สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject มุสลิม,สุขภาวะ,พฤติกรรม,ปัจจัย,และแนวทางการส่งเสริมสุขภาพ
Author ศิริเพ็ญ ศุภกาญจนกันติ และคณะ
Title การศึกษาการส่งเสริมสุขภาพของชาวมุสลิมในประเทศไทย
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text -
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ไม่ระบุ
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 120 Year 2548
Source แผนงานสร้างเสริมสุขภาวะมุสลิมไทยได้รับการสนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และศูนย์เศรษฐศาสตร์สาธารณสุข คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. กรุงเทพฯ : ศูนย์เศรษฐศาสตร์สาธารณสุข คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Abstract

การศึกษาการส่งเสริมสุขภาพของชาวมุสลิมในประเทศไทย ผู้เขียนพบว่า 1. พฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพ ชุมชนมุสลิมแต่ละภาคในประเทศไทยมีพฤติกรรมในการเข้ารับการรักษาพยาบาลเมื่อเกิดการเจ็บป่วย จากแพทย์แผนปัจจุบัน สาธารณสุข และแพทย์แผนโบราณที่แตกต่างกัน แต่ชาวมุสลิมทุกภาคสนใจ และรู้วิธีปฏิบัติตนในการป้องกันโรค และการส่งเสริมสุขภาพเป็นอย่างดี 2. ความแตกต่างของพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพนั้นสัมพันธ์กับปัจจัยทางเศรษฐกิจ กฎเกณฑ์ทางศาสนา ระบบ และประเภทผู้ให้บริการสุขภาพในชุมชนมุสลิมแต่ละภาคที่ต่างกัน และ 3. เพื่อให้ชุมชนมุสลิมในประเทศไทยมีสุขภาพที่ดี ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้เขียนจึงเสนอแนะให้แต่ละชุมชนมุสลิมมีการวางแผน จัดการ และสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชน ด้วยการส่งเสริมบทบาทด้านบุคลากรที่สำคัญ คือ ผู้นำชุมชน และผู้นำทางศาสนา การประชาสัมพันธ์ การจัดกิจกรรม การพัฒนาสุขลักษณะของชุมชน และการหาและจัดสรรงบประมาณ เพื่อการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพของชาวมุสลิมในชุมชนของตนเองต่อไป (บทสรุปผู้บริหาร)

Focus

ศึกษาพฤติกรรม ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ สังคม และแนวทางการส่งเสริมสุขภาพ เพื่อการมีสุขภาวะที่ดีของชาวมุสลิมในประเทศไทย (หน้า 1-2, 11-13)

Theoretical Issues

ผู้เขียนใช้แนวคิดเรื่องสุขภาวะ คือ การสร้างความสุของค์รวมที่หมายถึง สุขภาพกาย ใจ สังคม จิตวิญญาณ และปัญญา เพื่อให้คนในสังคมสามารถดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข (หน้า 11) และใช้ผลการศึกษาที่พบในงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสุขภาวะของชาวมุสลิมในจังหวัดปัตตานี นราธิวาส และยะลา ในช่วงปี พ.ศ. 2525-2546 ที่แสดงถึงภาพรวมของปัญหาสุขภาพของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อพฤติกรรมในการดูแลรักษาสุขภาพ และการแก้ไขปัญหาสาธารณสุขของชาวมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หน้า 15-19) เข้ามาช่วยในการศึกษาการส่งเสริมสุขภาพของชาวมุสลิมในประเทศไทย ซึ่งผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพจากระบบสาธารณสุข และการรักษาพยาบาล ภายใต้บริบทปัจจัยแวดล้อมทางด้านเศรษฐกิจ และสังคมเป็นตัวสะท้อนถึงสุขภาวะของชาวมุสลิมในปัจจุบัน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการหาแนวทางส่งเสริมสุขภาพของชาวมุสลิมในประเทศไทย (หน้า 111-116 )

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มประชากรหลักในการศึกษาครั้งนี้ คือ ชาวไทยมุสลิมที่กระจายตัวอาศัยอยู่เป็นชุมชนชาวมุสลิมตามภูมิภาคต่างๆ ในประเทศไทย ได้แก่ ชาวมุสลิมในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ตอนบนและล่าง (หน้า 25-26)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่ระบุ

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ไม่ระบุ

Settlement Pattern

ชาวไทยมุสลิมที่อาศัยอยู่เป็นครัวเรือนในภูมิภาคและจังหวัดต่างๆ ของประเทศไทยในการศึกษาครั้งนี้ มักดำรงชีวิตอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มสังคมของตนเอง และผูกพันกับศาสนาเป็นหลัก มีมัสยิดในชุมชนของตนเองเป็นศูนย์รวมจิตใจ และกิจกรรมของชุมชน (หน้า 11)

Demography

จากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี พ.ศ. 2543 จำนวนชาวมุสลิมผู้นับถือศาสนาอิสลามในประเทศไทย มีประมาณ 2,777,542 คน ซึ่งมากเป็นอันดับสองของประเทศ เมื่อจำแนกจำนวนผู้นับถือศาสนาอิสลามเฉพาะพื้นที่ศึกษามีดังนี้ จังหวัดเชียงใหม่ 14,380 คน (0.90%) จังหวัดเชียงราย 2,375 คน (0.19%) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 29,632 คน (3.97%) จังหวัดสระบุรี 6,440 คน (1.17%) จังหวัดตราด 2,166 คน จังหวัดสงขลา 289,924 คน จังหวัดนราธิวาส 543,032 คน จังหวัดปัตตานี 18.93 % (จังหวัดกรุงเทพมหานคร จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดลำพูน และลำปาง ผู้เขียนไม่ได้ระบุจำนวนผู้นับถือศาสนาอิสลาม) (หน้า 2-9) ส่วนจำนวนประชากรเฉพาะในกรณีศึกษาครั้งนี้มีทั้งหมด 3,000 ครัวเรือน 14,605 คน ซึ่งถือเป็นกลุ่มผู้ให้ข้อมูลปฐมภูมิในการศึกษาครั้งนี้ที่ได้มาจากการคัดเลือกสุ่มตัวอย่างจากพื้นที่ทำการศึกษาดังที่กล่าวมาข้างต้น (หน้า 25-26) และพบว่าครัวเรือนในภาคเหนือ ภาคกลาง กรุงเทพมหานคร และภาคใต้ตอนบนส่วนใหญ่มีครัวเรือนขนาดเล็ก คือ 1-5 คน ต่างไปจากครัวเรือนในภาคใต้ตอนล่างที่ส่วนใหญ่มีขนาดครัวเรือน 6-10 คน จำนวนประชากรทั้งหมดแบ่งเป็นเพศชาย 7,026 คน และเพศหญิง 7,556 คน ส่วนใหญ่มีอายุอยู่ในวัยทำงาน คือ 15-59 ปี รองลงมาสมาชิกในครอบครัวอยู่ไม่ได้อยู่ในวัยแรงงาน คือ อายุ 0-14 ปี และ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งพบว่ากลุ่มอย่างศึกษาทั้งประเทศมีสัดส่วนการพึ่งพิง 53.72 % โดยมีภาคใต้ตอนล่างมีสัดส่วนการพึ่งพิงสูงที่สุดในประเทศ คือ 59.31 % รองลงมาคือ ภาคกลาง (54.45%) ภาคเหนือ (50.47%) ภาคใต้ตอนบน (49.91%) และกรุงเทพมหานคร (44.96%) ตามลำดับ สถานภาพ สมรสแล้ว 41.77% โสด 52.98% หม้าย 3.78 % หย่า 0.69% แยกกันอยู่ 0.46% ไม่ทราบสถานภาพ 0.32% (หน้า 35-38)

Economy

สภาพเศรษฐกิจโดยรวมของพื้นที่ทำการศึกษาที่ชุมชนมุสลิมอาศัยอยู่ คือ เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง พระนครศรีอยุธยา ตราด สระบุรี กรุงเทพมหานคร สงขลา นราธิวาส และปัตตานี พบว่า แต่ละจังหวัดมีระบบเศรษฐกิจเชิงพาณิชย์ที่หลากหลาย และแตกต่างกันออกไปตามบริบทสภาพแวดล้อมของแต่ละจังหวัด ส่วนใหญ่อยู่ในภาคอุตสาหกรรม การเกษตร และบริการ (หน้า 2-8) เมื่อพิจารณาถึงลักษณะทั่วไปทางเศรษฐกิจของชาวมุสลิมทั้งประเทศที่เป็นกลุ่มตัวอย่างศึกษา พบว่า ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำงาน 19.28% และอยู่ระหว่างการศึกษา 30.32% รองลงมา คือ อาชีพรับจ้างรายวัน 16.29% ค้าขาย 13.23% และเกษตร 10.43% ตามลำดับ (หน้า 40) และรายได้ของกลุ่มตัวอย่างทั้งประเทศเฉลี่ยเดือนละ 5,806.18 บาท เมื่อจำแนกในระดับภูมิภาคพบว่า ชาวมุสลิมที่อยู่ในภาคใต้ตอนล่างมีระดับการศึกษาที่ไม่สูงมาก และสมาชิกในครอบครัวไม่ได้อยู่ในวัยแรงงาน จึงทำให้มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่าภาคอื่นๆ คือ 3,831.60 บาท ส่วนภาคเหนือ เฉลี่ยอยู่ที่ 9,257.59 บาท ภาคกลาง 5,362.71 บาท ภาคใต้ตอนบน 4,983.85 บาท และกรุงเทพมหานคร 9,265.94 บาท (หน้า 40-42)

Social Organization

ไม่ระบุ

Political Organization

ไม่ระบุ

Belief System

ชุมชนมุสลิมในพื้นที่ศึกษานับถือศาสนาอิสลาม และมีมัสยิดในจังหวัดที่ตนเองอาศัยอยู่ (หน้า 2-9 ) หลักศาสนาอิสลาม และการปฏิบัติศาสนกิจ คือ การทำละมาด และการถือศีลอด เป็นหลักสำคัญในการดำรงชีวิตของชาวมุสลิม ซึ่งพบว่า ชาวมุสลิมภาคใต้ตอนบน และตอนล่างมีการปฏิบัติศาสนกิจอย่างเคร่งครัดมากกว่ากลุ่มชาวมุสลิมในภาคเหนือ ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร จากการที่ชุมชนชาวมุสลิมในประเทศไทยมีการกระจายตัวของกลุ่มประชากรอาศัยอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ โดยมีความแตกต่างของสภาพแวดล้อมถิ่นที่อยู่อาศัย ลักษณะทางสังคม วิถีการดำเนินชีวิต และการประกอบอาชีพ ทำให้กลุ่มตัวอย่างชาวมุสลิมแต่ละภูมิภาคมีการปฏิบัติศาสนกิจที่แตกต่างกัน คือ กลุ่มตัวอย่างชาวมุสลิมในประเทศไทยโดยรวมมีการละมาดทุกครั้งและทุกวัน 75.15 % รองลงมาคือ บางครั้งทุกวัน 12.79 % บางครั้งบางวัน 11.52 % และไม่ปฏิบัติเลย 0.57 % แต่ในระดับภาคพบว่า กลุ่มตัวอย่างชาวมุสลิมภาคใต้ตอนล่างเป็นกลุ่มที่มีการละมาดอย่างเคร่งครัดมากที่สุด รองลงมาคือ กลุ่มตัวอย่างชาวมุสลิมภาคใต้ตอนบน ภาคเหนือ กรุงเทพมหานคร และภาคกลาง ตามลำดับ ส่วนการถือศีลอดพบว่า กลุ่มตัวอย่างชาวมุสลิมในประเทศไทยโดยรวมมีการถือศีลอดเป็นประจำ 87.55 % และ ไม่เป็นประจำ 12.45 % (หน้า 39-40) ผู้เขียนมองว่า ถึงแม้ว่าชาวมุสลิมในภาคใต้ตอนล่างเป็นภาคที่ประสบกับปัญหาด้านการสร้างสุขภาวะมากที่สุด เนื่องจากการมีรายได้น้อย สมาชิกในครอบครัวไม่ได้อยู่ในวัยแรงงาน ระดับการศึกษาไม่สูง และปัญหาการก่อความไม่สงบในพื้นที่ แต่ชาวมุสลิมในภาคใต้ตอนล่างกลับเป็นภาคที่มีชาวมุสลิมปฏิบัติศาสนกิจอย่างเคร่งครัด บทบาทของหลักศาสนาอิสลามจึงมีนัยยะสำคัญดังเห็นได้จากผลการศึกษาที่ช่วยสร้างเสริม และบรรเทาปัญหาสุขภาวะให้กับชาวมุสลิมในภาคใต้ตอนล่าง (หน้า 117-118)

Education and Socialization

กลุ่มตัวอย่างชาวมุสลิมที่ได้รับการศึกษาโดยเฉลี่ยทั้งประเทศ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับประถมศึกษา รองลงมาคือ มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย และปริญญาตรี หรือสูงกว่าตามลำดับ โดยมีกลุ่มตัวอย่างชาวมุสลิมในภาคเหนือ และกรุงเทพมหานครเป็นกลุ่มที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี หรือมากกว่า มีสัดส่วนสูงกว่าชาวมุสลิมภาคกลาง และภาคใต้ ซึ่งผู้เขียนมองว่า การที่กลุ่มตัวอย่างชาวมุสลิมภาคใต้มีระดับการศึกษาไม่สูงมากนั้นสัมพันธ์กับปัญหาขาดแคลนสถานศึกษา และปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ (หน้า 38)

Health and Medicine

1. ลักษณะของโรคภัยไข้เจ็บ กลุ่มตัวอย่างชาวมุสลิมในประเทศไทยป่วยด้วยโรคเรื้อรังที่พบ คือ โรคความดันโลหิตสูง โรคกระดูกและข้อ และโรคเบาหวาน ส่วนที่ผู้อยู่ในภาคใต้ตอนบน ภาคใต้ตอนล่าง และกรุงเทพมหานคร พบว่ามีป่วยเป็นโรคหอบหืด สำหรับชาวมุสลิมที่มีอายุ 35 ปี ขึ้นไป เจ็บป่วยด้วยโรคที่พบ ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคกระดูกและข้อ โรคเบาหวาน โรคหอบหืด โรคหัวใจ และวัณโรค (ภาคใต้ตอนล่างพบมากที่สุด) และที่มีอายุ 55 ปี ขึ้นไป ป่วยด้วยโรคดังกล่าวเช่นกัน ยกเว้นวัณโรค และในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมาก่อนการสัมภาษณ์ ชาวมุสลิมในประเทศไทยป่วยด้วยโรคเบาหวานมากที่สุด รองมา คือ โรคหัวใจ และโรคไขมันอุดตัน (หน้า 43-47) 2. การรักษาพยาบาล เมื่อเจ็บป่วยนิยมเข้ารักษาที่โรงพยาบาลทั่วไป หรือโรงพยาบาลศูนย์มากที่สุด โดยเฉพาะชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในภาคเหนือ กลาง ภาคใต้ตอนบน รองมา คือ โรงพยาบาลชุมชนและสถานีอนามัย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมในภาคใต้ตอนล่าง เพราะมีรายได้น้อย (หน้า 48) ส่วนใหญ่มีความถี่ในการเข้ารับการรักษา ตั้งแต่ 0-3 เดือนต่อครั้ง (88.19%) 4-6 เดือนต่อครั้ง (8.34%) 7-9 เดือนต่อครั้ง (0.70%) 10-12 เดือนต่อครั้ง (1.31%) และมากกว่า 12 เดือนต่อครั้ง (1.46%) (หน้า 49) โดยใช้สวัสดิการการรักษาจากบัตรทอง 30 บาทเป็นส่วนใหญ่ รองมา คือ บัตรทองฟรี และไม่มีหลักประกันสุขภาพ โดยเฉพาะในภาคใต้ตอนบนและภาคเหนือ (หน้า 50-51) มีความพึงพอใจในผลการรักษามากที่สุด รองมา คือ ความเชี่ยวชาญของแพทย์ ความเอาใจใส่ และกิริยาของเจ้าหน้าที่ (หน้า 52-53) มีการตัดสินใจเข้ารับการรักษาจากแพทย์หรือสาธารณสุขเมื่อเจ็บป่วยทุกครั้งมากที่สุด รองมาคือ รักษาด้วยตนเองไม่หาย และรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา หากไม่รักษาในสถานพยาบาลมักซื้อยากินเอง ใช้ยาสมุนไพร แพทย์แผนไทย และโบราณ มีการให้ความสำคัญกับความเชี่ยวชาญของแพทย์มากกว่าเรื่องเพศมากที่สุด รองมาคือ การรักษากับแพทย์ที่มีเพศเดียวกันไม่มีความสำคัญ และการรักษากับแพทย์ที่มีเพศเดียวกันมีความสำคัญมากเพราะเป็นกฎเกณฑ์ทางศาสนา (หน้า 61-64) 3. การป้องกันโรค ส่วนใหญ่สตรีมีครรภ์ฝากครรภ์ในสถานพยาบาล และสาเหตุที่ไม่ฝากครรภ์เนื่องจากเหตุผลอื่นมากเป็นอันดับหนึ่ง รองมา คือ ไม่พอใจในการรักษาและ ไม่เห็นประโยชน์ มีการพาสมาชิกในครอบครัวที่มีอายุตั้งแต่ 0-5 ปี ไปฉีดวัคซีนตามเกณฑ์ครบที่โรงพยาบาลรัฐมากสุด รองมาคือ สถานีอนามัย และสาเหตุที่ไม่พาไปเด็กไปรับวัคซีนมากสุด เพราะไม่ทราบ รองมาคือ เหตุผลอื่นๆ และสถานพยาบาลไกลจากบ้าน และกลุ่มชาวมุสลิมทั่วไปมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี (6.29%) หรือเอ (2.60%) ไม่เคยตรวจสุขภาพประจำปีเลย (41.77%) ตรวจแต่ไม่ทุกปี (34.14%) ตรวจทุกปี (18.30%) มีการตรวจโรคเสี่ยงเฉพาะของผู้หญิงและผู้ชาย (5.79%) และไม่มีตรวจโรคเสี่ยง (28.81%) มีตรวจโรคเสี่ยงเกี่ยวกับโรคฟัน (29.68%) โรคตา (13.42%) และโรคกระดูก (10.97%) (หน้า 65-75) 4. การส่งเสริมสุขภาพ ส่วนใหญ่มีการออกกำลังกายเป็นประจำ (67.94%) มีความรู้ความเข้าใจ และเคยได้รับความรู้เกี่ยวกับสุขภาพอนามัยจากสื่อต่างๆ มากสุด รองมา คือ จากสถานีอนามัย และโรงพยาบาล มีการทำสุหนัตซึ่งเป็นข้อบัญญัติของศาสนาอิสลาม ไม่มีผู้สูบบุหรี่ในครัวเรือน (41.20%) มีผู้สูบบุหรี่ในครัวเรือน 1-2 คน (52.91%) และมีผู้สูบบุหรี่ในครัวเรือน 3-4 คน (5.66%) (หน้า 76-84)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่ระบุ

Folklore

ไม่ระบุ

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่ระบุ

Social Cultural and Identity Change

ไม่ระบุ

Other Issues

ไม่ระบุ

Map/Illustration

ผู้เขียนได้ใช้ตาราง และภาพกราฟแผนภูมิแท่ง เพื่ออธิบายข้อมูลเชิงปริมาณในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลทั่วไประดับครัวเรือน ประชากร เศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม (หน้า 35-42) การรักษาสุขภาพเมื่อเกิดการเจ็บป่วย (หน้า 44-47) การรับบริการ (หน้า 49-64) การป้องกันโรค และส่งเสริมสุขภาพ (หน้า 66-84) และการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพ (หน้า 87-108) ของกลุ่มตัวอย่างชาวมุสลิมทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค

Text Analyst รัตนา หาญสวัสดิ์ Date of Report 02 ต.ค. 2567
TAG มุสลิม, สุขภาวะ, พฤติกรรม, ปัจจัย, และแนวทางการส่งเสริมสุขภาพ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง