|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลีซู,เพศ,ความไม่เท่าเทียม,ผู้หญิง,เศรษฐกิจ,สังคม,เชียงราย |
Author |
Otome Klein Hutheesing |
Title |
Emerging Sexual Inequality among the Lisu of Northern Thailand : the Waning of dog and Elephant Repute |
Document Type |
หนังสือ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
ลีซู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
185 |
Year |
2533 |
Source |
The Netherlands : E.J. Brill |
Abstract |
หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมกันทางเพศในสังคมลีซูที่ผู้เขียนได้เข้าไปอยู่และศึกษาหมู่บ้านลีซูแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงรายตั้งแต่ ค.ศ. 1982-1986 เป็นการนำเสนอ จากการมองของคนในและจากคนที่อยู่ข้างใต้ (the inferior) และวิเคราะห์ความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ ผ่านความคิดเรื่องพื้นที่หญิง-ชายของลีซู ซึ่งมีหลักการพื้นฐานอยู่ที่สภาวะความเป็นคู่แบบหยิน-หยางในลัทธิเต๋า เช่น ตะวันออก-ตะวันตก ซ้าย-ขวา ข้างบน-ข้างล่าง นอกจากนั้นหลักความคิดเรื่องความเป็นคู่ยังนำไปใช้ในขนบประเพณี ที่สำคัญ ได้แก่ ความกล้า-ความอาย(boldness-shyness dichotomy) ของผู้หญิงและผู้ชาย ผู้หญิงต้องมีความอายและสงบเสงี่ยมแบบช้าง ผู้ชายต้องกล้าแบบสุนัข ความคิดนี้ก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันทางเพศตามแนวคิดตะวันตก ซึ่งผู้หญิงลีซูไม่ได้มองว่าตนอยู่ใต้อำนาจ |
|
Focus |
นำเสนอความไม่เท่าเทียมกันระหว่างเพศหญิงเพศชายในสังคมลีซู จังหวัดเชียงราย ทั้งนี้ผู้เขียนเห็นว่า ในระบบความคิดของลีซู ความแตกต่างทางเพศสภาวะประการแรกอยู่ที่กิจกรรมเป็นสำคัญ ได้แก่ สิ่งที่แต่ละเพศสามารถกระทำได้หรืออาจจะทำ และประการที่สอง ความแตกต่างนั้นอาจจะแสดงออกมาเป็นเกณฑ์ต่างๆ ในการเปรียบเทียบ เช่น เข้มแข็งหรืออ่อนแอ ละเอียดกับหยาบ ข้างบนกับข้างล่างและมากหรือน้อย(น.88) |
|
Ethnic Group in the Focus |
หมู่บ้านลีซู ชื่อ See-the –Tiger ที่จังหวัดเชียงราย (น.11,13) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาพูดของลีซูจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับพวกโลโล(the Lolo) คือ ตระกูลทิเบต-พม่า(the Tibeto-Burman language group) (น.31) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระหว่าง ค.ศ.1982-1986 (น.5) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติลีซู ผู้เขียนกล่าวถึงความเป็นมาของลีซูว่า ต้นกำเนิดที่แท้จริงของลีซูยังไม่ชัดเจน แต่ก็เชื่อกันว่า ลีซูอพยพมาจากเทือกเขาหิมาลัยในทิเบตตะวันออก (น.31) ลีซูพูดภาษาในตระกูลเดียวกับโลโล(the Lolo) อีกทั้งยังมีขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อเหมือนกับโลโลด้วย ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าบ่งชี้ถึงความใกล้ชิดกันเชิงพื้นที่ของลีซูกับโลโล ดังมีรายงานบางชิ้นระบุว่า โลโลอยู่ในตะวันตกเฉียงเหนือของยูนนาน ลีซูอยู่ในบริเวณทางเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของยูนนาน (น.32) แต่อย่างไรก็ตาม มีรายงานอื่นๆกล่าวว่า ถิ่นที่อยู่ใหญ่ของลีซูอยู่ที่ต้นแม่น้ำสาละวินเข้าไปทางตะวันตกในแม่น้ำ Nmai Hka ซึ่งเป็นสาขาตะวันออกของแม่น้ำอิระวดี จากที่นั่นลีซูได้อพยพลงไปทางใต้เข้าสู่ภูเขาคะฉิ่น(the Kachin hill) และเคลื่อนย้ายลงใต้เข้าสู่ประเทศไทย อยู่กระจายกันตามพรมแดนพม่าจนถึงทุกวันนี้ (น.33) จากความใกล้ชิดของลีซูกับโลโล ซึ่งจีนเรียกโลโลว่า “manshu”-คนป่าทางใต้(Southern Babarians) ผู้เขียนเห็นว่าอาจจะมองได้ว่า ลีซูเป็นส่วนหนึ่งของรัฐโลโลหรืออาณาจักรน่านเจ้า(ค.ศ.751-1253) ซึ่งปัจจุบันเชื่อว่าเป็นพวก “the Black and White Man” ต่อมาหลังจากการบุกรุกของมองโกลใน ค.ศ.1280 และการล่มสลายของอาณาจักรน่านเจ้า เอกสารที่เกี่ยวกับ”คนป่า”ของยูนนานก็มีเพียง 2-3 ชิ้น จนกระทั่งคริสตศตวรรษที่ 19 และ 20 ได้ปรากฏบันทึกรายงานความพยายามสงบศึกของจีนฮั่นกับโลโล มีการกล่าวถึง Black Yi (ซึ่งเป็นคำเรียกใหม่ที่ใช้แทนคำ Man) และ White Yi และบางครั้งก็เรียกกลุ่ม Black Yi ว่า “Lesu” หรือ “Losu” อย่างไรก็ตาม ลีซู(the Lisu)ก็ถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่แยกออกมาเนื่องจากธรรมเนียมประเพณีแตกต่างจาก Black Yi (น.33) ผู้เขียนเห็นว่า ยังมีความสับสนในการกำหนดชาติพันธุ์อยู่ ในบันทึกบางชิ้นก็เรียกคนโลโล ว่า “Lissou” บ้าง “the Leesaw” บ้างหรือ “Leisu” บ้าง(น.34) |
|
Settlement Pattern |
ลีซูเรียกหมู่บ้านว่า ”tya1-gua3” หมายถึง ที่อยู่ ที่อาศัย ที่ดำเนินชีวิต บางครั้งก็ใช้คำ tsai-tsi ในภาษาจีน (น.81) โดยทั่วไปแล้ว หมู่บ้านไม่ได้เป็นศูนย์รวมจิตใจของลีซูในแง่ที่เป็นชุมชนที่มีความรู้สึกจงรักภักดีร่วมกัน “หมู่บ้าน”เป็นความคิดในเชิงพิธีกรรม มีผีบรรพบุรุษ(Old Grandfather spirit)ดูแลหมู่บ้านเพื่อป้องกันลูกหลานไม่ไห้ประสบกับเคราะห์ร้าย (น.82) หมู่บ้านลีซูไม่มีประตู แต่ได้ป้ายเลือดบนถนนที่ออกจากหมู่บ้านเป็นเครื่องหมายป้องกันวิญญาณร้ายเข้ามาในหมู่บ้าน ซึ่งลักษณะเช่นนี้ผู้เขียนเห็นว่า หมู่บ้านเป็นพื้นที่เชิงวิญญาณ(น.83) ในบริเวณป่าใกล้ๆหมู่บ้านเป็นที่ตั้งหอผีบรรพบุรุษ(Senior or Old-Grandfather) (น.39) ลีซูสร้างบ้านบนทางลาด ภายในบ้านแบ่งเป็นพื้นที่หญิง-ชาย มีหิ้งผีเป็นศูนย์กลางของบ้าน ตั้งอยู่ชิดผนังบ้านด้านลาดเขาสูงและหันไปทางทิศเหนือ ฝั่งตรงข้ามหิ้งผีหันลงสู่ทางลาดลงเขาซึ่งเป็นประตูบ้าน พื้นที่ด้านบนของบ้านใช้ทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับผี เป็นพื้นที่สำหรับผู้ชาย ผู้หญิงจะไม่เข้ามาในบริเวณนี้ นอกจากยามทำความสะอาด บริเวณหิ้งผีประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ซ้าย-ขวา ส่วนแรกอยู่ด้านซ้ายเป็นหิ้งหลักสำหรับ nei5-za3 ซึ่งหมายถึง บรรพบุรุษในอดีตกาล ส่วนที่สองอยู่ด้านขวาเป็นหิ้งรองสำหรับผีพ่อแม่และผีปู่ย่าของผู้ชายที่อายุมากที่สุดในเรือน ผีพ่อแม่และปู่ย่าจะถูกขอร้องให้ปกป้องสมาชิกในเรือนและให้นำทางเมื่อขวัญ/วิญญาณเดินทางท่องเที่ยว ลีซูแต่ละครัวเรือนจะมีหิ้งผีจำนวนแตกต่างกัน (น.53-54) การแบ่งพื้นที่ภายในบ้าน พื้นที่ของบ้านส่วนที่อยู่ทางลาดขึ้นเขาเป็นศูนย์กลางสำหรับผู้ชายในช่วงพิธีกรรม พวกผู้ชายจะนั่งเป็นวงรอบโต๊ะหน้าหิ้งผี ส่วนผู้หญิงจะนั่งอยู่ในบริเวณพื้นที่ด้านตะวันตกซึ่งเป็นด้านขวาของบ้านเมื่อยืนหันหลังให้หิ้งผี (น.55) พื้นที่ภายในบ้านแบ่งเป็นซ้าย-ขวา ห้องนอนของหัวหน้าครัวเรือนจะอยู่ฝั่งซ้ายของเรือนติดกับหิ้งเซ่นไหว้ ผู้ชายที่เป็นหัวหน้าครัวเรือนจะนอนชิดผนังที่กั้นหิ้งเซ่นไหว้กับห้อง ส่วนภรรยาของเขาจะนอนถัดออกมา ของมีค่าจะเก็บไว้ในห้องนี้ ตรงข้ามกับห้องนอนหัวหน้าครัวเรือนลงมาด้านล่างซึ่งเป็นทิศใต้เป็นห้องนอนของลูกชายที่ยังไม่แต่งงาน ส่วนที่ตรงกลางด้านซ้ายใช้เป็นที่นอนของแขกและใช้สูบฝิ่นด้วย พื้นที่ด้านขวาของบ้านเป็นห้องนอนลูกสาวที่ยังไม่แต่งงานและห้องนอนของลูกชายกับลูกสะใภ้ ในกรณีที่มีลูกเขยทำงานให้ครอบครัวฝ่ายหญิงแทนค่าสินสอด ลูกเขยมักจะปลูกกระท่อมแยกออกไป โดยตั้งอยู่ข้างหลังด้านขวาของเรือน ฝั่งเดียวกับห้องลูกชายลูกสะใภ้ (น.57) พื้นที่ด้านขวายังเป็นที่สำหรับคลอดลูกด้วย แม้ว่าผู้หญิงที่แต่งงานกับผู้ชายที่อาวุโสของเรือนจะนอนในพื้นที่ผู้ชายด้านซ้าย แต่เมื่อใกล้คลอดจะย้ายมานอนที่ด้านขวา ซึ่งจัดแคร่นอนไว้ให้ใกล้เตาไฟ สำหรับอยู่ไฟหลังคลอด (น.69) |
|
Demography |
ประชากรในหมู่บ้านที่ศึกษา ในปีค.ศ.1982 หมู่บ้านมีประชากร 54 ครัวเรือน จำนวน 280 คน ส่วนใหญ่เป็นลีซู มีเพียง 6 ครัวเรือนเป็นจีน-ยูนนาน(Yunnan-Chinese) หรือ จีน-ลีซู(Chinese-Lisu) หรือจีน-อาข่า(Chinese-Akha) (น.11) |
|
Economy |
การเพาะปลูก ผู้เขียนสรุปการแบ่งกิจกรรมเพาะปลูกระหว่างหญิง-ชายของลีซูในแต่ละเดือนดังนี้ (น.66) มกราคม โค่นต้นไม้ ชาย กุมภาพันธ์ เตรียมดินปลูกข้าว ชาย มีนาคม เผาไร่ ชาย เมษายน ปลูกข้าวโพด หญิง พฤษภาคม ปลูกข้าว หญิง-ชาย มิถุนายน เตรียมดินปลูกฝิ่น ชาย กรกฎาคม หักข้าวโพด หญิง สิงหาคม ปลูกฝิ่น ชาย กันยายน ตัดต้นข้าวโพด หญิง ตุลาคม ตัดหญ้าทำหลังคา หญิง พฤศจิกายน เกี่ยวข้าว หญิง-ชาย ธันวาคม เก็บฝิ่น หญิงชาย ในการเตรียมที่ดินเพาะปลูก ผู้ชายจะมองหาที่ดินแห่งใหม่ ตรวจสอบคุณภาพของดินที่เหมาะสมกับการเพาะปลูก ผู้หญิงก็มีความสามารถในการตรวจสอบเช่นกัน แต่ผู้ชายจะเป็นผู้ตัดสินใจเลือกที่ดิน เพราะผู้ชายสามารถเข้าป่าได้ ในการถางที่ดิน ผู้ชายจะตัดต้นไม้ใหญ่ ผู้หญิงจะตัดไม้เล็กๆ แล้วปล่อยให้ไม้เหล่านั้นแห้ง หลังปีใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์จึงเผา (น.76) เดือนมีนาคมและเมษายน เป็นการเตรียมดินปลูกข้าวและข้าวโพด ทั้งผู้หญิงและผู้ชายช่วยกันกำจัดวัชพืชและขุดดิน เมื่อมีฝนตกต้นครั้งแรกจึงเริ่มต้นปลูกข้าวโพด ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทำได้ทั้งสองเพศ ต่อมาเมื่อฝนตกมากขึ้น จึงปลูกข้าว ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าการปลูกข้าวเป็นการทำเพื่อยังชีพมีความหมายเกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์ มีการทำกิจกรรมต่างจากการปลูกฝิ่นและข้าวโพดที่เป็นพืชเศรษฐกิจ(cash crop) มีการแบ่งเพศชัดเจนในขั้นตอนปลูกข้าวซึ่งไม่มีในการปลูกข้าวโพดและฝิ่น ผู้ชายทำหน้าที่ขุดหลุมโดยใช้เสียมเล็ก(dibbling stick) ผู้หญิงและเด็กเดินตามหลังหยิบเมล็ดข้าวจากย่ามที่สะพายหยอดใส่หลุม หลุมละ 4-6 เมล็ด กิจกรรมในขั้นตอนนี้ทั้งสองเพศต้องทำร่วมกัน ผู้หญิงอาจจะถือเสียมขุดได้ แต่ผู้ชายจะไม่สะพายย่ามหยอดข้าว การปลูกข้าวโพดและฝิ่นไม่กำหนดกิจกรรมที่หญิงชายต้องทำร่วมกัน ทั้งสองเพศสามารถแลกเปลี่ยนกิจกรรมการปลูกและการดูแลต้นอ่อนของพืชได้ การปลูกข้าวโพดเป็นกิจกรรมที่ทำคนเดียวได้ ผู้ปลูกจะขุดหลุมและหยอดเมล็ดข้าวโพดไปในคราวเดียวกัน ส่วนการปลูกฝิ่นเป็นงานหนัก ผู้ชายจึงมักทำกิจกรรมนี้ แต่ผู้หญิงก็ปลูกได้ ถ้าไม่มีสมาชิกผู้ชายทำ ขณะที่การเก็บฝิ่นเป็นกิจกรรมที่ทั้งสองเพศทำร่วมกันได้ เพราะมีความสามารถเท่ากัน (น.77-79) สำหรับการเก็บผลผลิตข้าว ทั้งผู้หญิงและผู้ชายเกี่ยวข้าวร่วมและเหมือนกันตั้งแต่การใช้เคียวตัดต้นข้าว มัดเป็นกำและนำมากองรวมกัน แต่ในขั้นตอนการนวด ปกติผู้ชายจะทำเพราะเป็นงานหนัก (น.80) |
|
Social Organization |
การแต่งงาน ลีซูห้ามแต่งกับคนตระกูลเดียวกัน นิยมแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้อง(cross-cousins)โดยเฉพาะลูกพี่ลูกน้องข้างพ่อ (น.106) พี่ต้องแต่งงานก่อนน้อง ถ้าน้องแต่งก่อน จะต้องจ่ายค่าปรับ (น.111) ในสังคมลีซู ผู้หญิงมีบทบาทควบคุมการดำเนินการจัดการ แม่ที่มีลูกสาวในวัยแต่งงานมีวิธีบอกกล่าวให้แม่ฝ่ายชายทราบความต้องการของตน ขณะที่แม่ฝ่ายชายก็จะเสาะหาหญิงสาวมาเป็นสะใภ้ เพราะเธอจะต้องอยู่ใต้หลังคาเดียวกันกับลูกสะใภ้ไปอีกนาน อีกทั้งลูกสะใภ้ยังต้องดูแลเธอและสามีในยามแก่เฒ่าด้วย คุณสมบัติของผู้หญิงที่จะมาเป็นสะใภ้นอกจากทำงานหนักแล้ว ต้องไม่ช่างทะเลาะเบาะแว้งและไม่ปากมาก การสู่ขอจะเริ่มจากฝ่ายชายส่งแม่สื่อไปเยี่ยมเยียนฝ่ายหญิงเพื่อหยั่งท่าทีก่อน ในขั้นตอนการเจรจาสู่ขอนั้น ทั้งสองฝ่ายจะมีเถ้าแก่ผู้ชายเป็นตัวแทนฝ่ายละสองคน ในการเจรจาค่าสินสอดเจ้าสาวนั้น เถ้าแก่ฝ่ายหญิงอาจมีผู้หญิงสูงอายุที่เป็นญาติฝ่ายหญิงช่วยให้ความคิดเห็นเรื่องค่าสินสอด(น.110-111) ในกรณีที่เจ้าสาวหนีกลับไปอยู่บ้านพ่อแม่ของตนหลังการแต่งงาน และไม่ยอมกลับไปบ้านพ่อแม่เจ้าบ่าว พ่อแม่เจ้าสาวต้องคืนเงินสินสอดให้เจ้าบ่าวพร้อมทั้งจ่ายค่าปรับ(phi5-mya3 phu5 or fee)ที่ทำให้เจ้าบ่าวเสียหน้า(น.97) แม้เงินสินสอดจะสำคัญ แต่ถ้าฝ่ายชายยากจน ไม่มีเงินจ่ายค่าสินสอด ก็สามารถใช้แรงงานตนทำงานในไร่นาให้พ่อแม่ฝ่ายหญิงในระยะเวลาที่กำหนดแทนทรัพย์สิน (น.112) สำหรับจำนวนเงินค่าสินสอดที่ต้องจ่ายให้พ่อแม่เจ้าสาวนั้นขึ้นอยู่กับอายุ ความงามและคุณธรรม(moral)ของเจ้าสาว รวมทั้งสถานะทางเงินของครอบครัวฝ่ายชาย จำนวนเงินสินสอดที่สูงจะรับรองว่าผู้หญิงจะได้รับการปฏิบัติอย่างดีจากพ่อแม่สามี และยังป้องกันมิให้เจ้าสาวหนีกลับมาครอบครัวเดิมเร็วเกินไป เพราะพ่อแม่ของเธอต้องหาเงินค่าสินสอดคืนเจ้าบ่าว (น.113-114) ผู้เขียนเห็นว่า แม้เงินค่าสินสอดเจ้าสาวจะเป็นการแลกเปลี่ยนในเชิงเศรษฐกิจ สินสอดเจ้าสาวมีความสำคัญในแง่ที่เป็นชื่อเสียง(repute) เพราะเป็นวิถีของบรรพบุรุษ (น.112-113) ความคิดเรื่องความแตกต่างทางเพศ 1. ความแตกต่างทางเพศในเชิงภาษา 1.1 คำเรียกขานหญิงชาย ผู้เขียนเห็นว่า ลีซูมีคำเรียกขานหญิงชายในแต่ละช่วงอายุไม่เหมือนกัน ซึ่งสะท้อนถึงความคิดของลีซูเกี่ยวกับเพศสภาวะ ดังนี้ (น.119) Mya5-ga6 เป็นคำเรียกเด็กหญิงและเด็กชายเล็กๆ จนถึงอายุวัยรุ่น Zra5-meu5-lae1 เป็นคำเรียกผู้หญิงในวัยอายุที่สามารถแต่งงานได้จนถึงวัยแต่งงาน โดยทั่วไปอายุ 16-17 ปี Zra5-gu4-lae1 เป็นคำเรียกผู้ชายในวัยอายุที่สามารถแต่งงานได้จนถึงวัยแต่งงาน โดยทั่วไปอายุประมาณ 18-19 ปี Zra5-meu4-xwa3 เป็นคำเรียกผู้ชายที่แต่งงานแล้ว Zra5-gu4-xwa3 เป็นคำเรียกผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว Ts’aw1-mo5 เป็นคำเรียกผู้หญิงและผู้ชายที่อายุ 40 ปีขึ้นไป 2.2 การตั้งชื่อ ลีซูมีระบบตั้งชื่อลูกโดยแสดงตำแหน่งลำดับการเกิดไว้ในชื่อ ลูกสาวลงท้ายชื่อด้วยคำ ma3 ส่วนลูกชายลงท้ายชื่อด้วยคำ pha5 เช่น ลูกสาว ลูกชาย a3-mi5-ma3 สำหรับลูกสาวคนโต a3-bae4-pha5 สำหรับลูกชายคนโต a3-lae4-ma3 สำหรับลูกสาวคนที่สอง a3-lae4-pha5 สำหรับลูกชายคนที่สอง a3-sa3-ma3 สำหรับลูกสาวคนที่สาม a3-sa3-pha5 สำหรับลูกชายคนที่สาม และการเรียกชื่อเด็กมักจะต่อท้ายด้วยชื่อพ่อของเด็กเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสน เนื่องจากในหมู่บ้านมีเด็กหลายคนที่มีชื่อลำดับการเกิดเหมือนกัน นอกจากชื่อตามลำดับการเกิดแล้ว ยังมีชื่อพิธีกรรม(a ritual name)สำหรับผีอีกชื่อหนึ่ง เมื่อเด็กเกิดได้ 2 วัน จะได้รับการตั้งชื่อพิธีกรรมโดยหัวหน้าเรือนหรือหมอทรง(shaman) (น.125) 2. ความแตกต่างทางเพศในพิธีกรรม 2.1 พิธีศพ ผู้เขียนกล่าวว่า พิธีศพเป็นกิจกรรมที่แสดงให้เห็นความคิดในการแบ่งพื้นที่หญิง-ชายของลีซูชัดเจน ในช่วงเวลา 3-5 วันของพิธี พื้นที่หญิง-ชายจะแบ่งแยกจากกัน ผู้ชายจะนั่งในด้านซ้ายของบ้าน(ด้านตะวันออกของบ้าน)ทำกิจกรรมต่างๆในบริเวณนี้ ส่วนผู้หญิงจะอยู่ด้านขวา(ด้านตะวันตกของบ้าน) การวางศพผู้ตาย ถ้าเป็นหญิง จะวางโลงศพหน้าหิ้งบูชาตรงด้านขวาของหิ้ง ถ้าผู้ตายเป็นชายจะวางโลงศพตรงด้านซ้ายหน้าหิ้ง หลังจากตั้งศพได้ 3 วัน จึงนำโลงศพออกจากบ้าน ศพผู้หญิงนำโลงออกจากบ้านผ่านฝาบ้านด้านขวา (น.55) ในพิธีศพ การแบ่งแยกระหว่างไม้กับผ้า(wood and cloth)แสดงถึงการแบ่งเพศชัดเจนที่สุด กิจกรรมของผู้ชายในงานศพจะมาจากหรือเกี่ยวข้องกับป่า ได้แก่ ทำเสาที่ตั้งศพ ทำไม้ฝากระดานโลงศพ แปะแผ่นกระดาษบนร่างผู้ตาย ขณะที่กิจกรรมของผู้หญิงจะเกี่ยวข้องกับฝ้าย ได้แก่ ฟั่นเส้นกัญชงสำหรับมัดศพ จัดผ้าห่มและเสื้อผ้าของผู้ตาย (น.90) นอกจากพื้นที่ภายในบ้านแล้ว ที่ฝังศพยังเป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับผู้หญิงด้วย ลีซูเชื่อว่า พื้นที่ฝังศพเป็นที่ที่มีพลังเหนือธรรมชาติของวิญญาณผู้ตายแผ่ปกคลุม จึงห้ามผู้หญิงอยู่ในพิธีฝังศพ ผู้หญิงจะไม่เดินทะลุรั้วล้อมหลุมศพ ไม่นั่งใกล้ประตูผีของหลุมศพ แต่หลังจากผ่านไป 1-3 ปี เมื่อทำพิธีเก็บกวาดหลุมศพ ผู้หญิงจะเข้าใกล้หลุมศพได้ เพราะวิญญาณคนตายค้นพบตำแหน่งแห่งที่ของตนในดินแดนวิญญาณของคนตายแล้ว ที่ตั้งหลุมศพจะอยู่บนบริเวณสันเขา หลุมศพมีรั้วไม้ไผ่ล้อมเป็นวง ซึ่งต่อมาไม่นานก็มีหญ้าขึ้นปกคลุมจนจำไม่ได้ ผู้ชายที่มีอายุจะทำพิธีขุดหลุมศพ โดยโยนไข่ยังทิศที่เหมาะสม ถ้าไข่แตกแสดงว่าวิญญาณของคนตายชอบที่ตรงนั้น ผู้ชายที่ภรรยากำลังตั้งครรภ์ไม่ได้รับอนุญาตให้หามโลงศพ เพราะเชื่อว่าจะทำให้ลูกของเขาไม่คลอด (น.41) การทำเครื่องหมายบนหลุมศพ ถ้าผู้ตายไม่ว่าหญิงหรือชาย ถ้าไม่มีบุตรชายจะไม่วางหินบนหลุมและหลุมศพจะอยู่ต่ำกว่าหลุมศพคนตายที่มีบุตรชาย ถ้าผู้ตายเป็นเด็กจะฝังศพไว้ที่เชิงเขาและไม่ทำเครื่องหมายบนหลุมศพ (น.63) 2.2 งานฉลองปีใหม่ ลีซูมีปีใหม่สองครั้ง คือปีใหม่ใหญ่กับปีใหม่เล็ก ปีใหม่ใหญ่ เรียกว่า ปีใหม่หญิง อยู่ในระหว่าง 20 มกราคมถึง 20 กุมภาพันธ์ ส่วนปีใหม่เล็กอยู่ในเดือนถัดมา เรียกว่า ปีใหม่ชาย (น.66) งานฉลองปีใหม่เป็นงานของคนในหมู่บ้าน มีการเต้นรำรอบต้นไม้ปีใหม่ 3-4 วัน งานเต้นรำปีใหม่ของลีซูไม่ได้จัดที่ลานกลางหมู่บ้าน สถานที่เต้นรำจะเปลี่ยนไปในแต่ละวัน ปีใหม่วันแรกหนุ่มสาวจะเต้นรำที่แต่ละบ้าน วันที่สองจะเต้นใกล้กับบ้านของผู้ประกอบพิธีกรรมหมู่บ้าน วันที่สามจะเต้นในบริเวณใกล้พื้นที่ของผีเจ้าที่ใหญ่(the big territorial spirit)และบ้านหัวหน้าหมู่บ้าน วันที่สี่ เต้นที่ลานหน้าโรงเรียน แม้งานปีใหม่จะเป็นของคนในหมู่บ้าน แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวแทนแสดงการจัดความสัมพันธ์หมู่บ้าน(village affair) ไม่มีคณะกรรมการจัดงาน ลีซูทุกคนจัดขึ้นเพื่อลีซูทั้งหมดที่อาศัยในภูเขา (น.82) 3. วิเคราะห์ในเชิงพื้นที่ ผู้เขียนเห็นว่า ความคิดการแบ่งพื้นที่หญิง-ชายของลีซูมีหลักการพื้นฐานจากสภาวะความเป็นคู่กัน(dualism) หยิน-หยางในลัทธิเต๋าของจีน (น.51-52) ลีซูใช้ระบบความคิดนี้บ่งบอกความแตกต่างระหว่างหญิง-ชาย ซึ่งปรากฏในพฤติกรรมการกระทำเชิงพิธีกรรม เช่น วางเงินชิ้นเล็กๆ ในโลงศพ 7หรือ 9 ชิ้นตามเพศผู้ตายเพื่อให้ผู้ตายเดินทางไปดินแดนแห่งวิญญาณโดยสะดวก หรือในพิธีรักษาอาการเจ็บป่วยจะใช้ข้าว 7 หรือ 9 เมล็ดตามเพศผู้ป่วยขับไล่เลือดไม่ดีออกไป (น.52-53) การแบ่งพื้นที่ภายในบ้านก็มีหลักการตามความคิดสภาวะความเป็นคู่ ได้แก่ เหนือ-ใต้หรือลาดเขาบน-ล่าง(upslope-down slope) อาจจะตีความได้ในเชิง spiritual(pure)กับ non-spiritual(impure) อาณาเขตผู้ชายไม่ได้ถูกความไม่สะอาดของผู้หญิงบุกรุก “ทาง”(a ‘path’)ที่ลากตรงจากหิ้งที่ลาดเขาข้างบนลงล่างเป็นสัญลักษณ์คู่ตรงข้าม ระหว่างสิ่งที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติระดับสูงกับสิ่งไม่มีอำนาจ(low-animalism) สภาวะเหนือ-ใต้กำหนดการแบ่งพื้นที่ระหว่างผู้อาวุโส-ผู้น้อยในการจัดพื้นที่ผู้ชาย ผู้อาวุโสกว่าจะใช้พื้นที่ด้านบน ผู้น้อยจะใช้พื้นที่ด้านล่าง ขณะที่สภาวะหญิง-ชายจะแบ่งตามแนวระนาบ เป็นตะวันออก=ซ้าย=ชาย และตะวันตก=ขวา=หญิง แสดงให้เห็นในการจัดวางโลงศพหน้าหิ้งบูชา ตำแหน่งพื้นที่เจ้าบ่าวเจ้าสาว และพื้นที่การเตรียมอาหารของผู้หญิง (น.58) ความคิดของลีซูที่มองว่า ตะวันตก = ขวา = ผู้หญิง และตะวันออก = ซ้าย = ผู้ชาย ปรากฏในการจัดที่นั่งช่วงพิธีเลี้ยงฉลอง โดยมีหิ้งบูชาซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับประตูบ้านเป็นแนวแบ่งพื้นที่ ด้านซ้ายของหิ้งซึ่งอยู่ในทิศตะวันออกของบ้านเป็นพื้นที่ผู้ชาย ด้านขวาเป็นพื้นที่ผู้หญิง แยกจากกันชัดเจน ขณะที่เด็กทารกทั้งสองเพศอาจจะคลานไปมาระหว่างพื้นที่ทั้งสองส่วน สำหรับผู้หญิงสูงอายุที่หมดระดูแล้ว ในบางช่วงสามารถเข้าไปพูดคุยในพื้นที่ผู้ชายได้(น.55) พิธีที่เกี่ยวกับความตายและการแต่งงานจะเห็นความคิดการแบ่งพื้นที่ซ้าย-ขวาชัดเจน ในการเตรียมอาหาร ผู้หญิงผู้ชายจะใช้พื้นที่แยกจากกัน ผู้หญิงจะปรุงอาหารในพื้นที่ด้านขวา ส่วนผู้ชายทำหมูในพื้นที่ด้านซ้าย (น.56) แต่ในพิธีฉลองข้าวโพด พื้นที่ด้านขวาถือเป็นที่เซ่นไหว้ชั่วคราวของผู้หญิง เธอจะเรียกวิญญาณพ่อแม่ของเธอมายังเสาที่อยู่ด้านนี้ ซึ่งถือเป็นเสาผีของผู้หญิงที่อาวุโสสุดในเรือน (น.56) |
|
Political Organization |
การควบคุมทางสังคม ผู้เขียนกล่าวว่า ความละอาย/ความอาย(shame)และเกียรติ/ชื่อเสียง(repute)ในสังคมลีซูถือเป็นคุณค่าหลักที่เป็นแนวทางในการสมาคมสังสรรค์(association)รูปแบบต่าง ทั้งสองสิ่งนี้ต่างเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน(น.95) ความละอาย หรือ sha1-taw3 ในภาษาลีซู การกระทำที่ก่อให้เกิดความละอายมีที่มาจากขนบประเพณี(li5) ความรู้ในขนบประเพณีนำไปสู่การกระทำที่เหมาะสมและการตระหนักรู้ อย่างไรก็ดี ขนบประเพณีสามารถแก้ไขและตีความใหม่ได้ การปฏิบัติตามประเพณีก็ไม่ได้กดดันมากจนกระทั่งไม่สามารถทำสิ่งที่น่าละอายได้ ความละอายมีหลายระดับตั้งแต่การทำผิดจนถึงการเสียหน้าที่เป็นความอายเล็กน้อย และความอายนี้สามารถชดใช้แก้ไขหรือถูกลืมได้ (น.96) เกียรติ หรือ myi3-do5 ในความคิดของลีซู สิ่งนี้ไม่ใช่สถานภาพ ไม่ใช่ศักดิ์ศรี(prestige)และไม่ใช่อำนาจ แต่หมายถึง มีเกียรติ เกียรติยศ(honour) สิ่งนี้มาจากมารยาทศีลธรรมมากกว่าสถานะทางเศรษฐกิจหรืออำนาจ ผู้เขียนเห็นว่า เกียรติมาตามอายุ เพราะในหมู่บ้านที่ศึกษาหญิงชายที่มีเกียรติอยู่ในวัยกลางคน เป็นคนทำงานหนัก มีลูกมาก รู้จักอาย พูดจาสุภาพมีมารยาทและคิดถึงผู้อื่น ไม่พูดให้ร้ายคนอื่น ผู้หญิงที่มีเกียรติจะไม่พูดมาก จะพูดแต่สิ่งดีๆเสมอ (น.99) การทำตัวมีเกียรติของผู้หญิงและผู้ชายต่างกัน ลีซูเปรียบเทียบว่า ความประพฤติของผู้หญิงเหมือนกับช้าง คือ มีความอาย สงบเสงี่ยม จิตใจอ่อนโยน ตระหนักในตำแหน่งแห่งที่ตน ส่วนความประพฤติผู้ชายเหมือนกับสุนัข คือ กล้า(bold) และผจญภัย ผู้หญิงต้องไว้ตัวมากกว่าผู้ชายเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับในสถานการณ์ที่น่าอาย(น.100) ลีซูมีข้อกำหนดการพูดคุยเรื่องส่วนตัวกับประเภทบุคคลด้วย ดังนี้ (น.103) ผู้หญิงไม่พูดเรื่องส่วนตัวกับ ผู้ชายไม่พูดเรื่องส่วนตัวกับ - พ่อของตัว - แม่ของตัว - พ่อสามี - แม่ยาย - พี่ชายน้องชาย - พี่สาวน้องสาว - พี่ชายของสามี - ภรรยาของน้องชาย - ลูกพี่ลูกน้องข้างพ่อและข้างแม่ - ลูกพี่ลูกน้องข้างพ่อและข้างแม่ - ลูกชาย ลูกเขย - ลูกสาว ลูกสะใภ้ - พี่ชายน้องชายของพ่อแม่ - พี่สาวน้องสาวของพ่อแม่ นอกจากการพูดคุยแล้ว ลีซูยังมีข้อกำหนดอื่นๆอีก เช่น ลูกสาวต้องไม่แต่งตัวให้สวยงามเมื่อพ่อของเธออยู่ในที่นั้น ลูกสะใภ้ไม่ควรใส่เสื้อไม่มีแขนต่อหน้าพ่อสามี ขณะที่ลูกชายอาจจะทัดดอกไม้ ทาแป้งเพื่อดึงดูดความสนใจ โดยแม่ของเขาอยู่ด้วยได้ (น.104) |
|
Belief System |
ความเชื่อเกี่ยวกับผี ผู้เขียนแบ่งผีของลีซูออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ ผีกลุ่มที่หนึ่ง เป็นผีที่มีลำดับชั้นสูง-ต่ำตามโครงสร้างจักรวาลวิทยา เรียงลำดับจากสูงไปต่ำได้ดังนี้ 1. wu4-sa4-pha5-mo5 มีอำนาจสูงกว่าผีอื่นๆ ทำให้เกิดฝน (น.46) 2. wu4-sa4-pha5 เป็นผู้สร้างสิ่งต่างๆ โดยทั่วไปลีซูไม่เอ่ยชื่อผีนี้ ต่อเมื่อมีคนตายจึงจะเห็นชื่อของผีนี้ ลีซูเชื่อว่า ผีนี้ทำให้เกิดฟ้าผ่า(น.46) และมีหน้าที่คล้ายเทพเจ้าเต๋าที่ทำหน้าที่จดความดีความชั่วของคน (น.49) 3. chae-lo-si3-pha5 เป็นผีที่ดูแลภูเขาสูง หินก้อนใหญ่ และถ้ำ ผีนี้ไม่มีศาลสำหรับเซ่นไหว้(น.46) 4. mo4-la5-si3-pha5 เป็นผู้ปกครองที่เป็นเจ้าของสิ่งแวดล้อมรอบหมู่บ้าน(the owner-ruler of the village environment) มีอำนาจมากกว่า a3-pa3-mo5 หรือ ผีปู่ทวด ลีซูตั้งศาลให้ mo4-la5-si3-pha5 ในป่าบริเวณเดียวกับผีปู่ทวด แต่อยู่เหนือขึ้นไป (น.40) มีอำนาจน้อยกว่า wu4-sa4-pha5 และ wu4-sa4-pha5-mo5 มีหน้าที่ตรวจตราดูแลผืนดินในอาณาเขตของเขา เช่น ถ้าใครต้องการล่าสัตว์หรือตัดต้นไม้ จะต้องบอกกล่าวให้ทราบก่อน (น.48) 5. a3-pa3-mo5 (Senior or Old-Grandfather) - ผีปู่ทวด เป็นผีระดับสูง เป็นเหมือนบรรพบุรุษคนแรกของคนลีซู ลีซูสร้างศาลหรือหอให้อยู่ในป่าใกล้หมู่บ้าน มีหน้าที่ดูแลหมู่บ้าน คอยดูแลรักษาศีลธรรมของชุมชน ควบคุมบรรทัดฐานความประพฤติของคนในชุมชน เช่น ถ้าผู้ชายทำผิด เป็นชู้กับหญิงสาวอื่น จะต้องไปสารภาพกับผีปู่ทวด เมื่อมีเด็กเกิดในเรือน ผู้ชายจะไปแจ้งต่อผี เมื่อเดินทางไกลจะบอกผีขอให้คุ้มครอง หรือเมื่อมีดรคระบาดในสัตว์เลียงหรือพืชก็จะเซ่นไหว้ขอความช่วยเหลือ แต่ละตระกูลจะวางถ้วยใส่น้ำใบเล็กบนหิ้งในหอผี a3-po3-mo5 มีผีท้องถิ่น(territorial spirit) ซึ่งเป็นพี่น้องกันอีก 2 ตนเป็นผู้ช่วย ได้แก่ yi1 da5-ma3 และ xewa3-seu1(น.39-40) a3-pa3-mo5 ไม่ใช่เทพเจ้า แต่เป็นสมาชิกคนหนึ่งของลีซู เพราะคำ a3-pa3 หมายถึง ปู่ทวดของคนรุ่นแรก คำ mo5 บ่งถึงแก่หรืออาวุโส ดังนั้นจึงอาจจะหมายถึงบรรพบุรุษคนแรกของลีซู ผีปู่ทวดเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เขาจึงไม่ได้ปกครองและไม่ได้ตรวจตราดูแล แต่เป็นผู้เฝ้าดูแล(guardian)เชื้อสายและเป็นผู้รักษาศีลธรรมความประพฤติของลีซู (น.48) ผีกลุ่มที่สอง เป็นผีที่ไม่ได้อยู่ในระบบการลำดับชั้นสูง-ต่ำของโครงสร้างจักรวาลวิทยา ได้แก่ ผียา(nae1-tsi6-ma3) ผีที่ตายไม่ดี(xo5-po6)เป็นวิญญาณผู้หญิงที่ไม่มีลูก ชอบจับเด็กๆไป ผีที่คล้ายยักษ์กินคน (bae3-ch’u6-ma3) มีเขี้ยวยาว 2 ข้าง ผมยุ่งกระเซิงและมีเหา เส้นเลือดเหมือนหนอนและนมยาวจนพาดไหล่ได้ และผีดูดเลือด (น.47-48) ความเชื่อเรื่องขวัญ (ts’aw4-h’a4 or soul) ลีซูเชื่อว่าผู้หญิงและผู้ชายมีขวัญไม่เท่ากัน ผู้ชายมี 9 ขวัญ ผู้หญิงมี 7 ขวัญ (น.41,44) ผู้ชายมีขวัญมากกว่า จึงเข้มแข็งกว่า สามารถเผชิญกับสิ่งที่ไม่รู้จักได้(the unknown)เช่น สัตว์ป่า ผู้ร้าย ลีซูเชื่อว่าขวัญอยู่กลางกระหม่อม ดังนั้นจึงไม่โกนผมบริเวณนี้ แต่จะทำเป็นเปียเล็กๆ ซึ่งตามตำนานลีซูเล่าว่า หางเปียนี้เป็นสัญลักษณ์เกี่ยวพันกับพลังอำนาจสวรรค์ เป็นสายแห่งชีวิต(the strings of life)ที่ถูกดึงจาก”ข้างบน” (“the above”) (น.88) |
|
Education and Socialization |
การอบรมเลี้ยงดูเด็ก ผู้เขียนกล่าวถึงความแตกต่างในการอบรมเลี้ยงดูเด็กหญิงและเด็กชายคร่าวๆว่า ในวัยเด็กเล็กไม่ต่างกัน เด็กที่อายุได้ 2 ปี จะถูกคาดหวังว่าจะกินอาหารเองแต่งตัวเองได้ และไม่ถ่ายอุจจาระในบ้านหรือใกล้บ้าน เมื่อโตขึ้นเด็กชายและเด็กหญิงจะได้รับการอบรมแยกกัน และไม่ว่าจะเป็นเด็กชายหรือหญิง ทั้งสองจะถูกสอนให้ทำงานหนักและไม่ขี้เกียจ เด็กผู้หญิงจะมีวุฒิภาวะความเป็นผู้ใหญ่เร็วกว่าเด็กผู้ชาย กล่าวคือ เด็กหญิงเล็กๆจะเริ่มเก็บผักในทุ่งนา และเมื่ออายุได้ 10 ปีหลังจากที่เฝ้าดูแม่ทำงาน เธอจะสามารถทำงานในสวนครัวได้ตามลำพัง ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า ทำให้เธอสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ ขณะที่เด็กชายอายุ 10 ปี ยังเถลไถลอยู่ ยังไม่สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้เหมือนเด็กหญิง แม้ว่าจะฝึกทดลองยิงหนังสะติ๊ก เด็กชายยังต้องใช้เวลาอีก 2 ปีจึงจะเริ่มโค่นต้นไม้ได้หรือขุดดินในไร่ที่เพิ่งเผาได้ (น.120-121) |
|
Health and Medicine |
การดูแลมารดาหลังคลอดบุตร หลังจากคลอดบุตร ผู้หญิงจะต้องเข้ากระโจมอบไอน้ำจากถังน้ำร้อนที่ใส่ใบไม้สมุนไพร 12 ชนิดเพื่อทำความสะอาดร่างกาย และหลังจากคลอดลูกได้หนึ่งเดือนก็ต้องเข้ากระโจมอบอีกครั้งหนึ่ง เพราะเชื่อว่า การอบไอน้ำจะขับความไม่สะอาดทั้งหมดออกไปทางเหงื่อ นอกจากนั้นยังต้องกินอาหารพิเศษหลังคลอดป้องกัน”ลม”(‘wind’)เข้าร่างกาย เรียกว่า “ยาโรคลม”(‘wind medicine’) (น.142) พร้อมกันนั้นก็ต้องกินอาหารพิเศษบำรุงร่างกายเป็นเวลาหนึ่งเดือน ได้แก่ เนื้อไก่ ไข่ตุ๋นใส่พริกไทยดำพริกไทยขาวและ ”anis star seed” เพราะลีซูมีข้อห้ามหญิงตั้งครรภ์กินอาหารหลายอย่าง เช่น ห้ามกินกล้วย หัวผักกาด เพราะเชื่อว่าจะทำให้คลอดลูกยาก (น.123) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย เด็กทั้งหญิงและชายตั้งแต่วัยทารกจนถึง 5 ปี ใส่เสื้อผ้าเหมือนกัน ยกเว้นหมวกที่บ่งบอกเพศ เด็กหญิงสวมหมวกมีขอบปะรูปใบไม้หลายสี เด็กชายสวมหมวกสีดำมีพู่สี เด็กผู้หญิงเมื่ออายุ 6 ปีจะใส่เสื้อซึ่งมีแขนเป็นทางลายสีและกางเกงขากว้างสีดำ ส่วนเด็กผู้ชายเมื่ออายุได้ 10 ปีจะใส่กางเกงแบบลีซู แต่ไม่ค่อยใส่เสื้อสีดำตามประเพณี ผู้ชายลีซูมักจะใส่เสื้อผ้าแบบคนไทยมากกว่าผู้หญิง ปัจจุบันทั้งเด็กชายและชายหนุ่มที่แต่งงานแล้วจะนุ่งกางเกงเข้ารูป (ซึ่งผู้หญิงลีซูเห็นว่าน่าอายเพราะมองเห็นร่างกายทุกส่วน) และสวมเสื้อเชิ้ตแบบตะวันตก สำหรับลีซูที่มีอายุ ผู้หญิงจะโพกศีรษะด้วยผ้าสีดำ ใส่เสื้อผ้าสีคล้ำ ส่วนผู้ชายสูงอายุจะนุ่งกางเกงสีน้ำเงินทะเล(navy blue trousers) ซึ่งตรงกันข้ามกับกางเกงสีสดใสของหนุ่มๆ(น.119) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
การแบ่งกลุ่มชาติพันธุ์ ลีซูแบ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ย่อย 3 กลุ่ม 1. the white (pai or pae) Lisu มีชื่อเรียกว่า phu1-phu4 2. the flowery (or hua) Lisu มีชื่อเรียกว่า si3-vi3 3. the Back (or hae) Lisu มีชื่อเรียกว่า nae3 สำหรับลีซูในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นจีน-ลีซู(the Chinese-Lisu) เรียกว่า dja5-lae5 (the so-called brindle ones) หรือเรียกชื่อเป็นทางการว่า ra na (น.34) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนบทบาทของผู้หญิง ผู้เขียนกล่าวว่า ปัจจุบันความเป็นผู้หญิงของลีซูกำลังถูกนิยามใหม่ในแง่การเพิ่มบทบาทใหม่ที่บังคับให้ต้องทำหน้าที่การดูแล(care-taking) ซึ่งสืบเนื่องมาจากรูปแบบการดูแลเด็กที่เปลี่ยนไป(น.143-144) ผู้เขียนเห็นว่า ปัญหาการขาดแคลนที่ดินเพาะปลูกที่เหมาะสมทำให้ที่ดินเพาะปลูกอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้าน ต้องใช้เวลา 1-2 ชั่วโมงเดินทางไป”ทำงาน”ในไร่ข้าว ข้าวโพดหรือฝิ่น สิ่งนี้มีผลกระทบต่อการเลี้ยงดูเด็กๆ ในอดีตบ้านและไร่อยู่ใกล้กันลีซูสามารถดูแลเด็กเล็กๆไปพร้อมกับทำงานในไร่ด้วยได้ ตามแบบแผนดั้งเดิม การดูแลเด็กเล็กไม่มีอะไรมาก มีสิ่งที่ต้องทำไม่กี่อย่าง ได้แก่ ทำความสะอาดหลังจากเด็กถ่ายอุจจาระ ป้อนข้าวหรือผักเละๆหรือกล้วย ถ้าเด็กร้องก็อุ้มแล้วพาเดิน สำหรับลีซูการดูแลเด็ก(childcare)หมายถึงการอุ้มเด็ก(child-caring) พ่อแม่หรือใครๆที่อายุ 3 ปีขึ้นไปก็ทำได้ แต่เมื่อไร่อยู่ห่างไกลจากบ้าน พวกเขาไม่สามารถดูแลเด็กๆขณะทำงานไปด้วยได้ ดังนั้นจึงต้องมอบหมายให้ใครคนใดคนหนึ่งดูแลเด็กที่บ้านแทน ซึ่งก็คือ ผู้หญิง ผู้หญิงรู้สึกไม่สบายใจกับหน้าที่นี้ เพราะการดูแลเด็กไม่เคยเป็นหรือถูกมองว่าเป็นสิ่งพิเศษ แต่เป็นสิ่งที่ใครๆก็ทำได้ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว และเด็กเล็กๆก็เรียนรู้สิ่งต่างๆบนหลังพี่ชายพี่สาวที่แบกเขาไปด้วย (น.135-137) แม่ที่อายุน้อยรู้สึกว่า การดูแลเด็กเล็กที่บ้านเป็นเรื่องน่ารำคาญ แต่การนำเด็กเล็กไปที่ไร่ด้วยก็ยุ่งยากเช่นกัน ส่วนเด็กๆที่อายุ 5 ปีขึ้นไปก็ไปโรงเรียน สนุกกับการร้องเพลงการเล่นและการเรียนมากกว่าการเลี้ยงน้อง(น.138) ขณะเดียวกันการดูแลเด็กยังรวมถึงการจัดหาเสื้อผ้าและการดูแลสุขภาพ(health care)ด้วย ซึ่งสำหรับความคิดลีซู การดูแลสุขภาพไม่ได้หมายถึงการป้องกันและความสะอาด(hygiene) แต่หมายถึงการวินิจฉัยอาการและการรักษา แต่เนื่องสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ลีซูไม่สามารถรักษาความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นได้ เมื่อเด็กเจ็บป่วยต้องพาไปหาหมอ ซึ่งตามวิถีดั้งเดิม การออกนอกหมู่บ้านเป็นเรื่องของผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง แต่ผู้ชายไม่สามารถบอกอาการเจ็บป่วยของเด็กได้ ผู้หญิงจึงต้องทำหน้าที่พาเด็กไปหาหมอ ผู้เขียนเห็นว่า สิ่งนี้ทำให้ผู้หญิงเข้ามาทำหน้าที่ในขอบเขตของผู้ชาย (น.143-144) |
|
|