สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),บริการสาธารณสุข,การแพทย์แผนปัจจุบัน,การแพทย์พื้นบ้าน,การแพทย์แบบสามัญชน,การแพทย์แบบผสมผสาน,แม่ฮ่องสอน
Author โยธิน บุญเฉลย
Title การใช้บริการสาธารณสุขของครัวเรือนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงในจังหวัดแม่ฮ่องสอน
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 77 Year 2534
Source หลักสูตรปริญญาสังคมศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิจัยประชากรและสังคม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล
Abstract

          ระบบการบริการสาธารณสุขด้านการรักษาพยาบาลของครัวเรือนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ตามกรอบการศึกษาของผู้วิจัย แบ่งได้เป็น 4 วิธี คือ แบบผสมผสาน แบบสามัญชน แผนปัจจุบันและการแพทย์พื้นบ้าน จากผลการศึกษาเชิงปริมาณพบว่าครัวเรือน มักใช้วิธีการรักษาพยาบาลแบบผสมผสานมากที่สุด โดยเรียงลำดับได้ดังนี้คือ วิธีแบบผสมผสาน แผนปัจจุบัน การแพทย์พื้นบ้านและแบบสามัญชน ส่วนผลการศึกษา ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพเกี่ยวกับปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการใช้วิธีการรักษาพยาบาลของครัวเรือนกะเหรี่ยงมีตัวแปรดังนี้คือ ระดับฐานะทางเศรษฐกิจของครัวเรือน ขนาดที่ดินทำกินของครัวเรือน การมีสถานบริการสาธารณสุขตั้งอยู่ในกลุ่มบ้าน การมีเส้นทางรถยนต์เข้าถึงกลุ่มบ้าน การตั้งอยู่โดดเดี่ยวห่างไกล ระดับการได้รับข่าวสารของครัวเรือน ความสามารถในการใช้ภาษาไทยของหัวหน้าครัวเรือน ศาสนาที่หัวหน้าครัวเรือนนับถือขนาดของครัวเรือน ระดับความรุนแรงของอาการเจ็บป่วย และความเชื่อถือ ความเข้าใจต่อบริการของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ส่วนตัวแปรที่ไม่มีความสัมพันธ์กับการใช้วิธีการรักษาพยาบาลของครัวเรือนกะเหรี่ยงเลยคือ อายุของหัวหน้าครัวเรือน

Focus

          ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการเลือกใช้วิธีการรักษาพยาบาลและบริการสาธารณสุขของครัวเรือนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง จ. แม่ฮ่องสอน

Theoretical Issues

          เป็นงานวิจัยทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยอาศัยแนวคิดเชิงทฤษฎีเกี่ยวกับระบบบริการสาธารณสุขของ Klienman ซึ่งมองว่าระบบบริการสาธารณสุขประกอบด้วย 3 ระบบคือ แบบสามัญชน แผนปัจจุบันและการแพทย์แบบพื้นบ้าน แต่ละระบบจะมีลักษณะเด่นเฉพาะ แต่ในทางปฏิบัติจะเหลื่อมซ้อนกันได้ผู้ใช้บริการ ในระบบหนึ่ง ๆ อาจนำเอาบริการระบบอื่น ๆ ที่เหลือมาใช้ควบคู่กันแบบเหลื่อมซ้อน กันอยู่ (ดังรูปในแบบจำลองหน้า 7) นอกจากนี้ผู้วิจัยได้นำบางส่วนจากแนวคิดของ Anderson and Newman มาเป็นกรอบในการวิเคราะห์ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดในการเลือกใช้บริการสาธารณสุข คือ ปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยทางเศรษฐกิจและปัจจัยทางสังคม โดยในแต่ละปัจจัยที่มีส่วนกำหนดในการใช้วิธีการรักษาพยาบาลของครัวเรือนกะเหรี่ยงก็มีตัวแปรแยกย่อยได้ดังนี้ คือ ปัจจัยทางเศรษฐกิจดูจากตัวแปรเรื่องระดับฐานะทางเศรษฐกิจของครัวเรือน และขนาดที่ดินทำกินของครัวเรือน ปัจจัยทางสังคม ดูจากตัวแปรความสามารถในการใช้ภาษาไทยของหัวหน้าครัวเรือน ศาสนาที่หัวหน้า ครัวเรือนนับถือ และระดับการได้รับข่าวสารของครัวเรือน ปัจจัยทางประชากรดูจาก อายุของหัวหน้าครัวเรือนและขนาดของครัวเรือน ปัจจัยเกี่ยวกับความสามารถในการเข้าถึงบริการ ดูจากตัวแปรการมีเส้นทางรถยนต์เข้าถึง การตั้งอยู่โดดเดี่ยวห่างไกลและการมีสถานบริการสาธารณสุขตั้งอยู่ในกลุ่มบ้าน (ดังแผนภาพหน้า 16) (หน้า 6–9,16)

Ethnic Group in the Focus

          เน้นศึกษากะเหรี่ยงใน จ.แม่ฮ่องสอน

Language and Linguistic Affiliations

          ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

          ไม่ระบุ

History of the Group and Community

          ไม่มีข้อมูล

Settlement Pattern

          ไม่มีข้อมูล

Demography

          จากรายงานการสำรวจสถิติของสำนักงานสถิติแห่งชาติเมื่อปี พ.ศ. 2530 พบว่า ประชากรชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงมีจำนวนประชากรสูงสุด 67,967 คน คิดเป็นร้อยละ 81.9 และมีอัตราการตายของเด็กและทารกสูงสุดคิดเป็นร้อยละ 63.4 ต่อการเกิดมี ชีพ 1,000 คน นอกจากนี้เมื่อปี พ.ศ. 2531 ชาวเขาในจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีอัตราการ ตายด้วยสาเหตุโรคติดเชื้อสูงเป็นอันดับหนึ่งถึงร้อยละ 27.6 ของจำนวนชาวเขาที่ตายทั้งหมด (หน้า 1 - 4) จากข้อมูลผลการศึกษาครัวเรือนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง จ. แม่ฮ่องสอนจำนวน 10,770 ครัวเรือน มีการจำแนกตามขนาดของกลุ่มบ้าน กล่าวคือ กลุ่มบ้านที่มีขนาดเล็กมีครัวเรือนตั้งอยู่น้อยกว่า 20 หลังคาเรือนมีอยู่ถึงร้อยละ 56.6 คิดเป็นจำนวน 2,850 ครัวเรือน หรือร้อยละ 26.5 ขนาดของกลุ่มบ้านโดยเฉลี่ย 37.2 หลังคาเรือน (หน้า 30) ลักษณะทำเลที่ตั้งของกลุ่มบ้านไม่มีเส้นทางรถยนต์จำนวน 6,546 ครัวเรือน คิดเป็น ร้อยละ 60.8 ครัวเรือนที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวห่างไกลปานกลาง กล่าวคือใช้เวลาไม่เกิน 1-3 ชั่วโมง คิดเป็นร้อยละ 60.6 ครัวเรือนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกลุ่ม บ้านที่ไม่มีสถานบริการสาธารณสุขตั้งอยู่ถึงร้อยละ 82.2 ซึ่งมีผลต่อการเข้าถึงบริการสาธารณสุข (หน้า 31) สำหรับหมู่บ้านที่เลือกศึกษาหมู่บ้านแรกมีบ้านเรือน 30 หลังคาเรือน ประชากรทั้งสิ้น 143 คน เป็นชาย 71 คน หญิง 67 คน ประชากรวัยเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีร้อยละ 37.7 วัยแรงงานร้อยละ 55.1 วัยสูงอายุร้อยละ 7.2 ครัวเรือนส่วนใหญ่นับถือพุทธร้อยละ 75.0 รองลงมาเป็นคริสต์ร้อยละ 20.0 และนับถือผี หรือนับถือทั้งพุทธและผีร้อยละ 5.0 อีกหมู่บ้านหนึ่งมีบ้านเรือนตั้งอยู่ 50 หลังคาเรือน มีประชากรทั้งสิ้น 245 คน เป็นชาย 126 คน หญิง 119 คน ประชากรวัยเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ร้อยละ 37.6 วัยแรงงาน ร้อยละ 56.7 วัยสูงอายุร้อยละ 5.7 ครัวเรือนที่นับถือคริสต์ร้อยละ 80.0 รองลงมา นับถือพุทธร้อยละ 15.0 และนับถือผีหรือทั้งพุทธและผีร้อยละ 5.0 (หน้า 28)

Economy

          ผลการศึกษาเชิงปริมาณพบว่า ครัวเรือนกะเหรี่ยงส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการเกษตร สูงถึงร้อยละ 72.8 รองลงมาคืออาชีพรับจ้าง คิดเป็นร้อยละ 10.4 ประกอบอาชีพ อื่น ๆซึ่งมิได้ระบุถึงร้อยละ 7.5 นอกเหนือจากนั้นก็เป็นการเก็บของป่า ล่าสัตว์และอุตสาหกรรมในครัวเรือน ตามลำดับ สอดคล้องกับผลการศึกษาเชิงคุณภาพซึ่งพบว่า ครัวเรือนกะเหรี่ยงประกอบอาชีพทำไร่ทำนามากที่สุด สำหรับตัวแปรระดับฐานะทางเศรษฐกิจของครัวเรือน แบ่งตามาตามราคาประเมินทรัพย์สินต่ำกว่า 4,000 บาทมาก ที่สุดถึงร้อยละ 52.0 รองลงมาคือ ร้อยละ 29.4 มีราคาประเมินทรัพย์สินระหว่าง 4,000 – 11,999 บาท และครัวเรือนร้อยละ 18.6 มีราคาประเมิน 12,000 บาทหรือมากกว่า สำหรับขนาดที่ดินทำกินของครัวเรือน ส่วนใหญ่ครัวเรือนมีขนาดที่ดินทำกิน 1-5 ไร่ ขนาดที่ดินทำกินเฉลี่ยมีขนาด 6.3 ไร่ แต่จากผลการศึกษาเชิงคุณภาพพบว่า ครัวเรือนกะเหรี่ยงส่วนใหญ่มีขนาดที่ดินทำกินเพียง 1-3 ไร่เท่านั้น นอกจากนี้ผลการศึกษาเชิงคุณภาพพบว่า โดยภาพรวมแล้วครัวเรือนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงส่วนใหญ่ มีฐานะค่อนข้างยากจน (หน้า 35 – 37)

Social Organization

          ครัวเรือนส่วนใหญ่ของกะเหรี่ยงมีขนาดเล็ก จำนวนสมาชิกไม่เกิน 5 คนจัดได้ว่าเป็น ครอบครัวเดี่ยว คู่สมรสนิยมแยกครัวเรือนออกมาอยู่ต่างหาก ภายหลังจากการสมรส จะอยู่กับครัวเรือนของอีกฝ่ายระยะหนึ่งแล้วแยกครัวเรือนออกมาทำมาหาเลี้ยงชีพ ตามลำพังเฉพาะครอบครัว เป็นที่น่าสังเกตว่า ผลการศึกษาพบว่าจำนวนสมาชิกในครัวเรือนไม่เกิน 5 คนมีถึง ร้อยละ 55.8 อีกร้อยละ 44.2 เป็นครัวเรือนที่มีจำนวน สมาชิกเกิน 5 คนขึ้นไป สำหรับเพศ หัวหน้าครัวเรือนกะเหรี่ยงส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ถึงร้อยละ 88.6 กล่าวคือ แม้จะมีประเพณีสืบทอดทางฝ่ายมารดาแต่ลักษณะการปกครองครัวเรือน เพศชายก็ยังคงมีบทบาทสูง สำหรับอายุหัวหน้าครัวเรือน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มประชากรวัยกลางคนมีอายุเฉลี่ย 43.6 (หน้า 32 - 33)

Political Organization

        ไม่มีข้อมูล

Belief System

          ผลการศึกษาเชิงปริมาณพบว่าส่วนใหญ่หัวหน้าครัวเรือนนับถือศาสนาพุทธร้อยละ 39.5 รองลงมาคือ ศาสนาคริสต์ร้อยละ 31.6 นับถือผีร้อยละ 16.4 และทั้งพุทธและผี คิดเป็นร้อยละ 12.5 ผลการศึกษาเชิงคุณภาพพบว่า ศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ เป็นศาสนาที่หัวหน้าครัวเรือนส่วนใหญ่นับถือ นอกจากนี้การนับถือผี หรือทั้งพุทธและ ผี ก็เป็นกลุ่มที่ผู้วิจัยกล่าวถึงว่าพบบ่อยมากเช่นกัน ซึ่งน่าจะมีผลต่อความเชื่อเกี่ยวกับสาเหตุการเจ็บป่วยและการวินิจฉัยโรคต่อไป (หน้า 34)

Education and Socialization

          จากผลการศึกษาเชิงปริมาณพบว่า หัวหน้าครอบครัวกะเหรี่ยงมีความสามารถในการ ใช้ภาษาไทยถึงร้อยละ 62.4 (หน้า 35) สอดคล้องกับผลการศึกษาเชิงคุณภาพที่พบว่าหัวหน้าครัวเรือนส่วนใหญ่พูดและฟังภาษาไทยล้านนาได้พอสมควร แต่การอ่านและเขียนภาษาไทยกลางได้ยังมีน้อยมาก เป็นที่น่าสังเกตว่า หัวหน้าครัวเรือนที่เป็นเพศ ชายมีความสามารถในการใช้ภาษาไทยดีกว่าหัวหน้าครัวเรือนเพศหญิงอยู่มาก (หน้า 34) สำหรับระดับการได้รับข่าวสารของครัวเรือน ข้อมูลเชิงปริมาณระบุว่า ครัวเรือน กะเหรี่ยงได้รับข่าวสารถึงร้อยละ 62.0 ซึ่งถือว่าสูงพอสมควร แต่ยังมีครัวเรือนอีกมาก ที่มีระดับการได้รับข่าวสารต่ำมาก สำหรับผลการศึกษาเชิงคุณภาพพบว่า ส่วนใหญ่จะ ได้รับข่าวสารด้านสุขภาพอนามัยจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ จากวิทยุและจากการประชุมชาวบ้าน (หน้า 34 – 35)

Health and Medicine

          ผลการศึกษาการใช้วิธีการรักษาพยาบาลของครัวเรือนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงส่วนใหญ่ เป็นแบบผสมผสานการแพทย์แผนปัจจุบัน การแพทย์พื้นบ้านและแบบสามัญชนเข้า ด้วยกันสูงถึงร้อยละ 77.4 เมื่อเรียงลำดับวิธีที่นิยมใช้มากที่สุดถึงน้อยที่สุดได้ดังนี้ คิด แบบผสมผสาน (ร้อยละ 77.4) แผนปัจจุบัน (ร้อยละ 12.4) การแพทย์พื้นบ้าน และแบบสามัญชน (ร้อยละ 5.1) ตามลำดับ(ตารางหน้า 39,40) ซึ่งผู้วิจัยกล่าวว่าสอดคล้องกับผลการศึกษาเชิงคุณภาพ (หน้า 38) นอกจากนี้ยังมีการให้นิยามการ แพทย์แผนปัจจุบันว่า หมายถึงวิธีการรักษาอาการเจ็บป่วยจากสถานีอนามัย สถานบริการสาธารณสุขชุมชน กองทุนยาและเวชภัณฑ์หมอสอนศาสนา หน่วยเคลื่อนที่ ของกรมประชาสงเคราะห์ จากส่วนราชการอื่นและเอกชน และหน่วยบริการพัฒนา และสงเคราะห์ที่ตั้งในหมู่บ้าน ส่วนการแพทย์พื้นบ้านเป็นการรักษากับหมอผีและ หมอแผนโบราณ สำหรับแบบสามัญชนหมายถึง วิธีการรักษาอาการเจ็บป่วยด้วย ตนเอง หรือโดยสมาชิกในครัวเรือน เช่น การซื้อยากินเองการปรุงสมุนไพร การนวด การทำพิธีเลี้ยงผี การอดทนรอดูอาการ การงดอาหารบางชนิดและการใช้ความร้อนประคบ (หน้า 38 – 39) นอกจากนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะที่ตั้งของกลุ่มบ้าน ระดับฐานเศรษฐกิจของครัวเรือน การมี/ไม่มีสถานบริการสาธารณสุข ลักษณะของครัวเรือนในด้านต่างๆ เช่น อายุ ความสามารถในการใช้ภาษาไทย กับวิธีการรักษาพยาบาลซึ่งปรากฏในการศึกษานี้ คือ 1. ความสัมพันธ์กับลักษณะที่ตั้งของกลุ่มบ้าน จากผลการศึกษาเชิงปริมาณ ส่วนใหญ่ครัวเรือนที่ตั้งอยู่ในกลุ่มบ้านที่ไม่มีเส้นทางรถยนต์เข้าถึงมีสัดส่วนการใช้วิธีการรักษาพยาบาลแผนปัจจุบันมากกว่า ซึ่งตรงข้ามกับที่ผู้วิจัยคาดหมายไว้ สำหรับครัวเรือนที่ตั้งอยู่ในกลุ่มบ้านที่มีเส้นทาง รถยนต์เข้าถึงการรักษาแบบการแพทย์พื้นบ้านและแบบสามัญชนแทบไม่มีอยู่เลย (หน้า 47) ส่วนการศึกษาเชิงคุณภาพได้ข้อมูลที่สอดคล้องกัน กล่าวคือ ครัวเรือนที่ตั้ง อยู่ในกลุ่มบ้านที่มีเส้นทางรถยนต์เข้าถึง มีแนวโน้มจะเลือกใช้วิธีการรักษาพยาบาล แบบการแพทย์พื้นบ้านและแบบสามัญชนน้อย ส่วนประเด็นที่ตรงข้ามกันคือ ครัวเรือน ที่ตั้งอยู่ในกลุ่มบ้านที่มีเส้นทางรถยนต์เข้าถึงมีการเลือกใช้การรักษาพยาบาลวิธีดังกล่าวน้อยมาก แต่ผลการศึกษาเชิงคุณภาพกลับพบว่าครัวเรือนที่เส้นทางรถยนต์เข้าถึงนิยม ใช้วิธีรักษาแผนปัจจุบัน (หน้า 48 -49) สำหรับตัวแปรการตั้งอยู่โดดเดี่ยวห่างไกลของกลุ่มบ้าน พบว่าครัวเรือนที่ตั้งอยู่ในกลุ่มบ้านที่โดดเดี่ยวห่างไกลน้อยกลับใช้วิธีการรักษาพยาบาลแผนปัจจุบันน้อยกว่าครัวเรือนที่โดดเดี่ยวห่างไกลปานกลางเสียอีก ส่วนการใช้วิธีการรักษาแบบแพทย์พื้นบ้านพบว่า ยิ่งครัวเรือนตั้งอยู่โดดเดี่ยวห่างไกลมากเท่าไรก็ยิ่งใช้วิธีแพทย์พื้นบ้านมากขึ้นเท่านั้น (หน้า 49) ส่วนผลการศึกษาเชิงคุณภาพมีประเด็นที่น่าสังเกตคือ ครัวเรือนที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านที่โดดเดี่ยวห่างไกลน้อยมีแนวโน้มใช้วิธีการรักษาพยาบาลแผนปัจจุบันมากกว่า ส่วนครัวเรือนที่ตั้งโดดเดี่ยวห่างไกลมากก็มีแนวโน้มใช้วิธีการรักษาพยาบาลแบบการแพทย์พื้นบ้านมาก (หน้า 51) 2. ความสัมพันธ์กับระดับฐานะทางเศรษฐกิจของครัวเรือน ผลการศึกษาเชิงปริมาณพบว่า ครัวเรือนทุกระดับฐานะทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่เลือก ใช้วิธีการรักษาพยาบาลแบบผสมผสานมากที่สุด ครัวเรือนที่มีระดับฐานะทาง เศรษฐกิจสูงมีแนวโน้มจะใช้วิธีรักษาพยาบาลแบบผสมผสานมาก เป็นที่น่าสังเกตว่า กลุ่มครัวเรือนที่มีระดับฐานะทางเศรษฐกิจต่ำจะใช้วิธีการรักษาพยาบาลแบบการ แพทย์พื้นบ้าน แบบสามัญชนมากกว่าครัวเรือนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจปานกลาง และสูง (หน้า 40) ผลการศึกษาทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพมีความสอดคล้องกัน กล่าวคือ ฐานะทางเศรษฐกิจของครัวเรือนมีความสัมพันธ์กับการใช้วิธีการรักษาพยาบาลของครัวเรือน ครัวเรือนทุกระดับฐานะทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่นิยมใช้วิธีการรักษาพยาบาลแบบผสมผสานเหมือนกัน แต่ครัวเรือนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูง มีการใช้การรักษาพยาบาลดังกล่าวมากกว่าเล็กน้อย ส่วนครัวเรือนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจต่ำมักใช้วิธีการรักษาพยาบาลแบบสามัญชนและการแพทย์พื้นบ้านมาก อย่างไรก็ดี ครัวเรือนทั้ง 3 ประเภทมีการใช้วิธีการรักษาพยาบาลแผนปัจจุบันแทบ จะไม่แตกต่างกันเลย (หน้า 42 -43) จากผลการศึกษาพบว่า ขนาดที่ดินทำกินของครัวเรือนเป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีความสัมพันธ์กับการใช้วิธีการรักษาพยาบาลของครัวเรือนกะเหรี่ยง ครัวเรือนที่มีที่ ทำกินขนาดใหญ่มีแนวโน้มเลือกใช้การรักษาพยาบาลด้วยวิธีการแบบผสมผสานมากกว่า ส่วนวิธีการรักษาพยาบาลอื่น ๆ มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย เป็นที่น่าสังเกตว่า ครัวเรือนที่มีที่ทำกินขนาดเล็กมักใช้วิธีการรักษาพยาบาลแบบการแพทย์พื้นบ้านและแบบสามัญชนมากกว่าครัวเรือนที่มีที่ทำกินขนาดใหญ่เล็กน้อย (หน้า 43) เมื่อทดสอบนัยสำคัญทางสถิติพบว่า ครัวเรือนที่มีขนาดที่ดินทำกินแตกต่างกันจะใช้ วิธีการรักษาพยาบาลแตกต่างกัน ผลการศึกษาเชิงคุณภาพพบว่า ระหว่างครัวเรือน ที่มีที่ทำกินขนาดใหญ่ (ประมาณ 10 ไร่) และครัวเรือนที่มีที่ทำกินขนาดเล็ก (ประมาณ 3 ไร่) เมื่อสมาชิกในครัวเรือนเจ็บป่วยจะใช้วิธีการรักษาแบบผสมผสาน โดยที่ครัวเรือน ที่มีที่ทำกินขนาดเล็กมีแนวโน้มจะเลือกใช้วิธีการรักษาพยาบาลแบบสามัญชนและ การแพทย์พื้นบ้านมากกว่า (หน้า 44 – 45) 3. ความสัมพันธ์เกี่ยวกับการมีและไม่มีสถานบริการสาธารณสุข ผลการศึกษาในเชิงปริมาณพบว่า ส่วนใหญ่ครัวเรือนที่ตั้งอยู่ในกลุ่มบ้านที่มีและไม่มีสถานบริการสาธารณสุขตั้งอยู่ ต่างนิยมใช้วิธีการรักษาพยาบาลแบบผสมผสานเหมือนกัน เป็นที่น่าสังเกตว่าครัวเรือนที่ตั้งอยู่ในกลุ่มบ้านที่มีบริการสาธารณสุขแทบ ไม่มีการเลือกใช้วิธีการรักษาพยาบาลแบบสามัญชนและการแพทย์พื้นบ้าน แสดงให้ เห็นว่า การมีสถานบริการสาธารณสุขตั้งอยู่ในกลุ่มบ้านมีความสำคัญต่อการใช้วิธีการรักษาพยาบาลพอสมควร ครัวเรือนที่ตั้งอยู่ในกลุ่มบ้านที่มีสถานบริการสาธารณสุขตั้งอยู่มีการใช้วิธีการรักษาพยาบาลแผนปัจจุบันมากกว่า ซึ่งผู้วิจัยกล่าวว่าค่อนข้างตรงกันข้ามกับที่ผู้วิจัยคาดหมายไว้ (หน้า 45) ส่วนผลการศึกษาในเชิงคุณภาพพบว่า หมู่บ้านทั้งสองหมู่บ้านที่ทำการศึกษาจะไม่มีสถานบริการสาธารณสุขตั้งอยู่ หัวหน้าครัวเรือนส่วนมากมักใช้วิธีการรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น อดทนรอดูอาการ การเลี้ยงผี การปรุงสมุนไพรหรือซื้อยากินเอง “ถ้าไม่ไหวจริง ๆ จึงค่อยพาไปโรงพยาบาล” เนื่อง จาก “การเข้าถึงสถานบริการสาธารณสุขลำบากมาก ต้องเสียเวลาและเงินทองมาก” จึงกล่าวได้ว่า การมีสถานบริการสาธารณสุขตั้งอยู่ในกลุ่มบ้านมีความสัมพันธ์กับ การใช้วิธีการรักษาพยาบาลของครัวเรือน โดยที่ครัวเรือนที่ครัวเรือนที่ตั้งอยู่ในกลุ่ม บ้านที่มีสถานบริการสาธารณสุขเลือกใช้วิธีการรักษาแผนปัจจุบันมากตรงกับที่คาดหมายไว้ และใช้วิธีการรักษาพยาบาลแบบการแพทย์พื้นบ้านและแบบสามัญชน น้อยมาก (หน้า 46–47) จากผลการศึกษาเชิงคุณภาพ สรุปได้ว่าครัวเรือนที่มีขนาดเล็ก เมื่อสมาชิกเจ็บป่วยก็ มักมีปัญหาในการพาผู้ป่วยไปรักษาที่สถานีอนามัยหรือโรงพยาบาล โดยเฉพาะในฤดูเก็บเกี่ยวจึงนิยมใช้วิธีการรักษาพยาบาลที่เข้าถึงได้สะดวก เสียเวลาน้อย มีผลกระทบ ต่อแรงงานในครัวเรือนน้อยที่สุด นั่นคือ การไปหาหมอผี ส่วนครัวเรือนที่มีขนาดใหญ่จะใช้วิธีรักษาจากในครัวเรือนก่อน ถ้าไม่หายจะพากันไปสถานบริการแผนปัจจุบัน (หน้า 62) ผลการศึกษาเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพจึงมีประเด็นที่สอดคล้องกันคือ ครัวเรือนที่มีขนาดเล็กมีแนวโน้มจะใช้วิธีการรักษาพยาบาลแบบการแพทย์พื้นบ้านมาก ประเด็น ที่ต่างกันคือ ผลการศึกษาเชิงปริมาณพบว่า ครัวเรือนที่มีขนาดเล็กมีการใช้วิธีการรักษาพยาบาลแบบสามัญชนและแผนปัจจุบันไม่แตกต่างกับครัวเรือนที่มีขนาดใหญ่ แต่ผลการศึกษาเชิงคุณภาพกลับพบว่า ครัวเรือนที่มีขนาดใหญ่มีแนวโน้มจะเลือกใช้วิธีรักษาแบบสามัญชนและแผนปัจจุบันมาก จึงอาจสรุปได้ว่า ขนาดของครัวเรือนมีความสัมพันธ์กับการใช้วิธีการรักษาพยาบาลของครัวเรือน (หน้า 62) นอกจากปัจจัยต่าง ๆ และตัวแปรดังกล่าว ผลการศึกษาเชิงคุณภาพยังพบว่า ยังมี ปัจจัยอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้ที่มีผลต่อการใช้วิธีการรักษาพยาบาลของครัวเรือน กะเหรี่ยง คือ ระดับความรุนแรงของอาการเจ็บป่วย และความเชื่อถือ ความเข้าใจ ต่อการให้บริการของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอีกด้วย กล่าวคือ หากผู้ป่วยมีอาการไม่ รุนแรง ก็มักนิยมรักษาโดยใช้สมุนไพร ซื้อยาจากกองทุนยาฯ นอนพักหรือทำพิธีเลี้ยงผี แต่หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง เช่น ลุกไม่ได้ ไม่พูดไม่จา ไม่กินข้าว ชัก เพ้อคลั่ง เลือด ไหลออกมามาก หมดสติ ก็จะนำผู้ป่วยไปขอรับบริการจากสถานีอนามัย หรือส่งโรงพยาบาล ส่วนเรื่องความเชื่อถือ ความเข้าใจต่อการให้บริการ พบว่า หัวหน้า ครัวเรือนที่ผู้วิจัยศึกษาทั้งสองหมู่บ้าน ต่างก็มีความเชื่อถือศรัทธาความสามารถของ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั้งระดับสถานีอนามัยและโรงพยาบาลพอสมควร แต่มีบาง ประเด็นที่ชาวบ้านขาดความเข้าใจ คือ หัวหน้าครัวเรือนส่วนใหญ่มักต้องการได้รับการรักษาพยาบาลโดยการฉีดยาหรือให้น้ำเกลือมากกว่าการให้ยามากิน ทั้ง ๆ ที่การ เจ็บป่วยไม่จำเป็นถึงขั้นนั้น จึงมักไปรับบริการรักษาพยาบาลจากหมอเถื่อนแทน ทำให้ เสียค่าใช้จ่ายมากเกินจำเป็น โดยเฉพาะครัวเรือนที่มีฐานะยากจนและมีบัตรสงเคราะห์ ผู้มีรายได้น้อยอยู่แล้ว (หน้า 62-63) 4. ความสัมพันธ์กับลักษณะครัวเรือนในด้านต่าง ๆ จากผลการศึกษาตัวแปร (ซึ่งเป็นปัจจัยด้านประชากร) เรื่องอายุของหัวหน้าครัวเรือน กับการใช้วิธีการรักษาพยาบาลของครัวเรือน เชิงปริมาณพบว่า ครัวเรือนที่หัวหน้าครัวเรือนมีอายุแตกต่างกัน จะใช้วิธีการรักษาพยาบาลทุกวิธีไม่แตกต่างกัน ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาเชิงคุณภาพ จึงอาจกล่าวได้ว่า อายุของหัวหน้าครัวเรือน ไม่มีความ สัมพันธ์กับการใช้วิธีการรักษาพยาบาลของครัวเรือน ไม่ว่าหัวหน้าครัวเรือนจะมีอายุ มาก ปานกลาง หรืออายุน้อย ต่างก็มีการใช้วิธีการรักษาพยาบาลไม่แตกต่างกันเลย (หน้า 59) ผลการศึกษาตัวแปรปัจจัยด้านศาสนาที่หัวหน้าครัวเรือนนับถือกับการใช้วิธีการรักษาพยาบาลของครัวเรือน เชิงปริมาณพบว่า ส่วนใหญ่ต่างก็ใช้วิธีการรักษาพยาบาล แบบผสมผสานมากที่สุดเหมือนกัน ครัวเรือนที่หัวหน้านับถือพุทธหรือคริสต์มีการใช้วิธี รักษาแบบผสมผสานมากกว่าครัวเรือนที่หัวหน้านับถือผี เป็นที่น่าสังเกตว่า ครัวเรือน ที่หัวหน้าครัวเรือนนับถือพุทธหรือคริสต์ มีการใช้วิธีการรักษาแบบการแพทย์พื้นบ้าน น้อยมากจนเกือบไม่มีเลย ตรงข้ามกลับพบว่า ครัวเรือนที่หัวหน้าครัวเรือนนับถือผี มีการใช้วิธีรักษาแบบการแพทย์พื้นบ้านมาก (หน้า 56) ผลการศึกษาเชิงคุณภาพ พบว่า หัวหน้าครัวเรือนที่นับถือพุทธมักมีความเชื่อว่า สาเหตุการเจ็บป่วยเกิดจากการ กินอาหารและดื่มน้ำไม่ถูกสุขลักษณะหรือ แมลงสัตว์กัดต่อยซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติ เช่น หากอายุมากตรากตรำก็มักใช้วิธีรักษาพยาบาลโดยใช้สมุนไพรเป็นอันดับแรก แต่ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นจึงไปหาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่สถานีอนามัย หรือโรงพยาบาลขึ้น อยู่กับอาการ ส่วนหัวหน้าครัวเรือนที่นับถือคริสต์มีความเชื่อเกี่ยวกับสาเหตุการเจ็บป่วย และวิธีการรักษาพยาบาลเช่นเดียวกัน จะมีพิเศษกว่าคือมีการสวดมนต์ขอพรให้ผู้ป่วย หายจากโรค โดยถ้าอาการไม่หนักผู้ป่วยจะสวดเอง หรือหากอาการหนักพ่อแม่พี่น้อง จะสวดให้ถือเป็นการรักษาอาการทางจิตใจ (หน้า 57) สำหรับครัวเรือนที่หัวหน้าครัวเรือนนับถือผี มักมีความเชื่อว่าเกิดจากผีป่า ผีน้ำ ผีเจ้าที่เจ้าทาง เมื่อเจ็บป่วยจะให้หมอผีประจำหมู่บ้านทำการรักษา ซึ่งมักทำพิธีเลี้ยงผี ถ้าเจ็บป่วยเล็กน้อยก็ใช้ไก่เป็นเครื่องเซ่น ถ้าเจ็บป่วยรุนแรงจะใช้หมู สมาชิกทุกคนในครัวเรือนต้องมาร่วมพิธี ถ้าขาดหายไปก็ต้องทำพิธีใหม่ (หน้า 58) จากผลการศึกษาเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ มีประเด็นที่สอดคล้องกันคือ หัวหน้าครัว เรือนที่นับถือพุทธและคริสต์ จะมีการใช้วิธีการรักษาพยาบาลแบบการแพทย์พื้นบ้าน (รวมถึงการเลี้ยงผี) น้อย มีแนวโน้มจะเลือกใช้วิธีการรักษาแบบผสมผสาน (แบบสามัญชนร่วมกับแผนปัจจุบัน) แต่ครัวเรือนที่หัวหน้านับถือผีกลับใช้วิธีการรักษาแบบการแพทย์พื้นบ้านมากกว่า จึงอาจกล่าวได้ว่า ศาสนาที่หัวหน้าครัวเรือนนับถือมีความสัมพันธ์กับ การใช้วิธีการรักษาพยาบาลของครัวเรือน (หน้า 58) จากผลการศึกษาปัจจัยด้านสังคมคือ ความสามารถในการใช้ภาษาไทยของหัวหน้าเรือนกับการเลือกใช้วิธีการรักษาพยาบาลพบว่า ทั้งครัวเรือนที่หัวหน้าครัวเรือนสามารถใช้ภาษาไทยได้หรือไม่ได้ มีการใช้วิธีการรักษาพยาบาลแผนปัจจุบันไม่ต่างกันเลย วิธี ที่นิยมที่สุดเป็นแบบผสมผสานเหมือนกัน แต่ครัวเรือนที่หัวหน้าครัวเรือนสามารถใช้ภาษาไทยได้จะมีการใช้วิธีการดังกล่าวมากกว่า จากผลการศึกษาทั้งในเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพพบว่า ถึงแม้สมาชิกในครัวเรือนที่หัวหน้าครัวเรือนสามารถใช้ภาษาไทยได้และไม่ได้ ต่างมีการใช้วิธีการรักษาแผนปัจจุบันไม่ต่างกันเลยก็ตาม แต่ครัวเรือนที่หัวหน้าครัวเรือนไม่สามารถใช้ภาษาไทยได้ มักจะประสบปัญหาการสื่อความหมายกับ ผู้ให้การรักษามาก กล่าวคือ พูดเข้าใจกันยาก ฝ่ายหนึ่งพูดคำเมือง (ภาษาไทยล้านนา)ไม่ได้ ทำให้ครัวเรือนที่หัวหน้าครัวเรือนไม่สามารถใช้ภาษาไทยได้ มีการใช้วิธีการรักษา พยาบาลแบบการแพทย์พื้นบ้านและแบบสามัญชนมากกว่า แต่วิธีแบบผสมผสานยัง คงเป็นวิธีที่ครัวเรือนทั้งสองประเภทยังนิยมใช้มากที่สุดเหมือนกัน แต่ครัวเรือนที่หัวหน้า สามารถใช้ภาษาไทยได้มีการใช้วิธีผสมผสานมากกว่า (หน้า 51 – 54) ผลการศึกษาตัวแปรระดับการได้รับข่าวสารของครัวเรือนเชิงปริมาณพบว่า ทั้งครัวเรือนที่มีระดับการได้รับข่าวต่ำและสูงต่างก็มีการใช้วิธีการรักษาพยาบาลแบบผสมผสานมากที่สุดเหมือน ๆ กัน แต่ครัวเรือนที่มีระดับการได้รับข่าวสารสูงจะใช้วิธีการรักษาพยาบาลผสมผสานมากกว่า แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ครัวเรือนที่มีระดับการได้รับข่าวสารต่ำกลับใช้วิธีการรักษาพยาบาลแผนปัจจุบันมากกว่าครัวเรือนที่มีระดับการได้ รับข่าวสารสูงเสียอีก ครัวเรือนที่มีระดับการได้รับข่าวสารสูงมีการใช้วิธีรักษาพยาบาลแบบการแพทย์พื้นบ้านและแบบสามัญชนน้อยมากจนเกือบไม่มีเหลืออยู่เลย จากผลการศึกษาเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ พบว่า ประเด็นที่สอดคล้องกันคือ ครัวเรือนทั้ง สองแบบมีการใช้วิธีรักษาพยาบาลแบบการแพทย์พื้นบ้านและแบบสามัญชนค่อนข้างน้อยมากแต่ประเด็นที่ต่างกันคือ ผลการศึกษาเชิงปริมาณพบว่า ครัวเรือนที่มีระดับการได้รับข่าวสารต่ำมีการใช้วิธีการรักษาพยาบาลแผนปัจจุบันมาก แต่ผลการศึกษาเชิงคุณภาพกลับพบว่า ครัวเรือนที่มีระดับการได้รับข่าวสารสูงมีการใช้วิธีรักษาพยาบาล แผนปัจจุบันน้อยมาก (หน้า 54 – 56) สรุปได้ว่าผลการศึกษาทั้งเชิงและเชิงคุณภาพมีปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการใช้วิธีการรักษาพยาบาลของครัวเรือนดังนี้คือ ระดับฐานะทางเศรษฐกิจของครัวเรือน ขนาดที่ดิน ทำกินของครัวเรือน การมีสถานบริการสาธารณสุขตั้งอยู่ในกลุ่มบ้าน การมีเส้นทางรถยนต์เข้าถึงกลุ่มบ้าน การตั้งอยู่โดดเดี่ยวห่างไกล ระดับการได้รับข่าวสารของครัว เรือน ความสามารถในการใช้ภาษาไทยของหัวหน้าครัวเรือน ศาสนาที่หัวหน้าครัวเรือนนับถือขนาดของครัวเรือน ระดับความรุนแรงของอาการเจ็บป่วย และความเชื่อถือ ความเข้าใจต่อบริการของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข (หน้า 64)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

          ไม่มีข้อมูล

Folklore

          ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

          ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

          ไม่มีข้อมูล

Other Issues

          ไม่มีข้อมูล

Map/Illustration

ภาพแบบจำลองระบบบริการสาธารณสุขของ Klieinman (หน้า 7) ภาพแสดงกรอบแนวความคิด ปัจจัยที่มีส่วนกำหนดการใช้วิธีการรักษาพยาบาลของครัวเรือนชาวเขา เผ่ากะเหรี่ยง (หน้า 18) ภาพแบบจำลองประเภทการใช้วิธีการรักษาพยาบาลของครัวเรือนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง (หน้า 39) ตารางแสดงจำนวนและอัตราส่วนร้อยละของชาวเขาใน จ.แม่ฮ่องสอน พ.ศ. 2530 จำแนกตามรายเผ่า (หน้า 1) ตารางแสดงอัตรา การตายของเด็กและทารกชาวเขา จ.แม่ฮ่องสอน พ.ศ.2530 จำแนกตามรายเผ่า(หน้า 4) ตารางราคาเฉลี่ยต่อตัวของสัตว์เลี้ยงแต่ละประเภทในเขตพื้นที่ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง จ. แม่ฮ่องสอนพ.ศ.2530 (หน้า 20) ตารางราคาเฉลี่ยของสินค้าอุปโภคแต่ละประเภทใน เขตพื้นที่ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงจ.แม่ฮ่องสอน พ.ศ.2530 (หน้า 21) ตารางแสดงจำนวนและอัตราส่วนของกลุ่มบ้านและครัวเรือนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง จำแนกตามขนาดของกลุ่มบ้าน (หน้า 30) ตารางแสดงจำนวนและอัตราส่วนร้อยละของครัวเรือนชาวเขาเผ่า กะเหรี่ยง จำแนกตามลักษณะทำเลที่ตั้งของกลุ่มบ้าน (หน้า 31) ตารางแสดงจำนวน และอัตราส่วนร้อยของหัวหน้าครัวเรือนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง จำแนกตามลักษณะทางประชากรของครัวเรือน (หน้า 33) ตารางแสดงจำนวนและอัตราส่วนร้อยของครัวเรือนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง จำแนกตามลักษณะทางสังคมของครัวเรือน (หน้า 35) ตาราง แสดงจำนวนและอัตราส่วนร้อยของครัวเรือนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง จำแนกตามลักษณะ ทางเศรษฐกิจของครัวเรือน (หน้า 37) ตารางแสดงจำนวนและอัตราส่วนร้อยของครัวเรือนชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง จำแนกตามการใช้วิธีการรักษาพยาบาลของครัวเรือน (หน้า 40) ตารางอัตราส่วนร้อยของการใช้วิธีการรักษาพยาบาลของครัวเรือน จำแนกตามระดับฐานะทางเศรษฐกิจของครัวเรือน (หน้า 41) ตารางอัตราส่วนร้อยของการใช้ วิธีการรักษาพยาบาลของครัวเรือน จำแนกตามขนาดที่ดินทำกินของครัวเรือน (หน้า43) ตารางอัตราส่วนร้อยของการใช้การรักษาพยาบาลของครัวเรือน จำแนกตามการมี สถานบริการสาธารณสุขตั้งอยู่ (หน้า 46) ตารางอัตราส่วนร้อยของการใช้วิธีการรักษาพยาบาลของครัวเรือน จำแนกตามการมีเส้นทางรถยนต์เข้าถึงกลุ่มบ้าน (หน้า 47) ตารางอัตราส่วนร้อยของการใช้วิธีการรักษาพยาบาลของครัวเรือน จำแนกตามการตั้งอยู่โดดเดี่ยวห่างไกลของกลุ่ม (หน้า 50) ตารางอัตราส่วนร้อยของการใช้วิธี การรักษาพยาบาลของครัวเรือน จำแนกตามความสามารถในการใช้ภาษาไทยของ หัวหน้าครัวเรือน (หน้า52) ตารางอัตราส่วนร้อยของการใช้วิธีการรักษาพยาบาลของครัวเรือน จำแนกตามระดับการได้รับข่าวสารของครัวเรือน (หน้า 54) ตารางแสดงอัตรา ส่วนร้อยของการใช้วิธีการรักษาพยาบาลของครัวเรือน จำแนกตามศาสนาที่หัวหน้า ครัวเรือนนับถือ (หน้า 57) ตารางอัตราส่วนร้อยของการใช้วิธีการรักษาพยาบาลของ ครัวเรือน จำแนกตามอายุของหัวหน้าครัวเรือน (หน้า 59) ตารางแสดงอัตราส่วนร้อย ของการใช้วิธีการรักษาพยาบาลของครัวเรือน จำแนกตามขนาดของครัวเรือน(หน้า 60)

Text Analyst ศมณ ศรีทับทิม Date of Report 30 ม.ค. 2560
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), บริการสาธารณสุข, การแพทย์แผนปัจจุบัน, การแพทย์พื้นบ้าน, การแพทย์แบบสามัญชน, การแพทย์แบบผสมผสาน, แม่ฮ่องสอน, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง