สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลัวะ,การใช้พืชสมุนไพร,เภสัชศาสตร์,การส่งเสริมการเกษตร,จังหวัดน่าน
Author มานิตา ชมเปราะ
Title การใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพรพื้นบ้านของชาวลัวะ บ้านเต๋ยกลาง ดอยภูคา
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ลัวะ (มัล ปรัย) ลัวะมัล ไปร ลัวะปรัย, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 82 Year 2542
Source หลักสูตรปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จ. เชียงใหม่
Abstract

การศึกษานี้เน้นการศึกษาวิจัยภูมิปัญญาของ ลัวะ ในเรื่องของการใช้สมุนไพร เป็นยารักษาโรค ซึ่งใช้ประชากรหมู่บ้านเต๋ยกลาง ตำบลดอยภูคา อำเภอปัว จังหวัดน่าน จำนวน 93 ครัวเรือน เป็นกรณีศึกษา ในช่วงเวลา 6 เดือน (สิงหาคม 2541 – มกราคม 2542) จากการศึกษาในส่วนภูมิหลังของกลุ่มประชากรลัวะ ทำให้ทราบข้อมูลพื้นฐานทางมานุษยวิทยาว่า ลัวะมีการแบ่งชนชั้น ทางสังคม โดยกำหนด อำนาจ และ หน้าที่ ที่ต้องปฏิบัติซึ่งกันละกัน และความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากร กลุ่มเจ้าก๊ก และ หมอผี (บ่อหมอ) เป็นกลุ่มอภิสิทธิ์ชน (หน้า 7-8) ให้ความสำคัญกับเพศหญิงโดยถือการสืบสกุลทางมารดา (matrilineal descent) ในครอบครัวยึดถือระบบ การมีสามี-ภรรยาเดียว (monogamy) (หน้า 8) ความเชื่อ การนับถือผี แสดงออกทางพิธีกรรม สโลด บทบาทของหมอผี ในการรักษาเยียวยาความเจ็บป่วย ที่เชื่อว่ามาจากอำนาจ ของผี หรือ อำนาจเหนือธรรมชาติ (หน้า 6) และเมื่อการแพทย์แผนปัจจุบันได้แพร่หลายเข้ามา ลัวะก็หันไปนิยมการรักษาดังกล่าวแม้เป็นเจ็บป่วยเล็กน้อยก็มักมาขอยาที่สถานีอนามัยในหมู่บ้าน แต่ยังคงการรักษาแบบเดิมควบคู่กันไป (หน้า 41) นอกจากนี้ผู้ศึกษาได้ทบทวนองค์ความรู้จากการศึกษาที่เกี่ยวกับ การใช้พืชสมุนไพร ในกลุ่ม ชาวเขาเผ่าต่าง ในเขตภาคเหนือของไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการศึกษาที่เกี่ยวกับ พฤษศาสตร์พื้นบ้านของชาวเขาที่นำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ การศึกษาได้นำเสนอ ความรู้เกี่ยวกับพืชสมุนไพร ที่นำมาใช้เป็นยา อย่างรอบด้าน ได้แก่ ลักษณะของพืชสมุนไพร, ลักษณะทางพฤกษศาสตร์, การปลูก และ การบำรุงรักษา, ความรู้ทั่วไป ในทางเคมี และ เภสัชวิทยา, การเก็บสมุนไพรเพื่อเป็นยา, การแปรสภาพ และการเก็บรักษา, และ เทคนิคการเตรียมยาสมุนไพร (หน้า 9-30) โดยวิธีการที่นิยมปรุงยาสมุนไพร มี 5 วิธี คือ 1. ยาชง 2. ยาต้ม 3. ยาดอง 4. ยาผง 5. ยาลูกกลอน (หน้า 29-30) ในการใช้สมุนไพร ที่เคยมีผู้ทำการศึกษา ทำให้ทราบว่า ชาวเขาหลายเผ่ามีความนิยมในการใช้สมุนไพร โดย ขมุ เป็นชาวเขาที่นิยมการใช้พืชสมุนไพรมากที่สุด คือ 165 ชนิด จาก ทั้งหมด 232 ชนิด รองลงมา คือ ลัวะ มีการใช้พืชสมุนไพร 126 ชนิด (หน้า 33) อย่างไรก็ตามในกรณีศึกษานี้ พบว่าลัวะ บ้านเต๋ยกลาง ใช้พืชสมุนไพรในชีวิตประจำวัน 32 ชนิด โดยพืชแต่ละชนิด ใช้ประโยชน์ต่างๆกันไป เช่น ต้น ใบ ราก เหง้า เป็นต้น วิธีการใช้จะแตกต่างๆกันออกไปตามสรรพคุณของพืชชนิดนั้น พอเป็นตัวอย่างสังเขปดังนี้ ใช้รากต้น เล็บมือนาง (Quisqualis indiica Linn.) นำไปต้มน้ำดื่ม ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ, ใช้แกน ต้นกวาวเครือ (Milletia extensa Benth.) ดองเหล้าบำรุงร่างกาย, ใช้รากกะเม็งฝนน้ำดื่ม แก้ท้องร่วง, ก่อโจม (Lithocarpus sp.) ใช้ใบอ่อน อม และ เคี้ยว แก้วปวดฟัน การศึกษานี้ยังพบว่า การใช้พืชสมุนไพร 32 ชนิด มาเป็นยารักษาโรคในหมู่บ้านเต๋ยกลาง สมุนไพรที่ใช้กันมาก ได้แก่ มะเฟือง โดยใช้รากมะเฟือง ตากแห้งต้มน้ำดื่ม ซึ่งเชื่อว่า จะทำให้โรคนิ่วหาย ใช้ใบต้นสาบเสือ ตำพอกแผล ใช้ต้นดีงูต้มดื่มแก้ท้องร่วง ใช้เหง้าไพลฝนน้ำฝนดื่มแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ซึ่งตรวจพบว่าได้ผลจริง ทั้งยังมีการเสนอแนะ ให้มีการส่งเสริมการใช้ผลประโยชน์จากพืชสมุนไพรให้มากขึ้น

Focus

ศึกษาภูมิปัญญาของ ลัวะ ในการใช้ประโยชน์จากสมุนไพรท้องถิ่น

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ลัวะ ที่อาศัยในหมู่บ้านเต๋ยกลาง ตำบลดอยภูคา อำเภอปัว จังหวัดน่าน จำนวน 93 ครัวเรือน

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาลัวะ, ภาษาไทยท้องถิ่น ภาคเหนือ

Study Period (Data Collection)

เดือนสิงหาคม 2541 – มกราคม 2542 เป็นเวลา 6 เดือน

History of the Group and Community

ลัวะที่อาศัยในพื้นที่หมู่บ้านเต๋ยกลาง อพยพโยกย้าย มาจากประเทศลาว ประมาณ พ.ศ. 2519 (หน้า ง) และมีการขยายอาณาเขตออกไป เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของประชากร ในช่วงราวปี 2516 มีการตั้งโรงเรียนตำรวจตะเวนชายแดนขึ้น ประจำหมู่บ้าน และพบว่าหมู่บ้านนี้อยู่ในพื้นที่การปฏิบัติการคอมมิวนิสต์ ในเขตดอยภูคา มีการปราบปรามฝ่ายคอมนิสต์ จนถึงปี 2519 หลังจากนั้น มีการจัดตั้งอุทยานแห่งชาติบนพื้นที่ดอยภูคา ในปี 2530 โดยมีหมู่บ้านเต๋ยกลาง เป็นที่ตั้งของที่ทำการอุทยาน สภาพทางภูมิศาสตร์ของหมู่บ้านแวดล้อมไปด้วยทิวเขา และผืนป่าที่ยังคงความสมบูรณ์ ที่สำคัญของจังหวัดน่าน เป็นแหล่งต้นน้ำธรรมชาติ ของสายน้ำที่สำคัญ เช่น แม่น้ำปัว, น้ำขว้าง, น้ำกูน น้ำย่าง สายน้ำทั้งหมดนี้ได้ไหลมารวมกันเป็นแม่น้ำน่าน นอกจากนี้แนวเทือกเขาดอยภูคานี้ ยังเป็นพรหมแดนธรรมชาติ ระหว่างประเทศไทย และลาว เป็นเหตุให้ในพื้นที่ดังกล่าว มีการอพยพย้ายถิ่นของชาวเขาเผ่าต่างๆ เช่น ม้ง เป็นต้น ความขัดแย้งทางอุดมการณ์การเมืองในประเทศลาว เวียดนาม และ จีน ทำให้เกิดการสู้รบตามแนวชายแดน ส่งผลกระทบต่อ ความมั่นคง ของไทย และ สภาพแวดล้อมธรรมชาติ ในพื้นที่ป่าดังกล่าวของไทย เป็นเหตุให้มีการทำลายทรัพยากรธรรมชาติลงอย่างรวดเร็วอีกด้วย

Settlement Pattern

หมู่บ้านเต๋ยกลาง ตั้งอยู่บนไหล่เขาในเขตเทือกเขาดอยภูคา มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 900 เมตร โดยการสร้างบ้านเรือนอยู่ชิดกันเป็นกระจุก ไม่เป็นระเบียบ มีจำนวนประมาณ 93 ครัวเรือน (หน้า 34) มีถนนสายเล็กๆ ตัดผ่านหมู่บ้าน 1 สาย ตัวหมู่บ้านนั้น ห่างจาก ถนนสาย ปัว-บ่อเกลือ ประมาณ 1.5 กิโลเมตร (หน้า 37) อาณาเขตหมู่บ้าน ทิศเหนือ ติดกับบ้านตาน้อย ทิศใต้ ติดกับบ้านป่าไร่ และบ้านกิ่ว ทิศตะวันออก ติดกับบ้านห้วยปูด และ ทิศตะวันตก ติดกับบ้านเต๋ยห้วยงอน (หน้า 38-39) ในหมู่บ้าน มี สถานีอามัย และ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน (หน้า 37)

Demography

จากตารางจำนวนประชากร ลัวะ ในประเทศไทย พ.ศ.2538 สำรวจโดย กรมประชาสงเคราะห์ (หน้า 9) มีประชากรลัวะ จำนวน 48,425 คน กระจายอยู่ใน 3 จังหวัด คือ เชียงใหม่, น่าน เพชรบูรณ์ จังวัดน่าน มีประชากรลัวะมากที่สุด 48,035 คน อาศัยอยู่ใน 150 หมู่บ้าน ตั้งกระจายอยู่ใน 9 อำเภอของจังหวัดน่าน ที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ มีลัวะเพียงหมู่บ้านเดียว จำนวน 380 คน ที่เหลือ อยู่ในอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยเฉพาะ บ้านเต๋ยกลาง อำเภอปัว จังหวัดน่าน มีครัวเรือน 93 ครัวเรือน (หน้า 34)

Economy

ลัวะ ยังชีพด้วยการเกษตร เลี้ยงสัตว์ และ หาของป่า การทำข้าวไร่ เป็นเกษตรกรรมที่มีความสำคัญต่อสังคมลัวะ เนื่องจากมีจำนวนสมาชิกในครอบครัวน้อยเพราะมักจะมีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยว ทำให้มีปัญหาด้านแรงงาน กับทั้งการที่ต้องคอยหนีภัยการต่อสู้กันระหว่างคอมมิวนิสต์ และทหารของไทย ทำให้ต้องย้ายที่ทำกินบ่อยๆ จึงมีพื้นที่เพาะปลูกน้อยลง และขาดความอุดมสมบูรณ์ ทำให้เกิดระบบ “การเอามื้อกัน” หรือการลงแขก ร่วมกันใช้แรงงานในที่ดิน เช่นการปลูกข้าว ในกลุ่มตระกูลของตน (หน้า 6) และการขยายไปสู่การร่วมกันของแรงงานทั้งชุมชน เพื่อให้ได้ผลผลิตเพียงพอสำหรับการบริโภค นอกจากนี้ ปัญหา การมีเครื่องมือการเกษตร เช่น มีดพร้า จอบ เคียว ไม่เพียงพอใช้งาน เครื่องมือเหล่านี้จะมีเฉพาะครอบครัวใหญ่ ต้องมีการหยิบยืมกันใช้ โดยที่ครอบครัวที่ขาดแคลน ต้องรอคอยให้ ครอบครัวใหญ่ใช้สอยเสร็จแล้วจึงได้ยืมใช้ ทำให้ เกิดปัญหาหลายอย่างตามมา เช่น เพาะปลูกไม่ทันฤดูกาล หรือ ไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้ทัน ทำให้ผลผลิตเสียหาย (หน้า 5) ลัวะปลูกพืชผักสวนครัว เพื่อบริโภคในครอบครัว และอาจแบ่งปันกันภายในหมู่บ้าน ลัวะปลูกพืชเศรษฐกิจ ได้แก่ เมี่ยง (ชาป่า), มะแข่น, เปลือกต้นสา สำหรับขาย (หน้า 40) เช่นเดียวกันก็เลี้ยง ควายเอาไว้ขายให้กับคนพื้นราบ การเก็บของป่า การล่าสัตว์ มักเพื่อใช้บริโภคในครัวเรือน ของป่าที่หาได้ ได้แก่ ต้นก๋ง (ดอกหญ้าไม้กวาด) มะต๋าว (ลูกโต) (หน้า 6) ลัวะประสบปัญหาที่ดินเพาะปลูก เพราะมีการเพาะปลูก ทับเขตพื้นที่อุทยาน ทำให้มีพื้นที่การเกษตรน้อย เฉลี่ยครอบครัวละ 4.5 แปลง และมีขนาดเนื้อที่เฉลี่ย แปลงละ 2.2 ไร่ ซึ่งไม่เพียงพอต่อการบริโภค การทำไร่หมุนเวียน ของลัวะ ต้อง มีระยะพักตัวของการใช้ที่ดินทำการเพาะปลูกซ้ำ ประมาณ 2-5 ปี เพราะว่าถ้าเพาะปลูกโดยทันที หรือ ไม่ครบกำหนดการพักตัวของดิน จะทำให้ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ ทำให้ผลผลิตตกต่ำ (หน้า 40)

Social Organization

ลัวะ มักมีรูปร่าง เตี้ย ล่ำ ผิวคล้ำ จากการศึกษา ลัวะ มีนิสัย สุภาพ อดทน และ ขี้อาย ซึ่งอาจมาจากสาเหตุ ที่เชื่อว่า คนภายนอกจะนำอันตรายมาให้ และเชื่อว่า การมี สามี หรือ ภรรยา หลายคน เป็นสิ่งอัปมงคล ดังนั้น ลักษณะครอบครัวลัวะ จึงเป็นลักษณะ ครอบครัวในระบบ ผัวเดียวเมียเดียว (Monogamy) (หน้า 41) จากข้อมูลของชลธิรา (หน้า 25 – 30) ลัวะมีโครงสร้างสังคมที่ชัดเจน โดยมีการแบ่งชนชั้นใหญ่ๆ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มชนชั้นต่ำ, กลุ่มชนชั้นกลาง และ กลุ่มชนชั้นสูง ในแต่ละกลุ่ม จะใช้ จำนวนน้ำเต้า เป็นสัญญาลักษณ์บ่งชี้สถานะด้วยอีกทางหนึ่ง (หน้า 7-8) กลุ่มชนชั้นต่ำ เป็นกลุ่มของแรงงาน ทาส และ คนที่มีสถานะเป็นลูกเลี้ยงในครอบครัว ซึ่งต้อง รับใช้ ทำงานอย่างหนัก ให้ครอบครัว กลุ่มชนชั้นกลาง มีลักษณะเป็นครอบครัวเดียว ที่มีกำลังการผลิตไม่มาก จากพื้นที่ทำกินผืนเล็กๆ ของครอบครัวตน ไม่มีสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นแหล่งทำมาหากิน เช่น แหล่งน้ำ การหาปลาในแหล่งน้ำ และการเลือกที่ทำกินตามความพอใจ เพราะ ชนชั้นกลางต้องถูกเกณฑ์ แรงงาน ในบางครั้ง เพื่อรับใช้ให้กับชนชั้นสูง ที่เรียกว่า “เจ้าโคตร” หรือ “เจ้าวงศ์” ชนชั้นกลางนี้มีน้ำเต้าบ่งชี้สถานะได้ 3-4 ใบ ในกลุ่มชนชั้นสูง ยังแบ่งกลุ่มย่อยออกไปอีก 3 กลุ่ม คือ กลุ่มครอบครัวใหญ่, กลุ่ม หมอผี และ กลุ่ม เจ้าก๊ก กลุ่มครอบครัวใหญ่ มักมีลักษณะเป็นครอบครัวขยาย มีไร่มากกว่า 1 ผืน มีสิทธิ์ ที่จะใช้แหล่งทรัพยากรธรรมชาติ ในการทำมาหากินได้ โดยไม่ต้องรับใช้ แรงงาน ให้ “เจ้าโคตร” หรือ “เจ้าวงศ์” มีน้ำเต้า จำนวน 10 ใบ เป็นเครื่องแสดงสถานะ กลุ่มหมอผี โดยทั่วไป มีชีวิตที่สุขสบาย เพราะได้รับการนับถือจากทุกชนชั้นในสังคม ลัวะ เป็นลุ่มที่มีความเป็น อภิสิทธิ์ชน กลุ่ม เจ้าก๊ก เป็นกลุ่มผู้นำชุมชน ที่สมาชิกในหมู่บ้าน แม้แต่จะต่างหมู่บ้าน ก็ต้องให้ความเคารพนับถือ มีลักษณะเป็นครอบครัวขยาย และ เป็นครอบครัวขนาดใหญ่ มีพื้นที่ทำกินขนาดใหญ่ 3-5 ผืน จำนวน สมาชิก มีมากกว่า 10 คน และมีน้ำเต้ามากกว่า 10 ใบ เป็นสิ่งแสดงสถานะ คนกลุ่มดังกล่าว มักเกณฑ์แรงงานจากชนชั้นต่ำ เพราะถือเป็น ผู้นำ และ เป็นโคตรวงศ์ เดียวกัน นอกจากนี้ในกลุ่มของเจ้าก๊ก ก็มีความสัมพันธ์ในเชิงผลประโยชน์ที่เอื้อต่อกันกับกลุ่มหมอผี (หน้า 8)

Political Organization

ในโครงสร้างสังคมของลัวะ มีการแบ่งชนชั้นที่ชัดเจน ซึ่งหมายถึง แต่ละกลุ่มชนชั้นมีการระบุถึง อำนาจหน้าที่ไว้อย่างชัดเจนด้วยเช่นกัน ชนชั้นสูง ที่เรียกว่า “เจ้าโคตร” หรือ “เจ้าวงศ์” เป็นชนชั้นผู้นำชุมชน เรียกอีกชื่อว่า “เจ้าก๊ก” ชนชั้นผู้นำนี้มีสิทธิในการเข้าถึงแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ ที่เป็นแหล่งทำมาหากิน เช่น แหล่งน้ำ การหาปลาในแหล่งน้ำ และการเลือกที่ทำกิน ได้มากที่สุด ซึ่งชนชั้นสูงนี้ รวมถึง กลุ่มของครอบครัวใหญ่ และ หมอผี ด้วย ชนชั้นที่เข้าถึงแหล่งทรัพยากรดังกล่าว รองลงมา คือ ชนชั้นกลาง แต่ชนชั้นนี้ก็ ต้องถูกเกณฑ์ แรงงาน และ รับใช้ ให้กับ ชนชั้นสูง ในบางครั้ง กลุ่มหมอผี ได้รับการนับถือจากชนทุกชั้นในสังคม ลัวะ เป็นกลุ่มที่มีความเป็น อภิสิทธิ์ชน นอกจากนี้ในกลุ่มของเจ้าก๊ก ก็มีความสัมพันธ์ กับกลุ่มหมอผี ซึ่ง มีผลประโยชน์ที่เอื้อต่อกัน ซึ่งเป็นกลุ่มผลประโยชน์ ที่มีอำนาจทางสังคมสูง (หน้า 7-8) อย่างไรก็ตาม ระบบ “เอามื้อกัน” หรือการลงแขก ทำงาน โดยเฉพาะงานเพาะปลูก จากการศึกษานี้ไม่ปรากฏชัดเจนว่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยในทุกชนชั้นร่วมกัน หรือ เฉพาะกลุ่มในแต่ละชนชั้นเท่านั้น เมื่อมีการบริหารการปกครองท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วม แบบองค์กรบริหารส่วนตำบล (อบต.) หมู่บ้านเต๋ยกลาง ก็อยู่ภายใต้องค์กรบริหารส่วนตำบลดอยภูคาด้วย แสดงให้เห็นการเข้ามาจัดการท้องถิ่นแบบมีส่วนร่วมโดยรัฐ (หน้า 34)

Belief System

พิธีสโลด หรือ พิธีแห่พิ เป็นพิธีเรียกขวัญ ขวัญข้าว และ เลี้ยงผีไร่ ขณะที่ข้านกำลังตั้งท้อง เป็นพิธีกรรม ที่ทำเป็นประเพณีทุกปี ในช่วงเดือน กรกฎาคม ถึง สิงหาคม โดยผู้ร่วมพิธีจะนำต้นข้าวจากไร่ของตน มาเข้าพิธีแห่พิ หรือแห่ขวัญข้าว ไป ยังบ้านที่ผีหมู่บ้านสถิตย์อยู่ ซึ่งพิธีจะจัดขึ้นที่บ้านดังกล่าว และบ้านที่ทำพิธี แต่ละปี จะซ้ำบ้านหลังเดิม หรือ เปลี่ยนไป หรือไม่ อย่างใดก็ขึ้นอยู่กับการเสี่ยงทายของหมอผีว่า ผี จะสถิตย์ที่บ้านใด (หน้า 41) ลัวะยังมีความเชื่ออีกว่า การกระทำผีที่สิงสถิตอยู่ตามที่ต่างๆ เป็นสาเหตุของความเจ็บป่วย จึงต้องมีการทำผี หรือเลี้ยงผี โดยมีหมอผีเป็นผู้ทำพิธี ยกครู และมีการเสี่ยงทายเพื่อหาสาเหตุของการเจ็บป่วย โดยการโปรยข้าวสารเสี่ยงทาย แล้วหมอผีจะบอกว่าต้อง ฆ่าหมู หรือ ไก่ เลี้ยงผี ถ้ายังไม่หาย ก็ต้องทำพิธีเรียกขวัญด้วย (หน้า 6)

Education and Socialization

การสืบทอดความรู้ ด้าน การใช้สมุนไพร หรือการรักษาความเจ็บป่วย โดยพบว่า วิธีการรักษาโรคต่างๆ เช่น การรักษาแผล ถอนพิษ เป็นความรู้ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ (หน้า 6, 42) ในหมู่บ้านมักมี หมอผีประจำหมู่บ้าน คอยให้คำปรึกษาเกี่ยวกับ ความเจ็บป่วย และ พิธีกรรมต่างๆที่จะช่วยรักษา พร้อมกับการใช้สมุนไพรต่างควบคู่กันไป (หน้า 6) แม้ หมอผี จะเป็นผู้ชาย แต่ผู้ร่วมประกอบพิธี เป็นผู้หญิง โดยในสังคมลัวะ ให้ความสำคัญต่อ ผู้หญิง ว่าเหนือกว่าชาย ทั้งด้าน เศรษฐกิจ และ วัฒนธรรม การสืบสกุลก็ถือทางมารดาเป็นหลัก (Martrilineal descent) และ เจ้าโคตร หรือ เจ้าก๊ก ก็เป็นผู้หญิง ซึ่งเป็นผู้นำที่ควบคุม กฎระเบียบ ประเพณีปฏิบัติ ของสังคม (หน้า 8) ในปี 2516 มีการจัดตั้งโรงเรียนประจำหมู่บ้าน โดยมีตำรวจตระเวนชายแดน เป็นครูผู้สอน จนถึงปีที่ทำการศึกษา มีโรงเรียนในหมู่บ้าน จัดสอนถึง มัธยมปีที่3 และ เป็น โรงเรียนขยายโอกาส นักเรียนส่วนใหญ่เป็นชาวเขา (หน้า 37)

Health and Medicine

การใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพร ของลัวะ ที่บ้านเต๋ยกลาง ล้วนเป็นสมุนไพร ที่พบในหมู่บ้าน ทั้งสิ้น 32 ชนิด จำแนกเป็นประเภทจากการใช้ส่วนต่างๆ ของพืช ดังนี้ ประเภทใช้ราก ได้แก่ ฮ่อม, มะเฟือง, เล็บมือนาง, ถอบแถบเครือ, หญ้าหนูต้น, ชบา, ขี้ครอก, หมักทุ้ม, งัด, ตีนฮุ้งดอย ประเภทใช้ใบ ได้แก่ ฮ่อมช้าง, หนาดใหญ่, สาบเสือ, คว่ำตายหงายเป็น, ก่อโจม, มังดาน หรือ ทะโล้, ขางขาว ประเภทใช้เปลือก ได้แก่ มะกอกไทย, รัง, ทัน, ไฟเดือนห้า ประเภทใช้ต้น ได้แก่ ว่านกีบแรด, กะเม็ง, มะหาสดำเขา, ว่านหอมแดง, ต่อไส้, ดีงู, ประเภทใช้แกน ได้แก่ ขมิ้นต้น, กราวเครือ ประเภทใช้เหง้า ได้แก่ คล้า หรือ แหย่ง, ไพล เพื่อประโยชน์ ทั้งทางการรักษาความเจ็บไข้ และ บำรุงร่างกาย มีเป็นส่วนน้อยที่ใช้ประโยชน์ในด้านอื่น เช่น ใช้รากฮ่อม ในการย้อมผ้า โดยขั้นตอนก่อนนำมาใช้นั้น เริ่มตั้งแต่ วิธีการแปรสภาพ และเก็บรักษา ซึ่งในกระบวนการดังกล่าว จะคัดแยกส่วนของพืชที่สามารถนำมาใช้เป็นยาได้ จนถึง เทคนิคการ เตรียมยา หรือ ปรุงยาสมุนไพร (หน้า 26-30) ซึ่งมีวิธีการที่นิยมปรุงยาสมุนไพร โดยสรุป 5 วิธี คือ 1. ยาชง มักใช้กับสุนไพรตากแห้ง มาลวกกับน้ำเดือด แล้วดื่มน้ำที่ได้นั้น 2. ยาต้ม สามารถใช้ได้กับทั้งสมุนไพร สด และ แห้ง นำไปต้ม และ ดื่มน้ำจากการต้มยานั้น 3. ยาดอง เป็นยาที่ใช้สารละลายหลายชนิด เช่น เหล้า น้ำมะกรูด น้ำส้ม เป็นต้น แช่สมุนไพร 4. ยาผง นำสมุนไพรมาแปรรูปจนเป็นผง เวลาใช้มักทำละลายกับน้ำกระสายยา ซึ่งได้แก่ น้ำต้มสุก, น้ำดอกมะลิ, น้ำซาวข้าว เป็นต้น 5. ยาลูกกลอน นำสมุนไพรที่ใช้มาตากแห้งแล้วบดให้ละเอียดจากนั้นนำมาผสมน้ำผึ้ง ทำเป็นลูกกลอน (หน้า 29-30) นอกจากการใช้ สมุนไพร ควบคู่กับการเลี้ยงผีอยู่เสมอ เพราะ ลัวะยังมีความเชื่อว่า สาเหตุของความเจ็บป่วยการมาจากการกระทำของผีที่สิงสถิตอยู่ตามที่ต่างๆ จึงต้องมีหมอผี เป็นผู้ทำพิธี ยกครู และมีการเสี่ยงทายเพื่อหาสาเหตุของการเจ็บป่วย โดยการโปรยข้าวสารเสี่ยงทาย แล้วหมอผีจะบอกว่าต้อง ฆ่าหมู หรือ ไก่ เลี้ยงผี ถ้ายังไม่หาย ก็ต้องทำพิธีเรียกขวัญด้วย การทำพิธีเรียกขวัญหรือ ทำขวัญ นี้จะมีเสมอ เพราะขวัญ เป็นสิ่งที่มีประจำตัวทุกคน หากมีการได้พบ หรือ ประสบกับสิ่ง ที่ทำให้ตกใจ เป็นเหตุ ให้เกิดอาการ ขวัญอ่อน และทำให้เกิดการเจ็บป่วยตามมา (หน้า 6) สมุนไพรที่ลัวะนิยมใช้กันมาก คือ มะเฟือง โดยใช้รากมะเฟือง ตากแห้งต้มน้ำดื่ม ซึ่งเชื่อว่า จะทำให้โรคนิ่วหาย ใช้ใบต้นสาบเสือ ตำพอกแผล ใช้ต้นดีงูต้มดื่มแก้ท้องร่วง ใช้เหง้าไพลฝนน้ำฝนดื่มแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ (หน้า 42)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ผู้หญิงลัวะทั่วไป นุ่งผ้าซิ้น หรือ ผ้าถุง และใส่เสื้อเหมือนคนพื้นราบ (หน้า 7)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

เนื่องจากเส้นทางคมนาคมที่สะดวก ทำให้หมู่บ้านเต๋ยกลางค่อนข้างเจริญ และ ทันสมัย รวมทั้งทำให้ลัวะมีการปฏิสัมพันธ์ กับคนนอกมากขึ้น ทั้งนักท่องเที่ยว, นักวิชาการ-นักวิจัย และ ชาวต่างประเทศ แต่ลัวะก็ยังคงรักษาใช้ภาษาลัวะในการสื่อสาร เห็นได้จาก การที่นักวิจัย ยังคงต้องใช้ล่ามประจำหมู่บ้านสำหรับการเก็บข้อมูล และ การประกอบพิธีสโสด หรือการเข้าร่วมพิธี ที่ยังคงอยู่ ก็แสดงให้เห็นความเข็มแข็งของวัฒนธรรมความเชื่อของลัวะ (หน้า 63)

Social Cultural and Identity Change

จากการที่หมู่บ้านเต๋ยกลาง สมารถติดต่อกับคนพื้นราบได้สะดวก เพราะเส้นทางคมนาคมที่สะดวก กับทั้ง อยู่ใกล้ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยภูคา หมู่บ้านนี้จึงค่อนข้างเจริญ และ ทันสมัยมากกว่าหมู่บ้านอื่นๆในละแวกนั้น ทำให้การแต่งกายของลัวะเหมือนชาวพื้นราบทั่วไป ปัจจุบัน ลัวะได้หันมานับถือศาสนาพุทธ ควบคู่กับการนับถือผี (หน้า 63) และ เมื่อมีสถานีอนามัย ขึ้นในหมู่บ้านแล้ว ชาวบ้านหันมานิยมการรักษาสมัยใหม่มากขึ้น กว่าการทำพิธีเลี้ยงผี เพื่อเยียวยารักษาโรค แม้ว่าจะมีการเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อย ชาวบ้านก็มักมาขอยารักษา ที่สถานีอนามัยอยู่เสมอ อย่างไรก็ตามก็ยังมีการพึ่งพาหมอผีประจำหมู่บ้าน ทำการรักษาอยู่บ้าง ควบคู่กับการใช้สมุนไพร โดยมีกระทรวงสาธารณสุขทำการรณณรงค์การใช้สมุนไพรมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านก็ไม่สามารถระบุได้ว่าการรักษาแบบใดให้ผลดีกว่า (หน้า 40-41)

Other Issues

ไม่มีข้อมูล

Map/Illustration

มีการแสดง ตาราง และ ภาพประกอบ ดังสารบัญต่อไปนี้ สารบัญตาราง 1. ตารางแสดงจำนวนประชากรเผ่าลัวะ และ ถิ่นในประเทศไทย พ.ศ. 2538 (หน้า 9) 2. ตารางแสดงอุณหภูมิที่ใช้อบสมุนไพรให้แห้ง (หน้า 27) 3. ตารางการครอบครองไร่ข้าวในหมู่บ้านเต๋ยกลาง (หน้า 40) 4. ตารางสรุปรายชื่อสมุนไพร (หน้า 60) สารบัญภาพ 1. ภาพระบบราก (หน้า 13) 2. ภาพชนิดของลำต้น (หน้า 14 3. ภาพการขยายพันธุ์พืชสมุนไพร (หน้า 18) 4. ภาพแผนที่บ้านเต๋ยกลาง (หน้า 38) 5. ภาพแผนที่ตำบลภูคา (หน้า 39) 6. ภาพโรงเรียนขยายโอกาสในหมู่บ้านเต๋ยกลาง (หน้า 72) 7. ภาพสถานีอนามัยประจำตำบลภูคา (หน้า 73) 8. ภาพที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลภูคา (อบต.) (หน้า 73) 9. ภาพสภาพหมู่บ้านชาวลัวะ (หน้า 74) 10. ภาพการทำไร่หมุนเวียนของชาวลัวะ (หน้า 74) 11. ภาพป้ายแสดงทางเข้าหมู่บ้าน (หน้า 75) 12. ภาพตู้โทรศัพท์ที่แสดงถึงความทันสมัย (หน้า 75) 13. ภาพพืชสมุนไพร เล็บมือนาง (หน้า 76) 14. ภาพพืชสมุนไพรไพล (หน้า 76) 15. ภาพพืชสมุนไพรฮ่อมช้าง (หน้า 77) 16. ภาพพืชสมุนไพร ตีนฮุ่งดอย (หน้า 77) 17. ภาพพืชสมุนไพรขมิ้นต้น (หน้า 78) 18. ภาพพืชสมุนไพรข่าคม (หน้า 78) 19. ภาพพืชสมุนไพรฮ่อม (หน้า 78) 20. ภาพพืชสมุนไพรไฟเดือนห้า (หน้า 79) 21. ภาพพืชเศรษฐกิจ มะแข่น (หน้า 79 ) 22. ภาพที่เก็บอาหารของชาวลัวะ (หน้า 80) 23. ภาพศาลผีประจำหมู่บ้าน (หน้า 80) 24. ภาพการเรียกขวัญข้าว (หน้า 81) 25. ภาพการแห่ผี (หน้า 81) 26. ภาพการแต่งกายของชาวลัวะ (หน้า 82) 27. ภาพบ้านที่อาศัย ในหมู่บ้าน (หน้า 82)

Text Analyst นายพรนรินทร์ เพิ่มพูล Date of Report 06 ม.ค. 2566
TAG ลัวะ, การใช้พืชสมุนไพร, เภสัชศาสตร์, การส่งเสริมการเกษตร, จังหวัดน่าน, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง