการแลกเปลี่ยน กฎการใช้ทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ รวมทั้งด้านพิธีกรรมทั้งหลาย (หน้า 42)

8)ยุค “ล้อบี่หย่าเฉ่ว แช้ล้อบย้อด่อง - ไม่ระบุข้อมูลใดๆ

9)ยุคของ “อ่าโข่ หมี่หนึ่ม เจ่วดู้ล้อยู ผู้กำหนดการใช้น้ำ (ยุคของผู้หญิง) กำหนดกฎการใช้น้ำอุปโภค และบริโภค เกิดการร้องรำทำเพลง

10) ยุคของ”ค้อตีอาเบ้อ” Kawl tiv a beul (ยุคของผู้หญิง) ผู้หญิงแต่งงานกับพญานาค กฎข้อปฏิบัติเรื่องการแต่งงานเกิดในยุคนี้ (หน้า 42)

11) ยุค”แดเล้อง หมี่เพยอ หน่าหมี่ Deh lahl miq pyeu zaq miq (ยุคผู้หญิง) ผู้นำได้กำหนดการใช้แสงสว่าง แบ่งเวลาออกเป็นกลางวันกับกลางคืน (หน้า 42)

12)ยุคของ”แดยู้” Deh yul (ยุคผู้หญิง) ยุคแห่งการเสียเมืองของอาข่า เนื่องจากลูกสาวของผู้นำไปหลงรักคนพื้นราบและได้แต่งงานกัน ด้วยความไม่ซื่อลูกเขยคนพื้นราบจึงคิดจะยึดครองเมือง ดังนั้นจึงออกอุบายพนันกับเจ้าเมืองในการแข่งจุดไฟให้ลอยบนผิวน้ำ ยิงหน้าไม้ใส่ก้อนหิน เป็นต้น ผลลงเอยที่ผู้นำอาข่าพ่ายแพ้ต้องเสียเมืองจาแดให้กับผู้เป็นลูกเขย นับจากนั้นเป็นต้นมา อาข่าจึงเสียเมืองจาแดและถูกปกครองโดยชาติพันธุ์อื่น (หน้า 42)

หลังจากเสียอำนาจในการปกครองเมืองจาแด ภายหลังอาข่าได้เสียเมืองจาแดได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นดังนี้ เกิดต้นไม้จากไม้เท้า ซึ่งเรียกว่า “สี่จ่าหม่อโตะอาบ้อ”Siq dzaq mawq tov a bawl ต้นไม้ชนิดนี้เกิดจากไม้เท้าผู้เฒ่าอาข่าซึ่งเรียกว่า “สี่จ่าหม่อโตะอาบ้อ ต้นไม้ชนิดนี้เป็นต้นมะขามป้อม “ฉี่ฉ่า” Ciq caq ต้นไม้นี้เติบโตอย่างรวดเร็วเพียงแค่ 3 วันก็โตจนปกคลุมท้องฟ้าทำให้ไม่ทราบว่าเวลาไหนกลางวัน เวลาไหนกลางคืน ผู้คนเดือดร้อนเพราะเดินทางไปทำมาหากินไม่ได้ ดังนั้นคนจึงตกลงกันว่าจะโค่นต้นไม้ที่ปกคลุมท้องฟ้านั้น เมื่อตกลงกันได้แล้วจึงได้รวบรวมคนมาตัดต้นไม้อันประกอบด้วย อาข่า 600 คนและคนพื้นราบจำนวน 6 หมื่นคน ขณะที่กำลังตัดต้นไม้จนใกล้จะล้มอยู่นั้น มีนกตัวหนึ่งซึ่งในภาษาอาข่าเรียกว่า “ถ่องโจะโละ” Tahq jov lov อยู่บนต้นไม้ นกได้ร้องบอกคนที่กำลังตัดว่า ถ้าต้นไม้ล้มไปทางทิศเหนือก็ให้อาข่าถือต้นไม้ชื่อ “เบ่วเซวะ”Boeq soev เป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา แต่ถ้าล้มไปทางทิศใต้ก็ขอให้คนพื้นราบยึดถือดอกไม้เป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา นับจากนั้นเป็นต้นมาอาข่าจึงใช้ใบไม้เพื่อบูชาหรือประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ในกลุ่มคนพื้นราบก็ใช้ดอกไม้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ส่วนนกตัวที่ร้องเตือนอาข่าและคนพื้นราบนั้นก็ถูกสะเก็ดไม้ที่ตัดกระเด็นถูกหัว นกจึงบาดเจ็บหัวแตกมีเลือดไหล จึงทำให้นกชนิดนั้นมีขนสีแดงที่หัวมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อต้นไม้ล้มลงรากต้นไม้กระเด็นถูกคนพื้นราบทำให้เสียชีวิตเกือบทั้งหมด (หน้า 43)

ต่อมาก็เกิดเหตุการณ์ประหลาด ปรากฏว่ามีพระอาทิตย์ 12 ดวง ล่องลอยบนท้องฟ้า ทำให้อากาศร้อนกว่าปกติหลายเท่า ทำให้ทำมาหากินไม่ได้ ส่วนช่วงเวลากลางคืน ก็สว่างไสวเพราะมีพระจันทร์ถึง 12 ดวง กระทั่งอาข่าจึงตกลงกันจะแก้ไขปัญหาด้วยการยิงหน้าไม้ โดยใส่หัวธนูที่ทำด้วยทองเหลือง หรือในภาษาอาข่าเรียกว่า “กื่อซยื้อ ล้าแหย่” Guiq suil lal yehq โดยนำมาอาบยาพิษงูดำแล้วยิง เมื่อยิงครั้งที่หนึ่งก็ถูกดวงดาว ทำให้ดวงดาวตกจากฟ้า ยิงครั้งต่อมาพระอาทิตย์ก็ตก และเมื่อยิงอีกครั้งพระจันทร์ก็ตก ภายหลังที่ดวงดาว พระอาทิตย์ พระจันทร์ตกจนหมดจึงทำให้ฟ้ามืด (หน้า 43)


ดังนั้นอาข่าจึงจัดพิธี เรียกพระจันทร์ พระอาทิตย์ และดวงดาว กลับคืนสู่ท้องฟ้า “บือจ่า ลาจ่า “Bui jaq la jaq ขั้นตอนการเรียกคือการใช้ขลุ่ยยาว “ชิวลิ่ว” Coil loil กับจิ่นหน่อง “จ้าเอ่ว” Jal oeq เมื่อเป่าไปเป็นเวลา 12 วันยังคงประสบความล้มเหลวเช่นเดิม (หน้า 43) จึงจัดการสืบค้นหาพระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาว ซึ่งเรียกว่า “บือพ้อ ลาพ้อ ชอ เออ” Bui pawl la pawl caw eu เมื่อทำพิธีเรียกพระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาว ก็มีสัตว์ชนิดต่างๆเดินทางผ่านมาบริเวณนั้น เช่น นก หมาหริ่ง หมูหริ่ง แพะ ควายหริ่ง ม้าหริ่ง ช้างหริ่ง สัตว์ต่างๆ ล้วนตอบว่าออกติดตามพระอาทิตย์ กับพระจันทร์เหมือนกันเมื่อไม่เห็นจึงออกตามหา ตั้งแค่นั้นเป็นต้นมาสัตว์ต่างๆ ที่ปรากฏตัวในเหตุการณ์นั้นจึงตกเป็นสัตว์เลี้ยงของคนทั้งเป็นแรงงานและเป็นอาหาร ฉะนั้นแล้วเมื่อคนและสัตว์นานาชนิดตามหาพระอาทิตย์ พระจันทร์และดวงดาวไม่สำเร็จ จึงปรากฏคำพูดเป็นสุภาษิตว่า “ไก่สีทองซึ่งเป็นสัตว์ที่คนเลี้ยงไว้เริ่มขันแล้ว เมื่อไก่ขันท้องฟ้าก็จะสว่าง” (หน้า 44) นับจากนั้นเป็นต้นมาจึงเชื่อกันว่าไก่เป็นสัตว์ที่รู้การเปิดปิดประตูของพระอาทิตย์ มีความสามารถเรื่องการบอกเวลา ดังนั้นจึงทำให้มีกฎการมีกลางวัน และกลางคืน ซึ่งในเวลากลางวันพระอาทิตย์จะขึ้น ส่วนพระจันทร์และดวงดาวจะขึ้นสู่ท้องฟ้าในเวลากลางคืน เหตุการณ์นั้นจึงดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน (หน้า 45) 3.“จ้องกา หรือ กาจ้องกา” Jahl ga / Ga jahl ga การอพยพ ระบุว่า อาข่าเป็นชาติพันธุ์ที่ส่วนมากตั้งถิ่นที่อยู่ในทวีปเอเชีย ได้แก่ ประเทศจีน พม่า ลาว ไทย เวียนาม แต่ไม่มีหลักฐานอย่างชัดเจนว่าอาข่าที่อยู่ในประเทศ พม่า ลาว เวียดนาม นั้นอพยพมาอยู่ในช่วงใด


อย่างไรก็ดี ข้อสันนิษฐานหนึ่งได้ระบุว่าอาข่าอาจย้ายที่อยู่เพราะเหตุผลทางการเมืองเช่นการปฏิวัติทางวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในประเทศจีนสมัยประธานเหมาเจ๋อตุง ดังนั้นจึงทำให้อาข่าที่อยู่ในมณฑลยูนาน สิบสองปันนา อพยพมาอยู่ในแคว้นเชียงตุง ประเทศพม่า ประเทศลาวเขตหลวงน้ำทาและภาคเหนือของประเทศเวียดนาม ในภายหลังอาข่าที่อยู่ในพม่าจึงอพยพเข้ามาอยู่ในภาคเหนือของประเทศไทย อันเนื่องมาจากปัญหาทางการเมือง การสู้รบที่เกิดขึ้นในประเทศพม่า เป็นต้น (หน้า 45)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มี

Social Cultural and Identity Change

ไม่มี

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

แผนที่ พื้นที่วิจัย (หน้า 130,131) บ้านห้วยโย หมู่ 18 ตำบลแม่สลองใน อำเภอมาฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย (หน้า 132) บ้านกล้วยป่า หมู่ 7 (หน้า 133) บ้านสามัคคีเก่า หมู่ 11 (หน้า 134) บ้านอาแหละ (หน้า 135) บ้านห้วยหมาก หมู่ 18 (หน้า 136) บ้านดอยสะโง้บน,บ้านดอยสะโง้ล่าง (หน้า 137) บ้านดงมะตืนอาข่า หมู่ 5 (หน้า 138) บ้านจอป่าคา หมู่ 10 (หน้า 139) บ้านอาผ่าพัฒนา บ้านจะแล บ้านปู่เขาะ หมู่ 11 ,บ้านสองแควพัฒนา บ้านหนองผักหนาม หมู่ 10 ตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย (หน้า 140) บ้านร่มเย็น หมู่ 3 ตำบลห้วยชมพู อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย (หน้า 141) บ้านห้วยขี้เหล็ก หมู่ 9 ตำบลวาวี ,บ้านแอตาแพง หมู่ 11 อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย (หน้า 142) ตาราง โรคต่างๆ (หน้า 53-57) หมออาข่า (หน้า 158-160)

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 27 พ.ค. 2562
TAG อาข่า, การเมือง, ประวัติศาสตร์, สมุนไพร, สุขภาพ, เชียงราย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง