|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),,ภูมิปัญญา,การย้อมสีด้าย,วัสดุธรรมชาติ,เชียงราย |
Author |
เพชร ธุระวร, นิรมล นะซอ, วันดี นะซอ |
Title |
โครงการกระบวนการพัฒนาและสืบทอดภูมิปัญญาด้านการย้อมสีด้ายด้วยวัสดุธรรมชาติของผู้หญิงกะเหรี่ยงสะกอ ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) |
Total Pages |
81 |
Year |
2544 |
Source |
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย |
Abstract |
ชุมชนกะเหรี่ยงมีประวัติความเป็นมา ขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมาแต่ดั้งเดิม การถ่ายทอดองค์ความรู้และภูมิปัญญาต่าง ๆ มีการถ่ายทอดในรูปของเรื่องเล่า เพลงนิทานกล่อมนอนสอดแทรกองค์ความรู้ด้านการประพฤติปฏิบัติตนในสังคม เด็กชายและเด็กหญิงได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ต่าง ๆ จากบิดาและมารดาการย้อมสีด้ายด้วยวัสดุธรรมชาติเป็นหนึ่งในองค์ความรู้ดั้งเดิมที่สืบทอดกันมายาวนานในหมู่สตรีกะเหรี่ยงสะกอบ้านห้วยขม ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย ผู้วิจัยและกลุ่มเป้าหมายของโครงการกระบวนการพัฒนาและสืบทอดภูมิปัญญาด้านการย้อมสีด้ายด้วยวัสดุธรรมชาติได้ศึกษาเรียนรู้ภูมิปัญญาดั้งเดิม กระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้และได้ผสานสร้างองค์ความรู้ใหม่ ด้วยการทดลองย้อมสีด้ายด้วยทรัพยากรธรรมชาติโดยใช้พืชผักสมุนไพรพื้นบ้าน รวมถึงทำการตรวจสอบคุณภาพของสีย้อมตามขั้นตอนต่าง ๆ อีกทั้งยังศึกษากระบวนการผลิต การบริหารจัดการและการตลาดผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอย่างเรียกได้ว่าครบวงจร ปัจจุบันการย้อมสีธรรมชาติ ไม่มีการเข้าป่าเพื่อจัดเก็บวัตถุดิบ แต่ชุมชนกะเหรี่ยงบ้านห้วยขมใช้พืชสมุนไพรและพืชผักสวนครัวและผลไม้ที่ปลูกในชุมชนหรือพื้นที่ในรั้วบ้านและพื้นที่ทำกินให้เป็นประโยชน์ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากธรรมชาติทั้งหมด เป็นการส่งเสริมอาชีพแก่ผู้สูงอายุและสตรีที่ว่างงานภายในชุมชน ทั้งยังได้องค์ความรู้ใหม่และกระบวนการขั้นตอนการย้อมสีด้ายด้วยวัสดุธรรมชาติ (ของผู้หญิงกะเหรี่ยงสะกอ)ที่มีความคงทนและความสดใสของสีที่สามารถสืบทอดสู่คนรุ่นหลังต่อไปได้ |
|
Focus |
เน้นศึกษาการถ่ายทอดองค์ความรู้และสืบทอดภูมิปัญญาการย้อมสีด้ายด้วยวัสดุธรรมชาติของผู้หญิงกะเหรี่ยงสะกอ |
|
Ethnic Group in the Focus |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ใช้ภาษากะเหรี่ยง (หน้า36) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติของชนเผ่ากะเหรี่ยงต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย ตำบลแม่ยาวมีชนเผ่ากะเหรี่ยงอาศัยอยู่ 3 หมู่บ้าน จากการศึกษาประวัติชุมชนของแต่ละหมู่บ้านพบว่าทั้ง 3 หมู่บ้านเป็นเครือญาติกัน ประชากรส่วนใหญ่ย้ายมาจากเชียงใหม่ บางส่วนมาจากแม่ฮ่องสอน การย้ายมาตั้งถิ่นฐานมาพร้อมกับการประกาศศาสนาคริสต์ ทั้งสามชุมชน มีวัฒนธรรม ประเพณีและความเชื่อทางศาสนาเหมือนกัน และมีการติดต่อสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด (หน้า 15 – 16) และอยู่มานานกว่า 50 ปี (หน้า 35) ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านห้วยขม ปี พ.ศ.2480 อาหม่อง สังคอยและขุน ดำรงเสมียนป่าไม้จังหวัดเชียงรายและลำปางได้ของสัมปทานป่าไม้ที่หัวแม่ยาว เมื่อได้รับสัมปทานแล้วยังขาดช้างลากไม้จึงไปหาพ่อเลี้ยงตุ๊โดะ เจ้าของช้างทำไม้ที่บ้าน แม่โต๋ ต.บ่อแก้ว อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ พ่อเลี้ยงจึงชักชวนคนมาสำรวจพื้นที่ได้พื้นที่บริเวณบ้านดอยในปัจจุบันเป็นที่อยู่อาศัยและพื้นที่โล๊ะป่าตองสำหรับเลี้ยงช้าง พ่อเลี้ยงตุ๊โดะพาครอบครัวซึ่งประกอบด้วย นางคำน้อย ภรรยา ลูกชาย 2 คน ลูกสาว 2 คนคือ แม่บัวเขียว ธุระวร พ่อมันดี ธุระวร แม่นาเล่ เสดวงชัย พ่อหล้า ธุระวรและผู้ที่ทำงานด้วย 3 คนคือ นายมูล บุญเป็น พ่อแกงแงงบิดาของนายพุธ วะรา และพ่อแยบุญ ธุระวร พร้อมกับช้างที่ไว้ชักลากไม้ 5 เชือกมาอาศัยอยู่บริเวณนั้น จนถึงสมัยสงคราม โลกครั้งที่ 2 ปี พ.ศ.2486 พ่อเลี้ยงตุ๊โดะ ได้พาครอบครัวอพยพไปอยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของต.แม่ยาว ซึ่งมี 9 หมู่บ้านมาตั้งถิ่นฐานสร้างบ้านอยู่ในเขตพื้นที่ รับผิดชอบในหมู่ที่ 9 คือบ้านทุ่งหลวง ซึ่งเป็นบริเวณบ้านสวนธารทองปัจจุบัน หลังจากพ่อเลี้ยงตุ๊โดะเสียชีวิต พ่อแยบุญแต่งงานกับบุตรสาวคนโตของพ่อเลี้ยงตุ๊โดะคือ แม่บัวเขียว แล้วอพยพครอบครัวมาอยู่ที่บ้านไทยใหญ่ (บ้านเงี้ยว บ้านห้วยขมหมู่ที่ 1 ในปัจจุบัน) ต่อมาบ้านห้วยขมได้แยกออกจากหมู่บ้านทุ่งหลวงเป็นหมู่ที่ 10 เมื่อปี พ.ศ.2490 มี 34 ครอบครัว อยู่ได้ไม่นานก็ต้องย้ายเพราะชาวไทยใหญ่ซึ่งนับถือศาสนา ต่างกันไม่ให้อยู่ด้วย พ่อแยบุญจึงอพยพครอบครัวมาอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำยาว เป็นป้านห้วยขม หมู่ 10 และอยู่ที่นี่มาจนถึงปัจจุบัน นอกจากกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอญอและไทยใหญ่เข้ามาอยู่ในพื้นที่แล้ว เมื่อ พ.ศ. 2506 กลุ่มชาติพันธุ์อาข่าและลาหู่ก็ย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณบ้านสองแควพัฒนา (อาโยะ) ต้นน้ำแม่ยาวซ้าย และที่บ้านจะแตะบริเวณต้นน้ำแม่ยาวขวา ต่อมาลาหู่บ้านห้วยชมภูได้แยกกลุ่มออกมาตั้งถิ่นฐานที่ ต้นน้ำห้วยนางกา บ้านสุขเกษม เมื่อปี พ.ศ.2542 ในเดือนเมษายน 2545 บ้านสองพัฒนาได้แยกออกมาตั้งถิ่นฐานแห่งใหม่ที่ห้วยนากา คือบ้านหนองผักหนาม ในปี พ.ศ.2527 บ้านห้วยขมได้แยกออกเป็นสองหมู่บ้านคือ หมู่บ้านห้วยขมนอก (หมู่ที่ 10) และหมู่บ้านห้วยขมใน (หมู่ที่ 1 ในปัจจุบัน) (หน้า 21 – 22) |
|
Settlement Pattern |
ตำบลแม่ยาวมีชนเผ่ากะเหรี่ยงอาศัยอยู่ 3 หมู่บ้านคือ หมู่ที่ 2 บ้านรวมมิตร หมู่ที่ 10 บ้านห้วยขม และหมู่ที่ 12 บ้านแคววัวดำ (หน้า 15) พื้นที่อุดมสมบูรณ์ด้วยแหล่งน้ำ สำคัญ 13 สาย (หน้า 16) มีการตั้งชุมชนในพื้นที่ราบระหว่างหุบเขา เป็นหมู่บ้านคนไทยพื้นราบและคนเมือง 10 หมู่บ้าน และมีชาวเขาตั้งถิ่นฐานบนภูเขาจำนวน 6 หมู่บ้าน 40 กลุ่มบ้าน (หน้า 18) เขตต้นน้ำแม่ยาวซ้ายเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์อาข่า คือ บ้านสองแควพัฒนา (อาโยะ) เขตต้นน้ำแม่ยาวขวาเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธ์ลาหู่ คือ บ้านจะแตะ สำหรับบ้านห้วยขมมีกลุ่มบ้านอยู่ในความรับผิดชอบ 4 กลุ่มบ้าน บ้านห้วยขมได้แยก เป็นสองหมู่บ้านคือ หมู่บ้านห้วยขมนอก (หมู่ที่ 10) และหมู่บ้านห้วยขมใน (หมู่ที่ 1 ในปัจจุบัน) (หน้า 22) สำหรับการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของชุมชนกะเหรี่ยงปัจจุบันมีทั้งแบบใหม่และแบบดั้งเดิม ส่วนใหญ่สร้างบ้านแบบถาวรทำด้วยไม้และปูน ชุมชน กะเหรี่ยงในตำบลแม่ยาว ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่นานกว่า 50 ปีและไม่มีแนวโน้มจะโยกย้าย ถิ่นฐาน (หน้า 25) |
|
Demography |
ประชากรบ้านห้วยขม (เฉพาะหมู่บ้านหลักไม่รวมกลุ่มบ้านบริวาร) เป็นชุมชนกะเหรี่ยง มีจำนวนทั้งสิ้น 469 คน ชาย 246 คน หญิง 223 คน มีครัวเรือนทั้งสิ้น 122 ครัวเรือน (หน้า 23) มีประชากรที่ออกไปทำงานนอกชุมชน 93 คน ชาย 53 คน หญิง 40 คน (หน้า 24) |
|
Economy |
ประชากรในตำบลแม่ยาวส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำไร่ท่ำสวน ทำนา รับจ้างและค้าขาย (หน้า 16) นอกจากนี้ยังเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวถึง 4 แห่งคือ ทัวร์ช้างกะเหรี่ยงบ้านรวมมิตร น้ำตกห้วยแม่ซ้าย โบราณสถานถ้ำพระ และหาดผา ขวาง (หน้า 17 -18) การประกอบอาชีพของกะเหรี่ยงสะกอบ้านห้วยขม มักทำนาควบคู่กับทำไร่ มีการปลูก ข้าวเพื่อบริโภคในครัวเรือนและจำหน่าย ทำไร่ข้าวโพด ไร่ขิงและไร่ข้าว ผู้ชายรับจ้าง เฝ้าสวนและทำงานในสวนให้นายทุน ผู้หญิงเป็นแม่บ้าน ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม รับจ้างทำงานตามห้างร้านในตัวเมืองเชียงรายและต่างจังหวัด นอกจากนี้ก็มีการปลูก ผักสวนครัวหาของป่าขายภายในชุมชน งานหัตถกรรมสิ่งทอ ค้าขายพืชผลทางการเกษตร และรับจ้างทั่วไปถือเป็นอาชีพเสริม (หน้า 30) สำหรับรายได้จากผลผลิต ทางการเกษตรแต่ละปีมีรายได้ไม่มากนัก เนื่องจากพื้นที่ทำกินของประชาชนมีจำกัด จึงมีการปลูกพืชหมุนเวียนตลอดทั้งปีและรับจ้างควบคู่ไปด้วย รายได้ครัวเรือนร้อยละ 80 มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (หน้า 32) หมู่บ้านห้วยขมมีพื้นที่ทั้งหมด 3,550 ไร่ เป็นพื้นที่ทำการเกษตร 1,330 ไร่ เป็นพื้นที่ ป่าสงวนแห่งชาติหรือสวนสักป่ารัฐบาล 2,100 ไร่ มีทรัพยากรแหล่งน้ำธรรมชาติที่ใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิต คือ แม่น้ำแม่ยาว และยังมีลำห้วยที่ประชาชนใช้ประโยชน์ ในการเกษตรอีก 3 สายคือ ลำห้วยวัด ลำห้วยปู่ไซ ลำห้วยชมภู นอกจากนี้ยังมีแหล่งน้ำใช้สำหรับการอุปโภคบริโภคในชุมชน เป็นแหล่งน้ำที่สร้างขึ้นเป็น บ่อน้ำบาดาล 2 แห่ง บ่อน้ำตื้น 10 แห่ง และประปา 2 แห่ง (หน้า 26 – 27) ส่วนแหล่งทรัพยากรป่าไม้มี ป่าไม้บริเวณดอยยาว ดอยหม่อนฮักและดอยบ่อเป็นแหล่งกำเนิดของแหล่งน้ำสาย ต่าง ๆ มีกระบวนการจัดการป่าไม้และการใช้ประโยชน์จากป่าไม้ คือ ใช้เป็นแหล่งวัสดุสร้างที่อยู่อาศัย เป็นแหล่งสมุนไพร เป็นแหล่งอาหาร เป็นแหล่งดูดซับน้ำและแหล่ง กำเนิดน้ำทำการเกษตร อย่างไรก็ดี ป่าไม้ก็ยังถูกทำลายเป็นจำนวนมากเพราะ มีการตัดไม้เพื่อการค้า โดยผู้ว่าจ้างคือเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ชาวบ้านไม่มีสิทธิ์ดูแลป่าอย่างเต็มที่ เพราะป่าไม้อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ชาวบ้านจำนวนหนึ่งรับจ้างทำไม้ ชักลากไม้ (หน้า 29 – 30) ด้านสาธารณูปโภคของบ้านห้วยขม มีความพร้อมเกือบทุกด้าน ยกเว้นถนนภายในหมู่บ้านที่ยังไม่ได้มาตรฐาน ส่วนกลุ่ม บ้านบริวารทั้ง 5 กลุ่ม ยังไม่มีความสะดวกสบายด้านสาธารณูปโภค ไม่มีไฟฟ้าและประปาที่ดีพอ ยังใช้ประปาภูเขา ถนนที่เข้าหมู่บ้านทุกหมู่บ้านเป็นถนนลูกรังและ ถนนดินลำบากในการคมนาคม (หน้า 33) กระบวนการย้อมสีด้ายด้วยวัสดุธรรมชาติและกระบวนการพัฒนาการย้อมสี ด้ายธรรมชาติ วิธีการย้อมสีธรรมชาติของผู้หญิงกะเหรี่ยงมีการย้อม 2 แบบ คือ แบบย้อมร้อนและแบบย้อมเย็น หากใช้พืชสีส่วนราก แก่น เปลือกลำต้นและทุกส่วนของพืชจะใช้วิธีการย้อมร้อน หากใช้พืชสีส่วนใบ ผลจะใช้วิธีการย้อมเย็น ผู้หญิงกะเหรี่ยง นิยมย้อมสีธรรมชาติแบบย้อมร้อน เพราะเชื่อว่าคงทนดีกว่าการย้อมแบบย้อมเย็น กระบวนการย้อมสีธรรมชาติแบบดั้งเดิมแบ่งเป็น 4 ขั้นตอนใหญ่คือ 1. การเตรียมวัตถุ ดิบ (พืชสี) และการสกัดสี 2.การเตรียมด้ายสำหรับย้อม 3. การเตรียมน้ำข้าวจ้าวเพื่อเคลือบเส้นด้าย 4. ?? การย้อมสีแบบย้อมร้อนจะมีการใช้ครั่งสดเป็นส่วนประกอบ เพราะเชื่อว่าครั่งมีสารที่ช่วยสีให้ติดเนื้อด้ายและมีความคงทน (หน้า 38 - 41) สำหรับกระบวนการพัฒนาการย้อมสีด้ายด้วยวัสดุธรรมชาติให้มีความคงทนและมีความสดใสของสี มีการเตรียมการทดลองเพื่อพัฒนาคุณภาพการย้อมสี โดยทดลองย้อมสีด้าย 3 ชุดและมีการทดสอบความคงทนและความสดของสี ทั้งยังมีการทดลองผสมสีให้มีจำนวนมากขึ้นเพื่อพัฒนาสีให้ติดทนนานและมีสีสันสดใส กลายเป็นองค์ความรู้ใหม่ที่เกิดจากการเรียนรู้และค้นพบร่วมกันระหว่างผู้วิจัยและกลุ่มเป้าหมาย (หน้า 45 – 57) เป็นที่น่าสังเกตว่า การย้อมสีด้ายด้วยวัสดุธรรมชาติเป็นกระบวนการหนึ่งที่นำมาใช้ แก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ทั้งยังแก้ปัญหาความยากจนและการว่างงานของประชาชนในพื้นที่ได้อีกด้วย เพราะเป็นการใช้ ประโยชน์จากสิ่งที่อยู่รอบตัวหรือทรัพยากรธรรมชาติควบคู่กับการดูแล ปัจจุบันการ ย้อมสีธรรมชาติไม่มีการเข้าป่าเพื่อจัดเก็บวัตถุดิบ แต่ชุมชนกะเหรี่ยงบ้านห้วยขมจะใช้ พืชสมุนไพรและพืชผักสวนครัวและผลไม้ที่ปลูกในชุมชน หรือพื้นในรั้วบ้านและพื้นที่ ทำกินให้เป็นประโยชน์ ด้านต้นทุนการผลิตก็คุ้มค่ากับการดำเนินการ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ ได้จากธรรมชาติทั้งหมดและยังช่วยส่งเสริมอาชีพในชุมชน ผลการวิจัยพบว่าผู้ทำงานดังกล่าวเป็นผู้สูงอายุและสตรีในชุมชนที่ว่างงาน ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์สีย้อมธรรมชาติด้วยวิธีการดังกล่าว จะได้กำไรหรือค่าแรงจากผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นวันละ 30 – 70 บาท ปัจจุบันกลุ่มมีกระบวนการบริหารจัดการทั้งด้านทุนและตลาด มีทุนหมุนเวียนสำหรับ การรับซื้อและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของสมาชิกจำนวน 5,000 บาท ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งองค์กรชุมชนชาวเขา ทางกลุ่มวางแนวทางการบริหารจัดการกองทุนโดยจัดให้มีตัวแทนกลุ่มทำหน้าที่ด้านการตลาด กำไรสุทธิจาก การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ร้อยละ 70 ให้ผู้ดำเนินงานด้านการตลาด ร้อยละ 20 เก็บไว้เป็นเงินกองทุนของกลุ่ม ร้อยละ 10 ใช้ในด้านสาธารณะกุศลของชุมชน (หน้า 58 - 60) ชุมชนในพื้นที่ดำเนินโครงการเฉพาะหมู่บ้านห้วยขม สามารถผลิตด้ายสีย้อมธรรมชาติ โดยเฉลี่ยวันละ 1 กิโลกรัม ใช้พืชสีในส่วนที่ใช้เปลือกไม้หรือใบไม้โดยรวมวันละ 2 – 3 กิโลกรัมต่อวัน แม้จะมีปริมาณการผลิตออกมาน้อยแต่ก็อยู่ในระดับที่พอดีกับกำลังการทอและความต้องการของตลาดที่มีอยู่ ทั้งยังพอเหมาะกับจำนวนวัตถุดิบที่มีอยู่ สำหรับปริมาณความต้องการรูปแบบผลิตภัณฑ์สีย้อมธรรมชาติของผู้บริโภคยังไม่มีความแน่นอน ผลิตภัณฑ์ที่ผู้ซื้อหรือผู้บริโภคนิยมมากคือ ผ้าที่มีความกว้างพอที่จะแปรรูปเองได้ตามต้องการ ซึ่งไม่สามารถผลิตได้เพราะใช้วิธีการทอผ้าด้วยกี่เอวซึ่งผลิตผ้า ได้กว้าง 18 นิ้ว ส่วนผู้ซื้อนิยมเสื้อที่มีรูปแบบตามลักษณะเสื้อกะเหรี่ยงดั้งเดิม แต่ประยุกต์สีและลวดลาย ผ้าปูโต๊ะ ผ้าหน้ากว้างสำหรับแปรรูปเองและย่าม (หน้า 64 –65) |
|
Belief System |
ชาวบ้านบ้านห้วยขมนับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งนับถือมาก่อนที่จะมาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ปัจจุบัน มีประเพณี วัฒนธรรมต่างไปจากชนเผ่ากะเหรี่ยงที่นับถือผีหรือมีความเชื่อแบบดั้งเดิม กิจกรรมประเพณีทางศาสนาที่สำคัญคือ วันคริสต์มาสและวันขึ้นปีใหม่ รวมถึงวันนมัสการพระเจ้าก่อนลงมือทำการเพาะปลูก (กลางเดือนพฤษภาคมของทุกปี) สถานที่สำคัญทางศาสนาคือ โบสถ์ของคริสตจักรเยาวราษฎร์ สังกัดคริสตจักรภาคที่ 10 มูลนิธิสภาคริสตจักรแห่งประเทศไทย (หน้า 31- 32) |
|
Education and Socialization |
ตำบลแม่ยาวมีโรงเรียนถึง 8 โรงเรียน เป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษา (ป.1 – ป.6) จำนวน 6 โรงเรียน และเป็นโรงเรียนระดับอนุบาลถึง ม.3 จำนวน 2 โรงเรียน ทั้งยัง มีศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนจำนวน 9 แห่ง (หน้า 19) สำหรับสถานบริการของหน่วยงานเอกชนมี หอพักนักเรียนมูลนิธีฟื้นฟูชีวิตซีไนล์ในพื้นที่บ้านท่าหลุก หมู่ 16 เป็นสถานที่รองรับเด็กกำพร้าและให้การศึกษาแก่เด็กและเยาวชน (หน้า 20) นอกจากนี้ยังมีศูนย์วัฒนธรรมกระจกเงาตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านห้วยขม เป็นองค์กรที่ช่วยส่งเสริมการศึกษาอีกด้วย (หน้า 21) สำหรับหมู่บ้านห้วยขมมีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 1 แห่งเพื่อเตรียมความพร้อมให้เด็กก่อนวัยเรียน (หน้า 26) คนในชุมชนส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาภาคบังคับ ประชากรในชุมชนอายุต่ำกว่า 40 ปี สามารถอ่านออกเขียนภาษาไทยได้ เด็กในหมู่บ้านส่วนใหญ่จะได้รับการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่วัยเรียน ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านห้วยขม ระดับอนุบาลและระดับประถมจะเรียนที่บ้านห้วยขม โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง เด็กในหมู่บ้านระดับชั้นมัธยมจะไปเรียนที่โรงเรียนสหศาสตร์ศึกษา โรงเรียนเมืองเชียงราย โรงเรียนดำรงราษฎร์สงเคราะห์ และโรงเรียนในสังกัดของศูนย์สงเคราะห์ชาวเขา แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก เพราะโรงเรียนอยู่ไกลบ้าน สำหรับการศึกษาสายอาชีพมีเด็กเรียนที่วิทยาลัยเทคนิคเชียงราย วิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษก วิทยาลัยอาชีวศึกษาเชียงราย วิทยาลัยเกษตรกรรมเชียงราย นอกจากนี้ยังมีเยาวชนบางส่วนมีโอกาสเข้าศึกษาต่อที่สถาบันราชภัฏเชียงราย บางส่วนไปเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงและมหาวิทยาลัยพายัพ การศึกษาขั้นสูงสุดของชุมชนคือระดับปริญญาโท (หน้า 31) จากข้อมูลการศึกษาและการสอบถามพบว่า เด็กและเยาวชนส่วนหนึ่งจำเป็นต้อง ออกจากการศึกษาก่อนวัยอันควร เพราะเป็นเด็กกำพร้าและยากจน หรือพ่อแม่ ไม่มีเงินส่งเสีย อีกส่วนหนึ่งสมัครใจไม่ศึกษาต่อหันไปประกอบอาชีพรับจ้างและ หันไปเรียนการศึกษานอกระบบแทน (หน้า 33) การถ่ายทอดองค์ความรู้วิธีการย้อมสีด้ายจากวัสดุธรรมชาติ มีการถ่ายทอดความรู้ของชนเผ่ากะเหรี่ยงแบบดั้งเดิมที่บือพอบันทึกไว้ กระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้ของกะเหรี่ยงมีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมตามสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เดิมมีทั้งการเล่านิทานก่อนนอนให้เด็กฟังแล้วสอดแทรกองค์ความรู้ (แต้ะต่าเละเปลอ) การร้องเพลงกล่อมเด็กก่อนนอนแล้วสอดแทรกความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติและการรู้จัก ใช้ประโยชน์จากป่า (อึทา) เด็กชายและเด็กผู้หญิงได้รับการถ่ายทอดความรู้จากบิดา และมารดาจากครอบครัวไปสู่ระดับชุมชน แต่ปัจจุบันเด็กชายหญิงจะได้รับการศึกษา จากโรงเรียนตามหลักสูตร จากการดูโทรทัศน์และฟังเพลงตามสมัยนิยม (หน้า 67- 68) สำหรับการถ่ายทอดภูมิปัญญาของชาวกะเหรี่ยงปัจจุบัน มีทั้งการถ่ายทอดความรู้ภายในครัวเรือน และถ่ายทอดความรู้ตามความสนใจของเด็ก มีการถ่ายทอดความรู้ ควบคู่กับการประกอบพิธีทางความเชื่อดั้งเดิม เช่น ภูมิปัญญาด้านการต้มเหล้า ภูมิปัญญาด้านการดูแลรักษาป่า ภูมิปัญญาเกี่ยวกับเพลงพื้นบ้าน เป็นต้น อย่างไรก็ดี จากการดำเนินโครงการพบว่า เด็กและเยาวชนส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจและไม่เห็นความสำคัญขององค์ความรู้หรือภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ แต่ก็ยังมีเด็กและเยาวชนผู้หญิงบางส่วนที่มีความสนใจและต้องการเรียนรู้ภูมิปัญญาด้านการย้อมสีและการ ทอผ้า แต่ขาดอุปกรณ์และทุนเพื่อฝึกหัดและเรียนรู้ ซึ่งกลายเป็นที่มาของ “โครงการเรียนรู้จากแม่” (หน้า 69) |
|
Health and Medicine |
สาธารณสุขตำบลแม่ยาว บ้านห้วยขม มีสถานีอนามัยประจำตำบลถึง 4 แห่ง ให้ บริการฉีดวัคซีนเด็กและรักษาพยาบาลเบื้องต้น ชาวบ้านห้วยขมนิยมใช้บริการที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ แต่เดิมชาวบ้านห้วยขมส่วนใหญ่ซื้อบัตร สุขภาพบัตรละ 500 บาทต่อปี ทั้งยังมีบัตรสงเคราะห์ประเภทต่าง ๆ แต่ปัจจุบัน รัฐจัดโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้าด้วยบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งต้องไป ใช้บริการที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ส่วนหนึ่งใช้บริการที่โรงพยาบาล โอเวอร์บรุ๊ค เพราะสะดวกในการเดินทางและเฝ้าไข้เพราะไม่ไกลจากชุมชนนัก (หน้า 25) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
วัฒนธรรมการแต่งกายของชาวกะเหรี่ยง ถือเป็นแรงผลักดันสำคัญประการหนึ่งให้ผู้หญิงกะเหรี่ยงต้องย้อมสีด้ายกันเอง การแต่งกายของชาวกะเหรี่ยงมีลักษณะแตกต่างกันชัดเจนระหว่างผู้หญิงสาว แม่บ้านและผู้ชาย กะเหรี่ยงตั้งแต่เด็กจนถึงวัยสาว นิยมแต่งกายด้วยชุดทรงกระบอก คอวี สีขาวยาวถึงข้อเท้า ผู้ชายแต่งกายด้วยเสื้อทรงกระบอกคอวี สีแดง ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วแต่งกายด้วยเสื้อทรงกระบอกสีดำ คอวี เสื้อผ้าของกะเหรี่ยงสมัยก่อนมีแค่ 3 สี คือ สีขาว ได้จากเส้นใยฝ้ายไม่ผ่านการย้อม สีดำได้จากใบฮ่อมหมักหรือเศษวัตถุดิบเหลือใช้หมักรวมกันนาน ๆ และสีแดงได้จากรากยอป่าและรากฝางเสน ต่อมามีการทดลองย้อมสีด้วยการลองผิดลองถูกมาตลอด จึงรู้จักใช้พืชสีย้อมด้ายเพิ่มขึ้นเป็น 6 สี คือ สีขาว สีเหลือง สีแดง สีเขียว สีน้ำตาลและสีดำ นอกจากนี้ผู้หญิงกะเหรี่ยงได้ทดลองและรู้จักสีธรรมชาติที่เป็นสีเดี่ยวจากพืชหลายชนิด เช่น สีเขียวอ่อนจากเปลือกต้นมะม่วง สีเทาจากใบฮ่อม สีม่วงจากลูกหว้า เผือกม่วง สีส้มจากเมล็ดคำแสด เปลือกลำต้นมะยม สีเหลืองจากแก่นขนุน ขมิ้นเป็นต้น (หน้า 36 - 37) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
แผนที่หมู่บ้านห้วยขม / แผนที่แสดงการใช้ประโยชน์พื้นที่ / แผนภาพที่ 1 (หน้า 2)/แผนภาพที่ 2 (หน้า 3) / แผนภาพที่ 3 ภูมิปัญญาดั้งเดิมผสมผสานองค์ความรู้ใหม่ (หน้า 6 )/ ตารางแสดงข้อมูลประชากรในชุมชน (หน้า 23 – 24) / ภาพบ้านแบบสมัย ก่อนและบ้านแบบปัจจุบัน (หน้า 25)/ แผนที่แสดงที่ตั้งและเส้นทางการคมนาคม เข้าออกหมู่บ้านห้วยขม (หน้า 26) / ภาพโบสถ์คริสตจักรเยาวราษฎร์ (หน้า 32) /ภาพตารางแสดงการจำแนกพืชสีตามภาษากะเหรี่ยง,ภาพลายผ้า (หน้า 36) /ตารางสีและแหล่งสีจากพืช (หน้า 37) ภาพการสกัดสีและแยกเศษใบฮ่อมจากสีย้อม (หน้า 39) ภาพการเตรียมด้ายเพื่อนำไปย้อม, การเตรียมข้าวจ้าวสุกและน้ำแป้ง (หน้า 40) ภาพผ้าย้อม (หน้า 45) / ตารางบันทึกผลการทดสอบและเปรียบเทียบการตกของสี จากผ้าตัวอย่าง (หน้า 54 – 55) / ตารางผลการทดลองผสมสี (หน้า 57 – 58) / ภาพตารางแสดงจำนวนพื้นที่ (หน้า 62) /ตารางแสดงการใช้พืชสี กก./ปี/ครัวเรือน (หน้า 64) /แผนภาพวงจรการบริหารจัดการ (หน้า 66) / ตารางเปรียบเทียบการถ่ายทอดองค์ ความรู้สมัยดั้งเดิมเปรียบเทียบกับสมัยปัจจุบัน (หน้า 68) |
|
|