สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,การท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรม,การมีส่วนร่วมของชุมชน,พะเยา
Author ดารุณี บุญธรรม, เลาท้าว แซ่โซ้ง, สมศักดิ์ พานผ่องเจริญ, วัลยา แซ่ย่าง, เลาเน้ง พานผ่องเจริญ, อัชภรณ์ ขันโท
Title การจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรมโดยชุมชนชาวม้ง บ้านน้ำคะ-สานก๋วย ตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยา
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text -
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 100 Year 2546
Source รายงานการวิจัยสนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
Abstract

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพชุมชน ค้นหารูปแบบกระบวนการเรียนรู้และการบริหารจัดการ ทดลอง และปรับปรุงพัฒนากระบวนการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรมที่เหมาะสมสอดคล้องกับชุมชนม้งบ้านน้ำคะ-สานก๋วย ผลการศึกษาพบว่า ชุมชนบ้านน้ำคะ-สานก๋วยมีศักยภาพในการจัดการการท่องเที่ยงเชิงนิเวศและวัฒนธรรมของชุมชนด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมประเพณี สถานที่ท่องเที่ยว องค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านงานศิลปหัตถกรรม และการแปรรูปสมุนไพร โดยมีคณะกรรมการชาวม้งร่วมกันแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบงานกระบวนการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรมของชุมชน ตามแผนการดำเนินงานเตรียมความพร้อมของชุมชน แผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว แผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ และแผนการประชาสัมพันธ์ และทดลองจัดกิจกรรมศึกษาวัฒนธรรมเทศกาลปีใหม่ม้ง และศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพของป่าต้นน้ำยม ผลการทดลองพบว่า ทำให้ชุมชนได้มีกระบวนการเรียนรู้ในการจัดการ การท่องเที่ยว เพิ่มความสำคัญเชิงมูลค่าและคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรมประเพณี และการเข้ามามีส่วนร่วมทำกิจกรรมชุมชนของคนในชุมชนที่นำไปสู่การพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืน (หน้า ก-ข)

Focus

รูปแบบกระบวนการเรียนรู้ และการบริหารจัดการ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรมของชุมชนม้งบ้านน้ำคะ-สานก๋วย (หน้า 2)

Theoretical Issues

ผู้เขียนนำแนวคิดหลักการด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรมมาเป็นกรอบในการศึกษา กล่าวคือ เป็นการท่องเที่ยวในแหล่งธรรมชาติและวัฒนธรรม โดยนักท่องเที่ยวจะต้องได้รับความรู้จากการท่องเที่ยวอย่างแท้จริง และไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมทั้งทางวัฒนธรรม และธรรมชาติ รวมทั้งท้องถิ่นควรมีส่วนร่วมในการพัฒนาการท่องเที่ยว (หน้า 68)

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ชุมชนบ้านน้ำคะ-สานก๋วย จังหวัดพะเยา ซึ่งเป็นม้งดำหรือม้งน้ำเงิน (หน้า 25)

Language and Linguistic Affiliations

การใช้ภาษาในชีวิตประจำวันปัจจุบันม้งบ้านน้ำคะ-สานก๋วย ใช้ภาษาม้งเป็นภาษาหลักในสื่อสารระหว่างชาวม้งด้วยกันเอง ส่วนภาษาไทยกลาง และภาษาไทยล้านนาชาวม้งใช้ในการติดต่อสื่อสารกับคนนอกชุมชนหรือองค์กร ซึ่งส่วนใหญ่แล้วกลุ่มเด็กๆ มักพูดภาษาไทยกลางได้ชัดเจนกว่าพวกผู้ใหญ่เนื่องจากได้รับการเรียนภาษาไทยจากโรงเรียน โทรทัศน์ และวิทยุ (หน้า 31)

Study Period (Data Collection)

มี 2 ระยะ ระยะที่หนึ่ง ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-กรกฎาคม 2544 เป็นการศึกษาข้อมูลชุมชน ระยะที่สอง เดือนธันวาคม 2544-พฤศจิกายน 2545 จัดทำแผนดำเนินกิจกรรมโดยเตรียมความพร้อมของชุมชนในด้านต่างๆ (หน้า 1-2)

History of the Group and Community

บ้านน้ำคะ-สานก๋วยเป็นหมู่บ้านบริวารของบ้านปางค่าเหนือ ตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยา โดยในปี พ.ศ. 2488 ชาวบ้านอพยพมาตั้งบ้านในลักษณะที่พักชั่วคราว หรือ "ปาง" ในปี พ.ศ. 2488 ชาวบ้านได้อพยพมาตั้งเป็นหมู่บ้านสานก๋วยภายใต้การนำของ คือ พ่อหลวงสมชาย วารีพิทักษ์ จนกระทั่ง พ.ศ. 2511 เกิดเหตุการณ์สู้รบทางการเมืองระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์กับทหารไทย ชาวบ้านจึงอพยพไปยังหมู่บ้านปางหมู ในปี พ.ศ. 2513 การสู้รบขยายมาถึงบ้านปางหมู ชาวบ้านก็ย้ายไปยังพื้นที่ห้วยอ่วม จากนั้นในปี พ.ศ. 2515 อพยพไปอยู่บ้านปางค่าเหนือ เมื่อเหตุการณ์สงบจึงย้ายกลับมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านสานก๋วยจำนวน 35 หลังคาเรือน ต่อมา พ.ศ. 2524-2528 ชาวบ้านบางส่วนได้ย้ายมาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่บ้านน้ำคะ จำนวน 15 หลังคาเรือน จากนั้นก็มีบ้านเรือนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันรวม 51 หลังคาเรือน (หน้า 25)

Settlement Pattern

การตั้งถิ่นฐานของชาวม้งบ้านน้ำคะ-สานก๋วย ในอดีตมักเลือกตั้งบ้านเรือนตามแนวสันเขา ที่อยู่ระหว่างภูเขา 3-4 ลูก เพราะเชื่อว่าบนยอดเขามีผีป่า หรือ "ตูเชงตูชี" ให้ความคุ้มครองหมู่บ้าน และมีการย้ายถิ่นฐานในทุกๆ 10-15 ปี เพื่อหาพื้นที่ใหม่ที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การทำการเกษตรเป็นสำคัญ แต่ปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสมของสภาพทางธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ลักษณะการสร้างบ้านของชาวม้งสร้างแบบกระท่อมคร่อมดิน ไม่มีหน้าต่าง มีประตูเข้าทางเดียว มุงหลังคาด้วยหญ้าคา หรือไม้ไผ่ กั้นฝาบ้านด้วยไม้ไผ่ ภายในบ้านโล่งแต่มีการจัดแบ่งเป็นพื้นที่ครัว ห้องรับประทานอาหารที่มีการตั้งหิ้งบูชาผี เช่น ผีบรรพบุรุษ ผีเตาไฟ ใหญ่-เล็ก ผีประตูบ้าน ผีห้องนอน เป็นต้น (หน้า 28) นอกจากนั้นผู้เขียนยังพบว่า ชาวบ้านมีการเปิดรับความเจริญทางเทคโนโลยี และระบบสาธารณูปโภคที่เอื้อประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตให้กับพวกเขา เช่น ส้วมซึม พาหนะ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ร้านค้า และโรงสีข้าว (หน้า 28-29)

Demography

ประชากรบ้านน้ำคะ-สานก๋วย มีจำนวน 51 ครอบครัว รวมประชากรทั้งหมด 332 คน จำแนกเป็นเพศชาย 180 คน และหญิง 152 คน (หน้า 26)

Economy

การเพาะปลูก ในอดีตม้งทำไร่แบบตัดฟันโค่นเผา ต้องย้ายที่ดินเพราะปลูกทุก 4-5 ปื เพื่อพักพื้นดินให้อุดมสมบูรณ์ การเพาะปลูกแบบนี้ไม่ต้องใช้สารเคมี เพราะมีแมลงรบกวนน้อย แต่ปัจจุบันต้องปลูกพืชซ้ำในที่ดินแห่งเดิม ทำให้ต้องใช้สารเคมีมากในการกำจัดแมลงและวัชพืช พืชและไม้ผลที่ปลูกขายมาก ได้แก่ ข้าวโพด กะหล่ำปลี และลิ้นจี่ ส่วนข้าวไร่ปลูกเพื่อบริโภค นอกจากนี้ยังปลูกพืชไม้เมืองหนาว ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโครงการหลวงปังค่า ได้แก่ หอมญี่ปุ่น อโวคาโด้ และมะคาเดเมีย (หน้า 43) สำหรับผักต่างๆ นั้นจะปลูกผสมปะปนในไร่ข้าวโพด และไร่ข้าว เช่น พริก แตงกวา ฟักทอง ฟักเขียว มะเขือ ฯลฯ (หน้า 28, 49) การขายผลผลิตจะมีพ่อค้าคนกลางเข้ามารับซื้อในหมู่บ้าน ส่วนพืชผลของโครงการหลวง มูลนิธิโครงการหลวงจะดูแลการตลาดให้ (หน้า 28) สัตว์เลี้ยง ได้แก่ หมู ไก่ เป็ด เลี้ยงไว้บริโภคในครัวเรือน และทำพิธีเซ่นไหว้ผี (หน้า 28)

Social Organization

ครอบครัวของชุมชนม้งบ้านน้ำคะ-สานก๋วยมีลักษณะเป็นวงศ์ตระกูล ผู้ชายเป็นฝ่ายสืบทอดวงศ์ตระกูล ส่วนลูกสาวสิ้นสุดการเป็นสมาชิกในวงศ์ตระกูลเมื่อแต่งงาน ปัจจุบันในชุมชนมีอยู่ด้วยกัน 6 แซ่ และมีการเปลี่ยนการใช้แซ่ไปใช้นามสกุล ครอบครัวประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูกชาย ลูกสาวที่ยังไม่แต่งงาน ลูกสะใภ้ และหลานๆ ครัวเรือนหนึ่งมีสมาชิก 5-14 คน พ่อมีอำนาจสูงสุดในครัวเรือน (หน้า 29) การแต่งงานชาวม้งถือเป็นการเพิ่ม หรือแบ่งเบางานในครอบครัว ผู้ชายม้งมีภรรยาได้หลายคน ทุกคนมีสิทธิเท่ากัน มักเลือกผู้หญิงขยัน อดทน และมีบุตรได้เป็นภรรยา ส่วนผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานมีอิสระเลือกคู่ครอง ความสัมพันธ์ทางเพศ หรืออยู่กินกับผู้ชายที่พอใจ เมื่อพร้อมฝ่ายชายเป็นผู้ไปสู่ขอฝ่ายหญิง สินสมรสเป็นไปตามความต้องการของพ่อแม่ฝ่ายหญิง และมีจารีตประเพณีค่านิยมการแต่งงาน ได้แก่ ห้ามแต่งงานกับวงศ์ตระกูลเดียวกัน เพราะนับถือผีบรรพบุรุษร่วมกัน หรือผู้หญิงหม้ายที่เป็นภรรยาของพ่อ การแต่งงานกับเครือญาติฝ่ายแม่เป็นสิ่งที่ดี ในอดีตค่าสินสมรสเพิ่มขึ้นหากตั้งครรภ์แต่ปัจจุบันไม่ถือแล้ว การแต่งงานถือจากการที่ชายหญิงอยู่กินร่วมกันแล้วมากกว่าถือจากพิธีแต่งงาน สามีมีสิทธิหย่า หรือเตือนภรรยาได้ 3 ครั้ง ก่อนหย่าจริงเมื่อประพฤติตนไม่เหมาะสม หรือไม่ซื่อสัตย์ต่อสามี โดยภรรยาไม่มีสิทธิเรียกร้องใดๆ ส่วนลูกตกลงกันเอง และไม่ใช้พริกเป็นอาหารในพิธีแต่งงาน เพราะเชื่อว่าความเผ็ดร้อนของพริกจะทำให้ชีวิตคู่ไม่มีความสุข (หน้า 32-33)

Political Organization

ในอดีตม้งเลือกหัวหน้าหมู่บ้านจากผู้อาวุโสของสายตระกูลต่างๆ ในชุมชนที่มีฐานะมั่นคง และมีสมาชิกของตระกูลจำนวนมาก การสืบทอดตำแหน่งเลือกจากคนในตระกูลเดียวกัน หรือลูกชายของผู้อาวุโสสูงสุด ปัจจุบันม้งเลือกผู้นำตามกฎหมายการปกครองท้องที่ พ.ศ. 2475 ของรัฐควบคู่ไปกับจารีตประเพณีของชุมชน เมื่อเกิดความขัดแย้งในชุมชนในกรณีที่ไม่รุนแรง ผู้อาวุโสของตระกูลจะตัดสินคดีความขัดแย้งโดยไม่ถึงหัวหน้าหมู่บ้าน แต่ในกรณีที่ไม่สามารถยอมความกันได้ หรือคดีร้ายแรงจะปฏิบัติตามกฏหมายรัฐ ปัจจุบันการปกครองบ้านน้ำคะ-สานก๋วยขึ้นอยู่กับบ้านปางค่าเหนืออยู่ภายใต้การดูแลของนายประเสริฐ วีรกรรม ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 และบ้านน้ำคะมีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านรักษาการแทน 1 คน คือ นายเลาเน้ง พานผ่องเจริญ และสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล 1 คน คือ นายเลาช้าง วารีพิทักษ์ (หน้า 26-27)

Belief System

1. การนับถือผี ชาวม้งเชื่อว่า ผีบรรพบุรุษ และผีบ้านผีเรือนเป็นผู้คุ้มครองดูแลทุกข์สุข และที่อยู่อาศัยของครอบครัว ผีเจ้าที่มีหน้าที่ดูแลรักษาสถานที่และทรัพยากรธรรมชาติในหมู่บ้าน และผีฟ้าทำหน้าที่ดูแลสวรรค์ เมื่อทำความดีขณะมีชีวิตอยู่ตายแล้วจะได้มาอยู่บนนี้ (หน้า 35-37) 2. พิธีกรรมเกี่ยวกับผี 2.1 พิธีกรรมเรียกขวัญ ชาวม้งเชื่อว่ามนุษย์มี 3 ขวัญ หากขวัญไม่ครบจะไม่สบาย หรือตายได้ และเมื่อตายขวัญจะแยกกันไปอยู่ที่สวรรค์ นรก และฮวงจุ้ย 2.2 พิธีอยู่กรรม (ใจ๋) คือ การที่ทุกคนในครอบครัวปิดประตูไม่ออกจากบ้านหรือรับแขก 1-3 วัน โดยทำตะแหลวแขวนที่ประตูบอกคนในและนอกชุมชนว่าอย่าเพิ่งมาหาช่วงนี้เพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บป่วย เพราะเชื่อว่าผู้มาบ้านพาผีมาและจะมาเอาขวัญของคนป่วยไปทำให้ไม่สบาย และ 2.3 พิธีกรรมผีวัว คือ การเลี้ยงผีบรรพบุรุษที่ลูกชายควรปฏิบัติต่อวิญญาณบรรพบุรุษ มีการฆ่าวัวเพื่อเซ่นผีแสดงถึงความกตัญญูของบุตรชายต่อพ่อแม่ที่ให้น้ำนมเลี้ยงดูจนโต (หน้า 37) 3. พิธีฉลองปีใหม่ ตรงกับขึ้นหนึ่งค่ำเดือนหนึ่ง หรือธันวาคมของทุกปี จัดขึ้น 3-7 วัน ก่อนวันขึ้นปีใหม่มีพิธีปัดเป่าสิ่งไม่ดีจากหมู่บ้านด้วยการล้างประตูบ้านโดยใช้ต้นหนาม และใบไผ่มัดด้วยผ้าแดง เสร็จแล้วนำไปไว้ที่ห้วยถือเป็นการทิ้งสิ่งไม่ดี ใน 3 วันแรกของวันขึ้นปีใหม่ ทุกคนในครอบครัวต้องกลับมาร่วมพิธีกรรม วันแรกเป็นพิธีรดน้ำดำหัวขอพรจากญาติผู้ใหญ่ วันที่สองเป็นพิธีเซ่นไหว้ขอพรผีบรรพบุรุษด้วยอาหารสำคัญข้าวสาร ไก่ ไข่ และขนมข้าวปุกทำจากข้าวที่เก็บเกี่ยวเป็นครั้งแรกของปีนั้น และวันที่สามเป็นพิธีเลี้ยงผีเจ้าที่ เพื่อขอบคุณ และบนบานเจ้าที่ให้ความคุ้มครองชุมชนในปีต่อไป และมีการละเล่นต่างๆ ในชุมชน (หน้า 34) 4. การกินข้าวใหม่ คือ การทานอาหารร่วมกัน หลังจากหมอผีทำพิธีแก้บนกับผีเจ้าที่เมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จด้วยไก่ตัวผู้ ตัวเมีย เหล้า เพราะเชื่อว่าช่วยดูแลทำให้ผลผลิตการเกษตรได้ผลดี ตรงกับเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมของทุกปี ส่วนเมื่อเก็บข้าวโพดจะทำพิธีแก้บนเท่านั้น ไม่มีการกินอาหารร่วมกัน (หน้า 34-35) 5. พิธีศพ พิธีกรรมที่สำคัญ คือ พิธีสวด โดยหมอผีสวดเนื้อหาตำนานการสร้างโลก สาเหตุการเกิดแก่เจ็บตาย และการชี้ทางผู้ตายไปหาบรรพบุรุษพร้อมกับการให้เงินแก่ผู้ตายไปจ่ายเจ้าที่ และทางแก้ความเจ็บป่วยให้แก่ผู้ตาย และพิธีเป่าแคนเพื่อแสดงความเสียใจและระลึกถึงผู้ตาย (หน้า 35)

Education and Socialization

ชุมชนชนเผ่าม้งบ้านน้ำคะ-สานก๋วยทั้งเด็กและผู้ใหญ่มีการเรียนรู้สืบทอดวัฒนธรรมประเพณี ความรู้ต่างๆ ในการพึ่งพาธรรมชาติเพื่อการดำรงชีวิตผ่านครอบครัวและสังคมในชนเผ่าของตนเอง นอกจากนั้นเยาวชนและผู้ใหญ่ชาวม้งในหมู่บ้านมีการเข้ารับบริการการศึกษาขั้นพื้นฐานในระบบโรงเรียนที่เปิดให้บริการตั้งแต่ในระดับชั้นประถมจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย และมีบ้างที่ได้รับการศึกษาสูงถึงระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง นอกจากนั้นชุมชนดังกล่าวยังได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนจากองค์กรนอกชุมชนคือ ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนชาวไทยภูเขาแม่ฟ้าหลวงในการจัดสอนวิชาชีพให้กับผู้ใหญ่ในชุมชน (หน้า 26)

Health and Medicine

ผู้เขียนกล่าวถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวม้งในการดูแลสุขภาพ รักษาโรค และการผลิตแปรรูปพืชสมุนไพรในป่าที่มีมากกว่า 50 ชนิด ซึ่งเป็นทรัพยากรทางธรรมชาติหาได้จากป่าประเภทต่างๆ ในชุมชน (หน้า 38-39) โดยมีพ่อเฒ่าเลาจูเป็นผู้มีความรู้ และผลิตยารักษาโรคโดยพิจารณาคุณสมบัติจากส่วนต่างๆ ของพืชสมุนไพร เช่น ต้น ราก ใบ และผล ชาวบ้านมักเข้าไปเก็บสมุนไพรหลังทำการเกษตร และเลือกเก็บเฉพาะส่วนที่ต้องการใช้ในการรักษาเพื่อความยั่งยืนของสมุนไพรในป่า นอกจากนั้นชาวม้งมีการนำสัตว์ป่าบางชนิดมาเป็นยารักษาโรค การรักษาแต่ละครั้งมีการรักษาร่วมกับการประกอบพิธีกรรม เปาเสกให้เกิดความศักดิ์สิทธ์ และบอกผีบรรพบุรุษ (หน้า 43-44) ผลการศึกษาทรัพยากรทางธรรมชาติด้านสมุนไพรพบว่า เป็นจุดเด่น และประโยชน์ในการเชื่อมโยงเข้ากับการเล็งเห็นถึงศักยภาพของชุมชนในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาชุมชนด้วยกระบวนการท่องเที่ยวเชิงนิเวศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (หน้า 51-52)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกาย สำหรับผู้หญิงสวมกระโปรงสั้นถึงหัวเข่า ด้านหน้ากระโปรงมีผ้าคล้ายผ้าสไบ และผ้ากันเปื้อนยาวถึงข้อเท้า ใส่เสื้อแขนยาวที่มีการปักลวดลายต่างๆ บริเวณด้านหน้า และปลายแขนเสื้อ ส่วนผู้ชายสวมกางเกงขายาว ใส่เสื้อที่มีทั้งแขนสั้นและแขนยาว มีการปักลวดลายต่างๆ เฉพาะปลายกางเกง และปลายเสื้อแขนยาว ผู้หญิงชาวม้งมักลงมือประดิษฐ์ชุดประจำเผ่าในเวลาว่างหลังจากทำงานไร่ ลักษณะสีที่ใช้ในการประดิษฐ์ชุดประจำเผ่าของชาวม้งนิยมใช้สีดำ สีน้ำเงิน สีฟ้า และสีชมพูเป็นสีหลักสำหรับตกแต่งลวดลายลงบนเสื้อผ้า นอกจากนี้ยังใช้เครื่องประดับตกแต่งเสื้อผ้าด้วย ส่วนใหญ่ทำด้วยเงินซึ่งเป็นเครื่องบอกฐานะของผู้ใส่และครอบครัว (หน้า 30-31)

Folklore

ไม่มี

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มี

Social Cultural and Identity Change

1. การเปลี่ยนมาใช้นามสกุล ทำให้ผู้ใหญ่บางคนในชุมชนเกรงว่าแซ่หมดไป และอาจแต่งงานในกลุ่มแซ่เดียวกัน ซึ่งผิดกฎข้อห้ามในสังคมของชาวม้ง (หน้า 29) 2. การแต่งกาย การเปิดรับวัฒนธรรมเสื้อผ้าและแต่งกายที่เป็นคนเมืองมากขึ้น เนื่องจากเหตุผลในการผลิตชุดประจำเผ่าใช้เวลานาน แต่ผู้ใหญ่ในชุมชนได้การกำหนดให้แต่งกายชุดประจำเผ่าในวันเทศกาลปีใหม่ม้ง (หน้า 31) 3. การกินอาหาร การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการกินของชาวม้งจากเดิมที่รับประทานอาหารที่เป็นพืชผักเนื้อสัตว์หาที่หาได้ในชุมชน และนิยมอาหารรสจืดที่ปรุงจากเกลือ น้ำมันหมู และผงชูรส และต่อมาหันมาใช้เครื่องปรุงรสอาหารแบบคนเมืองมากขึ้น เช่น พริก ซอส น้ำปลา ซีอิ้วขาว น้ำตาล แต่ยังคงมีชาวม้งอาวุโสบางคนยังคงคุ้นเคยการบริโภคอาหารแบบดั้งเดิมมากกว่า และไม่นิยมบริโภคอาหารจากนอกชุมชน (หน้า 32)

Other Issues

1. แหล่งท่องเที่ยวของหมู่บ้าน ได้แก่ ดอยภูลังกา ซึ่งเป็นภูเขาสูงที่สุดของเทือกเขาผีปันน้ำ และมีตำนานเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธ์ของเทวดาบนภูเขาลูกนี้ และสมบัติที่ซ่อนอยู่บนยอดเขา น้ำตกน้ำคะใหญ่ น้ำตกน้ำคะน้อย ถ้ำผาบ่อง ถ้ำค้างคาว 1 ถ้ำค้างคาว 2 และถ้ำผาหิน แหล่งท่องเที่ยวรอบหมู่บ้าน ห่างจากบ้านน้ำคะประมาณ 10-20 กิโลเมตร ได้แก่ ภูลังการีสอร์ท น้ำตกสะเกิน ถ้ำหลวง และถ้ำสะเกิน (หน้า 40-43) 2. ผลกระทบการท่องเที่ยวต่อชุมชน พบว่า ชุมชนตระหนักถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต หากไม่มีจากการจัดหรือควบคุมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรมที่ดีก็อาจทำให้ระบบสังคม วัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจของชุมชนเปลี่ยนแปลงไป ได้แก่ การแลกเปลี่ยนระบบแรงงานจากความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติ การรับวัฒนธรรมภายนอกเข้ามาอาจทำให้รูปแบบวิถีชีวิต วัฒนธรรมประเพณีที่ด้านการแต่งกาย ภาษา การละเล่น พิธีกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่าเปลี่ยนไป การสูญเสียระบบนิเวศของชุมชน และรูปแบบการผลิตแบบอุตสาหกรรมเข้ามาแทนที่ระบบเกษตรกรรม การเข้ามาเพื่อแสวงหาประโยชน์ทางการค้าในชุมชนของนายทุน (หน้า 59-60)

Map/Illustration

แผนภูมิที่ 1.1 นโยบายการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (หน้า 5) แผนภูมิที่ 1.2 องค์ประกอบหลักของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรม (หน้า 12) แผนภูมิที่ 1.3 องค์ประกอบที่สำคัญของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรม (หน้า 14) แผนภูมิที่ 1.4 รูปแบบการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ (หน้า 19) แผนภูมิที่ 5.1 แนวทางการจัดทำรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรมบ้านน้ำคะ-สานก๋วย (หน้า 70) แผนภูมิที่ 6.1 โครงสร้างคณะกรรมการการท่องเที่ยว (หน้า 83) แผนภูมิที่ 6.2 รูปแบบการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรมบ้านน้ำคะ-สานก๋วย (หน้า 91) ตารางที่ 6.1 ปฏิทินกิจกรรมของชนเผ่าม้งในรอบ1 ปี (หน้า 88) 6.2 ช่วงระยะเวลาการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรม (หน้า 88)

Text Analyst รัตนา หาญสวัสดิ์ Date of Report 02 ต.ค. 2567
TAG ม้ง, การท่องเที่ยวเชิงนิเวศและวัฒนธรรม, การมีส่วนร่วมของชุมชน, พะเยา, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง