|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),การเปิดรับสื่อ,โทรทัศน์,วิทยุ,วิถีชีวิต,การสนทนากับบุคคลอื่น,ราชบุรี |
Author |
ศิขริน เอกะวิภาต |
Title |
พฤติกรรมการเปิดรับสื่อ ความต้องการใช้ประโยชน์จากสื่อและรูปแบบการดำเนินชีวิตของชนชาติกะเหรี่ยงบ้านคา จังหวัดราชบุรี |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) |
Total Pages |
180 |
Year |
2546 |
Source |
หลักสูตรปริญญานิเทศศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชานิเทศศาสตร์ธุรกิจ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ |
Abstract |
เนื้อหากล่าวถึงพฤติกรรมการเปิดรับสื่อ ความต้องการใช้ประโยชน์จากสื่อ และรูปแบบการดำเนินชีวิตของชนชาติกะเหรี่ยงบ้านคา จังหวัดราชบุรี ผู้ศึกษาได้ใช้วิธีวิจัยเชิงสำรวจโดยใช้แบบสอบถามจำนวน 200 ชุดจากการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างเปิดดูโทรทัศน์เป็นระจำ ฟังวิทยุบ่อยครั้ง พูดคุยกับบุคคลอื่นตามโอกาส ระยะเวลาเปิดรับสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และบุคคลอื่นในแต่ละครั้งจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 ชั่วโมง คือชอบดูละคนโทรทัศน์ ฟังธรรมะทางวิทยุ หัวข้อพูดคุยกับบุคคลอื่นคือการช่วยเหลือทางการเงิน กะเหรี่ยงมีความต้องการใช้สื่อในระดับมาก โดยมีอันดับดังนี้ ความต้องการทางด้านบันเทิงมีค่าเฉลี่ย 3.99 ความต้องการข้อมูลข่าวสาร มีค่าเฉลี่ย 3.85 และอื่นๆ |
|
Focus |
ศึกษาลักษณะทางประชากร การดำเนินชีวิตพฤติกรรมการเปิดรับสื่อและการใช้ประโยชน์จากสื่อของชนชาติกะเหรี่ยงบ้านคา จังหวัดราชบุรี (หน้า 9) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยงในไทย เมื่อก่อนนี้กะเหรี่ยงตั้งถิ่นที่อยู่อาศัยอยู่ด้านทิศตะวันออกของทิเบต จากนั้นก็อพยพมาอยู่ในประเทศจีน เมื่อ 733 ปีก่อนพุทธกาล ภายหลังจีนรุกรานจึงย้ายถิ่นที่อยู่มาอยู่บริเวณฝั่งแม่น้ำโขงและสาละวินในพม่า โดยมากจะตั้งที่อยู่อาศัยอยู่ในรัฐกะเหรี่ยง สาเหตุการย้ายเข้ามาอยู่ในไทยในครั้งแรกมาจากการหลบหนีการสู้รบ(หน้า 2) ภายหลังย้ายมาด้วยหลายสาเหตุเช่นการหาพื้นที่ทำกิน ซึ่งทุกวันนี้ในไทยกะเหรี่ยงเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีจำนวนมากที่สุด สำหรับการย้ายเข้ามาไทยในช่วง 100 ปีนั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคเหนือ เช่น จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก เป็นต้น (หน้า 3) ในแต่ละพื้นที่จะเรียกกะเหรี่ยงแตกต่างกันเช่น จีนโบราณเรียกกะเหรี่ยงว่า “ชนชาติโจว” พม่าเรียกว่า “กะยิน” ชาวล้านนาในไทยและคนในรัฐฉานของประเทศพม่าเรียกกะเหรี่ยงว่า “ยาง” คนไทยภาคกลางเรียกว่า “กะเหรี่ยง” ซึ่งชื่อนี้เรียกตามมอญที่เรียกกะเหรี่ยงว่า “กะเรง” ส่วนกะเหรี่ยงจะเรียกตนเองว่า “ปกากะญอ” หรือ “ปาเกอะญอ” แปลว่า “คน” (หน้า 4) กะเหรี่ยงในไทยมี 4 กลุ่มดังนี้ 1) กะเหรี่ยงสะกอ (S’Gaw Karen) หรือ ยางขาว 2) กะเหรี่ยงโปว์ (Pwo Karen) หรือยางบ้าน 3) กะเหรี่ยงบเว(B’ghwe Karen) หรือคะยาหรือยางแดง 4)กะเหรี่ยงตองตู (Thongthu) หรือตองสู หรือปะโอ ในประเทศไทยกะเหรี่ยงสะกอและกะเหรี่ยงโปว์เป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด ส่วนกะเหรี่ยงที่อยู่สหภาพกะเหรี่ยงแห่งชาติ (หน้า 4) เป็นกะเหรี่ยงสะกอ สำหรัลกลุ่มกะเหรี่ยงที่มาอยู่ในไทยได้ไม่นานแต่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายได้แก่”ปาดอง”หรือกะเหรี่ยงคอยาว กับ”กะยอ” หรือ กะเหรี่ยงหูยาว (หน้า 5) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษากะเหรี่ยง อยู่ในตระกูลภาษาจีน-ทิเบต (Sino-Tibetan Language Family) สาขากะเหรี่ยง (Karenic Branch) (หน้า 4)ประชากรศึกษาพูดภาษากะเหรี่ยงในชีวิตประจำวัน 72 คน (36%) ภาษาไทย 108 คน (54%) และภาษากะหร่าง 20 คน (10 %) (ตารางหน้า 51,162) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติตำบลบ้านคา เมื่อก่อนนี้บ้านคามีชื่อว่า “บ้านข่า” เนื่องจากในพื้นที่มีต้นข่าเจริญเติบโตเป็นจำนวนมาก ภายหลังชาวบ้านเรียกเพี้ยนเสียงเป็น “บ้านคา” ซึ่งนับจากนั้นจึงใช้ชื่อว่าบ้านคามาจนถึงทุกวันนี้ บ้านคาเป็นที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอบ้านคา ส่วนตำบลบ้านคาประกอบด้วย 12 หมู่บ้าน เมื่อ วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2539 ได้รับการยกฐานะให้เป็นองค์การบริหารส่วนตำบล ประชาชนส่วนใหญ่เป็นกะเหรี่ยงที่เข้ามาตั้งรกรากเมื่อประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา (หน้า 1) |
|
Settlement Pattern |
บ้านกะเหรี่ยง ทำด้วยไม้ไผ่และแฝก บ้านไม่ทำรั้วกั้นเมื่อเลี้ยงสัตว์ก็จะเลี้ยงแบบปล่อยให้หากินในหมู่บ้าน บ้านของกะเหรี่ยงมักไม่ชอบสร้างให้อยู่บริเวณสันเขาที่ตั้งหมู่บ้านจะอยู่บริเวณที่เป็นบริเวณที่ลุ่มมีเนินเขาล้อมรอบหรือบางครั้งก็เป็นพื้นที่ที่เป็นที่ราบระหว่างหุบเขาอยู่ใกล้แหล่งน้ำ (หน้า 5,168) |
|
Demography |
ในการศึกษาได้ใช้แบบสำรวจจำนวน 200 ชุด(ครัวเรือน)โดยสำรวจจากครัวเรือนที่มีจำนวนทั้งหมด 1,348 ครัวเรือน ซึ่งมีประชากร 5,952 คน โดยแบ่งเป็นเพศชาย 3,004 คนและเพศหญิง 2,948 คน (หน้า 40) ประชากรในการตอบแบบสอบถามโดยมากมีอายุตั้งแต่ 56 ปีขึ้นไป (บทคัดย่อหน้า ฆ) จากข้อมูลการสำรวจประชากรกะเหรี่ยงใน 15 จังหวัดเมื่อปี พ.ศ.2540 มีจำนวน 70,892 หลังคาเรือน ประชากรรวม 353,574 คน (หน้า 3) |
|
Economy |
เศรษฐกิจ ประชากรในการศึกษามีอาชีพทำไร่ มีรายได้ต่อเดือน 2,001 - 3,000 บาท (บทคัดย่อหน้า ฆ) สำหรับพืชที่ปลูกเช่น ข้าวพืชไร่ได้แก่ ข้าวโพด ผัก ฟักทอง พริก มะเขือ และอื่นๆ และเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหารในครัวเรือนและใช้เซ่นไหว้ตอนประกอบพิธีกรรมเช่น หมู ไก่ วัว ควาย (หน้า 5,168) สำหรับการเลี้ยงช้างจะเลี้ยงในครอบครัวที่ร่ำรวยนอกจากนี้ยังมีรายได้เลี้ยงครอบครัวจากการทำงานนับจ้าง หาของป่ามาขาย ทำอุตสาหกรรมในครัวเรือนเพื่อจำหน่ายเช่น สานตะกร้า ทำมีด และเครื่องครัวต่างๆที่ทำด้วยไม้ และอื่นๆ (หน้า 6) ประชากรกรณีศึกษา แบ่งตามอาชีพได้ดังนี้ รับจ้าง 44 คน(22%) ทำไร่ 68 คน(34%) ทอผ้า 49 คน(24.5 %)เป็นลูกจ้าง 39 คน(19.5%)(หน้า 50,75-84) |
|
Social Organization |
ลักษณะครอบครัว เป็นแบบครอบครัวขยายซึ่งประกอบด้วย ปู่ ย่า พ่อ แม่ ลูก โดยพ่อและลูกที่โตเป็นผู้ใหญ่จะหาเลี้ยงคนในครอบครัวสำหรับแม่จะทำหน้าที่เลี้ยงลูกทำงานบ้าน เป็นต้น (บทคัดย่อหน้า ฆ) ประชากรศึกษาประกอบด้วยครอบครัวขยาย(ปู่ย่า พ่อแม่ ลูก) 100 คน(50%) ครอบครัวเดี่ยว(พ่อ แม่ ลูก ) 43 คน(21.5 %) ครอบครัวใหญ่ซึ่งรวมญาติพี่น้อง 42 คน (21%) และอยู่คนเดียว 15 คน(7.5%) (หน้า 52,162) |
|
Belief System |
ศาสนาและความเชื่อ กะเหรี่ยงที่เป็นกลุ่มตัวอย่างนับถือศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์และนับถือผี ที่นับถือศาสนาคริสต์มี 95 คน (47.5%) นับถือศาสนาพุทธ 105 คน (52.5%) (หน้า 5 ตารางหน้า 50,161,168) สำหรับผีที่นับถือที่สำคัญมี ผีเรือนและผีบ้าน สำหรับ ”ผีเรือน” คือผีประจำบ้านเรือนเป็นวิญญาณของปู่ย่า ตายาย บรรพบุรุษที่ล่วงลับทำหน้าที่คุ้มครองรักษาลูกหลานให้อยู่อย่างมีความสุข ส่วน ”ผีบ้าน” ทำหน้าที่คุ้มครองรักษาหมู่บ้าน ในบางครั้งจะเรียกว่า “ผีเจ้าเมือง” หรือ “ผีเจ้าที่” มีความสำคัญในพิธีการเพาะปลูกกับพิธีกรรมที่ข้องเกี่ยวกับความสงบร่มเย็นของประชาชนในหมู่บ้านสำหรับพิธีเลี้ยงผีเจ้าที่ปีหนึ่งจะจัดสองครั้ง (หน้า 5) นอกจากนี้ยังเชื่อว่ามีผีอื่นๆ อีก เช่น ผีป่า ผีไร่ เป็นต้น ขวัญ กะเหรี่ยงเชื่อว่าตามร่างกายจะมีขวัญอยู่จำนวน 33 ขวัญ บางครั้งขวัญก็อาจออกจากร่างกายซึ่งถ้าช่วงไหนไม่มีขวัญคุ้มครองร่างกายก็จะทำให้เจ็บป่วย การรักษาก็จะจัดพิธีเรียกขวัญให้กลับคืนมาเข้าสู่ร่างกาย แต่ทว่าเมื่อขวัญสำคัญที่อยู่ที่หูทั้งสองข้างออกไปเที่ยวในโลกของคนตาย ก็จะทำให้คนที่เป็นเจ้าของร่างกายนั้นเสียชีวิต (หน้า 5) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
นิทานเทพเจ้าชื่อSwa มอบตัวอักษรให้กะเหรี่ยง กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วเทพเจ้าชื่อSwa เทพเจ้าและมนุษย์คนแรกของโลก มีลูกหลายคนกะเหรี่ยงเป็นลูกคนโต ส่วนลูกอีกหลายคนประกอบด้วยชาติพันธุ์ต่างๆและฝรั่งผิวขาว เมื่อเทพเจ้าได้มอบแผ่นตัวอักษรให้กับลูกๆทุกคนเมื่อได้รับแล้วกะเหรี่ยงก็ทำแผ่นตัวอักษรแตกเสียหายภายหลังจึงได้รับความทุกข์ยากระหกระเหินเป็นชนกลุ่มน้อยอยู่ตามประเทศต่างๆ ในนิทานได้บอกว่าฝรั่งจะเป็นผู้นำตัวอักษรมาให้กับกะเหรี่ยงเพื่อช่วยให้มีสภาพความเป็นอยู่ให้ดีกว่าเดิม ซึ่งตามความเชื่อนี้เมื่อในภายหลังคณะมิชชันนารีนำคัมภีร์ไบเบิลมาเผยแพร่ศาสนากับกะเหรี่ยงที่อยู่ประเทศพม่า ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นกะเหรี่ยงเชื่อว่าเป็นไปตามคำบอกเล่าในนิทาน (หน้า 3) ความเป็นมาของก็อดอาร์มี โดยมากนิทานของกะเหรี่ยงจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้ามอบพรวิเศษให้กะเหรี่ยงแต่มักจะมีสาเหตุที่ทำให้ไม่ได้รับพรนั้นจนต้องตกยาก นิทานส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเรื่องลูกกำพร้าตกยาก (หน้า 3) ถูกทอดทิ้งให้อยู่เพียงลำพังและมีคนรังคราญรบกวน ครั้นโตเป็นผู้ใหญ่ก็ใช้ปัญญาแก้ไขอุปสรรคจนประสบความสำเร็จกระทั่งได้รับชัยชนะในที่สุด สำหรับกลุ่มกะเหรี่ยงกู้ชาติอิสระ ”ก็อด อาร์มี ” หรือนักรบของพระเจ้าโดยมีคู่แฝด “ ลูเธอร์ ”กับ” จอห์นนี ” เป็นผู้นำ ซึ่งกะเหรี่ยงในกลุ่มนี้เชื่อว่าผู้นำทั้งสองคือ “อวตาร”ของพระเจ้า ซึ่งมาช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากบนโลก ผู้นำเด็กทั้งสองจึงมีความสามารถที่น่าอัศจรรย์ใจเช่น ปืนยังไม่เข้า เหยียบกับระเบิดก็ไม่เป็นอะไร หยั่งรู้อนาคต และอื่นๆ ซึ่งกองกำลังกลุ่มนี้เชื่อว่าผู้นำเด็กแฝดจะเป็นผู้นำให้กองกำลังของพวกเขามีชัยเหนือพม่าและสามารถตั้งอาณาจักรของตนเองได้ในที่สุด (หน้า 4) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
พฤติกรรมการเปิดรับสื่อ การศึกษาเรื่องพฤติกรรมการเปิดรับสื่อ ความต้องการใช้ประโยชน์จากสื่อและรูปแบบการดำเนินชีวิตของกะเหรี่ยงบ้านคา จังหวัดราชบุรี จากการเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสำรวจทั้ง 200 ชุด พบว่า ลักษณะกลุ่มตัวอย่าง กะเหรี่ยงที่ตอบแบบสอบถามจะมีอายุ 56 ปีขึ้นไปมีอาชีพทำไร่ นับถือศาสนาพุทธ มีรายได้ต่อเดือนระหว่าง 2,001-3,000 บาท ใช้ภาษาไทยมากที่สุดอยู่แบบครัวครัวขยายซึ่งประกอบด้วยพ่อแม่ลูก พ่อและลูกจะทำงานหาเงินมาเลี้ยงคนในบ้าน เป็นต้น (หน้า 161,162) รูปแบบการดำเนินชีวิต กะเหรี่ยงจะให้ความสำคัญกับการเข้าร่วมประชุมมากที่สุด(ค่าเฉลี่ย 3.29) ไปเป็นประจำ 57 % ไปเป็นครั้งคราวเป็นอันดับสอง 20 % และเข้าโบสถ์สวดพระคัมภีร์น้อยที่สุด (ค่าเฉลี่ย 2.26) หรือ 40% (หน้า 162-164) พฤติกรรมการเปิดรับสื่อ พบว่า กลุ่มตัวอย่างเปิดรับสื่อโทรทัศน์อยู่เป็นประจำ เปิดรับสื่อวิทยุบ่อยครั้ง การเปิดรับสื่อแต่ละชนิดจะใช้เวลา 3 ชั่วโมงขึ้นไปในแต่ละครั้ง ชอบเปิดรับละครโทรทัศน์ ฟังรายการธรรมะทางวิทยุ เป็นต้น (หน้า164-165) ความต้องการใช้ประโยชน์จากสื่อของกะเหรี่ยง พบว่ากะเหรี่ยงต้องการใช้ประโยชน์จากสื่ออยู่ในระดับสูงคือ ความต้องการความบันเทิงมีค่าเฉลี่ย 3.99 (สูงสุด = 5) ความต้องการข้อมูลข่าวสาร ค่าเฉลี่ย 3.85 ความต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นมีค่าเฉลี่ย 3.73 เป็นต้น (หน้า 165-166) ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่าสมมติฐานที่ 1 ลักษณะทางประชากรต่างกันมีรูปแบบการดำเนินชีวิตต่างกัน พบว่าส่วนมากไม่เป็นไปตามสมมติฐานคือลักษณะทางประชากรที่แตกต่างกัน มีรูปแบบการดำเนินชีวิตที่ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สมมติฐานที่ 2 รูปแบบการดำเนินชีวิตที่ต่างกัน มีพฤติกรรมการเปิดรับสื่อที่แตกต่างกันพบว่าส่วนมากไม่เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้คือรูปแบบการดำเนินชีวิตที่ต่างกัน มีพฤติกรรมการเปิดรับไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สมมติที่ 3 พฤติกรรมการเปิดรับสื่อที่แตกต่างกัน มีความต้องการใช้ประโยชน์จากสื่อแตกต่างกันพบว่าส่วนมากไม่เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้คือ พฤติกรรมการเปิดรับสื่อที่แตกต่างกัน มีความต้องการใช้ประโยชน์จากสื่อไม่แตกต่างกัน (หน้า 166-167) (หน้า48-160,161-170) |
|
Map/Illustration |
ตาราง
-
แสดงจำนวนและร้อยละของอายุของกลุ่มตัวอย่าง (หน้า 49)
-
อาชีพ(หน้า 50) ศาสนา(หน้า 50)
-
รายได้ของครอบครัว(หน้า 51)
-
ภาษาของกะเหรี่ยง (หน้า51)
-
รูปแบบครอบครัว(หน้า 52)
-
รูปแบบการหาเลี้ยงครอบครัว (หน้า 53)
-
รูปแบบการดำเนินชีวิต (หน้า 54)
-
ความถี่ที่เปิดดูโทรทัศน์ (หน้า 56)
-
ความถี่ที่เปิดฟังวิทยุ ,การพูดคุยกับบุคคลทั่วไป (หน้า 57)
-
ระยะเวลาในการเปิดดูโทรทัศน์,ฟังวิทยุ,พูดคุยกับคนทั่วไปแต่ละครั้ง (หน้า 58,59)
-
รายการที่เปิดดูทางโทรทัศน์,เปิดฟังทางวิทยุ (หน้า60)
-
หัวข้อที่ชอบพูดคุยกับบุคคลทั่วไป (หน้า 61)
-
ความต้องการใช้ประโยชน์จากสื่อด้านความต้องการข้อมูลข่าวสาร,ความต้องการการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น (หน้า 62)
-
ความต้องการด้านการใช้ประโยชน์จากสื่อด้านความบันเทิง, ด้านความต้องการสร้างเอกลักษณ์ให้กับตัวเอง (หน้า 63,64)
-
แสดงผลการทดสอบสมมติฐานย่อยที่1.1 - 3.36 โดยวิธี one-way ANOVA (หน้า 65-160)
|
|
|