สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject เมี่ยน(เย้า),พิธีกรรม,ความเชื่อ,วิถีชีวิต,ภูมิปัญญา,ทักษะอาชีพ,น่าน
Author สีวิกา จรัสแสงเพชร
Title สาระทางการศึกษาในพิธีกรรมของชาวไทยภูเขาเผ่าเมี่ยน (เย้า) บ้านป่ากลาง อำเภอปัว จ. น่าน
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text -
Ethnic Identity อิ้วเมี่ยน เมี่ยน, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 143 Year 2535
Source หลักสูตรปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษานอกระบบ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

เมี่ยน (เย้า) เป็นชาวไทยภูเขาเผ่าหนึ่งซึ่งมีวิถีชีวิตที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตลอดจนมีการสั่งสมภูมิปัญญาด้านต่าง ๆ และมีการสืบทอดความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี การแต่งกายปรากฏเป็นวัฒนธรรมเฉพาะตัว ในงานวิจัยชิ้นนี้ ผู้วิจัยได้เลือกศึกษาวิเคราะห์ให้เห็นเนื้อหาบทบาท กระบวนการของความเชื่อ การดำรงชีวิต ภูมิปัญญาและทักษะอาชีพของเมี่ยนบ้านป่ากลาง อำเภอปัว จ.น่าน โดยเน้นศึกษาพิธีกรรมต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับบริบทในการดำเนินชีวิตของชาวไทยภูเขาเผ่าเมี่ยน ซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อยสะท้อนถึงค่านิยมในการดำรงชีวิต คติความเชื่อที่สะท้อนผ่านการให้ความสำคัญกับสังคมชุมชน ผ่านความเคารพในระบบอาวุโส การช่วยเหลือกิจการงานต่าง ๆ กันในพิธีกรรมของชุมชนที่ยังคงต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันแล้วกัน การแบ่งปันกันในหมู่เครือญาติ ระบบความเชื่อผีบรรพบุรุษและอำนาจเหนือธรรมชาติ สะท้อนผ่านประเพณีพิธีกรรมเกี่ยวกับการถือผีบรรพบุรุษ และความเชื่อเรื่องเทพารักษ์วิญญาณภูมิผีปีศาจ ที่สะท้อนผ่านการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ที่ผู้วิจัยศึกษา นอกจากนี้ยังแสดงออกถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติ ผ่านการให้ความเคารพยกย่องธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมที่เอื้อให้เกิดการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันหรือดำรงอยู่ร่วมกันแบบไม่เบียดเบียนธรรมชาติจนเกินไป ผ่านประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ ผู้วิจัยได้ศึกษา พิธีกรรมของเมี่ยนบ้านป่ากลางทั้งแบบเข้าไปมีส่วนร่วมใกล้ชิด และจดบันทึกจากคำบอกเล่าของคนในชุมชนเอง ซึ่งทั้ง 8 พิธี เป็นพิธีกรรมที่เมี่ยนบ้านป่ากลางยังคงถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ได้แก่ พิธีเห่วเมี้ยน พิธีซิบเมี้ยน เห่วเตา เห่วลู่ง พิธีจิ่วเบย้าว่วน พิธีซิบอ๊อเมี้ยน พิธีทิมเมี้ยนคู้ พิธีกว๋าดัง พิธีโจ๋วซึงจา พิธีโจ๋วซิน

Focus

เน้นศึกษาพิธีกรรมและวิถีชีวิตของชาวไทยภูเขาเผ่าเมี่ยน (เย้า) บ้านป่ากลาง อ.ปัว จ.น่าน

Theoretical Issues

ไม่ได้ระบุ

Ethnic Group in the Focus

ชาวไทยภูเขาเผ่าเมี่ยน (เย้า)

Language and Linguistic Affiliations

เย้าเรียกตัวเองว่า “เมี่ยน” เขียนเป็นภาษาเมี่ยนโดยใช้อักษรจีน แปลว่า “คนที่มีเชื้อสายกษัตริย์” จีนเรียก “เมี่ยน” ว่า “เย้า” หรือ “เหยา” หมายถึง อิสระ หรือกษัตริย์เป็นผู้สร้าง อีกความหมายหนึ่งหมายถึง มนุษย์ที่มีหัวเป็นสุนัข เป็นคำพ้องเสียง แต่ภาษาราชการและคนทั่วไปมักเรียกชนกลุ่มนี้ว่า “เย้า” ผู้วิจัยใช้คำว่า “เมี่ยน” เช่นเดียวกับเจ้าของกลุ่มใช้เรียกตนเอง (หน้า 5) ภาษาที่ใช้สื่อสารในหมู่บ้านระหว่างกลุ่มคนที่ต่างชาติพันธุ์ส่วนใหญ่เป็นภาษาภาคกลาง ภาษไทยเหนือ (คำเมือง) เมี่ยนบางส่วนสามารถพูดภาษาม้งได้ ส่วนถิ่นใช้ภาษาไทยเหนือในการติดต่อสื่อสารกับม้งและเมี่ยน แต่ละเผ่าต่างก็ใช้ภาษาประจำกลุ่มติดต่อสื่อสารในกลุ่มเดียวกัน (หน้า 48) เมี่ยนในชุมชนเมี่ยนบ้านป่ากลางทั้งหมดใช้ภาษาเมี่ยนติดต่อสื่อสารกับกลุ่มชาติพันธุ์เดี่ยวกันที่อยู่ร่วมชุมชนและต่างถิ่น ส่วนการติดต่อกับคนกลุ่มชาติพันธุ์อื่น เช่น ม้ง คนไทยภาคต่าง ๆ และจีนฮ่อ จะใช้ภาษาไทยกลางหรือภาษาไทยเหนือ ยกเว้นผู้สูง อายุชายส่วนใหญ่ที่สามารถใช้ภาษาม้งและภาษาจีนฮ่อ ผู้สูงอายุหญิงส่วนใหญ่เข้าใจภาษาไทยเหนือคำง่าย ๆ ได้ และบางคนพูดภาษาม้งได้ ผู้ชายเมี่ยนวัยกลางคนสามารถอ่านเขียนภาษาตนเองได้ ใช้ภาษาของตนในการจดบันทึกต่าง ๆ ปัจจุบันมีเมี่ยนจำนวนไม่น้อยสนใจการเรียน การอ่านเขียนภาษาจีน โดยเฉพาะผู้ที่สนใจการประกอบพิธีกรรมและต้องอ่านตำราที่จดไว้ เด็กเมี่ยนวัยรุ่นในชุมชนพูดภาษาเมี่ยนทับศัพท์ภาษาไทยเข้าไปด้วย เพราะหลายคำไม่มีในภาษาของตนเอง ภาษาเมี่ยนปัจจุบันจึงได้รับอิทธิพลภาษาไทยเข้าไปผสมด้วย รากศัพท์ภาษาเมี่ยนแท้ก็นับวันจะหายไป (หน้า 59 - 60)

Study Period (Data Collection)

ตั้งแต่เดือนมกราคม 2533 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2534 ใช้เวลาในหมู่บ้านแต่ละครั้ง ประมาณ 7 -12 วัน รวมทั้งหมด 15 ครั้ง รวมระยะเวลาประมาณ 1 ปี (หน้า ข. บทคัดย่อ)

History of the Group and Community

ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านป่ากลาง ในปี พ.ศ. 2510 เกิดการสู้รบระหว่างรัฐบาลไทยกับกลุ่มผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์แถบชายแดนไทย-ลาว เมื่อสถานการณืรุนแรงเจ้าหน้าที่ทางการไทยได้สั่งการให้ราษฎรที่ประกอบด้วยชาวไทยภูเขา 3 เผ่าคือ ม้ง เมี่ยนและถิ่น อพยพไปตั้งบ้านเรือนอยู่ในศูนย์อพยพชาวเขาบ้านป่ากลาง จนปี พ.ศ.2516 ทางราชการได้แต่งตั้งชุมชนแห่งนี้ขึ้นมาอย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็น “บ้านป่ากลาง” แล้วแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 4 หมู่ ได้แก่ หมู่ที่ 7,8,9,10 แต่ละหมู่บ้านมีการแต่งตั้งผู้ใหญ่บ้านปกครอง ให้ทั้ง 4 หมู่บ้านขึ้นอยู่กับ ต.ศิลาแลง อ.ปัว จ. น่านหมู่ที่ 7 เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของเผ่าถิ่น หมู่ที่ 8 เป็นที่ตั้งของประชากรเผ่าม้ง หมู่ที่ 9 เป็นที่ตั้งของเผ่าเมี่ยน หมู่ที่ 10 เป็นที่ตั้งของเผ่าม้งและถิ่น ต่อมาหมู่ที่ 7แยก ไปขึ้นกับต. ภูคาไปรวมกับหมู่บ้านสหราษฏรบำรุง ปัจจุบันบ้านป่ากลางจึงเหลืออยู่เพียง 3 หมู่คือ หมู่ที่ 8,9 และ10 เท่านั้น (หน้า 43,45) ประวัติเมี่ยนบ้านหมู่ที่ 9 บรรพบุรุษกลุ่มนี้เคยอาศัยอยู่ในแขวงไทรยะบุรี ประเทศลาวมาเป็นเวลา 200 กว่าปีก่อนอพยพเข้าสู่ประเทศไทย เมื่ออพยพเข้ามาก็แยกย้ายกันไปหลายกลุ่ม กลุ่มที่เป็นบรรพบุรุษเมี่ยนหมู่ที่ 9 บ้านป่ากลางเข้ามาทางเหนือของ จ.น่าน ตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณ “ช่องไพร่” (ปัจจุบันอยู่ใน อ.ทุ่งช้าง จ.น่าน) แล้วอพยพเข้า สู่ดอยห้วยสะนาว ตั้งบ้านอยู่ 4 หย่อม ได้แก่ หย่อมห้วยสะนาว หย่อมห้วยตาด หย่อมน้ำงอบและหย่อมห้วยก่อ โดยมีผู้ใหญ่บ้านอยู่ที่หย่อมน้ำงอบ อีกกลุ่มมาตั้งถิ่นฐานที่ปางแกซึ่งเป็นชุมทางผ่านของหลายเส้นทาง การเดินทางจากบ้านห้วยสะนาวไปปางแกสมัยก่อนใช้เวลาเดินเท้าครึ่งวัน ในปี พ.ศ.2510 หลังฤดูเก็บเกี่ยว มีผู้นำข่าวทางการมาแจ้งให้ชาวบ้านอพยพโยกย้ายออกจากหมู่บ้าน เนื่องจากมีผู้ก่อการร้าย คอมมิวนิสต์แผ่ขยายกำลังการสู้รบทำให้ไม่ปลอดภัย ชาวบ้านจึงอพยพรอนแรมมาเป็นเวลา 2 คืน 1 วัน จากการที่หย่อมบ้านที่อยู่บนดอยห้วยสะนาว รวมเป็นกลุ่มเดียวกันจึงถูกเรียกรวมว่า กลุ่มบ้านห้วยสะนาว จำนวนที่อพยพมามีทั้งสิ้น 34 ครัวเรือน ทางการจัดให้กลุ่มนี้พักที่โรงเรียนร้างคือ ร.ร.บ้านงอบ อ.ทุ่งช้าง ส่วนกลุ่มบ้านปางแกที่อพยพมา 22 ครัวเรือน ทางการจัดให้พักบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอทุ่งช้าง หลังจากนั้นผู้ชายเมี่ยนบางส่วนรวมกลุ่มกันหลบหนีจากที่พัก กลับไปที่บ้านห้วยสะนาวและบ้านปางแก เมื่อไปถึงก็พบว่าไร่สวนถูกเผาทิ้งทั้งหมด เมื่อเวลาผ่านไป 6 เดือน ทางราชการได้ย้ายกลุ่มบ้านห้วยสะนาวและกลุ่มบ้านปางแกมาอาศัยอยู่ในศูนย์อพยพบ้านป่ากลาง โดยทางการเป็นผู้จัดที่ดินให้แต่ละครอบครัว ให้ปลูกบ้านและใช้เป็นพื้นที่ทำกิน ปัจจุบันบ้านห้วยสะนาวและบ้านปางแกอยู่ในหมู่ที่ 9 ซึ่งทางราชการและคนทั่วไปเรียกว่า หมู่ที่ 9 บ้านป่ากลาง ชื่อห้วยสะนาวและปางแกใช้เรียกกันเฉพาะภายในกลุ่มที่รู้จักและเข้าใจประวัติความเป็นมาเท่านั้น (หน้า 50 – 52)

Settlement Pattern

บ้านป่ากลางอยู่ห่างจากอำเภอปัวไปทางทิศใต้ 6 กิโลเมตร ทิศเหนือติดต่อกับบ้านเฮี้ย ต. ศิลาแลง ทิศใต้ติดต่อกับบ้านนาคำ ต.ศิลาแลง ทิศตะวันออกติดต่อกับบ้านตีนตก บ้านหัวน้ำ ต.ศิลาแลงและเทือกเขา ต.ศิลาเพชร ทิศตะวันตกติดต่อกับบ้านหนองเตา ต.ศิลาแลง และเขตป่าของอ.. ท่าวังผา (หน้า 41) สำหรับบ้านหมู่ที่ 9 บ้านป่ากลาง ต.ศิลาแลง อ.ปัว จ.น่าน มีอาณาเขตติดต่อกับหมู่ต่าง ๆ ในบ้านป่ากลางดังนี้ ทิศเหนือติดต่อกับหมู่ 8 (บ้านน้ำเปิน) ทิศใต้ ติดต่อกับหมู่ที่ 10 (บ้านค้างฮ่อ) ทิศตะวันออก ติดต่อกับบ้านหัวน้ำ (ต.ศิลาแลง) ทิศตะวันตก ติดต่อกับหมู่ที่ 10 (บ้านค้างฮ่อ) (หน้า50) ลักษณะการตั้งบ้านเรือนและรูปทรงของบ้านหมู่ที่ 9 เป็นการตั้งเป็นหย่อมแต่ละหย่อมปลูกติด ๆ กันอยู่ในกลุ่มเครือญาติเดียวกัน ส่วนใหญ่ทำรั้วเป็นแนวเดียวกันในกลุ่มบ้าน บ้านแต่ละหลังนิยมปลูกไม้ผลให้ร่มเงา เช่น มะม่วง ขนุน มะขาม ฝรั่ง ลิ้นจี่ ลำไย กล้วย หย่อมบ้านตั้งอยู่ 2 ฟากถนน ปัว – ป่ากลาง บางหย่อมตั้งเรียงราย2 ฟากถนนปัว-ศิลาเพชร รูปทรงของบ้านเป็นลักษณะคร่อมดิน ใช้พื้นดินเป็นพื้นบ้านรูปทรงหลังคาเหมือนบ้านไทยในชนบททั่วไป มุงหญ้าแฝกหรือหญ้าคา บางส่วนใช้ สังกะสีมุงหลังคา ฝาบ้านใช้ไม้ผ่าซีก มี 3 ประตู คือ ประตูด้านซ้าย ขวาและประตูใหญ่ อยู่ด้านหน้าเรียกว่า “ต้มแกง” ตัวบ้านแบ่งพื้นที่เป็น 3 ส่วนคือบริเวณห้องครัว ส่วนที่ 2 เรียกว่า “ทึง” เป็ฯที่รับแขก ที่ประกอบพิธีกรรมและที่ตั้งโต๊ะอาหาร ส่วนที่ 3 เป็นห้องนอนแบ่งซอยเป็นห้องเล็กห้องน้อย ปัจจุบันมีบ้านที่ก่อสร้างแบบสมัยใหม่ พื้นบ้านเทคอนกรีต ทั้งแบบชั้นเดียวและสองชั้น หลังคามุงสะกะสีหรือกระเบื้อง ฝาบ้านเป็นอิฐบล็อก ก่ออิฐถือปูน (หน้า 52 – 53)

Demography

จำนวนประชากรทั้งหมดของหมู่บ้านป่ากลางมีทั้งสิ้น 290 ครอบครัว (หน้า 47)

Economy

การประกอบอาชีพ แต่เดิมเมี่ยนในหมู่ที่ 9 บ้านป่ากลาง ประกอบอาชีพค้าขาย ทำเกษตร เลี้ยงสัตว์และหาของป่าเท่านั้น ปัจจุบันส่วนใหญ่จะทำเครื่องเงินควบคู่ไปด้วย เมี่ยนบางส่วนมีอาชีพค้าขายอย่างเดียว บางส่วนทำเครื่องเงินอย่างเดียว บางส่วนทำเครื่องเงินควบคู่กับการเกษตร สำหรับการล่าสัตว์และหาของป่า ไม่ว่ามีอาชีพอะไรก็นิยมล่าสัตว์หาของป่าเสมอเมื่อมีโอกาส สัตว์ป่าที่มีให้ล่าปัจจุบันเหลือเพียง หมูป่าเก้ง เลียงผา ไก่ป่า นก ส่วนของป่าเป็นพวกสมุนไพร และผักผลไม้หลายชนิด (หน้า64) เมี่ยนส่วนใหญ่ในปัจจุบันประกอบอาชีพทำเครื่องเงิน ทุกหลังคาเรือนบ้านป่ากลางทั้งหญิงชายมีอาชีพทำเครื่องเงินและเครื่องประดับต่าง ๆ เช่น สร้อย เข็มขัด แหวน กำไลข้อมือ สร้อยข้อมือและต่างหู ฯลฯ เมี่ยนที่เป็นลูกจ้างในชุมชนส่วนใหญ่รับจ้างทำเครื่องเงิน (หน้า 68) มักจ้างม้งไปช่วยเป็นลูกมือ โดยที่เมี่ยนเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาให้และม้งต้องอยู่ทำงานให้ตามกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ ส่วนถิ่นจะรับจ้างม้งและเมี่ยน ทำไร่ข้าวโพด มันสำปะหลัง ฝ้าย มะม่วง ลิ้นจี่ มะขาม เป็นต้น นอกจากอาชีพทำเครื่องเงินและการเกษตรแล้ว บางรายยังเป็นนายทุนเงินกู้ มีการใช้เงินแท่งและเครื่องประดับทำด้วยเงิน เช่น ห่วงคอ กำไลเป็นหลักทรัพย์ใช้ค้ำประกันสำหรับผู้กู้ที่เป็นถิ่นมักต้องทำงานในไร่ชดใช้นายทุนแทนจำนวนเงิน นายทุนส่วนใหญ่เป็นม้งและเมี่ยน (หน้า 49) การเกษตรของเมี่ยนยังเป็นการเกษตรระดับครอบครัว ใช้แรงงานสมาชิกในครอบครัวและมีการแลกเปลี่ยนแรงงานตามแบบดั้งเดิม (ลงแขก) การจ้างงาน แรงงานส่วนใหญ่เป็นถิ่นและคนพื้นราบ (หน้า 64 – 65) เมี่ยนบริโภคข้าวเจ้าเป็นหลักส่วนข้าวเหนียวใช้ทำเป็นขนมต่าง ๆ เมี่ยนส่วนใหญ่มีอาหารรับประทานตลอดทั้งปี เพราะรู้จักการถนอมอาหาร เช่น การดองผักกาด ทำผักกาดแห้ง การดองหน่อไม้ การทำเนื้อเค็ม ขนมที่ใช้ในงานพิธีกรรมเฉพาะเรียกว่า “ยั้วจาง” เป็นขนมที่ทำด้วยข้าวเหนียวคลุกงาดำ หรืองาขาว แล้วนำมาห่อใบตอง ผลไม้ที่เมี่ยนนิยมรับประทานส่วนใหญ่เป็นผลไม้ที่ปลูกเอง เช่น กล้วย อ้อย มะละกอ ขนุน สับปะรด มะขาม แตงโม แตงไทย บางอย่างก็มีให้รับประทานตลอดปี บางชนิดมีเฉพาะฤดูกาล สำหรับผลไม้ที่หาได้ตามป่า เช่น มะไฟ มะเฟือง มะม่วง กระท้อน มะขามป้อม ลำไย กล้วย เงาะ มะกอก พลับ ลูกหวาย เป็นต้น (หน้า 60 – 62) พืชหลักสำคัญของเมี่ยน ได้แก่ ข้าวไร่ ข้าวโพดถั่วเหลือง ส่วนพืชที่ปลูกขาย เช่น ข้าวโพด ฝ้าย และมันสำปะหลัง พืชผักผลไม้ที่บริโภคไม่หมดก็มักแจกจ่ายให้เพื่อนบ้าน หรือขายภายในหมู่บ้าน บางครั้งแม่ค้าจากตลาด ใน อ. ปัวก็เข้ามาซื้อในหมู่บ้าน โดยเฉพาะผักกาดและแตงเป็นที่นิยมของคนพื้นที่ราบทั่วไป เมี่ยงบางครอบครัวที่ป่ากลางทำสวนมะม่วง มะขามหวาน ลิ้นจี่และลำไย สวนขนาดใหญ่จะจ้างคนงานดูแลมีการใช้เครื่องมือ เครื่องทุ่นแรงและระบบส่งน้ำทันสมัย อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น มีด ขวาน พร้า ลิ่มเงา เป็นต้น บางครอบครัวทำใช้เอง บางครั้งก็ทำจำหน่ายด้วย เมี่ยงเลี้ยงสัตว์เพื่อใช้บริโภค และใช้ประกอบพิธีกรรมมากว่าเลี้ยงไว้ขาย สัตว์ที่นิยมเลี้ยง เช่น ไก่ หมูบางครอบครัวเลี้ยงวัวควายเป็นอาชีพ โดยเอาไปเลี้ยงบนดอย บางครอบครัวเลี้ยงไว้ เป็นฝูงใหญ่ จ้างคนงานดูแล มีการใช้เทคโนโลยีทันสมัย เช่น การผสมเทียม ฉีดวัคซีนป้องกันโรค การล่าสัตว์เป็นการหาอาหารเพื่อการบริโภค เมี่ยนมีข้อห้ามและกฎในการล่าสัตว์เคร่งครัด เมี่ยนมีความชำนาญในการเดินป่ามาก สามารถบอกชนิดของสัตว์ได้จากการสังเกตรอยเท้าและมูลสัตว์ (หน้า 65 – 67) ผู้ที่ครอบครองที่ดินหลายสิบไร่ ส่วนใหญ่เป็นเจ้าของสวนไม้ผลขนาดใหญ่ ผู้ที่เป็นเจ้าของกิจการเครื่องเงินหรือนายทุนจัดเป็นผู้มีฐานะดี ช่างฝีมือที่รับจ้างทำเครื่องเงินถือว่ามีฐานะปานกลาง ผู้ที่จัดว่ามีฐานะยากจน คือผู้รับจ้างทำเครื่องเงินที่ไม่ใช่ ช่างฝีมือ เมี่ยนส่วนใหญ่นิยมสะสมทรัพย์สินเงินทอง โดยจะกันรายได้ส่วนหนึ่งไว้สะสม โดยเฉพาะแต่เดิม เมี่ยนนิยมสะสมในรูปของเงินแท่ง เงินรูปี เงินรูปพรรณต่าง ๆ เก็บไว้ในที่เร้นลับ ปัจจุบันเมี่ยนนิยมสะสมเงินสดฝากธนาคารควบคู่กันไป (หน้า 70)

Social Organization

ลักษณะความสัมพันธ์ในชุมชน ประชากรหมู่ 8 และหมู่ 10 มีความเกี่ยวพันทาง เครือญาติเป็นส่วนมาก เพราะสองกลุ่มนี้เป็นม้งเหมือนกัน ประกอบกับม้งนิยมแต่งงานในกลุ่มของตนเอง (คนละแซ่) จึงมีการแต่งงานในหมู่บ้านเดียวกันมาก การแต่งงานระหว่างเผ่ามีอยู่บ้างแต่ค่อนข้างน้อย เช่น ม้งแต่งงานกับเมี่ยน (หน้า 50) ลักษณะครอบครัวเมี่ยน เป็นครอบครัวเดี่ยว ประกอบด้วย พ่อ แม่และลูก เมื่อลูกชายแต่งงานจะพาภรรยาเข้ามาอยู่ในครอบครัวเดียวกัน จะกลายเป็นครอบครัวขยาย มีตั้งแต่ 8 -13 คน กรณีที่ครอบครัวมีลูกชายหลายคน เมื่อทุกคนแต่งงานหมดแล้วจะ มีลูกชายบางคนแยกครอบครัวมาปลูกบ้านใกล้กับบ้านพ่อแม่ ถือเป็นสมาชิกของ ตระกูล การแยกครอบครัวออกมาถือเป็นครอบครัวเดี่ยว ซึ่งไม่นานจะกลายเป็นครอบครัวขยาย ผู้หญิงเมี่ยนเมื่อแต่งงานไปแล้วจะนับถือตามฝ่ายบรรพบุรุษของสามี ผู้ชายเมี่ยนส่วนใหญ่นิยมมีภรรยาคนเดียว ไม่ค่อยพบว่ามีการหย่าร้างในสังคมเมี่ยน อำนาจการตัดสินใจส่วนใหญ่เป็ฯของฝ่ายชายซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว ทำหน้าที่ต่าง ๆ ในขณะที่ฝ่ายหญิงก็ช่วยทำงานในไร่และ ดูแลลูกทำงานบ้าน เย็บปักถักร้อย ปัจจุบัน หลายครอบครัวเปลี่ยนมาใช้นามสกุลแบบไทยอย่างเป็นทางการ แต่แซ่เดิมก็ยังมีความ สำคัญ เมื่อสืบถามถึงความเกี่ยวพันเป็นญาติพี่น้อง หรือเมื่อบูชาบรรพบุรุษประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ (หน้า 56)

Political Organization

การปกครอง หมู่ที่ 9 บ้านป่ากลาง อ.ปัว จ.น่าน มีผู้ใหญ่บ้าน 1 คน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 2 คน กรรมการหมู่บ้าน 13 คนและผู้ทรงคุณวุฒิ 8 คน ผู้ใหญ่บ้านมีอัธยาศัยดี มีความยุติธรรมต่อลูกบ้าน หากมีปัญหาหรือพบความเดือดร้อนก็ยินดีช่วยเหลือ นอกจากนี้ยังรอบรู้เรื่องราชการ ประเพณีวัฒนธรรม พิธีกรรมต่างๆ ของเผ่าตนเอง รวมทั้งมีความสามารถในการประกอบพิธีกรรมและอ่านเขียนภาษาเมี่ยน (ตัวอักษรจีน) ได้อีกด้วย ทำให้เป็นที่เคารพเชื่อถือของทุกคน นอกจากนี้ยังมีผู้อาวุโสในหมู่บ้านที่ได้รับ ความเคารพนับถือจากชุมชนเมื่อเกิดคดีความ ก็จะได้รับเชิญให้มาร่วมตัดสินกับคณะกรรมการฝ่ายปกครองที่ได้รับแต่งตั้งด้วย เมี่ยนยึดถือกฎของขุมชนเป็นสัญญาประชาคมในหมู่บ้านและจารีตประเพณีดั้งเดิม ยังถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชุมชนให้การ ยอมรับถือปฏิบัติเคร่งครัด (หน้า 69) การเมืองภายในชุมชน เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้มีฐานะ ดีบางรายที่ใช้ความได้เปรียบด้านเศรษฐกิจตักตวงผลประโยชน์ให้ตนเอง เช่น ใช้ท่อขนาดใหญ่ส่งน้ำเข้าสวนไม้ผลของตนเอง ทำให้ปริมาณน้ำไม่เพียงพอที่จะแบ่งปัน หรือการแย่งช่างฝีมือทำเครื่องเงินมาช่วยในกิจการ ด้วยการแข่งขันกันเสนอค่าจ้างที่สูงกว่าเดิม การพิพาทเรื่องเขตแดนพื้นที่ทำกิน ความขัดแย้งเหล่านี้ผู้ที่มีฐานะด้อยกว่า มักเสียเปรียบเนื่องจากไม่กล้าต่อต้านหรือคัดค้าน เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาผู้อาวุโสจะพยายามไกล่เกลี่ยให้ทั้งสองฝ่ายรอมชอม (หน้า70) เมี่ยนบ้านป่ากลางทุกคนมีบัตรประจำตัวประชาชน และมีสิทธิ์เลือกตั้งตามที่กฎหมายกำหนดไว้ แม้จะมีนักการเมือง เข้ามาพบปะพูดคุยกับชาวบ้านในฤดูหาเสียง แต่ความสนใจการเมืองในกลุ่มชาวบ้าน ยังอยู่ระดับต่ำมาก (หน้า 71) สำหรับปัญหาที่พบคือ เมี่ยนมีเวลาว่างจากการทำเครื่องเงินซึ่งเป็นงานที่ไม่หนักเหมือนทำงานเกษตร ทำให้มีบางส่วนเล่นการพนัน มีผู้เล่นการพนันประมาณ 20 คน ปัจจุบันมีผู้ติดยาเสพติดจำนวน 35 คนเป็นวัยรุ่นชายติดฝิ่น(มีรายได้จากการรับจ้างทำเครื่องเงิน) ส่วนผู้ติดสุรามี 60 คน รวมทั้งผู้ใหญ่และวัยรุ่น (หน้า 71)

Belief System

หมู่บ้านป่ากลางมีวัดทางพุทธศาสนา 1 แห่ง มีพระจำพรรษา 3 รูป สามเณร 3 รูป โบสถ์คริสต์นิกายโปรแตสแตนท์ 1 แห่ง ผู้สอนศาสนา 4 คน ส่วนใหญ่นับถือศาสนา คริสต์นิกายโปรแตสแตนท์ 70 ครอบครัว นิกายโรมันแคทอลิก 5 ครอบครัว นับถือศาสนาพุทธผสมกับการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อดั้งเดิม 40 ครอบครัว ที่เหลือ 175 ครอบครัวมีความเชื่อดั้งเดิมเรื่องผีสาง เทวดาและการบูชาวิญญาณบรรพบุรุษโดยเฉพาะ (หน้า 47) พิธีกรรมของเมี่ยน ที่ผู้วิจัยใช้ศึกษามีอยู่ 8 พิธี เป็นพิธีกรรมที่เมี่ยนบ้านป่ากลาง ยังถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ได้แก่ 1. พิธีเห่วเมี้ยน 2. พิธีซิบเมี้ยน เห่วเตา เห่วลู่ง 3. พิธีจิ่วเบย้าว่วน 4.พิธีซิบอ๊อเมี้ยน 5.พิธีทิมเมี้ยนคู้ 6. พิธีกว๋าดัง 7. พิธีโจ๋วซึงจา 8.พิธีโจ๋วซิน (หน้า 72) 1. พิธีเห่วเมี้ยน เป็นการเชิญเทพเจ้า เทพารักษ์วิญญาณบรรพบุรุษและบุคคล ในครอบครัวที่ล่วงลับไปแล้ว ให้มารับประทานอาหารร่วมกัน ถือเป็นการแสดงความ กตัญญู ความรักและห่วงใย ทำให้ครอบครัวมีทรัพย์สินเงินทอง มีความสุขความเจริญ แบ่งเป็น 2 วาระคือ หลังจากประกอบพิธีกรรมใดๆ ก็ตาม เมื่อจะรับประทานอาหาร ต้อง “เห่วเมี้ยน” ก่อนทุกครั้ง วาระที่สอง ในโอกาสที่ได้ไปเยี่ยมลูกหลาน ญาติพี่น้อง ที่นับถือบรรพบุรุษเดียวกัน เมื่อจะรับประทานอาหารเฉพาะมื้อแรกต้อง “เห่วเมี้ยน” เพราะถือว่าก่อนออกจากบ้านเพื่อเดินทางไกล ต้องบอกกล่าวบรรพบุรุษเพื่อให้ติดตามไปด้วย ให้คุ้มครอง หรือให้มาสำแดงเหตุบอกลางล่วงหน้า หากมีเหตุเช่น เก้งร้อง นกบินผ่านหน้า งูเลื้อยผ่านหน้า ไก่ตัวเมียขัน หรือนกบินเข้าบ้าน จะงดการเดินทางทุกกรณี หรือเมื่อฝันเห็นสิ่งที่ถือเป็นเหตุร้าย เมี่ยนจะบอกกล่าวเทพเจ้าและวิญญาณบรรพบุรุษ ขอความคุ้มครองผู้ที่เกรงว่าอาจจะเสียชีวิต ให้รอดพ้นอันตราย หรือหากจะโค่นต้นไม้ใหญ่ จะต้องทำพิธี “เห่วเมี้ยน” เพื่อขอขมาต่อ “ตปูงเมี้ยน” และบรรพบุรุษที่ล่วงลับ เนื่องจากเป็นการล่วงละเมิดสถานที่สิงสถิตของเทพารักษ์ เมี่ยนมีข้อห้ามตัดโค่นต้นไม้ ห้ามถางป่าบริเวณต้นน้ำลำธารรัศมี 3 กิโลกเมตร ผู้ละเมิดจะถูก “ซุยเก๊าเมี้ยน” คิอ เทพเจ้าผู้ดูแลรักษาน้ำจะลงโทษให้มีอันเป็นไปต่าง ๆนานา เมี่ยนเชื่อว่าแม่น้ำลำธาร ทุกแห่งหนมี “บฮ้อยล่วงฮู่ง” เทพารักษ์รักษาน้ำที่สิงสถิตอยู่ การทำให้นำสกปรกจะถูก ลงโทษให้เจ็บป่วย หากมีผู้ละเมิดข้อห้ามที่กล่าวมาข้างต้น จะต้องทำพิธีเห่วเมี้ยน ขอ ขมาเทพารักษ์รวมทั้งขอวิญญาณบรรพบุรุษมาช่วยคุ้มครอง ดูแลไม่ให้ได้รับโทษหนักเกินไป การเชิญมากินอาหารร่วมกัน หรือเชิญมาให้บอกเหตุลางล่วงหน้า หัวหน้าครอบครัวหรือผู้ชายคนใดคนหนึ่งในครอบครัว จะเป็นผู้ประกอบพิธี ส่วนผู้หญิงจะประกอบพิธี “เห่วเมี้ยน” ต่อเมื่อมีเหตุการณ์คับขันหรือขณะที่ไม่มีผู้ชายอยู่เลย การประกอบพิธีจะใช้กระดาษที่ถูกตอกพิมพ์เป็นรูปสี่เหลี่ยมซ้อนทับกัน เรียกว่า “เจี๊ยก๋อง” ถือเป็นเงินจ่ายให้ผู้ล่วงลับหรือจ่ายให้เทพเจ้า เทพารักษ์ นำ “เจี๊ยก๋อง” มาเผาถือเป็น ค่าพาหนะ ค่าเสียเวลา ทำหลังจากเอ่ยนามผู้ที่ต้องการเชิญ กล่าวคำเชิญพร้อมบอก วัตถุประสงค์ พิธี “เห่วเมี้ยน” จัดเป็นพิธีขนาดเล็กของครอบครัว หากหัวหน้าครอบครัวหรือเจ้าของบ้านไม่สามารถประกอบพิธีได้ จะขอญาติหรือเพื่อนบ้านมาช่วยทำพิธี (หน้า 72 – 76) 2. พิธีซิบเมี้ยน เห่วเดา เห่วลู่ง จัดขึ้นเมื่อเกิดเหตุความแห้งแล้ง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล โดยผู้อาวุโสเมี่ยนจะตกลงกันแล้วบอกกล่าวคนในชุมชน เพื่อหาข้อตกลงทำ พิธีร่วมกัน ถือเป็นพิธีบนบาน “หยุดต๋ายฮู่ง” เพื่อขอให้ฝนตกหรือหยุดตามแต่ความต้องการของเมี่ยน เรียกสั้น ๆ ว่า “เห่วลู่ง” การประกอบพิธีแบ่งเป็น 2 ขั้นตอนคือขั้นตอนบนบานและขั้นตอนเซ่นไหว้ การบนบานให้ฝนตกเรียกว่า “เจี่ยวบยุ่ง” การบนบานให้ฝนหยุดเรียกว่า “เจียวหาน” ผู้ประกอบพิธีที่ได้รับเลือกจากที่ประชุม จะลอกคาถา เป็นภาษาเมี่ยนลงกระดาษ แล้วเผากระดาษถือว่าเป็นหนังสือให้ “โจ๋วเมี้ยน” (เทพเจ้า แห่งเตาไฟ) ไปยื่นให้นาง “หยุดต๋ายฮู่ง” (เทพธิดาผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินแผ่นฟ้า) เพื่อ ขอให้นางไปยื่นต่อ “หยุดต๋ายฮู่ง” เทพเจ้าผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินแผ่นฟ้าต่อไป หลังจาก นั้นจะมีการเซ่นไหว้ตามที่ได้บนบานไว้ ทุกคนจะนำเงินมารวมกันซื้อของที่จะใช้ในพิธี เช่น “ตู้ง” (หมู) “ฮูง” เป็นเปลือกไม้ที่มีกลิ่นหอมเมื่อเผาไฟ หรือใช้ธูปแทน “ติ้ว” (เหล้า เมี่ยนนิยมทำเหล้าจากข้าวโพด) “กิ๋ม” ทำจากเหล็ก ร้อยไว้ด้วยเหรียญเป็นพวง เหรียญสุดท้ายลงด้วยเลขคี่ “ฮูงโล่ว” ทำจากกระบอกไม้ไผ่ที่ตัดแล้ว ก้นกระบอกรองด้วยขี้เถ้าวางถ่านที่ติดไฟ 3 ก้อนลงไป แล้วใช้ “ฮูง” โรยบนถ่านไฟ ปัจจุบันบางครอบครัวใช้กระป๋องนมแทนกระบอกไม้ไผ่ “ซิ่งก๋วน” เป็นไม้เท้าทำจากไม้เนื้อแข็งสีดำ แกะสลักเป็นรูปแปดเหลี่ยนม หรือ 12 เหลี่ยม “ทินฮู่งเคาะ” ทำจากไม้มงคล เวลาประกอบพิธีจะ ปักไม้ลงตัว “ทิ่นฮู่งเคาะ” จะหงายขึ้น เวลาทำพิธีจะนำของทั้งหมดมารวมกันไว้ การประกอบพิธี “เห่วลู่ง” จะเป่าเขาควาย ผู้ทำพิธีว่าคาถา กล่าวขอบคุณ “หยุดต๋ายฮุ่ง” แล้วกล่าวเชิญให้มารับเครื่องเซ่นไหว้ จากนั้นจีงเผา “เจ๊ยก๋อง” เป็นพิธีของชุมชน แต่ ทุกครอบครัวต้องส่งตัวแทนเข้าร่วมอย่างน้อยครอบครัวละหนึ่งคน ผู้เข้าร่วมต้องเป็น ชายเท่านั้น และช่วยกันปรุงอาหารในสถานที่ประกอบพิธีนั้น อาหารที่รับประทานแล้วห้ามผู้หญิงรับประทาน ห้ามนำกลับบ้านให้เททิ้งหมดหรือเก็บไว้ในบริเวณประกอบพิธีเพื่อให้ผู้เข้าร่วมพิธีแต่แรกรับประทานในวันถัดไป (หน้า 76 -79) 3. พิธีจิ่วเบย้าว่วน เป็นพิธีเรียกขวัญข้าว ข้าวโพด เมล็ดฝิ่น เมล็ดฟักทอง เมล็ด ผักกาด พืชไร่พืชสวน เครื่องประดับที่ทำด้วยเงิน เงินแท่ง ฯลฯ จัดขึ้นเพื่อแสดงความ เคารพนับถือและขอบคุณ “กุ๊ฮู่ง” ผู้ที่เมี่ยนนับถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งพืชพันธุ์ทั้งปวง เป็นการวิงวอนให้เทพดลบันดาลให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดสมบูรณ์ มีเงินทองติดบ้าน มักนิยมทำก่อนเพาะปลูก หรือทำเมื่อเก็บเกี่ยวเสร็จก่อนนำเมล็ดพืชที่คัดเลือกไว้ทำ พันธุ์ไปเก็บ ทำโดยนำเมล็ดพืชไปใส่ใน “จุย” เพื่อเรียกขวัญก่อนเก็บในยุ้งฉาง ผู้ใหญ่ จะสอนเด็กให้ทำตาม โดยให้คัดเลือกเมล็ดพันธุ์ นำมาผึ่งแดด คัดแยกแล้วผู้ใหญ่จะเล่า ตำนานเกี่ยวกับพืชต่าง ๆ ให้ฟังด้วย จากนั้นก็ทำพิธีเรียกขวัญก่อนนำเมล็ดไปเพาะปลูกในไร่นา เมี่ยนให้ความสำคัญกับข้าวมากที่สุด เชื่อว่าขวัญข้าวจะหนีต้องทำพิธี “จิ่วเบย้าว่วน” เรียกขวัญข้าวกลับมา หากเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ อาทิ ราวที่แขวนรวงข้าว ขาด เมื่อล้างหม้อข้าว แล้วเทข้าวที่ติดก้นหม้อทิ้ง หรือยุ้งฉางที่เก็บข้าวถูกไฟไหม้ ลม พัดโค่นล้มเสียหาย หรือเวลาที่สามีภรรยาทะเลาะเบาะแว้ขว้างปาทุบชามภาชนะใส่ข้าว การทำพิธีจะมี 2 พิธีย่อย คือ พิธีสันกุ๊ และพิธีเห่วลู่งหัวหน้าครอบครัวจะดูตำราหาฤกษ์ยาม และไปขอผู้ทำพิธี 2 คนเรียกว่า “ซิบเมี้ยนเมี่ยน” เป็นผู้อยู่คนละตระกูลกับเจ้าของงาน ผู้ประกอบพิธีสันกุ๊ไม่ต้องอ่านคาถาที่เขียนด้วยตัวจีน ผู้ประกอบพิธีเห่วลู่งต้องอ่าน ภาษาเมี่ยนที่เขียนด้วยตัวจีนได้ การขอซิบเมี้ยนเมี่ยนต้องขอล่วงหน้า 1 สัปดาห์ให้ผู้ประกอบพิธีเตรียมตัวประพฤติเพศพรหมจรรย์และไม่นัดหมายผู้อื่น ของที่ใช้ในพิธีมี ไก่ลวก จ๋าว (ท่อนไม้หรือไม้ผ่าซีก) สิเจียน (ผ้าขาวห่อข้าวสารและบรรจุเงินแท้ ผูกมัด ด้วยฟางข้าว) อวมเอี้ยน (ถ้วยน้ำ จอกเหล้าที่นำมาใส่น้ำ) ยั๊วสิว (ขนมชนิดหนึ่งลักษณะคล้ายบัวลอยของไทย) เมื่อซิบเมี่ยนมาถึงก็จะเข้าประจำโต๊ะพิธี เริ่มพิธีพร้อม ๆ กัน ผู้ ประกอบ “พิธีสันกุ๊” ใช้จ๋าวตบ 3 ครั้งว่าคาถา แล้วเผา “เจ๊ยก๋อง” เป็นเงินให้ “กู๊ฮู่ง” เป็นค่ารถ ค่าม้าค่าเสียเวลาในการเดินทางมาร่วมพิธี ส่วน ”พิธีเห่วลู่ง” จะใช้จ๋าวตบ 3 ครั้ง วางกระดาษที่เขียนคาถาลงกระด้งใบเดียวกัน ผู้ประกอบพิธีเป่าเขาควายเชิญ “หยุด ต๋ายฮู่ง” มาในพิธี ว่าคาถา เผากระดาษ เป็นการจ่ายเงินค่ารถ ค่าม้า ค่าเสียเวลาใน การมาร่วมพิธี หลังจากพิธีย่อยทั้งสองเสร็จสิ้นลง ภรรยาเจ้าของบ้านจะนำไก่และหมู ที่ใช้เซ่นไหว้มาปรุงอาหาร ก่อนลงมือรับประทานจะทำพิธีเห่วเมี้ยน อาหารที่ปรุงแยก เป็น 2 สำรับแยกชายหญิง และมอบค่าครูให้ผู้ประกอบพิธีเห่วลู่ง (หน้า 79 - 83) 4. พิธีซิบอ๊อเมี้ยน เป็นพิธีที่ใช้ในการไปล่าสัตว์ เพื่อขอให้ “อ้อเมี้ยน” (ผีเรือนที่ประจำ จัวของผู้ล่าสัตว์) ช่วยปกปักรักษาให้ปลอดภัย เมี่ยนเชื่อว่าสัตว์ป่าทุกตัวเป็นของ “ตปูงเต่ยเซี้ยวเมี้ยน” (เทพเจ้าผู้เลี้ยงดูสัตว์ป่าและเป็นเจ้าของสัตว์ป่าทั้งหมด) จึงต้องมี “อ้อเมี้ยน” เป็นผู้เจรจาขอแบ่งจากเจ้าของ และขอต้อนสัตว์มาให้ยิง มีกฎเกณฑ์ในการล่า คือในปีหนึ่ง จะยิงสัตว์ได้รวมกันไม่เกิน 4 ตัวมีข้อห้ามคือ ห้ามนำเนื้อไปทิ้ง ห้ามพูดว่า เนื้อเหนียว แข็ง เหม็นไม่อร่อย ให้แบกสัตว์ขวางกับลำตัว แบกได้เพียงคนเดียว ถ้าสัตว์ใหญ่มากแบกไม่ไหว ให้หั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วผู้ร่วมคณะช่วยแบ่งไปแบก หากได้สัตว์ 4 เท้าให้ทำพิธี “ปุ้ยจ้อย” (เป็นการขอบคุณอ้อเมี้ยนที่หาสัตว์มาให้) ถือเป็นการซื้อสัตว์จาก เทพเจ้าผู้เลี้ยงดูสัตว์ป่า ถ้าได้สัตว์เล็ก เช่น นก กระรอก ไก่ป่าไม่ต้องทำพิธี ถ้าไปล่าเพียง คนเดียวนำสัตว์เข้ามาทำพิธีในบ้านได้ แล้วทำเพียงว่าคาถา ไม่ต้องมีอุปกรณ์ ถ้าไปล่า เป็นคณะให้นำสัตว์วางไว้นอกบ้าน เมื่อเสร็จพิธีปุ้ยจ้อย ผู้ยิงสัตว์จะต้องแบ่งให้ผู้ร่วมคณะ แล้วเอาเฉพาะส่วนที่เหลือ หากไม่เหลือเลย ผู้ยิงก็จะได้เฉพาะส่วนหัว เนื้อสัตว์ ที่ได้รับส่วนแบ่งหรือได้มาทั้งหมด จะต้องปรุงแล้วแบ่งให้เพื่อนบ้านด้วย พิธีซิบอ๊อเมี้ยนไม่มีกำหนดฤกษ์ยาม จะนำสิ่งของมาจัดวางบนโจ๊ะที่ใช้ประกอบพิธี ว่าคาถา นำ “เจ๊ยก๋อง” มาแจกแจงให้ “อ้อเมี่ยน” รับทราบว่าเป็นค่ารถ ค่าม้า ค่าเสียเวลาที่เดินทาง มา และจ่ายลวงหน้าสำหรับการขอให้ไปเจรจากับ “ตปูงเต่ยเซี้ยวเมี้ยน” รวมทั้งที่ขอ ต้อนสัตว์มาให้ยิง เมื่อบอกกล่าวแล้วก็เผา “เจ๊ยก๋อง” และทำพิธีส่ง “อ้อเมี้ยน” กลับ (หน้า 83 - 85) 5. พิธีทิมเมี้ยนคู้ หมายถึง การแจ้งเกิดและแจ้งย้ายเข้ามาเป็นสมาชิกของครอบครัว ให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วได้รับรู้ ซึ่งทำเมื่อมีเด็กเกิดใหม่ในครอบครัวและเมื่อรับเด็ก คนอื่นแป็นบุตรบุญธรรม ส่วนการแจ้งย้ายหมายถึง เจ้าสาวย้ายเข้ามาอยู่บ้านเจ้าบ่าว ผู้วิจัยได้ข้อมูลเฉพาะกรณีเด็กเกิดใหม่ในครอบครัว พิธีทิมเมี้ยนคู้มีทั้งหมด 3 พิธีย่อย คือ พิธีสาอุ๋ย พิธีทิมเมี้ยนคู้ และพิธีบั๋วฟามจิว ในครอบครัวเมี่ยน หากมีเด็กเกิดใหม่ ตั้งแต่ 1–3 วัน จะทำพิธีทิมเมี้ยนคู้และตั้งชื่อเด็กด้วย โดยนิยมทำในวันที่ 3 ภายหลัง หากเด็กเกิดเจ็บป่วย เมี่ยนจะขอผู้รู้มาเสี่ยงทาย ถ้าชื่อเด็กไม่ถูกโฉลกก็ต้องเปลี่ยนชื่อใหม่ มักทำพิธีเวลาเช้าตรู่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเล็กน้อย หัวหน้าครอบครัวเป็นผู้ขอ “ซิบเมี้ยนเมี่ยน” มาประกอบพิธีโดยต้องเป็นผู้ชายที่อยู่คนละครอบครัว หรือห่างกันตั้งแต่ สองรุ่นขี้นไป ผู้ที่เข้าพิธีบวชของเมี่ยนแล้วและได้ครอบครูด้วย พิธีย่อยพิธีแรกที่ทำคือ พิธีสาอุ๋ย ถือว่าผู้หญิงหลังคลอดบุตรต้องขับสิ่งที่ทำให้เกิดมลทินออกไปจากตัว จะ ห้ามไม่ให้เดินผ่านบ้านผู้อื่น ซิบเมี้ยนเมี่ยนจะว่าคาถาแล้วใช้กิ๋มจุ่มน้ำ ทิ้งไว้ 1 นาที แล้วยกขึ้นอ้าปากรับน้ำที่หยด แล้วยกกิ๋มวาดในอากาศ พ่นน้ำที่อยู่ในปากทิ้ง ทำ 3 หน เป็นการชำระมลทินให้แม่และเด็ก เมื่อเสร็จพิธีสาอุ๋ย ย่าของเด็กหรือญาติที่เป็นผู้หญิง จะอุ้มเด็กมาอยู่ใกล้ ๆ ผู้ประกอบพิธี ผู้ประกอบพิธีจะทำพิธีบอกกล่าวครูของตนเองและขออนุญาตครูก่อนจะประกอบพิธี เริ่มจากใช้จ๋าวตบ 3 ครั้ง กล่าวเชิญบรรพบุรุษของครอบครัวที่กำลังทำพิธีที่ล่วงลับไปแล้ว โดยเชิญให้มานั่งดื่มเหล้า แล้วว่าคาถามอบ เจ๊ยก๋องให้บรรพบุรุษที่เชิญมา สำหรับขั้นตอนการแจ้งเกิด ผู้ประกอบพิธีจะใช้จ๋าวเสี่ยงทายว่าเด็กเกิดใหม่จะแจ้งเกิดกับบรรพบุรุษท่านใด ขั้นนี้เรียกว่า “ทิม” ถ้า ทิมกับบรรพบุรุษที่ยังมีชีวิตอยู่ก็เรียก “ทิมเมี่ยน” ถ้าทิมกับบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วเรียก “ทิมเมี้ยนคู้” โดยผู้ทำพิธีจะถามเด็ก หากเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่จะถามด้วยวาจา ถ้าเป็นผู้ ล่วงลับไปแล้วจะใช้ จ๋าวเสี่ยงทาย โดยสอบถามและขอให้วิญญาณบรรพบุรุษรับไว้ เป็นสมาชิกของตระกูล ขอให้ท่านช่วยคุ้มครองดูแลให้ปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง การประกอบพิธีบั๋วฟามจิว จะให้ญาติผู้ใหญ่อุ้มเด็กออกมานอกบ้านแล้วบอกให้เด็กดูพระอาทิตย์ บอกกล่าวด้วยภาษาเมี่ยนแล้วอุ้มเด็กเข้าบ้านให้พ่อเด็กโกนผมไฟทิ้ง เชื่อกันว่าจะทำให้เด็กมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง เหมือนแสงสว่างของพระอาทิตย์ จากนั้นผู้เป็ฯพ่อจะนำวัน เดือนปีเกิดให้ซิบเมี้ยนเมี่ยนตรวจ ถ้าเป็นวันไม่ดีจะแก้เคล็ด แล้วตั้งชื่อให้ เด็ก เมื่อเสร็จพิธีถือว่าเด็กได้เป็นสมาชิกครอบครัวอย่างสมบูรณ์ ผู้ประกอบพิธีจะส่งวิญญาณบรรพบุรุษที่เชิญมากลับที่สิงสถิต แล้วเผา “เจ๊ยก๋อง”ไปให้ (หน้า 86 – 89) 6. พิธีกว๋าตัง มีชื่อเรียกอีกชื่หนึ่งว่า “ฟามทอยตัง” หมายถึง “ตะเกียงสามดวง” ถือเป็น พิธีบวชขั้นต้น เหมือนบวชสามเณรในพุทธศาสนา เป็นการยกระดับจิตวิญญาณผู้บวช ให้พ้นสภาพจากการเป็น “แปะควา” ไปสู่สภาพ “ฝะ” (ฉายานำหน้าผู้ที่บวชแล้วเหมือน “ทิด” ) ผู้ที่ผ่านพิธีกว๋าตังถือว่าได้เรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีประจำเผ่า โดยพ่อแม่ของเด็กที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกันจะร่วมกันหาฤกษ์ยาม มีการเชิญวิญญาณผู้ล่วงลับมาเข้า พิธีด้วย ใช้เวลานานในการเตรียมพิธีอาจเป็นปี ก่อนวันประกอบพิธี 10 วัน หัวหน้าครอบครัวจะไปขอผู้ประกอบพิธีเรียกว่า “ไซเมี่ยน” บอกวัตถุประสงค์ให้ทราบ โดย มอบน้ำชา ยาสูบ ถ้าไซเมี่ยนรับของแสดงว่ารับที่จะช่วย เจ้าภาพจะนัดหมายวันเวลา เพื่อผู้ประกอบพิธีจะได้เตรียมตัวประพฤติเพศพรหมจรรย์ เมื่อไซเมี่ยนมาถึงในพิธี เจ้าภาพจะนำของมาต้อนรับ เริ่มที่โต๊ะกินเลี้ยงมื้อแรกของงาน มีการรับประทานอาหาร ต้อนรับแขก จัดหาของใช้ และจัดเตรียมสถานที่ หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงก็จะกระจายกัน ไปทำหน้าที่ ฝ่ายจัดสถานที่จะนำเมี้ยนฝาง (รูปภาพเขียนเทพเจ้าที่เมี่ยนให้ความ เคารพ) มาแขวนที่ฝาผนังห้องประกอบพิธีเรียกว่า “ทีง” ถือเป็นเขตหวงห้ามสำหรับ ผู้หญิง ยกเว้นแม่ผู้บวชและผู้หญิงที่ทำขนม “ยั้วจาง” มีการฆ่าหมู ไก่เตรียมทำอาหาร มื้อถัดไป ประโคมดนตรีด้วยทำนองระทึกใจ มีข้อห้ามสำหรับผู้ประกอบพิธีผู้บวชและ ผู้มาช่วยงานคือ ห้ามพูดในสิ่งอัปมงคล ห้ามมีเพศสัมพันธ์ ห้ามเก็บสิ่งของที่ผู้อื่นทำตก ไว้เป็นของตนเอง ต้องนำส่งคืนเจ้าของ ส่วนข้อห้ามสำหรับผู้บวชช่วงทำพิธีคือ ห้ามรับประทานเนื้อสัตว์หรือไขมันสัตว์ทุกชนิด พิธีกว๋าตังมีพิธีย่อยคือ “พิธีตังแปง” เป็นการอัญเชิญเทพมาชุมนุมกันเพื่อให้เกิดศิริมงคล ผู้เข้าพิธีจะต้องแต่งกายด้วยชุดนักบวช ผู้บวชแต่ละคนจะมีพี่เลี้ยงช่วยดูแล ฝ่ายจัดงานจะใช้จอกเหล้าหล่อด้วยน้ำมันงาทำเป็นตัวตะเกียง มีการวางตะเกียงลงบนแท่นแล้วจุดตะเกียงทั้งหมด ให้ผู้บวชนั่งหันหน้าตรงกับตะเกียงดวงกลาง (ผู้บวชแต่ละคนจะมีแท่นวางตะเกียง 3 ดวง) ตะเกียงแต่ละดวง มีความหมายคือ ดวงกลางหมายถึง พ่อของผู้บวช เรียกว่า “โจวป๊วนไซ” ดวงด้านขวา หมายถึง ญาติฝ่ายพ่อ “บัวะไซ” มีผู้ประกอบพิธีบริกรรมคาถา บางรายอาจสวดปากเปล่า ใช้เวลาสวด 3 ชั่วโมง ผู้จัดสถานที่จะนำแท่นตะเกียงออกไปจากบริเวณประกอบ พิธี ไซเมี่ยนและผู้ช่วยประกอบพิธีจะออกมาเต้นรำหน้า “เมี้ยนฝาง” ผู้บวชทั้งหมด จะลุกขึ้นมาเต้นตาม โดยดูไซเมี่ยนเป็ฯตัวอย่าง มีการร้องเพลงคลอไปตามด้วย พิธีนี้ ใช้เวลาประกอบพิธี 2 คืน 3 วัน เมื่อเสร็จพิธี ผู้บวชจะเปลี่ยนชุดมาสวมเครื่องแต่งกาย ตามปกติ อาหารมื้อแรกหลังเข้าพิธีเป็นข้าวกับไก่ต้ม 1 ตัวต่อคน (หน้า 89 -93) 7. พิธีโจ๋วซึงจา หรือ “โจ๋วซึงจาตอน” คือ พิธีแต่งงานเล็ก หากเป็นพิธี “โจ๋วต้มซึงจา” เป็นพิธีแต่งงานใหญ่ ผู้วิจัยศึกษาเฉพาะพิธี “โจ๋วซึงจา” เท่านั้น เมื่อมีการสู่ขอตกลง แต่งงานกันแล้ว ก็จะกำหนดฤกษ์ยาม ซึ่งมักทิ้งระยะเวลาเตรียมงานกันเป็นปี คือ เจ้าสาวต้องเตรียมตัวเรื่องเครื่องแต่งกาย และต้องไปเรียนรู้การทำงานบ้านกับทางครอบครัวเจ้าบ่าว พิธีเริ่มเมื่อเจ้าบ่าวมาถึงบ้านเจ้าสาว มีการฆ่าไก่ 3 ตัว เมี่ยนนิยม ใช้ไก่สีแดง ไก่ตัวแรกเรียกว่า “เตี๋ยหม่าไจ” ใช้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่เจ้าสาว ไก่ตัวที่ 2 เรียกว่า “องกู่ไจ” ใช้ทดแทนบุญคุณปู่ย่าของเจ้าสาว ไก่ตัวที่ 3เรียกว่า “มุ่ยเมี่ยนไจ” ขอบคุณพี่สาวเจ้าสาวที่ได้ช่วยพ่อแม่เลี้ยงดูเจ้าสาว หากเป็นลูกคนเดียวก็ให้ญาติ ฝ่ายแม่มีศักดิ์เป็นน้าของเจ้าสาว หรือญาติที่ใกล้ชิดแม่ที่สุด (ไก่ตัวที่ 1 และตัวที่ 2 จะมีการเชิญวิญญาณโดยมีจอกเหล้าวางคว่ำ 1 จอก ตะเกียบ 1 คู่ด้วย) ส่วนไก่ตัวที่ 3 ไม่มีการเชิญวิญญาณ เจ้าบ่าวต้องให้หมูตัวเมีย 1 ตัว ตัวผู้ 1 – 2 ตัว หมูตัวเมียเรียกว่า “มุ่ยเมี่ยนตู๋ง” สำหรับบุคคลเดียวกับที่ให้ “มุ่ยเมี่ยนไจ” (ไก่ตัวที่ 3) หมูตัวที่ 1 เรียกว่า “เสี่ยองถายฟิ่นโคว์ตู่ง” (การตอบแทนบุญคุณ) เพื่ออุทิศให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ของเจ้าสาว ถือเป็นการทดแทนบุญคุณที่เคยคุ้มครองดูแลเจ้าสาวมา หมูตัวที่ 2 เรียกว่า “เจี๋ยย่านตู๋ง” สำหรับพ่อแม่เจ้าสาว จะให้หรือไม่ให้ก็ได้ ถ้าให้แล้ว พ่อแม่เจ้าสาวต้อง ส่งตัวเจ้าสาวมาที่บ้านเจ้าบ่าว แต่ถ้าไม่ให้ก็จะไม่มีการส่งตัว ถ้าพ่อแม่เจ้าสาวมีหมูเรียกว่า “ชวดจ๋าตู๋ง” ให้ด้วยก็จะฆ่าพร้อมกันกับหมูที่เจ้าบ่าวเตรียมมา การให้ถือเป็น การแสดงความขอบคุณญาติที่ช่วยดูแลเจ้าสาวมา มีการมอบ “เจี๋ยย่าน” (สินสอดที่ เป็นเงินแท่งหรือเงินรูปี ปัจจุบันใช้เงินสดแทนได้) ให้แก่พ่อแม่เจ้าสาวตามแต่ตกลงกัน จัดพิธีมอบที่โต๊ะกินเลี้ยงที่มช้ “เจี๋ยย่านตู๋ง” ปรุงเป็นอาหาร หรือมอบที่โต๊ะกินเลี้ยงที่ อาหารปรุงด้วยหมู หลังมอบสินสอดแล้วเจ้าบ่าวในชุดประจำเผ่าเต็มยศจะเดินนำหน้าเจ้าสาว นำถ้วยเหล้าและถ้วยชาไปให้แขกดื่มอวยพร เป็นการแสดงความคารวะ ขอบคุณจนกระทั่งครบรอบโต๊ะ พ่อแม่เจ้าสาวและญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายจะยกถ้วย เหล้าคารวะแขกในงาน แล้วทำพีแจ้งบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วให้รับทราบว่าตัวเอง จะขอลาออกจากการเป็นสมาชิกของตระกูล โดยการประกอบพิธี “แชะเมี้ยนคู้” โดยมีผู้ทำพิธีบอกกล่าววิญญาณบรรพบุรุษหรือใช้ผู้ประกอบพิธี “มุ่ยเมี่ยน” เมื่อกล่าวเสร็จ ผู้ประกอบพิธีจะให้โอวาทการครองเรือนแก่บ่าวสาว เป็นขั้นสุดท้ายของพิธีแต่งงาน ส่วนข้อห้ามเรื่องการแต่งงาน เมี่ยนห้ามผู้หญิงกับผู้ชายดวงไม่สมพงษ์แต่งงานกัน ห้ามแต่งงานในกลุ่มญาติพี่น้องใกล้ชิด และห้างผู้หญิงตระกูลแซ่ย่างแต่งกับผู้ชายตระกูลแซ่เติน (หน้า 93 – 98) 8. พิธีโจ๋วซิน เป็นพิธีศพของเมี่ยน มี 2 ประเภทคือ พิธีที่มีศพและพิธีที่ไม่มีศพ กรณี ที่ผู้ตายเป็นญาติผู้ใหญ่ เมี่ยนถือว่าเป็นการแสดงความกตัญญู เชื่อว่าวิญญาณผู้ตาย จะไปสู่ภพที่ทำให้วิญญาณกลายเป็นเทพ ลูกหลายจะได้อัญเชิญมาเคารพกราบไหว้ ให้คุ้มครองดูแล พิธีศพมีพิธีย่อยต่าง ๆ รวมอยู่หลายขั้นตอน สำหรับพิธีที่มีศพ เมื่อผู้ ที่อยู่ในครอบครัวเมี่ยนเสียชีวิตลง ผู้อยู่ในครอบครัวจะยิงปืนขึ้นฟ้า 3 นัดเรียกว่า “ฟามลิ่นฉง” ถือเป็นการเบิกทางให้วิญญาณเดินทางไปสู่ภพหน้า และเพื่อแจ้งข่าวให้ ทุกคนในชุมชนทราบ มีการเตรียมน้ำอุ่นเพื่อใช้ในพิธี “สาวซิน” หรืออาบน้ำศพ หากผู้ตายเป็นผู้ชายจะตัดผมออกเล็กน้อย ถ้าผู้ตายเป็นหญิงจะหวีผมให้ แล้วแต่งตัวด้วย ชุดประจำเผ่าหรือชุดที่ผู้ตายชอบ โดยใส่ซ้อนกันหลายชุด ชุดสุดท้ายต้องลงท้ายด้วย เลขคี่ หากผู้ตายเคยผ่านพิธีบวช ขุดสุดท้าย (นอกสุด)จะเป็นชุดที่ผู้ตายเคยใส่เข้าพิธี บวช เมี่ยนส่วนใหญ่เมื่อเข้าสู่วัยชราจะเตรียมชุดไว้สวมเมื่อตัวเองล่วงลับไปแล้ว โดยภรรยาจะเตรียมให้สามีและตนเอง ถ้าผู้ตายอยู่ในวัยหนุ่มสาวหรือไม่เคยบวช ชุดนอก สุดจะเป็นชุดประจำเผ่าเต็มยศ หากมีเสื้อผ้าเหลืออยู่จะพับใส่โลงไปด้วย แล้วใช้ผ้าขาว หรือผ้าดำมัด 3 ท่อนของลำตัวผู้ตาย ตือ หน้า เอว อก ใช้กระดาษฟางถือเป็นเงินใส่มือ ผู้ตาย 2 ข้างให้นำไปใช้ผ่านทางในโลกหน้า แล้วนำเงินแท้ใส่ปากผู้ตายเพื่อให้วิญญาณ พูดแต่สิ่งที่ดี ใช้ผ้าขาว 1 ผืน คลุมศพตั้งแต่เท้าถึงหน้าและใช้ผ้าดำคลุมทับอีกชั้นหนึ่ง แล้วยกศพนอนบนฟากที่ปูด้วยไม้ 3 ท่อน หนุนหมอนที่ทำด้วยถุงใส่ข้าวสาร แล้วยิงปืน ขึ้นฟ้า 3 นัดอีกครั้งหนึ่ง มีผู้ประกอบพิธีเรียกว่า “ไซเมี่ยน” หัวหน้าเรียกว่า “ต้มไซ” และ ผู้ช่วยเรียกว่า “ไซตอน” ผู้ที่ถูกเสนอชื่อจะได้รับมอบบุหรี่หรือยาสูบ หากรับของแสดงว่า ยอมรับจะช่วยงานตามที่ขอมา พิธีต่อไปคือ “ปู้งเมี้ยน” มีการแขวน “เมี้ยนฝาง”ไว้ที่ ผนังสองด้านบริเวณที่ตั้งศพ มีการประโคมดนตรี หลังพิธีปู้งเมี้ยนแล้ว ต้มไซและไซตอนจะเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว แล้วแบ่งผ้าขาวให้ลูกชายและลูกสะใภ้พันรอบศีรษะเป็นการ ไว้ทุกข์ มีการปัดรังควานก่อนนำศพเข้าโลง มีการตกแต่งโลงด้วยกระดาษตัดเป็นรูป ดอกไม้สีสดใส ยิงปืน 3 นัด จุดตะเกียง และมีพิธีเต้นรำหน้า “เมี้ยนฝาง” เมี่ยนเชื่อว่า เมื่อมีคนตายเพราะผีร้ายเป็นต้นเหตุ ผีร้ายจะยังอยู่ในร่างจนกว่าจะทำพิธี “แซะซูง เมี้ยน” นำผีร้ายออกจากร่างให้ผู้ตายบริสุทธิ์ พิธีนี้ถือเป็นพิธีสำคัญที่สุดในพิธีศพ นอกจากพิธีส่งวิญญาณผีร้ายออกไปด้วยการทิ้งเรือที่เรียกว่า “โบว้ซูงเมี้ยน” แล้ว ยัง มีพิธี “ฉำหาง” เป็นพิธีตัดจาดผู้ตายกับผู้ที่ยังอยู่ จัดเพื่อให้ญาติหักห้ามใจและผู้ตาย หมดห่วงจะได้ไปสู่ภพหน้าอย่างสงบอีกด้วย เมื่อจะนำศพไปเผาจะมีการเคาะฝาบ้าน เชื่อว่าเป็นการขับไล่ผีร้ายออกจากบ้าน แล้วทุบตะเกียงที่จุดไว้ให้แตก เก็บเศษแก้ว แตกไปทิ้งที่เผาศพด้วย มีการอุ้มไก่และว่าคาถา ต้มไซจะเป็นผู้ทำพิธีจุดเผาศพ ผู้ทำ พิธีมีข้อห้ามต่าง ๆ เช่น ห้ามผู้มาช่วยงานกลับไปนอนบ้านของตนเอง ต้องมานอนที่บ้านจัดงาน ห้ามก่อวิวาทใหญ่โตในงาน ห้ามผู้มาช่วยศพมีเพศสัมพันธ์เป็นต้น ถ้ามีการจัด พิธีศพญาติผู้ใหญ่ ฝ่ายทำอาหารจะเป็นผู้กำหนดให้มีวันกินเจ 1 วัน ส่วนพิธีที่ไม่มีศพ จะไม่มีโลงศพ ใช้ฟางทำตุ๊กตา สมมติเป็นผู้ตายไว้บนโต๊ะทำพิธี ไม่มีพิธีอาบน้ำศพ ไม่ต้องไว้ทุกข์ ไม่มีพิธีเผา และแขกที่มาร่วมงานทั้งหมดเป็นแขกรับเชิญเท่านั้น ความเชื่อของเมี่ยนถือว่า ผู้ใหญ่ (อายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป) ตายแล้วจะได้ไปอยู่ที่ “ย่างเจียวต่ง” ส่วนเด็กหากตายแล้วจะไปอยู่ “โต้ย่วนตง” (ปรโลก) และ “ย่างเจียวต่ง” และชื่อว่าผู้ที่ ทำแต่ความดี เมื่อตายไปจะได้ไปอยู่ “ส่างต่ง”หรือ “ทินต้อง” (สวรรค์) ผู้ทำชั่วสร้างบาปกรรม เมื่อตายไปจะได้ไปอยู่ “ห่าต่ง” หรือ “เต่ยหยัวะ” (นรก) (หน้า 98 -103)

Education and Socialization

การศึกษา ผู้ที่ได้รับการศึกษาระดับประถมส่วนใหญ่เป็นม้งและเมี่ยนซึ่งอ่านออกเขียนภาษาไทยได้ ส่วนน้อยอยู่ในวัยหนุ่มสาวเช่นเดียวกันแต่เป็นเผ่าถิ่น ผู้สูงอายุทั้ง 3 เผ่าอ่านเขียนภาษาไทยไม่ได้ เด็กม้งและเมี่ยนที่เรียนจบระดับประถมประมาณ 50 เปอร์เซนต์ นิยมศึกษาต่อระดับมัธยมในโรงเรียนประจำอำเภอ บางส่วนศึกษาต่อการศึกษาผู้ใหญ่เทียบเท่าสายสามัญ วิชาชีพครู อาชีวศึกษาใน จ.น่าน เชียงใหม่และกรุงเทพฯ เด็กเผ่าถิ่นส่วนน้อยได้ทุนศึกษาต่อการศึกษาผู้ใหญ่เทียบเท่าสายสามัญจากมิชชันนารี โดยต้องเรียนหลักสูตรพระคริสตธรรมไปด้วยที่ จ.เชียงใหม่ เผ่าม้งและเผ่า เมี่ยนบางส่วนสำเร็จการศึกษาระดับต่าง ๆ มีผู้ชายม้ง 4 คนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท (หน้า 46)

Health and Medicine

การอนามัย บ้านป่ากลางมีสถานีอนามัยชุมชนประจำหมู่บ้าน 1 แห่ง มีเจ้าหน้าที่อนามัย 2 คน ทำหน้าที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาสุขภาพอนามัย บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรค และรักษาอาการเจ็บป่วยเบื้องต้น หากพบผู้ป่วยอาการหนักจะทำหนังสือส่งตัวไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลประจำอำเภอปัว นอกจากนี้เจ้าหน้าที่อนามัยในหมู่บ้านใช้เวลานอกราชการเปิดคลินิกส่วนตัวรักษาคนไข้ เก็บค่าบริการไม่แพง แต่ชาวบ้านในชุมชนส่วนใหญ่ก็ยังคงใช้การรักษาแบบดั้งเดิม คือ ใช้สมุนไพรและประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อควบคู่กับการรักษาแผนปัจจุบัน (หน้า 47)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกาย ผู้สูงอายุมักแต่งกายประจำเผ่าทั้งม้งและเมี่ยน วัยกลางคนและวัยหนุ่มสาวมักแต่งตัวเหมือนคนพื้นราบทั่วไป เมื่อคนต่างถิ่นเข้าไปในหมู่บ้านจึงแยกไม่ออกว่าใครเป็นม้ง เมี่ยนหรือถิ่น ถิ่นมีเครื่องแต่งกายและรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณคล้ายคนพื้นราบทั้งหญิงและชาย มักแบกตะกร้าไม้ไผ่ที่ใช้สายคล้องตะกร้าคาดครอบศีรษะ และนิยมใส่กำไลข้อมือหลายอันทำจากอลูมิเนียม หญิงและชายสูงอายุบางคนนิยมสูบกล้องยา (หน้า 49) ในชีวิตประจำวันของเมี่ยนบ้านป่ากลาง ชายหญิงจะแต่งกายแบบ ไทยพื้นราบ คนหนุ่มสาวและเด็กจะแต่งชุดประจำเผ่าในโอกาสพิเศษ และในพิธีกรรม เช่น งานบวช งานแต่งงาน งานศพ ส่วนผู้สูงอายุจะแต่งชุดประจำเผ่า เครื่องแต่งกายประจำเผ่าของผู้หญิง มีผ้าโพกศีรษะปักลวดลาย เสื้อผ่าหน้าติดพู่สีแดงทำจากไหมพรม เป็นพวงรอบคอ กางเกงปักลวดลายประจำเผ่าด้านหน้า พันผ้ารอบเอวปักลวดลายเดียวกับลายบนผ้าโพกศีรษะและกางเกง สวมเครื่องประดับทำจากเงิน เช่น ห่วงคอสร้อยเงินเป็นพวง และกำไล เครื่องแต่งกายผู้ชายเป็นกางเกงขาก๊วยสีดำ เสื้อสีเดียวกันแขนยาว คอกลมติดกระดุมเงินลูกเล็ก ๆ ตัวเสื้อผ่าข้างพาดเฉียงครึ่งตัวยาวถึงเอว ขลิบขอบแขนและชายเสื้อด้วยผ้าสีขาว แดงและดำ เฉพาะเสื้อของชายหนุ่มส่วนใหญ่ปักลวดลายบนหน้าอก เครื่องประดับชายมีเพียงแหวนลงยา ในพิธีกรรม ผู้ประกอบพิธี จะใส่ชุดที่เป็นเครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมเมื่อมีพิธีใหญ่ พิธีธรรมดาจะแต่งกายแบบคนพื้นราบ (หน้า 57- 58)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มีข้อมูล

Map/Illustration

ภาพแสดงอาณาเขตติดต่อและที่ตั้งบ้านป่ากลาง (หน้า 42) ภาพเขตการปกครองในหมู่บ้านหมู่ที่ 7,8,9,10 (หน้า 44) ภาพแสดงอาณาเขตหมู่ที่ 9 บ้านป่ากลาง (54) ภาพแสดงผังบ้านเมี่ยน (55) ภาพแสดงการแต่งกายด้วยชุดประจำเผ่าของเมี่ยนทั้งชาย และหญิง (58) ภาพแสดงการแต่งกายด้วยชุดประจำเผ่าของผู้หญิงเมี่ยน (59)

Text Analyst ศมณ ศรีทับทิม Date of Report 25 ก.ค. 2559
TAG เมี่ยน(เย้า), พิธีกรรม, ความเชื่อ, วิถีชีวิต, ภูมิปัญญา, ทักษะอาชีพ, น่าน, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง