สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มาเลย์-มุสลิม,ศาสนาอิสลาม,การเคลื่อนไหวทางการเมือง,ประเทศไทย
Author Surin Pitsuwan
Title Islam and Malay Nationalism : A Case Study of the Malay-Muslims of Southern Thailand
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเนเชี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 297 Year 2528
Source Charoon Wit Press, Bangkok 1985.
Abstract

ผู้เขียนวิทยานิพนธ์นำเสนอบทบาทมาเลย์-มุสลิมทางภาคใต้ของประเทศไทย ใช้ศาสนาอิสลามเพื่อความเป็นอิสระทางเชื้อชาติ วัฒนธรรม และการปกครองตนเอง นโยบายการปกครองของรัฐไทยต่อมาเลย์-มุสลิม และผลที่เกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวโดยใช้ความรุนแรง การก่อจลาจล และการเปลี่ยนมาให้ความสนใจทางศาสนาและดำเนินตามกฏข้อบังคับอย่างเคร่งครัด รวมถึงการให้ความสนับสนุนในการดำเนินการจากต่างประเทศทั้งต่อรัฐไทยและมาเลย์-มุสลิม

Focus

วิทยานิพนธ์เล่มนี้เน้นการศึกษาบทบาทความเคลื่อนไหวทางศาสนาของกลุ่มมาเลย์-มุสลิม ไปสู่ความเป็นอิสระในการปกครองตนเอง (ดูที่ Abstract)

Theoretical Issues

ในงานนี้ ผู้เขียนต้องการศึกษากระบวนการต่อสู้ของมาเลย์มุสลิมในภาคใต้ของไทยเพื่อการดำรงอยู่ของวัฒนธรรมของกลุ่มฯ ซึ่งเกิดขึ้นช่วงหลัง ค.ศ. 1902 ที่ได้ถูกผนวกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐไทยอย่างเป็นทางการ (หน้า 4) และในการต่อสู้นี้ มาเลย์-มุสลิม ได้อาศัยสัญลักษณ์ทางศาสนาแบบเดียวกับที่ Max Weber เรียกว่า "ความเป็นผู้นำโดยประเพณี" แต่ผู้นำมาเลย์มุสลิมมียุทธวิธีที่หลากหลาย คือตามบริบทพัฒนาการทางการเมืองของรัฐไทย ที่ว่าหากระบบการเมืองเป็นระบบปิด พวกเขาก็อาศัยกิจกรรมใต้ดินเพื่อธำรงจิตสำนึกทางวัฒนธรรมไว้ แต่เมื่อระบบการเมืองเปิดโอกาสให้กลุ่มบุคคลต่าง ๆ มีส่วนร่วม พวกเขาก็หันมาสู้ผ่านระบบการเลือกตั้ง โดยพยายามเลือกนักการเมืองที่เป็นตัวแทนของกลุ่มในสภาผู้แทนราษฎร สาระสำคัญเดิมคือการเป็นอิสระทางวัฒนธรรม (หน้า 5) ผู้เขียนต้องการอธิบายให้เห็นว่า จะเข้าใจสาเหตุที่มาของการต่อสู้เคลื่อนไหวเพื่อความเป็นอิสระทางวัฒนธรรมดังกล่าว ต้องเข้าใจลักษณะสำคัญของสังคม มาเลย์ - มุสลิม ที่ปัญหาเรื่องความขัดแย้งเชิงอำนาจระหว่างผู้นำทางศาสนาและผู้นำทางการเมืองเป็นเรื่องสำคัญ ในแง่ที่ว่าอำนาจชนิดไหนมีความชอบธรรมกันแน่ (หน้า 8) และความขัดแย้งนี้จะรุนแรงขึ้นในกรณีของมาเลย์ - มุสลิมในไทย ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยและอยู่ภายใต้รัฐ ซึ่งมีโลกทรรศน์แบบพุทธเป็นสำคัญ และผู้มีอำนาจทางการเมืองส่วนใหญ่ เป็นพุทธศาสนิกชน และมีนโยบายควบคุมชุมชนทางศาสนา (หน้า 11) ซึ่งรวมชุมชนมุสลิมด้วย โดยอาศัยแนวคิดของ Greet's (1968) ที่ว่า ในสังคมอิสลามกระบวนการทำให้ศาสนาบริสุทธิ์มักจะควบคู่กันไปกับจิตสำนึกทางการเมือง และแนวคิดของ Tambiah ที่ว่าในสังคมพุทธนิกายเถรวาทอย่างประเทศไทย อำนาจรัฐมักได้รับการสนับสนุนจากผู้นำทางศาสนา และทำให้เกิดความราบรื่นทางสังคมและการเมือง แต่เมื่อขยายออกไปผนวกมุสลิม ก็จะเกิดการต่อต้าน ซึ่งเกิดจากจิตสำนึกทางการเมืองที่มาจากการทำศาสนาให้บริสุทธิ์ดังที่ได้กล่าวแล้ว ผลลัพธ์ คือ การเกิดชาติพันธุ์นิยม (หน้า 14-15)

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มมาเลย์-มุสลิม ทางภาคใต้ของประเทศไทย (หน้า 3)

Language and Linguistic Affiliations

กลุ่มมาเลย์-มุลสิม ส่วนใหญ่ใช้ภาษามาเลย์ในการติดต่อสื่อสารในชุมชน (หน้า 32) ในปี 1981 รัฐได้เปิดโรงเรียนตามระบบการศึกษาทำให้มีการเรียนภาษาไทยเกิดขึ้น (หน้า 19) แต่ไม่ปรากฏการอธิบายและให้ข้อมูลระบบภาษาและการจำแนกตระกูลภาษา

Study Period (Data Collection)

ปี 1902-1985 (เป็นการศึกษาข้อมูลทางเอกสาร)

History of the Group and Community

ผู้เขียนกล่าวถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของกลุ่มมุสลิมว่าได้เข้ามาในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายหลังจากกลุ่มฮินดูและพุทธศาสนา โดยส่วนใหญ่จะมีอาณาบริเวณทางตอนใต้และหมู่เกาะต่าง ๆ ทั้งในประเทศไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย สำหรับกลุ่มมาเลย์มุสลิมในประเทศไทยนั้นในอดีตได้รับอิสระในการปกครองตนเอง แต่ในช่วงยุคอาณานิคมและระยะเวลาต่อมารัฐบาลไทยได้พยายามควบคุมการปกครองเหนือกลุ่มมาเลย์มุสลิมโดยรวมหัวเมืองปัตตานีเป็นส่วนหนึ่งของรัฐไทย ในราวปี ค.ศ.1902 เป็นต้นมาได้เกิดการต่อต้าน เนื่องจากกลุ่มมาเลย์มุสลิมภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด ปี ค.ศ. 1945 อังกฤษได้ให้เอกราชต่อมาเลเซียส่งผลให้กลุ่มมาเลย์มุสลิมในประเทศไทยเรียกร้องเพื่อนำไปสู่การปกครองตนเองอย่างอิสระเสรี ทำให้รัฐบาลไทยต้องเข้าควบคุมโรงเรียนสอนศาสนาผู้นำทางศาสนาและเปลี่ยนแปลงโรงเรียนสอนศาสนาทำให้เกิดการสูญเสียเอกลักษณ์ทางชาติพันธุ์และก่อให้เกิดปัญหาความรุนแรง การประท้วงและการก่อจลาจลจนเกิดการแตกแยกเป็นกลุ่มแบ่งแยกดินแดนขึ้นและส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลสังคมและวัฒนธรรมของมาเลย์มุสลิมจนถึงปัจจุบัน (หน้า 27-63)

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

กลุ่มมาเลย์-มุสลิม มีประชากร 2.84% ของประชากรในประเทศไทย 74.7% อาศัยอยู่ใน 4 จังหวัดภาคใต้ (ข้อมูลสถิติประชากรในปี 1979 ประเทศไทยมีประชากร 45 ล้านคน สำรวจโดยกระทรวงมหาดไทย 31 ธันวาคม 1979) (หน้า 16) และตารางแสดงจำนวนประชากรใน 4 จังหวัดภาคใต้ (หน้า 17)

Economy

ทรัพยากรธรรมชาติทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ เหมืองแร่ การประมง ผลผลิตทางการเกษตร ข้าว ยางพารา โดยทั่วไปกลุ่มมาเลย์-มุสลิมเป็นเจ้าของที่ดินขนาดเล็ก และเป็นลูกจ้างในธุรกิจต่างๆ ของคนจีน ซึ่งกลุ่มพ่อค้าคนจีนที่อาศัยอยู่ภายในตัวเมืองเป็นคนกลางในการรับซื้อผลผลิตและเป็นนายทุนทำให้ผลกำไรส่วนใหญ่ตกอยู่ที่คนจีนมากกว่ามาเลย์-มุสลิม (หน้า 19-22)

Social Organization

กลุ่มมาเลย์-มุสลิม เป็นกลุ่มสังคมชนบท ซึ่งจะติดต่อกับสังคมเมืองเฉพาะในเรื่องธุรกิจ การค้า อาจกล่าวได้ว่าเป็นชุมชนปิดจากภายนอก เพราะความแตกต่างทางด้านภาษาในการติดต่อ ศาสนาเป็นส่วนช่วยในการจัดระเบียบทางสังคมและช่วยสร้างความสัมพันธ์ภายในชุมชน และไม่ให้กลุ่มคนที่ไม่ใช่มุสลิมเข้าไปในชุมชน นอกจากจะมีการเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามแล้ว ผู้นำทางศาสนามีตำแหน่งที่สูงกว่าผู้นำทางการเมืองภายในชุมชน (หน้า 22-26)

Political Organization

ระบบการเมืองและศาสนาของมาเลย์-มุสลิม มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์และดำเนินการควบคู่กันไป (หน้า 116) ทางวัฒนธรรมกลุ่มมาเลย์-มุสลิม ถือเป็นส่วนหนึ่งของโลกอิสลาม แต่ในระบบการเมืองกลุ่มมาเลย์-มุสลิม เป็นส่วนหนึ่งภายใต้ระบบการปกครองของรัฐไทย (หน้า 23) เกิดกลุ่มการเมืองที่ต้องการแบ่งแยกดินแดน จำนวน 3 กลุ่ม คือ 1. The National Liberation Front of Patani (NLFP) 2. The Liberation front of Republic Patani (LFRP) 3. The Patani United Liberation Organization (PULO), and Guerrilla Warfare (หน้า 226-240) และได้กล่าวถึงประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวทางการเมืองสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ช่วงเวลา ดังนี้ คือ 1. รัฐบาลไทยรวม 4 จังหวัดภาคใต้ (ปัตตานี,ยะลา,สตูล และนราธิวาส) เป็นส่วนหนึ่งของรัฐไทย ในปี ค.ศ.1902-1922 ก่อให้เกิดการต่อต้านในระยะเวลาต่อมา 2. ในปี ค.ศ.1922-1945 รัฐบาลไทยประกาศใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญไทยต่อกลุ่มมาเลย์มุสลิมส่งผลกระทบให้เกิดการขัดแย้งและไม่สอดคล้องกับแนวคิดของกลุ่มมาเลย์มุสลิมทำให้กลุ่มคนมาเลย์มุสลิมหันกลับไปใช้แบบแผนพิธีแบบดั้งเดิมเพื่อต่อต้านกฎหมาย 3. ปี ค.ศ.1945 (ปีสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2) - 1957 การได้รับเอกราชของประเทศมาเลเซียจากอังกฤษ ทำให้รัฐบาลไทยพยายามที่จะมีบทบาทและควบคุมกฎหมายอิสลาม ส่งผลให้เกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงจนก่อให้เกิดการจลาจล โดยผู้นำทางศาสนา มาเลย์มุสลิมหนึ่งพันคน อพยพไปมาเลเซีย 4. ปี ค.ศ.1957-1973 การได้รับเอกราชของมาเลเซียส่งผลให้เกิดการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชของกลุ่ม มาเลย์ - มุสลิม ในประเทศไทย รัฐบาลเข้าควบคุมโรงเรียนสอนศาสนาซึ่งเป็นโรงเรียนสอนศาสนาและความรู้ให้กับมุสลิมและเปลี่ยนโรงเรียนสอนศาสนาให้กลายเป็นโรงเรียนเหมือนกับโรงเรียนเอกชน ก่อให้เกิดปัญหาการเรียนรู้ศาสนาอิสลาม และห้ามเรียนภาษามาเลย์ -อารบิก ให้เรียนตามระดับการศึกษาแบบโรงเรียนไทย 5. ปี ค.ศ.1973-1982 ผลจากการเปลี่ยนแปลงโรงเรียนสอนศาสนาทำให้เกิดการสูญเสียเอกลักษณ์ทางชาติพันธ์และก่อให้เกิดปัญหาความรุนแรงในกลุ่มมาเลย์-มุสลิม การสูญเสียความรู้ความเข้าใจในศาสนาอิสลามและเกิดกลุ่มใหม่ขึ้น เช่น The Communist Party of Malaya และ The Communist Party of Thailand. (หน้า 272-276)

Belief System

กลุ่มมาเลย์-มุสลิม ทางภาคใต้ของประเทศไทยนับถือศาสนาอิสลามนิกาย The Shafici of Sonni (Orthodox) Islam ซึ่งมุสลิมส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นับถือนิกายนี้ (หน้า 16)

Education and Socialization

ไม่ระบุรายละเอียด

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ผู้นำทางศาสนาต้องการให้กลุ่มมาเลย์-มุสลิมแต่งตัวในรูปแบบประเพณีนิยม (หน้า 91)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ความสัมพันธ์ระหว่างมาเลย์-มุสลิม ทางภาคใต้ของไทยกับรัฐบาลไทย เป็นประเด็นหลักนโยบายการปกครองที่รัฐไทยทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง จนทำให้มาเลย์-มุสลิมใช้ศาสนาสร้างความแข็งแกร่งและความเป็นเชื้อชาตินิยมเข้ามาต่อต้าน (หน้า 15) ซึ่งปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอาจจะก่อให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ในกลุ่มประเทศสมาชิก ASEAN (The Association of Southeast Asian Nations) เนื่องจากกลุ่มมาเลย์-มุสลิมทางภาคใต้มีความสัมพันธ์กับประเทศมุสลิมทั้ง มาเลเซีย อินโดนีเซีย (หน้า 5-6) รวมถึงประเทศมุสลิมในตะวันออกกลาง

Social Cultural and Identity Change

การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมไทยไปสู่ความเป็นรัฐชาติ และการรวมอำนาจเพื่อป้องกันการแบ่งแยกดินแดนส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาต่อกลุ่มมาเลย์-มุสลิม (หน้า 1)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ตารางแสดงจำนวนประชากรใน 4 จังหวัดภาคใต้ (หน้า 17)

Text Analyst ชัชฎาวรรณ แก้วทะพยา Date of Report 04 ต.ค. 2567
TAG ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู, มาเลย์-มุสลิม, ศาสนาอิสลาม, การเคลื่อนไหวทางการเมือง, ประเทศไทย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง