สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ชนชาติไทย,ประวัติศาสตร์,ศิลปะ,โบราณคดีเขมร,การเปลี่ยนถ่ายทางวัฒนธรรม,ศิลปะ
Author กรณรงค์ เหรียนระวี
Title อำนาจขององค์ความรู้ในงานวาทกรรมทางประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีเขมรในประเทศไทย
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text -
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations ไม่ระบุ
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร 
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 174 Year 2545
Source คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
Abstract

เนื้อหาของเอกสารกล่าวถึงกระบวนการสร้างองค์ความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีเขมรในประเทศไทย ตั้งแต่คริสศตวรรษที่ 19 จนถึงปัจจุบัน ผ่านการถ่ายทอดของนักวิชาการสำนักฝรั่งเศสเป็นผู้รวบรวมองค์ความรู้ในด้านต่างๆ ทั้งลักษณะรายละเอียดของศิลปะเขมรที่เผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศไทย และการได้รับองค์ความรู้ต่างๆ จากตะวันตก เกิดเป็นการผสมผสานของวัฒนธรรมของตนเองในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงและปรับตัวของชนชาติไทยในการสร้างระบบรัฐไทย โดยอาศัยเครื่องมือทางประวัติศาสตร์ในแต่ละยุคในแต่ละสมัย ส่งผลให้สังคมไทยมีลักษณะเฉพาะของไทยเองมาจนถึงปัจจุบัน

Focus

เพื่อศึกษาอำนาจขององค์ความรู้ในงานวาทกรรมทางประวัติศาตร์ศิลปะและโบราณคดีเขมรในประเทศไทย และความเชื่อมโยงระหว่างองค์ความรู้กับโครงสร้างอำนาจในสังคมไทย เพื่ออธิบายความเป็นตัวตนของรัฐไทย (หน้า 11)

Theoretical Issues

ผู้ศึกษาใช้รวบรวมกรอบแนวคิดในการบันทึกประวัติศาสตร์ของไทย ที่ได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมต่างๆ รวมไปจนถึงอารยธรรมเขมร เพื่อแสดงออกถึงความเป็นอัตลักษณ์ของประวัติศาสตร์ ศิลปะของไทย ในแต่ละยุคแต่ละสมัยดังนี้ -สมัยสมบูรณาสิทธิราช ประเทศไทยได้มีการจดบันทึกองค์ความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี ตั้งแต่ ในช่วงปี พ.ศ. 2470 มีลักษณะรูปแบบการอธิบายอำนาจของสถาบันกษัตริย์ พิธีกรรมเพื่อส่งเสริมอำนาจของชั้นผู้ปกครอง เป็นหลัก (หน้า 50) -ก่อนรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2334-2411) งานเขียนยังคงมุ่งเน้นประโยชน์ทางศาสนา ความเชื่อ ความศรัทธา เพื่องส่งเสริมสถาบันกษัตริย์ ไม่สัมพันธ์กับการสร้างความรู้ อดีตสังคมไทย สื่อให้เห็นถึงกฎแห่งกรรม ทำให้อดีตมนุษย์กลายเป็นสิ่งไร้ความหมาย นอกจากประพฤติธรรม เพื่อหลุดพ้นทางธรรมเท่านั้น จึงเน้นการสร้างความสัมพันธ์ทางธรรมกับศาสนา -การเปลี่ยนแปลงระบบรัฐสยามจากรัฐราชาธิราช กลายมาสู่รัฐชาติแบบตะวันตก ในรัชสมัยรัชกาลที่ 4-5 ได้มีการสร้างกรอบแนวความคิดที่กว้างกว่าการนำเสนอเพียงภาคของผู้มีอำนาจ เกิดการสร้างเอกลักษณ์รวมชนกลุ่มต่างๆ ในสยามเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสร้างการรวมศูนย์อำนาจ โดยนำการจดบันทึกในรูปแบบการเล่าเรื่องจากความล้าหลังสู่ความก้าวหน้าทางอารยธรรม ที่เลือกใช้ประวัติศาสตร์ของชนชาติเป็นตัวประสาน โดยทำการแบ่งประวัติศาสตร์ออกเป็นยุค สมัย ตามชื่อของอาณาจักรในสมัยโบราณ อาทิ ทวาราวดี ศรีวิชัย ลพบุรี เชียงแสน สุโขทัย กรุงศรีอยุธยา รัตนโกสินทร์ (หน้า 56) และทำการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์สถานสำหรับพระนคร (พ.ศ. 2471) เพื่อรวบรวมกระบวนการสร้างความรู้ การจัดแบ่งหมวดหมู่ รูปแบบ ช่วงอายุ และสร้างความต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์ ผู้ที่มีบทบาทในการถ่ายทอดองค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์ของไทย อาทิ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ยอร์ช เซเดส์ หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ ได้ทำการบันทึกข้อมูลในรูปแบบของการเล่าเรื่องผ่านทาง จดหมายเหตุ หนังสือโบราณคดี หรือบันทึกประจำวัน ซึ่งเป็นการบอกเล่าที่มาที่ไปของประวัติศาสตร์ไทย รวมไปจนถึง แหล่งที่มาขององค์ความรู้โดยเฉพาะอารยธรรมเขมรที่ถึงประสานกันเข้าเป็นวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทยในแต่ละยุคแต่ละสมัย (หน้า 62-63) ภายใต้เค้าโครงและรูปแบบการอธิบาย ศิลปะเขมรในประเทศไทยถูกสื่อในชื่อ "ศิลปะสมัยลพบุรี" โดยศิลปะดังกล่าวได้รับอิทธิพลทั้งจากศิลปะสมัยก่อนกน้า เช่น ศิลปะทวาราวดี และศิลปะสมัยเดียวกัน คือ ศิลปะเขมรแท้ รวมถึงศิลปะศรีวิชัย และส่งต่อรูปแบบศิลปะของชาชาติไทย ที่เรียกว่าศิลปะอู่ทอง ในภาคกลาง ซึ่งกลายมาเป็นศิลปะของไทยในปัจจุบัน (หน้า 65) -ยุค 2475 ประวัติศาสตร์ได้ถูกสร้างให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐประชาชาติสมัยใหม่ (หน้า 62) ในปี พ.ศ. 2495 เป็นต้นมาได้มาการก่อตั้ง กองโบราณคดี กรมศิลปากร เพื่อขุดค้นโบราณสถาน โบราณคดีเพิ่มขึ้น ซึ่งได้รับการสนับสนุนตามนโยบายของรัฐไทย อีกทั้งเพื่อเป็นการสร้างวัฒนธรรมความเป็นไทยขึ้น ในยุคนี้การเรียกศิลปะ ม.จ.สุภัทรดิศ ใช้คำว่า "แบบ" (Styles) แทนคำว่า "สมัย" (Periods) เพื่อแสดงความสัมพันธ์ของรูปแบบทางศิลปะที่อยู่ในช่วงเวลาต่างๆกัน ดังเช่น "พุทธศิลปะในประเทศไทย" งานพระนิพนธ์ นี้ได้แบ่งหมวดหมู่ทางศิลปะออกเป็น 2 สมัย คือ สมัยก่อนชนชาติไทยเข้ามาปกครอง และหลัง โดยยังคงยึดรูปแบบของกรมพระยาดำรงราชานุภาพและยอร์ช เซเดส์ (หน้า 69-71) และได้ทำการถ่ายทอดสู่นักประวิตศาสตร์และนักโบราณคดีในสมัยต่อๆมา -ปี พ.ศ. 2531 เกิดเหตุการณ์ทวงทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์คืนจากสหรัฐอเมริกา ทำให้ประเทศไทยต้องทำการศึกษาศิลปะเขมรในประเทศไทยใหม่ โดยแบ่งงานเขียนออกเป็น 2 ส่วน คือ ทับหลังในประเทศไทยและ ปราสาทหินพนมรุ้ง ผลจากการรวบรวมข้อมูล รูปแบบทางศิลปะเขมรในประเทศไทยกับรูปแบบศิลปะเขมรในกัมพูชา มีลักษณะแปรผันกัน มีความคล้ายคลึงกัน การวิวัฒนาการของรูปแบบศิลปะเขมรในประเทศไทย เกิดจากการแพร่กระจายศิลปะผ่านสถานการณ์ทางการเมือง (หน้า 77-78) และทางด้านปราสาทเขาพนมรุ้ง ได้ทำการศึกษาทางเนื้อหารูปแบบทางศิลปะ (Iconography) และการศึกษาแบบลวดลายทางศิลปะ เป็นการอธิบายภาพรวมของอารยธรรมเขมร รูปแบบองค์ประกอบทางศิลปะสถาปัตยกรรมเขมรและประติมากรรม เนื้อหาของรูปภาพ (หน้า 78-81) นอกจากนี้เนื้อหายังกล่าวถึงการตั้งชุมชนในวัฒนธรรมร่วมแบบเขมร ซึ่งเปลี่ยนแปลงมาจากชุมชนในวัฒนธรรมทวารวดี พร้อมกับการปรับตัวขอุมชนตามสภาพแวดล้อมทางดินแดนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือกับภาคกลางของไทย กลายมาเป็นศิลปะร่วมแบบเขมรในประเทศไทย (หน้า 81) รูปแบบในการนำเสนอมุ่งเน้นสุขนาฎกรรม (Comedy) สอดคล้องกับประวัติศาสตร์ไทย ในการดำเนินเรื่องผ่านการเปลี่ยนแปลงของตัวละคร คือ รูปแบบศิลปะของชนชาติต่างๆ ที่เคยปกครองดินแดนในประเทศไทย จนกระทั่งถึงการสร้างตัวของรัฐของชนชาตไทยในปัจจุบัน บทความ งานเขียนของกรมศิลปากรมีรูปแบบการอธิบายทางวิชาการ คือ รูปลักษณ์ (Formist) ในการอธิบายรูปลักษณะทางศิลปะเพื่อจัดโครงอายุเวลาของโบราณสถาน โบราณวัตถุ จากนั้นจึงอธิบายบริบท (Contextualist) เพียงผูกติดอยู่กับรูปแบบการบันทึกเพื่ออธิบายบริบททางประวัติศาสตร์โบราณวัตถุว่าเป็นบริบทของอาณาจักร หรือการแพร่กระจายของวัฒนธรรมหรือบริบทของชุมชน อยู่ภายใต้กรอบโครงสร้างแบบสุขนาฎกรรม (หน้า 106) ผู้เสนอต่อมา คือ มานิต วัลลิโภดม และศรีศักร วัลลิโภดม สร้างผลงาน ภายหลังปี 2500 เป็นต้นมา โดยนำเสนอการเปลี่ยนแปลงกรอบความคิดและวิธีการทางด้านการสร้างความรู้ใหม่ๆ ซึ่งไม่พียงผูกติดอยู่กับรูปแบบการบันทึกอย่างเช่นในอดีตที่ยึดหลักฐานของฝรั่งเศสหันมาใช้วิธีการแบบอเมริกา (หน้า 108-110) โดยนำหลักโบราณคดีมาผสมผสานเข้ากับโบราณคดีเชิงมานุษยวิทยา (Anthropological Archaeology) มองวัฒนธรรมในระบบย่อย บุคคล โดยกล่าวว่าผลจากการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของกลุ่มชนซึ่งรับวัฒนธรรมเขมรที่แพร่กระจายจากเมืองพระนครของรัฐกัมพูชา ไม่ใช่เกิดจากการปกครองของรัฐกัมพูชาอย่างกรอบเดิมเพียงอย่างเดียว (หน้า 112) เน้นรูปแบบการอธิบายแบบกระบวนการ (Organicist) ภายใต้องค์ประกอบทางสภาพแวดล้อม การพัฒนาตนเอง รากเหง้าทางวัฒนธรรมและปรับทางการเมือง เพื่ออธิบายให้เห็นถึง ความสำคัญของชุมชน (หน้า 114) นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอการนำเสนอข้อมูลตามกรอบของเชื้อชาติ (Ethenics) ของพิริยะ ไกรฤกษ์ โดยจัดแบ่งรูปแบบศิลปะออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มมอญ เขมร ไทย และกลุ่มชนทางภาคใต้ โดยอธิบายถึงบริบทความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะกับกลุ่มชนชาติว่ามีความเหมาะสมในการกำหนดกรอบเค้าโครงรูปแบบศิลปะ (หน้า 120-121)

Ethnic Group in the Focus

ชนชาติไทย

Language and Linguistic Affiliations

ไม่ระบุ

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ในพื้นที่เอเชียบูรพาตั้งแต่ศตวรรษที่ 1860 เป็นต้นมา ฝรั่งเศสได้ขยายอำนาจและมีอิทธิพลต่อการรวบรวมข้อมูลของประเทศที่ตกเป็นอาณานิคมในภูมิภาคอินโดจีนอย่างสมบูรณ์ ผ่านทางสถาบันวิชาการสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพาทิศ โดยสร้างกรอบแนวความคิดทางด้านโบราณคดี ไว้ในแต่ละช่วงเวลาฝ่านงานเขียนของนักเขียนในพื้นที่ดังกล่าว (หน้า19-20) งานองค์ความรู้ด้านศิลปะโบราณสถานวัตถุเขมรในประเทศไทย เริ่มต้นในปี ค.ศ.1884-1885 (พ.ศ.2427-2428) ของเอเตียน อายโมนิเยร์ (Etienne Aymonier) ทำการสำรวจแหล่งโบราณสถานในกัมพูชา, ลาว, และสยามทำการบันทึกรายละเอียดของโบราณสถานวัตถุ สำรวจแผนผังแลพแผนที่ของบารณสถาน และพิมพ์เผยแพร่ในชื่อ Le Combodge : Provinces Siamoises ในปี ค.ศ. 1902 (พ.ศ.2445) และมีงานเสริมข้อมูลต่อจาก Le Cambodge ของพันตรี ลูเนต์ เดอลาชองกิแยร์ ภายใต้ชื่อ Inventaire Descriptif des Monument du Cambodge รายงานทางสำรวจด้านโบราณคดีของนักวิชาการฝรั่งเศส เป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการการสร้างคำอธิบายทางด้านโบราณคดีเขมร โดยการนำเสนอรูปแบบของภาษาซึ่งเป็นรหัส (Code) และนำเสนอในรูปแบบของความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรเขมรที่มีอิทธิพลในดินแดนอินโดจีน ซึ่งเป็นรูปแบบของการอธิบายแบบพาฝัน (Romance) ศิลปะเขมรของนักโบราณคดีสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพาทิศ กลายเป็นรูปแบบอธิบายหลักของสำนักฝรั่งเศสและนักวิชาการทางศิลปะจนถึงปัจจุบัน ในรูปลักษณะรูปลักษณะ (Formist) เป็นการอธิบายภาษาในเชิงเปรียบเทียบหรืออุปมา (Metaphore) ช่วงปลายทศวรรษที่ 1920 นักวิชาฝรั่งเศส ได้แก่ ฟิลลิปป์ แสตรน และ จิลแบรท์ เดอ โคราล เรมูสาท์ ได้วิวัฒนาการศิลปะเขมรโดยใช้วิธีการศึกษาเปรียบเทียบลวดลาย โดยอธิบายการจัดลำดับตามยุคสมัยทางศิลปกรรมเขมร แต่ยอร์ช เซเดย์ ทำการทดสอบการกำหนดอายุทางศิลปะเขมรโดยหลักฐานประเภทจารึก ทำให้เห็นภาพของศิลปะเขมรที่ชัดเจนขึ้น และด้วยงานขียนของกิลแบรท์ เดอ คอรัล เรมูสาท์ ได้อธิบายประวัติศาสตร์ และรายละเอียดของวิวัฒนาการทางศิลปะเขมรออกเป็นศิลปะสมัยต่างๆ พร้อมกับฮบิบายอง์ประกอบของศิลปะสถาปัตยกรรม อาทิ ทับหลัง เสากรอบประตู หน้าบัน ลวดลายประตู เป็นต้น โดยองค์ประกอบในแต่ละส่วนจะมีวิวัฒนาการของลวดลายทางศิลปะกรรมแตกต่างไปตามแต่ละลวดลาย และแต่ละยุคสมัย (หน้า 27-28) ช่วงทศวรรษที่ 1960-1970 ผลงานของนักวิชาการรุ่นต่อมา อาทิ ชอง ฟีล ลิโบซาต์, บรูน ดาแซงส์ หรือ ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล ได้อาศัยประวัติศาสตร์ศิลปะเขมรในประเทศกัมพูชาของสำนักฝรั่งเศสเป็นหลัก ตัวอย่างเนื้อหาของผลงานของชอง ฟีล ลิโบซาต์ จัดแบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลัก ส่วนที่ 1 กล่าวถึงสภาพภูมประเทศ ประวัติศาสตร์และศาสนาในประเทศไทย ส่วนที่ 2 อธิบายกรอบความคิด จุดมุ่งหมาย ความงามและปัจจัยทางวัตถุดิบด้านความคิดส่วนที่ 3 อธิบายถึงเทคนิคและวัตถุดิบในการสร้างรูปประตอมากรรม และส่วนที่ 4 อธิบายวิวัฒนาการของสกุลช่างศิลปประติมากรรมในประเทศไทย โดยนำเสนอตามช่วงเวลาเป็นสำคัญ (Chronicle)(หน้า 36-39) ภายหลังช่วงปี 1995 องค์ความรู้ของนักวิชาการฝรั่งเศสเปลี่ยนไปให้ความสนใจใกรอบทางวัฒนธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะงานของ โคลด์ ชัคส์ คือ Thailande: Vision de Capitales Royale du Siam (ค.ศ. 1998) เป็นการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างดินแดนไทยกับดินแดนกัมพูชาทั้งในด้านการเมืองและศิลปกรรม โดยใช้เค้าโครงประวัติศาสตร์ของกัมพูชาเป็นกรอบ โดยใช้ข้อมูลด้านลายลักษณ์อักษรและหลักฐานศิลปะโบราณสถานวัตถุ (หน้า 42-43) งานเขียนของนักวิชาการสำนักฝรั่งเศสรุ่นใหม่ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ งานเขียนกลุ่มนำเสนอการวิจัยทางโบราณคดีและงานเขียนเชิงเรียบเรียงประวัติศาสตร์ ที่ใช้ข้อมูลจากหลายด้าน ไม่ได้มองเพียงด้านโบราณคดีเพียงอย่างเดียว(หน้า 43,46) ต่อมาในไทยได้นำความรู้จากนักวิชาการฝรั่งเศสสร้างความต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์ของตน ในช่วงรัชกาลที่ 4 (ค.ศ. 1851-1868/พ.ศ.2334-2411) และรัชกาลที่ 5ได้เปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอวาทกรรมจากที่ยึดติดกับศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ที่อยู่เหนือกรอบของธรรมชาติ มาให้ความสำคัญกับรัฐหรือความเป็นรัฐราชาธิราช (หน้า50-51) ชนชั้นำสยามรับรู้และตระหนักถึงอำนาจขององค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีตะวันตก ชนชั้นนำจึงนำกรอบองค์ความรู้สมัยใหม่มาใช้ในการสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับอดีตของสยามเช่นเดียวกัน ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ก่อตั้งสยามสมาคมในพระบรมราชินูปถัมภ์ ในปี ค.ศ.1904 (พ.ศ.2447) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำการศึกษาทางวิชาการเกี่ยวกับประเทศไทยและภูมิภาคนี้ และในปี ค.ศ.1907 (พ.ศ.2450) ก่อตั้งโบราณคดีสโมสรเพื่อทำการศึกษาเรื่องราวโบราณต่างๆ (หน้า53) กรอบความรู้สามารถถ่ายทอดจากสังคมตะวันตกสู่กลุ่มชนชั้นนำสยามผ่านความร่วมมือระหว่างชนชั้นนำสยามกับลัทธิอาณานิคม อาทิ ความความร่วมระหว่างสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพกับยอร์ช เซเดส์ โดยประวัติศาสตร์ศิลปะแบบตะวันตกเป็นแม่บทของโบราณคดีไทย มีลักษณะด่นในการอธิบายว่าศิลปะในประเทศไทยมีกระบวนการวิวัฒนาการทางศิลปะอันยาวนาน มีเค้าโครงแบบสุขนาฎกรรม (Comedy) ผ่านขั้นตอนการสร้างศิลปะรูปแบบต่างๆของชนชาติต่างๆ ทั้งมอญ ขอม และไทย โดยผลที่สุดชนชาติไทยสามารถครอบครองดินแดนประเทศไทยไว้ได้ และสามารถสร้างสรรค์ศิลปะที่เป็นตัวตนของตนเองได้ในที่สุด โดยรับอิทธิพลศิลปะของชนชาติต่างๆ มาผสมผสานกับตนเอง (หน้า59) ภายหลังการปฎิวัติ 2479 ระบบรัฐ-ชาติจากะบบรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบบรัฐประชาธิปไตยสมัยใหม่ เค้าโครงผ่านงานของหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ และม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล ซึ่งนำเสนอกรอบความคิดของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ผสมผสานทั้งศาสตร์ (Science) และศิลปะ (Art) และได้วางรากฐานทางโบราณคดีในประเทศไทย และก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร ขึ้นในปี พ.ศ.2516 (หน้า 63-64,74) นักศึกษาที่ทำการศึกษาจากสถาบันดังกล่าวได้ให้ความสำคัญกับการศึกษาทับหลังเพิ่มมากขึ้น มีการแปลงความหมายและอธิบายในลักษณะของศิลปะร่วมสมัยมากขึ้น ในช่วงเวลาหลังปี พ.ศ.2500 เป็นต้นมา โครงการด้านโบราณคดีของกรมศิลปากร เปลี่ยนจากการศึกษาเพื่อเชิดชูวัฒนธรรมของชาติเพื่อความหมายทางวาทกรรมถึงความมีอารยะ (Civilized) ทางวัฒนธรรม จนถึงสมัยของจอมพลสฤษฎิ์ ธนะรัตน์ และสมัยของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เปลี่ยนเป้าหมายโดยเพิ่มการพัฒนาทางเศรษฐกิจสู่ความเป็นประเทศทันสมัย เพื่อส่งเสริมความเป็นรัฐชาติเพิ่มมากขึ้น และได้ก่อตั้งองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อใช้อำนาจของรัฐในการเข้าไปจัดการทรัพยากรศิลปโบราณสถานในพื้นที่ต่างๆของประเทศ (หน้า 87-88) นักวิชาการทางโบราณคดีของไทยได้แตกสาขาออกไป จากที่เคยยึดติดกับประวัติศาสตร์แบบรวมศูนย์ ก็ได้เปลี่ยนเป็นการนำเสนองานในแต่ละท้องถิ่นมากขึ้นและไม่ได้เรียงลำดับในรูปแบบเดิมของจอร์ส เซเดย์ อาทิ นามิต วัลลิโภดม เป็นผู้สำรวจโบราณสถานในภาคอีสาน ตอนล่าง (หน้า 89) นิคม มุสิกะคามะ ทั้งคู่ให้ความสัญกับการอธิบายในระดับจุลภาค (Micro) มากกว่า (หน้า 97) ซึ่งทศวรรษที่ 2530 เป็นต้นมา งานเขียนของนักวิชาการทางด้านโบราณคดีของกรมศิลปากรอธิบายเรื่องของศิลปะโบราณสถานกับบริบทของชุมชน บทความของเมธา วิจักขณะ อธิบายความสัมพันธ์ศาสนสถานกับชุมชนในแง่ประเด็นศูนย์กลางความเชื่อทางศาสนาของชุมชน (หน้า 100) ภายใต้การนำของศรีศักร วิลลิฌภดม กรอบแนวความคิดนำเสนอในเชิงมนุษยวิทยา เป็นการมองระบบวัฒนธรรมของกลุ่มชนในอดีตนำมาศึกษาเปรียบเทียบเพื่ออธิบายการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมพร้อมกับการสร้างกฎสากลในการอธิบายความรู้ โดยงานของศรีศักร วัลลิโภดม มุ่งเน้นการตีความในแง่สภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมของกลุ่มชนที่ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมเขมรมากกว่าเรื่องการเมืองของอาณาจักรเขมรในกระแสหลัก (หน้า 109-110) นอกจากนี้ยังมีอีกสาขาที่อธิบายองค์ความรู้แบบทวนกระแส ของพิริยะ ไกรฤกษ์ โดยปฏิเสธแนวคิดเรื่องรัฐอาณาจักรเป็นกรอบเค้าโครงหลัก ไม่มีความสัมพันธ์ในการอธิบายทางประวัติศาสตร์ศิลปะ แต่มีความสัมพันธ์ของเชื้อชาติ (Ethenics) ยึดรูปแบบของกลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมวิถีชีวิตและควมเชื่ออย่างเดียวกัน โดยจัดแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ 4 กลุ่ม ได้แก่ มอญ เขมร ไทย และกลุ่มชนทางภาคใต้ (หน้า 121)

Settlement Pattern

ไม่ระบุ

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

ไม่มีข้อมูล

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

ไม่มีข้อมูล

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มีข้อมูล

Map/Illustration

ไม่มี

Text Analyst เมธีรา ฤกษดายุทธ์ Date of Report 06 มิ.ย 2564
TAG ชนชาติไทย, ประวัติศาสตร์, ศิลปะ, โบราณคดีเขมร, การเปลี่ยนถ่ายทางวัฒนธรรม, ศิลปะ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง