|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ชนชาติไทย,ประวัติศาสตร์,ศิลปะ,โบราณคดีเขมร,การเปลี่ยนถ่ายทางวัฒนธรรม,ศิลปะ |
Author |
กรณรงค์ เหรียนระวี |
Title |
อำนาจขององค์ความรู้ในงานวาทกรรมทางประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีเขมรในประเทศไทย |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
-
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
174 |
Year |
2545 |
Source |
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
Abstract |
เนื้อหาของเอกสารกล่าวถึงกระบวนการสร้างองค์ความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีเขมรในประเทศไทย ตั้งแต่คริสศตวรรษที่ 19 จนถึงปัจจุบัน ผ่านการถ่ายทอดของนักวิชาการสำนักฝรั่งเศสเป็นผู้รวบรวมองค์ความรู้ในด้านต่างๆ ทั้งลักษณะรายละเอียดของศิลปะเขมรที่เผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศไทย และการได้รับองค์ความรู้ต่างๆ จากตะวันตก เกิดเป็นการผสมผสานของวัฒนธรรมของตนเองในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงและปรับตัวของชนชาติไทยในการสร้างระบบรัฐไทย โดยอาศัยเครื่องมือทางประวัติศาสตร์ในแต่ละยุคในแต่ละสมัย ส่งผลให้สังคมไทยมีลักษณะเฉพาะของไทยเองมาจนถึงปัจจุบัน |
|
Focus |
เพื่อศึกษาอำนาจขององค์ความรู้ในงานวาทกรรมทางประวัติศาตร์ศิลปะและโบราณคดีเขมรในประเทศไทย และความเชื่อมโยงระหว่างองค์ความรู้กับโครงสร้างอำนาจในสังคมไทย เพื่ออธิบายความเป็นตัวตนของรัฐไทย (หน้า 11) |
|
Theoretical Issues |
ผู้ศึกษาใช้รวบรวมกรอบแนวคิดในการบันทึกประวัติศาสตร์ของไทย ที่ได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมต่างๆ รวมไปจนถึงอารยธรรมเขมร เพื่อแสดงออกถึงความเป็นอัตลักษณ์ของประวัติศาสตร์ ศิลปะของไทย ในแต่ละยุคแต่ละสมัยดังนี้ -สมัยสมบูรณาสิทธิราช ประเทศไทยได้มีการจดบันทึกองค์ความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี ตั้งแต่ ในช่วงปี พ.ศ. 2470 มีลักษณะรูปแบบการอธิบายอำนาจของสถาบันกษัตริย์ พิธีกรรมเพื่อส่งเสริมอำนาจของชั้นผู้ปกครอง เป็นหลัก (หน้า 50) -ก่อนรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2334-2411) งานเขียนยังคงมุ่งเน้นประโยชน์ทางศาสนา ความเชื่อ ความศรัทธา เพื่องส่งเสริมสถาบันกษัตริย์ ไม่สัมพันธ์กับการสร้างความรู้ อดีตสังคมไทย สื่อให้เห็นถึงกฎแห่งกรรม ทำให้อดีตมนุษย์กลายเป็นสิ่งไร้ความหมาย นอกจากประพฤติธรรม เพื่อหลุดพ้นทางธรรมเท่านั้น จึงเน้นการสร้างความสัมพันธ์ทางธรรมกับศาสนา -การเปลี่ยนแปลงระบบรัฐสยามจากรัฐราชาธิราช กลายมาสู่รัฐชาติแบบตะวันตก ในรัชสมัยรัชกาลที่ 4-5 ได้มีการสร้างกรอบแนวความคิดที่กว้างกว่าการนำเสนอเพียงภาคของผู้มีอำนาจ เกิดการสร้างเอกลักษณ์รวมชนกลุ่มต่างๆ ในสยามเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสร้างการรวมศูนย์อำนาจ โดยนำการจดบันทึกในรูปแบบการเล่าเรื่องจากความล้าหลังสู่ความก้าวหน้าทางอารยธรรม ที่เลือกใช้ประวัติศาสตร์ของชนชาติเป็นตัวประสาน โดยทำการแบ่งประวัติศาสตร์ออกเป็นยุค สมัย ตามชื่อของอาณาจักรในสมัยโบราณ อาทิ ทวาราวดี ศรีวิชัย ลพบุรี เชียงแสน สุโขทัย กรุงศรีอยุธยา รัตนโกสินทร์ (หน้า 56) และทำการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์สถานสำหรับพระนคร (พ.ศ. 2471) เพื่อรวบรวมกระบวนการสร้างความรู้ การจัดแบ่งหมวดหมู่ รูปแบบ ช่วงอายุ และสร้างความต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์ ผู้ที่มีบทบาทในการถ่ายทอดองค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์ของไทย อาทิ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ยอร์ช เซเดส์ หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ ได้ทำการบันทึกข้อมูลในรูปแบบของการเล่าเรื่องผ่านทาง จดหมายเหตุ หนังสือโบราณคดี หรือบันทึกประจำวัน ซึ่งเป็นการบอกเล่าที่มาที่ไปของประวัติศาสตร์ไทย รวมไปจนถึง แหล่งที่มาขององค์ความรู้โดยเฉพาะอารยธรรมเขมรที่ถึงประสานกันเข้าเป็นวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทยในแต่ละยุคแต่ละสมัย (หน้า 62-63) ภายใต้เค้าโครงและรูปแบบการอธิบาย ศิลปะเขมรในประเทศไทยถูกสื่อในชื่อ "ศิลปะสมัยลพบุรี" โดยศิลปะดังกล่าวได้รับอิทธิพลทั้งจากศิลปะสมัยก่อนกน้า เช่น ศิลปะทวาราวดี และศิลปะสมัยเดียวกัน คือ ศิลปะเขมรแท้ รวมถึงศิลปะศรีวิชัย และส่งต่อรูปแบบศิลปะของชาชาติไทย ที่เรียกว่าศิลปะอู่ทอง ในภาคกลาง ซึ่งกลายมาเป็นศิลปะของไทยในปัจจุบัน (หน้า 65) -ยุค 2475 ประวัติศาสตร์ได้ถูกสร้างให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐประชาชาติสมัยใหม่ (หน้า 62) ในปี พ.ศ. 2495 เป็นต้นมาได้มาการก่อตั้ง กองโบราณคดี กรมศิลปากร เพื่อขุดค้นโบราณสถาน โบราณคดีเพิ่มขึ้น ซึ่งได้รับการสนับสนุนตามนโยบายของรัฐไทย อีกทั้งเพื่อเป็นการสร้างวัฒนธรรมความเป็นไทยขึ้น ในยุคนี้การเรียกศิลปะ ม.จ.สุภัทรดิศ ใช้คำว่า "แบบ" (Styles) แทนคำว่า "สมัย" (Periods) เพื่อแสดงความสัมพันธ์ของรูปแบบทางศิลปะที่อยู่ในช่วงเวลาต่างๆกัน ดังเช่น "พุทธศิลปะในประเทศไทย" งานพระนิพนธ์ นี้ได้แบ่งหมวดหมู่ทางศิลปะออกเป็น 2 สมัย คือ สมัยก่อนชนชาติไทยเข้ามาปกครอง และหลัง โดยยังคงยึดรูปแบบของกรมพระยาดำรงราชานุภาพและยอร์ช เซเดส์ (หน้า 69-71) และได้ทำการถ่ายทอดสู่นักประวิตศาสตร์และนักโบราณคดีในสมัยต่อๆมา -ปี พ.ศ. 2531 เกิดเหตุการณ์ทวงทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์คืนจากสหรัฐอเมริกา ทำให้ประเทศไทยต้องทำการศึกษาศิลปะเขมรในประเทศไทยใหม่ โดยแบ่งงานเขียนออกเป็น 2 ส่วน คือ ทับหลังในประเทศไทยและ ปราสาทหินพนมรุ้ง ผลจากการรวบรวมข้อมูล รูปแบบทางศิลปะเขมรในประเทศไทยกับรูปแบบศิลปะเขมรในกัมพูชา มีลักษณะแปรผันกัน มีความคล้ายคลึงกัน การวิวัฒนาการของรูปแบบศิลปะเขมรในประเทศไทย เกิดจากการแพร่กระจายศิลปะผ่านสถานการณ์ทางการเมือง (หน้า 77-78) และทางด้านปราสาทเขาพนมรุ้ง ได้ทำการศึกษาทางเนื้อหารูปแบบทางศิลปะ (Iconography) และการศึกษาแบบลวดลายทางศิลปะ เป็นการอธิบายภาพรวมของอารยธรรมเขมร รูปแบบองค์ประกอบทางศิลปะสถาปัตยกรรมเขมรและประติมากรรม เนื้อหาของรูปภาพ (หน้า 78-81) นอกจากนี้เนื้อหายังกล่าวถึงการตั้งชุมชนในวัฒนธรรมร่วมแบบเขมร ซึ่งเปลี่ยนแปลงมาจากชุมชนในวัฒนธรรมทวารวดี พร้อมกับการปรับตัวขอุมชนตามสภาพแวดล้อมทางดินแดนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือกับภาคกลางของไทย กลายมาเป็นศิลปะร่วมแบบเขมรในประเทศไทย (หน้า 81) รูปแบบในการนำเสนอมุ่งเน้นสุขนาฎกรรม (Comedy) สอดคล้องกับประวัติศาสตร์ไทย ในการดำเนินเรื่องผ่านการเปลี่ยนแปลงของตัวละคร คือ รูปแบบศิลปะของชนชาติต่างๆ ที่เคยปกครองดินแดนในประเทศไทย จนกระทั่งถึงการสร้างตัวของรัฐของชนชาตไทยในปัจจุบัน บทความ งานเขียนของกรมศิลปากรมีรูปแบบการอธิบายทางวิชาการ คือ รูปลักษณ์ (Formist) ในการอธิบายรูปลักษณะทางศิลปะเพื่อจัดโครงอายุเวลาของโบราณสถาน โบราณวัตถุ จากนั้นจึงอธิบายบริบท (Contextualist) เพียงผูกติดอยู่กับรูปแบบการบันทึกเพื่ออธิบายบริบททางประวัติศาสตร์โบราณวัตถุว่าเป็นบริบทของอาณาจักร หรือการแพร่กระจายของวัฒนธรรมหรือบริบทของชุมชน อยู่ภายใต้กรอบโครงสร้างแบบสุขนาฎกรรม (หน้า 106) ผู้เสนอต่อมา คือ มานิต วัลลิโภดม และศรีศักร วัลลิโภดม สร้างผลงาน ภายหลังปี 2500 เป็นต้นมา โดยนำเสนอการเปลี่ยนแปลงกรอบความคิดและวิธีการทางด้านการสร้างความรู้ใหม่ๆ ซึ่งไม่พียงผูกติดอยู่กับรูปแบบการบันทึกอย่างเช่นในอดีตที่ยึดหลักฐานของฝรั่งเศสหันมาใช้วิธีการแบบอเมริกา (หน้า 108-110) โดยนำหลักโบราณคดีมาผสมผสานเข้ากับโบราณคดีเชิงมานุษยวิทยา (Anthropological Archaeology) มองวัฒนธรรมในระบบย่อย บุคคล โดยกล่าวว่าผลจากการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของกลุ่มชนซึ่งรับวัฒนธรรมเขมรที่แพร่กระจายจากเมืองพระนครของรัฐกัมพูชา ไม่ใช่เกิดจากการปกครองของรัฐกัมพูชาอย่างกรอบเดิมเพียงอย่างเดียว (หน้า 112) เน้นรูปแบบการอธิบายแบบกระบวนการ (Organicist) ภายใต้องค์ประกอบทางสภาพแวดล้อม การพัฒนาตนเอง รากเหง้าทางวัฒนธรรมและปรับทางการเมือง เพื่ออธิบายให้เห็นถึง ความสำคัญของชุมชน (หน้า 114) นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอการนำเสนอข้อมูลตามกรอบของเชื้อชาติ (Ethenics) ของพิริยะ ไกรฤกษ์ โดยจัดแบ่งรูปแบบศิลปะออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มมอญ เขมร ไทย และกลุ่มชนทางภาคใต้ โดยอธิบายถึงบริบทความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะกับกลุ่มชนชาติว่ามีความเหมาะสมในการกำหนดกรอบเค้าโครงรูปแบบศิลปะ (หน้า 120-121) |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ในพื้นที่เอเชียบูรพาตั้งแต่ศตวรรษที่ 1860 เป็นต้นมา ฝรั่งเศสได้ขยายอำนาจและมีอิทธิพลต่อการรวบรวมข้อมูลของประเทศที่ตกเป็นอาณานิคมในภูมิภาคอินโดจีนอย่างสมบูรณ์ ผ่านทางสถาบันวิชาการสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพาทิศ โดยสร้างกรอบแนวความคิดทางด้านโบราณคดี ไว้ในแต่ละช่วงเวลาฝ่านงานเขียนของนักเขียนในพื้นที่ดังกล่าว (หน้า19-20) งานองค์ความรู้ด้านศิลปะโบราณสถานวัตถุเขมรในประเทศไทย เริ่มต้นในปี ค.ศ.1884-1885 (พ.ศ.2427-2428) ของเอเตียน อายโมนิเยร์ (Etienne Aymonier) ทำการสำรวจแหล่งโบราณสถานในกัมพูชา, ลาว, และสยามทำการบันทึกรายละเอียดของโบราณสถานวัตถุ สำรวจแผนผังแลพแผนที่ของบารณสถาน และพิมพ์เผยแพร่ในชื่อ Le Combodge : Provinces Siamoises ในปี ค.ศ. 1902 (พ.ศ.2445) และมีงานเสริมข้อมูลต่อจาก Le Cambodge ของพันตรี ลูเนต์ เดอลาชองกิแยร์ ภายใต้ชื่อ Inventaire Descriptif des Monument du Cambodge รายงานทางสำรวจด้านโบราณคดีของนักวิชาการฝรั่งเศส เป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการการสร้างคำอธิบายทางด้านโบราณคดีเขมร โดยการนำเสนอรูปแบบของภาษาซึ่งเป็นรหัส (Code) และนำเสนอในรูปแบบของความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรเขมรที่มีอิทธิพลในดินแดนอินโดจีน ซึ่งเป็นรูปแบบของการอธิบายแบบพาฝัน (Romance) ศิลปะเขมรของนักโบราณคดีสำนักฝรั่งเศสแห่งปลายบูรพาทิศ กลายเป็นรูปแบบอธิบายหลักของสำนักฝรั่งเศสและนักวิชาการทางศิลปะจนถึงปัจจุบัน ในรูปลักษณะรูปลักษณะ (Formist) เป็นการอธิบายภาษาในเชิงเปรียบเทียบหรืออุปมา (Metaphore) ช่วงปลายทศวรรษที่ 1920 นักวิชาฝรั่งเศส ได้แก่ ฟิลลิปป์ แสตรน และ จิลแบรท์ เดอ โคราล เรมูสาท์ ได้วิวัฒนาการศิลปะเขมรโดยใช้วิธีการศึกษาเปรียบเทียบลวดลาย โดยอธิบายการจัดลำดับตามยุคสมัยทางศิลปกรรมเขมร แต่ยอร์ช เซเดย์ ทำการทดสอบการกำหนดอายุทางศิลปะเขมรโดยหลักฐานประเภทจารึก ทำให้เห็นภาพของศิลปะเขมรที่ชัดเจนขึ้น และด้วยงานขียนของกิลแบรท์ เดอ คอรัล เรมูสาท์ ได้อธิบายประวัติศาสตร์ และรายละเอียดของวิวัฒนาการทางศิลปะเขมรออกเป็นศิลปะสมัยต่างๆ พร้อมกับฮบิบายอง์ประกอบของศิลปะสถาปัตยกรรม อาทิ ทับหลัง เสากรอบประตู หน้าบัน ลวดลายประตู เป็นต้น โดยองค์ประกอบในแต่ละส่วนจะมีวิวัฒนาการของลวดลายทางศิลปะกรรมแตกต่างไปตามแต่ละลวดลาย และแต่ละยุคสมัย (หน้า 27-28) ช่วงทศวรรษที่ 1960-1970 ผลงานของนักวิชาการรุ่นต่อมา อาทิ ชอง ฟีล ลิโบซาต์, บรูน ดาแซงส์ หรือ ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล ได้อาศัยประวัติศาสตร์ศิลปะเขมรในประเทศกัมพูชาของสำนักฝรั่งเศสเป็นหลัก ตัวอย่างเนื้อหาของผลงานของชอง ฟีล ลิโบซาต์ จัดแบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลัก ส่วนที่ 1 กล่าวถึงสภาพภูมประเทศ ประวัติศาสตร์และศาสนาในประเทศไทย ส่วนที่ 2 อธิบายกรอบความคิด จุดมุ่งหมาย ความงามและปัจจัยทางวัตถุดิบด้านความคิดส่วนที่ 3 อธิบายถึงเทคนิคและวัตถุดิบในการสร้างรูปประตอมากรรม และส่วนที่ 4 อธิบายวิวัฒนาการของสกุลช่างศิลปประติมากรรมในประเทศไทย โดยนำเสนอตามช่วงเวลาเป็นสำคัญ (Chronicle)(หน้า 36-39) ภายหลังช่วงปี 1995 องค์ความรู้ของนักวิชาการฝรั่งเศสเปลี่ยนไปให้ความสนใจใกรอบทางวัฒนธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะงานของ โคลด์ ชัคส์ คือ Thailande: Vision de Capitales Royale du Siam (ค.ศ. 1998) เป็นการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างดินแดนไทยกับดินแดนกัมพูชาทั้งในด้านการเมืองและศิลปกรรม โดยใช้เค้าโครงประวัติศาสตร์ของกัมพูชาเป็นกรอบ โดยใช้ข้อมูลด้านลายลักษณ์อักษรและหลักฐานศิลปะโบราณสถานวัตถุ (หน้า 42-43) งานเขียนของนักวิชาการสำนักฝรั่งเศสรุ่นใหม่ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ งานเขียนกลุ่มนำเสนอการวิจัยทางโบราณคดีและงานเขียนเชิงเรียบเรียงประวัติศาสตร์ ที่ใช้ข้อมูลจากหลายด้าน ไม่ได้มองเพียงด้านโบราณคดีเพียงอย่างเดียว(หน้า 43,46) ต่อมาในไทยได้นำความรู้จากนักวิชาการฝรั่งเศสสร้างความต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์ของตน ในช่วงรัชกาลที่ 4 (ค.ศ. 1851-1868/พ.ศ.2334-2411) และรัชกาลที่ 5ได้เปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอวาทกรรมจากที่ยึดติดกับศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ที่อยู่เหนือกรอบของธรรมชาติ มาให้ความสำคัญกับรัฐหรือความเป็นรัฐราชาธิราช (หน้า50-51) ชนชั้นำสยามรับรู้และตระหนักถึงอำนาจขององค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดีตะวันตก ชนชั้นนำจึงนำกรอบองค์ความรู้สมัยใหม่มาใช้ในการสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับอดีตของสยามเช่นเดียวกัน ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ก่อตั้งสยามสมาคมในพระบรมราชินูปถัมภ์ ในปี ค.ศ.1904 (พ.ศ.2447) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำการศึกษาทางวิชาการเกี่ยวกับประเทศไทยและภูมิภาคนี้ และในปี ค.ศ.1907 (พ.ศ.2450) ก่อตั้งโบราณคดีสโมสรเพื่อทำการศึกษาเรื่องราวโบราณต่างๆ (หน้า53) กรอบความรู้สามารถถ่ายทอดจากสังคมตะวันตกสู่กลุ่มชนชั้นนำสยามผ่านความร่วมมือระหว่างชนชั้นนำสยามกับลัทธิอาณานิคม อาทิ ความความร่วมระหว่างสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพกับยอร์ช เซเดส์ โดยประวัติศาสตร์ศิลปะแบบตะวันตกเป็นแม่บทของโบราณคดีไทย มีลักษณะด่นในการอธิบายว่าศิลปะในประเทศไทยมีกระบวนการวิวัฒนาการทางศิลปะอันยาวนาน มีเค้าโครงแบบสุขนาฎกรรม (Comedy) ผ่านขั้นตอนการสร้างศิลปะรูปแบบต่างๆของชนชาติต่างๆ ทั้งมอญ ขอม และไทย โดยผลที่สุดชนชาติไทยสามารถครอบครองดินแดนประเทศไทยไว้ได้ และสามารถสร้างสรรค์ศิลปะที่เป็นตัวตนของตนเองได้ในที่สุด โดยรับอิทธิพลศิลปะของชนชาติต่างๆ มาผสมผสานกับตนเอง (หน้า59) ภายหลังการปฎิวัติ 2479 ระบบรัฐ-ชาติจากะบบรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบบรัฐประชาธิปไตยสมัยใหม่ เค้าโครงผ่านงานของหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ และม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล ซึ่งนำเสนอกรอบความคิดของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ผสมผสานทั้งศาสตร์ (Science) และศิลปะ (Art) และได้วางรากฐานทางโบราณคดีในประเทศไทย และก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร ขึ้นในปี พ.ศ.2516 (หน้า 63-64,74) นักศึกษาที่ทำการศึกษาจากสถาบันดังกล่าวได้ให้ความสำคัญกับการศึกษาทับหลังเพิ่มมากขึ้น มีการแปลงความหมายและอธิบายในลักษณะของศิลปะร่วมสมัยมากขึ้น ในช่วงเวลาหลังปี พ.ศ.2500 เป็นต้นมา โครงการด้านโบราณคดีของกรมศิลปากร เปลี่ยนจากการศึกษาเพื่อเชิดชูวัฒนธรรมของชาติเพื่อความหมายทางวาทกรรมถึงความมีอารยะ (Civilized) ทางวัฒนธรรม จนถึงสมัยของจอมพลสฤษฎิ์ ธนะรัตน์ และสมัยของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เปลี่ยนเป้าหมายโดยเพิ่มการพัฒนาทางเศรษฐกิจสู่ความเป็นประเทศทันสมัย เพื่อส่งเสริมความเป็นรัฐชาติเพิ่มมากขึ้น และได้ก่อตั้งองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อใช้อำนาจของรัฐในการเข้าไปจัดการทรัพยากรศิลปโบราณสถานในพื้นที่ต่างๆของประเทศ (หน้า 87-88) นักวิชาการทางโบราณคดีของไทยได้แตกสาขาออกไป จากที่เคยยึดติดกับประวัติศาสตร์แบบรวมศูนย์ ก็ได้เปลี่ยนเป็นการนำเสนองานในแต่ละท้องถิ่นมากขึ้นและไม่ได้เรียงลำดับในรูปแบบเดิมของจอร์ส เซเดย์ อาทิ นามิต วัลลิโภดม เป็นผู้สำรวจโบราณสถานในภาคอีสาน ตอนล่าง (หน้า 89) นิคม มุสิกะคามะ ทั้งคู่ให้ความสัญกับการอธิบายในระดับจุลภาค (Micro) มากกว่า (หน้า 97) ซึ่งทศวรรษที่ 2530 เป็นต้นมา งานเขียนของนักวิชาการทางด้านโบราณคดีของกรมศิลปากรอธิบายเรื่องของศิลปะโบราณสถานกับบริบทของชุมชน บทความของเมธา วิจักขณะ อธิบายความสัมพันธ์ศาสนสถานกับชุมชนในแง่ประเด็นศูนย์กลางความเชื่อทางศาสนาของชุมชน (หน้า 100) ภายใต้การนำของศรีศักร วิลลิฌภดม กรอบแนวความคิดนำเสนอในเชิงมนุษยวิทยา เป็นการมองระบบวัฒนธรรมของกลุ่มชนในอดีตนำมาศึกษาเปรียบเทียบเพื่ออธิบายการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมพร้อมกับการสร้างกฎสากลในการอธิบายความรู้ โดยงานของศรีศักร วัลลิโภดม มุ่งเน้นการตีความในแง่สภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมของกลุ่มชนที่ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมเขมรมากกว่าเรื่องการเมืองของอาณาจักรเขมรในกระแสหลัก (หน้า 109-110) นอกจากนี้ยังมีอีกสาขาที่อธิบายองค์ความรู้แบบทวนกระแส ของพิริยะ ไกรฤกษ์ โดยปฏิเสธแนวคิดเรื่องรัฐอาณาจักรเป็นกรอบเค้าโครงหลัก ไม่มีความสัมพันธ์ในการอธิบายทางประวัติศาสตร์ศิลปะ แต่มีความสัมพันธ์ของเชื้อชาติ (Ethenics) ยึดรูปแบบของกลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมวิถีชีวิตและควมเชื่ออย่างเดียวกัน โดยจัดแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ 4 กลุ่ม ได้แก่ มอญ เขมร ไทย และกลุ่มชนทางภาคใต้ (หน้า 121) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|