|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
พวน,อัตลักษณ์,ความเป็นไทยร่วมสมัย |
Author |
เจนสุดา สมบัติ |
Title |
ความเป็นพวน ในปรากฏการณ์ความเป็นไทยร่วมสมัย |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทยพวน ไทพวน คนพวน,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
[เอกสารฉบับเต็ม] |
Total Pages |
176 |
Year |
2548 |
Source |
หลักสูตรสังคมวิทยาและมานุษยวิทยามหาบัณฑิต (มานุษยวิทยา) คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
Abstract |
ชาวพวนมีการสร้างอัตลักษณ์ของตนเองเพื่อบ่งบอกความเป็นตัวตนขึ้นมา ด้วยเหตุผลว่าชาวพวนมักถูกเหมารวมว่าเป็น "ลาว" ซึ่งคำเรียก "ลาว" ในบริบทของสังคมไทยนั้น เป็นเหมือนคำดูถูก เหยียดยาม ดังนั้น ชาวพวนจึงสร้างอัตลักษณ์ของตนเอง เพื่อสื่อสารให้กับคนในสังคมวงกว้างได้รับรู้ว่า พวกเขาไม่ใช่คนลาว หากแต่มีรากเหง้าทางวัฒนธรรมเป็นของตนเอง ผลจากนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในช่วงประมาณ 30 ปีที่ผ่านมา คือ การส่งเสริมให้ท้องถิ่นนำเสนอวัฒนธรรมของตนเอง นำเสนอความเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน อันเป็นสิ่งที่แตกต่างไปจากช่วงก่อนหน้านี้ ที่เน้นความเป็นเอกภาพของชาติ อย่างไรก็ตาม แม้รัฐจะส่งเสริมความแตกต่างทางวัฒนธรรม แต่ความแตกต่างนี้ ก็ยังอยู่ภายใต้ความคิดที่ว่าเป็นคนชาติเดียวกัน ชาวพวนก็เป็นกลุ่มหนึ่งที่ได้มีการปรับตัวให้เข้ากับนโยบายนี้ได้อย่างดี โดยการเลือกนำเสนอสิ่งที่เป็นเสมือนตัวแทนของวัฒนธรรมของตนบางอย่าง และสิ่งที่ถูกนำมาเสนอนั้น ก็มักจะเป็นสิ่งที่ "ขายได้" ทั้งที่บางสิ่ง ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ หรือเคยปรากฏในประวัติศาสตร์ของชาวพวนมาก่อน เช่น การละเล่นนางกวักของชาวตำบลบ้านทราย อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี หรือบางครั้งก็เป็นสิ่งที่ผลิตขึ้นมาใหม่ เช่น ชุดไทยพวนประยุกต์ของพวนบ้านมาบปลาเค้า อำเภอท่ายาง จังหวัดลพบุรี เป็นต้น |
|
Focus |
การทำความเข้าใจ การผลิตสร้าง "ความเป็นพวน" ของชุมชนชาวพวนที่อยู่ในประเทศไทย ทั้งต่อกลุ่มของตน และต่อกลุ่มคนอื่น ๆ โดยเฉพาะในบริบทของการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม |
|
Theoretical Issues |
วารสารไทยพวน และการจัดทอดผ้าป่า เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้าง "ชุมชนจินตนาการของชาวไทยพวน" โดยที่วารสารไทยพวน จะกระทำผ่านการนำเสนอกิจกรรมของชาวไทยพวนในจังหวัดต่าง ๆ และบทความที่นำเสนอถึง "ความเป็นพวน" อันได้แก่ พิธีกรรม ประเพณี การละเล่น ฯลฯ ส่วนการจัดทอดผ้าป่า ก็ทำให้ชาวพวนแต่ละแห่งได้มาพบปะพูดคุยกัน ทำให้รับรู้ถึงการมีอยู่ของกันและกัน ก่อให้เกิดความรู้สึกของความเป็นกลุ่มเดียวกัน เป็น "พวน" เหมือนกัน |
|
Ethnic Group in the Focus |
พวน (ไทยพวน ไทพวน ลาวพวน) โดยศึกษาผ่านชมรมไทยพวน กรุงเทพมหานคร ชมรมไทยพวนบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี และ ชมรมไทยพวน ที่บ้านมาบปลาเค้า อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ท้องถิ่นดั้งเดิมของชาวพวน อยู่ที่แขวงเชียงขวาง ในประเทศลาว ชื่อของชาว "พวน" นั้น น่าจะมาจากชื่อของภูเขาที่อยู่ล้อมรอบเมือง ชื่อ ภูพวน หรืออาจมาจากชื่อของแม่น้ำในบริเวณนั้น ซึ่งชื่อว่า แม่น้ำพวน ในบันทึกของหลวงวิจิตรวาทกการ เรื่อง งานค้นคว้าของชนชาติไทย ได้กล่าวถึง ชนกลุ่มหนึ่งที่หลวงวิจิตรฯ เรียกว่า "ผู้เอิน" ซึ่งผู้วิจัยสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นชนกลุ่มเดียวกับชาวพวน เพราะที่เชียงขวางก็มีภูเขาลูกหนึ่งชื่อว่า ภูเอิน หรือ ภูเอิ้น อันเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำพวน ดังนั้นจึงสันนิษฐานได้ว่า ชื่อ "พวน" นั้นน่าจะสัมพันธ์กับลักษณะทางภูมิศาสตร์ในบริเวณแขวงเชียงขวาง การเคลื่อนย้ายของชาวพวนเข้ามาในประเทศไทย ที่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษร ครั้งแรกสุดเกิดในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระเจ้าสุริยะวงศ์ เจ้าผู้ครองอาณาจักรล้านช้าง ได้ยกทัพมาตีเชียงขวาง และได้กวาดต้อนชาวพวนหลายครอบครัวไปอยู่ที่เวียงจันทน์ ต่อมาเมื่อสยามในรัชสมัยของพระเจ้ากรุงธนบุรีเข้มแข็ง ได้ยกทัพไปตีล้านช้าง รวมทั้งเชียงขวางด้วย เมื่อได้รับชัยชนะก็ได้กวาดต้อนชาวลาวนับหมื่นคนลงมาที่สยาม จากบันทึกของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายไว้ว่า ชาวลาวที่ถูกกวาดต้อนมาครั้งนั้น ได้มาตั้งชุมชนอยู่ที่หัวเมืองชั้นในได้แก่ ลพบุรี สระบุรี นครนายก และฉะเชิงเทรา ถึงแม้จะไม่ได้มีการกล่าวว่าชาวพวนถูกกวาดต้อนมาด้วย แต่ก็เชื่อได้ว่า ชาวลาวที่ถูกกวาดต้อนมานั้น ย่อมมีชาวพวนอยู่ด้วยแน่นอน อาจถือได้ว่า ชาวพวนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มแรกที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย แต่หลักฐานที่ปรากฏอย่างชัดเจนว่ามีชาวพวนเข้ามาในประเทศไทย คือ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพรระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 โดยเจ้านันทเสน เจ้าเมืองเวียงจันทน์ ที่ถูกแต่งตั้งโดยสยาม ได้กวาดต้อนผู้คนในล้านช้างและเมืองขึ้นต่าง ๆ มีทั้งลาวพวนและลาวทรงดำ มาถวายให้แก่รัชกาลที่ 1 พระองค์ก็ทรงโปรดให้ลาวทรงดำไปตั้งบ้านเมืองที่เพชรบุรี ส่วนลาวพวนให้มาตั้งบ้านเรือนในกรุงเทพฯ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ได้ทรงโปรดฯ ให้สร้างพระเจดีย์กลางน้ำที่สมุทรปราการ ในครั้งนั้นได้ทรงให้เจ้าอนุวงศ์เกณฑ์ชาวลาวในเวียงจันทน์มาช่วยตัดต้นตาลที่เมืองสุพรรณบุรี หลังจากเสร็จงานชาวลาวที่ถูกเกณฑ์มา ไม่ขอกลับเวียงจันทน์ รัชกาลที่ 2 จึงทรงโปรดให้ตั้งบ้านเรือนที่บางปลาม้า สุพรรณบุรี โดยชาวลาวที่ถูกเกณฑ์มาครั้งนี้ เป็นลาวพวนแทบทั้งหมด (หน้า 42) ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้เกิดเหตุการณ์กบฏเจ้าอนุวงศ์ ส่งผลให้เกิดการกวาดต้อนชาวพวนระลอกใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ทรงให้ชาวลาวที่ถูกกวาดต้อนมา ไปตั้งบ้านเรือนที่ ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี นครชัยศรี และกาญจนบุรี ส่วนในกรุงเทพฯ ก็มีชาวลาวมาตั้งบ้านเรือนเช่นกัน โดยเจ้าอุปราช ที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ ได้พาครอบครัวและบริวาร มาตั้งภูมิลำเนาที่บางยี่ขัน ในปี พ.ศ. 2370 นอกจากนี้เชลยศึกบางคน ร.3 ก็โปรดให้ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บริเวณที่ในปัจจุบันนี้เป็นโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุงและตลาดมิ่ง จากเหตุการณ์กบฏเจ้าอนุวงศ์ ทำให้สยามกับเวียดนามทำสงครามกัน ในที่สุดสยามก็ชนะ โดยสามารถยึด เมืองพวน เมืองแถง และหัวพันทั้งห้าทั้งหกได้ ในปี พ.ศ. 2376 และทำให้มีการกวาดต้อนลาวพวนและลาวทรงดำ มาอยู่ที่กรุงเทพฯ อีกครั้งหนึ่ง ในสมัยรัชกาลที่ 5 จีนฮ่อได้เข้าตีเมืองพวน ทำให้สยามยกทัพไปปราบ ศึกครั้งนี้ยาวนานกว่า 16 ปี สยามก็ชนะในปี พ.ศ. 2431 หลังจากนั้นก็ได้มีการกวาดต้อนชาวพวนลงมาที่กรุงเทพฯ อีกระลอกใหญ่ จากประวัติการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานของชาวพวน จากท้องถิ่นเดิมในเชียงขวางมาสู่สยาม ทำให้เห็นว่าชาวพวนส่วนใหญ่ที่ถูกกวาดต้อนมานั้น ได้มาตั้งถิ่นฐานในบริเวณภาคกลาง และภาคตะวันออก แต่ก็มีชาวพวนบางส่วนได้อพยพเคลื่อนย้ายมาสู่บริเวณภาคอื่น ๆ ของไทยด้วย เช่นที่ภาคอีสานก็มีชาวพวนอพยพมาตั้งชุมชนอยู่ไม่น้อย เช่น ที่จังหวัดเลย หนองคาย อุดรธานี หนองบัวลำภู นอกจากนี้ยังมีชาวพวนบางส่วนได้อพยพย้ายจาก อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี และ อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ไปอยู่ยังภาคอีสาน (หน้า 42) |
|
Settlement Pattern |
ในสมัยก่อน ชาวพวนมักนิยมสร้างบ้านเรือนที่มีใต้ถุนสูง เพื่อที่จะได้ใช้ประโยชน์ เช่น ทำคอกสัตว์ เก็บอุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ หลังคาบ้านจะมุงด้วยหญ้าคา พื้นบ้านปูด้วยฟากไม้ไผ่ เสาทำจากไม้เนื้อแข็ง ส่วนฝาบ้านจะกรุด้วยใบไม้ซึ่งทำมาจากไม้ไผ่สานขัดแตะ นำมาประกอบขนาบให้ใบไม้อยู่ตรงกลางหรือฝาเสื่อลำแพน บนเรือนมีการกั้นห้องไว้ให้กับลูกสาว หรือกั้นห้องไว้เก็บของมีค่าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รวมไปถึงอัฐิของบรรพบุรุษด้วย ต่อมารูปแบบการสร้างบ้านก็เปลี่ยนไป โดยมีการสร้างเรือนด้วยไม้เนื้อแข็งทั้งหลัง มุงหลังคาด้วยไม้เก็ด (กระเบื้องไม้) หรือดินขอ (กระเบื้องดินเผา) ใช้สังกะสีมุงหลังคา พื้นปูด้วยแป้น (ไม้กระดานที่เลื่อยเป็นแผ่น ๆ) ฝาก็เช่นเดียวกัน แต่ใช้ไม้ที่เลื่อยบางและแคบกว่า แต่ในปัจจุบันการปลูกสร้างบ้านเรือนใหม่ ๆ ของชาวพวน ก็เป็นแบบสมัยใหม่ ที่นิยมกันทั่วไป (หน้า 45-46) |
|
Demography |
มีชาวไทยพวนอยู่ในประเทศไทยประมาณ 200,000 คน (หน้า 43) กระจายอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ ทุกภาคของประเทศไทย ยกเว้นเพียงแค่ภาคใต้เท่านั้น |
|
Economy |
ชาวพวนมีการประกอบอาชีพที่แตกต่างหลากหลายในแต่ละท้องถิ่น บางอาชีพก็มีความโดดเด่นจนกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำถิ่น เช่น การทอผ้า ทั้งที่ตำบลหาดเสี้ยว จังหวัดสุโขทัย ผ้าลายมัดหมี่ ที่อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี หรือที่บ้านป่าแดง ตำบลหนองพะยอม อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร เป็นต้น บางแห่งมีระบบการผลิตแบบการเกษตร เช่น การทำนา มีทั้งการทำนาหว่าน นาดำ รวมทั้งการทำนาแบบ "หว่านน้ำดม" เช่น ที่บ้านโภคาวิวัฒน์ จังหวัดสิงห์บุรี ส่วนการทำสวนก็มีปลูกทั้งที่เป็นไม้ยืนต้น เช่น ขนุน มะม่วง ฯลฯ และพืชล้มลุก เช่น กล้วย และการทำไร่ ซึ่งจะทำช่วงเดียวกับการทำนา คือ ในฤดูฝนนั้นก็จะมีปลูกทั้งข้าวไร่ อ้อย สับปะรด ข้าวโพด ฯลฯ เป็นต้น บางแห่งประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์ เช่น ที่ตำบลวัดโบสถ์ อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี นิยมเลี้ยงเป็ดไข่ และเป็ดเนื้อ ส่วนตำบลมะขามล้ม ก็นิยมเลี้ยงปลาช่อน ปลาดุก เป็นต้น ชาวพวนยังประกอบอาชีพอื่น ๆ อีกด้วย เช่น ตีเหล็ก รับราชการ ค้าขาย รับจ้าง ลูกจ้างบริษัท เป็นต้น |
|
Social Organization |
ชาวพวนยังคงให้ความสำคัญกับระบบเครือญาติ มีการนับญาติทั้งที่ร่วมสายโลหิตและโดยการแต่งงาน (หน้า 47) ครอบครัวเป็นแบบครอบครัวขยาย มีคนอยู่ร่วมกันภายในบ้านมากกว่า 2 รุ่นอายุ แม้บางครอบครัวจะเป็นคู่บ่าวสาวที่แยกไปสร้างบ้านเรือนเอง เรือนที่ตั้งใหม่ก็อยู่ในบริเวณเดียวกันกับพ่อแม่ (หน้า 47-48) นอกจากนี้ชาวพวนให้ความสำคัญกับระบบอาวุโส โดยแสดงผ่านประเพณี เช่น ก่อนที่จะมีการแต่งงาน ฝ่ายชายจะต้องให้ผู้ใหญ่ของตน ซึ่งเรียกว่า "พ่อเซ้อ" ไปทำการสู่ขอฝ่ายหญิง ก่อน พ่อเซ้อ ก็คือ ผู้อาวุโสหรือญาติผู้ใหญ่ของตนนั่นเอง (หน้า 47) |
|
Political Organization |
ชมรมไทยพวน กรุงเทพมหานคร เป็นเสมือนองค์กรหลักในการทำหน้าที่ติดต่อเชื่อมโยง ชาวพวนในจังหวัดต่าง ๆ โดยผ่านคณะกรรมการของชมรมชาวพวนในจังหวัดนั้น ๆ ที่เป็นสมาชิก อีกต่อหนึ่ง นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ในการมอบนโยบาย โดยเฉพาะการฟื้นฟูวัฒนธรรมของชาวพวน ให้แก่คณะกรรมการของชมรมชาวพวนที่เป็นสมาชิก อีกด้วย ในปัจจุบัน ได้มีการจัดตั้งสภาวัฒนธรรม ทั้งระดับจังหวัด อำเภอ และตำบล ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐ ผ่านทางกระทรวงวัฒนธรรม ทำให้เป็นอีกองค์กรหนึ่ง ที่ทำหน้าที่ในการจัดการ ดูแล รณรงค์ ฟื้นฟู และประชาสัมพันธ์ วัฒนธรรม ของคนในพื้นที่รับผิดชอบ ซึ่งรวมไปถึงชาวพวนในจังหวัดต่าง ๆ ด้วย |
|
Belief System |
ชาวพวนทั้งหมดนับถือศาสนาพุทธนิกายหินยาน แต่ก็มีการนับถือผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติเช่นแถน ผีปู่ตา เป็นต้น ร่วมอยู่ด้วย (หน้า 50) ความเชื่อและประเพณีเรื่องความตาย ชาวพวนแบ่งลักษณะการตายออกเป็น 2 ประเภท คือ ตายโหง กับ ตายห่า ตายโหง คือ การตายจากอุบัติเหตุต่าง ๆ ศพที่ตายโหงนั้นต้องนำไปฝัง ส่วนตายห่า คือ การตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ศพที่ตายห่าจะต้องเอาไปเผา แต่ในปัจจุบันความเชื่อนี้ก็ไม่ได้มีอิทธิพลเท่าใดนัก เพราะถึงแม้จะตายด้วยอุบัติเหตุก็ใช้การเผาศพเช่นกัน ชาวพวนไม่นิยมนำศพไว้ที่บ้าน แต่จะไปไว้ที่วัด แม้ศพจะตายที่บ้านก็ตาม (หน้า 49) เนื่องจากว่าชาวพวนที่อยู่ในประเทศไทยนั้น ได้กระจายกันอยู่เกือบทั่วทุกภาค ทำให้ประเพณี และพิธีกรรม อาจแตกต่างกันบ้าง ตามแต่ละท้องถิ่น แต่เมื่อชาวพวนในต่างจังหวัด รวมกลุ่มกันจัดตั้งเป็นชมรม และเข้าเป็นสมาชิกกับชมรมไทยพวน กรุงเทพมหานคร ชมรมไทยพวน กรุงเทพฯ ก็จะสนับสนุนให้แต่ละจังหวัด ฟื้นฟู และอนุรักษ์ประเพณีของชาวไทยพวนไว้ โดยเฉพาะประเพณีกำฟ้า สารทพวน และเทศน์มหาชาติ (สำเนียงพวน) ดังนั้นถึงแม้ในแต่ละแห่งจะมีประเพณีปลีกย่อยแตกต่างกัน แต่ก็พยายามสืบสานประเพณีและความเชื่อของพวน ประเพณีที่ชาวพวนจะได้แสดงออกถึงความเคารพบูชาต่อเทพเจ้าและบรรพบุรุษที่อยู่บนท้องฟ้า โดยจะจัดขึ้นในวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ของทุกปี แต่ในสมัยก่อนไม่ได้กำหนดวันที่แน่นอน แต่จะใช้การกำหนดเวลาคร่าว ๆ ชาวบ้านทุกคนจะรู้ได้ว่าได้เข้าสู่ช่วงประเพณีกำฟ้า ก็ต่อเมื่อคนหูตึงได้ยินเสียงฟ้าร้องครั้งแรก (หน้า 122) ในวันนี้จะมีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษด้วย "ข้าวจี่" ในวันนี้จะมีข้อห้ามหลายประการ เช่น ในสมัยก่อนมักใช้ฟืนในการหุงข้าว ดังนั้นจึงมีการผ่าฝืน ในวันนี้ก็จะห้ามผ่าฝืน ห้ามเลื่อยไม้ ห้ามตำข้าว ห้ามล่าสัตว์ ฯลฯ โดยรวมแล้วก็คือ ห้ามใช้แรงงานทำอะไรทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับการทำมาหากินอีกด้วย กล่าวคือ ในวันนี้คนแก่จะให้ลูกหลานไปดูพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า หรือที่เรียกว่า "ตะเง็น" เพื่อจะให้ดูขี้เมฆ หรือที่เรียกว่า "ขี้เฝื้อ" หากขี้เมฆบางก็หมายความว่า ปีนี้น้ำจะมีน้อย แต่หากมีขี้เมฆมาก ก็แสดงว่าฝนจะตกมาก แต่หากไม่มีขี้เมฆเลย ก็จะหมายความว่า ปีนี้ฝนจะไม่ตกต้องตามฤดูกาล (หน้า 69) วันสารทพวน จะจัดขึ้นในวันแรม 14 ค่ำ เดือน 9 โดยจะมีการทำห่อข้าวและขนมห่อด้วยใบตอง ไปถวายที่วัดตอนตีสี่ตีห้า เพื่อให้พระทำพิธีสวด หลังจากนั้นก็จะไปวางไว้ตามเจดีย์ ต้นโพธิ์ เพื่อให้วิญญาณได้กิน เนื่องจากมีความเชื่อว่า ในช่วงก่อนวันสารท 15 วัน พระยายม จะปล่อยให้ผี เปรต และสัมพเวสี ได้กลับบ้าน แต่เมื่อถึงวันสารท ดวงวิญญาณทุกดวง จะต้องกลับมารับกรรมตามเดิม ดังนั้นการทำบุญสารท จึงมักทำก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้น เพื่อให้ดวงวิญญาณต่าง ๆ ได้กิน ก่อนที่พระยายมจะมารับกลับ ในตอนรุ่งเช้า วันสงกรานต์ พวนมีความเชื่อและข้อปฏิบัติที่เรียกว่า "อาบน้ำก่อนกา" คือ การตื่นมาอาบน้ำในช่วงรุ่งเช้า ราวตีห้า เป็นเสมือนการล้างบาป และในวันนี้ก็จะไม่มีการใช้แรงงานใด ๆ เช่นเดียวกันวันกำฟ้า หลังจากสงกรานต์ผ่านไป ก็จะมีการทำบุญที่เรียกว่า "ทำบุญกลางบ้าน" โดยจะมีการนำเอาเสื้อผ้าของคนในครอบครัวมารวมกันใส่ถึงไปให้พระสวดมนต์เย็น เรียกกันว่า "สูดเสื้อสูดผ้า" เชื่อว่าจะเป็นมงคลแก่ชีวิตนอกจากนี้ก็มีการนำเอาเทียนที่คนในครอบครัวทำขึ้นเอง มาวัดรอบศีรษะ วัดคอจนถึงสะดือ หลังจากนั้น ก็นำเทียนมารวมกันจุดในขณะที่พระสวดมนต์ เชื่อว่าจะช่วยสะเดาะเคราะห์ (หน้า 70) ประเพณีเส่อกระจาด หรือเทศน์มหาชาติ จะจัดขึ้นหลังจากงานออกพรรษา ราวเดือน 12 สามารถแบ่งช่วงเวลาของงานประเพณีนี้ ออกเป็น 3 วัน ได้แก่ วันเอ็ดข้าวปุ้น วันเส่อกระจาด และวันเทศน์มหาชาติ วันเอ็ดข้าวปุ้น คือ วันที่คนในตำบล โดยเฉพาะผู้หญิงจะร่วมกันทำขนมจีน ในสมัยก่อนมีการไปกวาดต้อนผู้หญิงในตำบลอื่น ๆ ที่ไม่ได้จัดงาน มาช่วยทำขนมจีน และของกินอื่น ๆ ด้วย ในวันนี้จะมีการประดับตกแต่งให้ศาลาที่วัด เป็นเสมือนป่าหิมพานต์ มีการนำผลไม้ ขนม ต่าง ๆ ไปประดับไว้ที่ขื่อ และเสาของศาลา วันเอ็ดข้าวปุ้นจะทำก่อนวันเส่อกระจาด 1 วัน (หน้า 114) วันเส่อกระจาด จะเป็นวันที่ชาวบ้านจะมาทำบุญเลี้ยงพระ ในวันนี้ชาวบ้านจะปั้นข้าวเหนียว เป็นลูกกลม ๆ ก้อนเล็ก ๆ มาถวายพระ ข้าวเหนียวเหล่านี้จะถูกรวมกันแล้วจะนำไปแห่รอบศาลา และรอบหมู่บ้าน ประเพณีนี้เรียกว่า "ข้าวพันก้อน" (หน้า 116) ในช่วงบ่าย ผู้คนจากตำบลอื่น ๆ ที่ไม่ได้จัดงาน ก็จะมาร่วมงาน แต่คนก็จะนำของต่าง ๆ เช่น ผลไม้ต่าง ๆ เงิน มาใส่ไว้ที่กระจาด บริเวณลานหน้าวัด ชาวบ้านที่เป็นผู้เตรียมงาน ก็จะนำขนมจีนที่เตรียมไว้มาให้แขกกิน ครั้นเมื่อแขกจะกลับบ้านก็มีการนำข้าวต้มมัดมาให้ เพื่อเอากลับไปกิน (หน้า 118) วันเทศน์ จะเป็นวันที่พระสงฆ์จำนวน 45 รูป จะมาเทศน์กัณฑ์มหาชาติ 13 กัณฑ์ เชื่อกันว่าพุทธศาสนิกชนที่ได้ฟังครบทั้งหมด จะได้บุญมหาศาล (หน้า 114) ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ ตี 1 เป็นต้นไป หลังอาหารเช้าก็จะเอาของที่ชาวบ้านตำบลอื่น ๆ มาใส่กระจาดให้เมื่อวาน มาถวายพระสงฆ์รูปต่าง ๆ แล้วพระก็จะสวดต่อจนจบทั้ง 13 กัณฑ์ เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่าง ชาวบ้าน ก็จะแย่งกันเอาผลไม้ที่ติดไว้ประดับเป็นป่าหิมพานต์ที่ศาลา กลับไปกินที่บ้าน เชื่อว่าจะเป็นมงคล (หน้า 118) งานประเพณีเส่อกระจาดนี้ ในอำเภอบ้านหมี่ แต่ละตำบลจะจัดไม่ตรงกัน เพื่อให้ชาวบ้านตำบลที่ไม่ได้จัดงาน ได้ไปร่วมงานและไปเส่อกระจาดให้กับตำบลที่จัดงาน |
|
Education and Socialization |
ตำบลบ้านทราย พื้นที่ที่ผู้วิจัยยกมาเป็นกรณีศึกษานั้น มีนักเรียนโรงเรียนบ้านทรายมาร่วมงานด้วย จุดประสงค์ก็เพื่อให้เด็กได้ซึมซับบรรยากาศ และสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ประเพณีของชาวพวน (หน้า 118) มีการนำภาษาพวน ไปใช้ในการเรียนการสอนที่โรงเรียนด้วย โดยจะสอนแทรกในชั้นเรียนวิชาภาษาไทย (หน้า 136) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ในปัจจุบัน ชุดแต่งกายที่ใช้ในชีวิตประจำวันของชาวพวนก็เหมือนกับคนไทยส่วนใหญ่ ทั้งผู้ชายและผู้หญิง หญิงสูงอายุมักนิยมสวมเสื้อคอกระทะ หรือเสื้อ "หม่ากะแล้ง" (คอกระเช้า) ในสมัยก่อน ผู้หญิงชาวพวนมักไว้ผมยาวมุ่นเกล้าไว้ด้านหลัง ใช้ผ้าพันรอบอก ไม่ใส่เสื้อ นุ่งซิ่นตีนจก บ้างก็เป็นสีพื้นแทรกลายขวาง บางแห่งนุ่งซิ่นมัดหมี่ ส่วนผู้ชายมักจะนุ่งกางเกงขาก๊วย เสื้อดำ มีผ้าขาวม้าพาดบ่าหรือคาดเอว (หน้า 46) ลำพวน เป็นการละเล่นอย่างหนึ่งของชาวพวน ในประเทศไทยไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเกิดขึ้นในสมัยใด แต่มีการบันทึกถึงลำพวน ที่อยู่ในลาวไว้ว่า ปรากฏเป็นที่รับรู้โดยทั่วไปว่าลำพวน เป็นการละเล่นของชาวพวน ในสมัยขุนลอปกครองล้านช้าง มีดนตรีเป็นเครื่องประกอบคือ แคน นิยมเล่นกันตามงานประเพณีและพิธีกรรม ต่างๆ ลำพวน นิยมเล่นกันทั่วไปในเขตแถบภาคเหนือของลาว (หน้า 130) ผู้ที่เป็นคนลำ เรียกว่า "หมอลำพวน" คนที่เป็นคนเล่นแคน เรียกว่า "หมอแคน" ท่วงทำนองของลำพวนจะออดอ้อน นุ่มนวล ไม่ครึกครื้นเท่ากับหมอลำในภาคอีสาน คนลำก็ไม่แสดงท่าทางประกอบ บ้างลำคนเดียว บ้างลำแบบโต้ตอบ เรียกว่า ลำชิงชู้ ประกอบไปด้วยชาย 2 คน หญิง 1 คน การลำพวนจะไม่แสดงบนเวที หรือบริเวณโล่ง ๆ แต่มักจะแสดงในที่ร่มต่าง ๆ เช่น ศาลาการเปรียญ เป็นต้น เนื้อหาของลำพวนมีหลากหลาย ทั้งเรื่องราวในพระพุทธศาสนา การเกี้ยวพาราสี การสอน ฯลฯ เป็นต้น (หน้า 130-131) |
|
Folklore |
นอกจากเรื่องเล่า ขุนบรมราชาธิราช อันเป็นตำนานที่ถูกเล่าเพื่อบ่งบอกถึงจุดกำเนิดและความสัมพันธ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ตนเองกับกลุ่มอื่น ๆ แล้ว ชาวพวน ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับประเพณีของตนเองอีก เช่น ในประเพณีกำฟ้า ก็มีการเล่าถึงเรื่องราวของ เจ้าชมพู ผู้เป็นเจ้าเมืองพวนได้รบกับเจ้าเมืองเวียงจันทน์ เจ้าชมพูแพ้ เจ้าเวียงจันทน์ได้สั่งประหารเจ้าชมพู แต่ขณะที่เพชฌฆาตจะฟันคอเจ้าชมพู ฟ้าก็ได้ผ่ามาที่ดาบของเพชฌฆาต ทำให้เจ้าเวียงจันทน์ ปล่อยเจ้าชมพู ให้ไปปกครองเมืองพวนต่อ เพราะเชื่อว่าเจ้าชมพู เป็นผู้มีบุญ (หน้า 121) ในประเพณีกำฟ้า จะมีการถวายข้าวจี่ ซึ่งก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับข้าวจี่ว่า ในสมัยโบราณมีทาสคนหนึ่งทำข้าวจี่มาถวายพระรูปหนึ่ง แต่ข้าวจี่ไม่ใช่ของประณีต พระเลยไม่ฉัน แต่ด้วยความตั้งใจดี ส่งผลให้ทาสคนนั้นก็ได้บุญเหมือนกัน (หน้า 124) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
บ้านมาบปลาเค้า จังหวัดเพชรบุรี เป็นอีกแห่งหนึ่งที่มีคนพวนอาศัยอยู่ แต่เมื่อเทียบกับที่อื่นแล้ว มีจำนวนน้อยกว่ามาก อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวพวนในพื้นที่นี้สูญสิ้นไปหมด ต่อมาเมื่อมีการก่อตั้งชมรมชาวพวน และเป็นสมาชิกกับชมรมไทยพวน กรุงเทพฯ ทำให้เกิดการฟื้นฟูขนบธรรมเนียมต่าง ๆ อีกครั้ง เพื่อแสดงออกถึงความเป็นพวน แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่บ้านมาบปลาเค้าแตกต่างไปจากพวนที่อื่น นั่นคือ ผ้าทอ ผ้าทอบ้านมาบปลาเค้ามีสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่น คือ มีปลาเค้า เป็นลายผ้า ซึ่งเกิดจากการให้ชาวไททรงดำมาอบรมให้ ผู้วิจัยมองว่า แน่นอนที่สุด อัตลักษณ์ผ้าทอนี้เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ แต่ประเด็นสำคัญคือ เหตุปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ชาวบ้านมาบปลาเค้าเลือกที่จะสร้างอัตลักษณ์นี้ขึ้นมา ก็เพราะมีการติดต่อกับชาวไททรงดำ ที่มีอัตลักษณ์โดดเด่นในเรื่องของเสื้อผ้า และรวมไปถึงการฟ้อนรำ จึงได้ผลิตสร้างอัตลักษณ์ของตนเองขึ้นมาบ้าง แสดงให้เห็นถึงการติดต่อสัมพันธ์และอิทธิพลของกันและกันของกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งสองในปัจจุบัน (หน้า 142-143) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ประเพณีที่สำคัญอย่างประเพณีเส่อกระจาด ก็ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจเช่นกัน กล่าวคือ ในสมัยก่อนการเส่อกระจาดจะต่างคนต่างทำที่บ้าน คนที่จะเส่อก็จะต้องเอาของไปให้ที่บ้านของญาติหรือเพื่อนสนิท แต่ปัจจุบันจะไปทำรวมกันที่วัดเลยทีเดียว (หน้า 119) นอกจากนี้การไปใส่กระจาดคืน ก็มักจะทำกันในนามของตำบล มากกว่าจะต่างคนต่างไป (หน้า 120) ในประเพณีกำฟ้า ข้าวจี่ คือ องค์ประกอบสำคัญในงาน การทำข้าวจี่จะต้องเอาข้าวเหนียวที่ปั้นแล้ว ไปปิ้ง แล้วเอาไข่ที่ตอกและตีให้เข้ากันแล้ว มาทาบนข้าวที่ปิ้งอยู่ ปัจจุบัน ชาวบ้านจะใช้การทอดมากกว่าการปิ้ง เพราะทำง่ายและสะดวกกว่า (หน้า 127) |
|
Map/Illustration |
ในงานวิจัยนี้ ผู้วิจัยได้ใช้ภาพในการร่วมอธิบาย รวมทั้งเป็นตัวอย่าง ของประเด็นดังต่อไปนี้ "แผนที่สังเขปแสดงเส้นทางอพยพของชาวไทยพวน" (หน้า 35) ตัวอย่างของผ้ามัดหมี่ (หน้า 138) ภาพองค์ประกอบประเพณีวันสารท การเส่อกระจาด และกำฟ้า ภาพการละเล่นนางกวัก |
|
|