|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มุสลิม,สุขภาวะ,พฤติกรรม,ปัจจัย,และแนวทางการส่งเสริมสุขภาพ |
Author |
ศิริเพ็ญ ศุภกาญจนกันติ และคณะ |
Title |
การศึกษาการส่งเสริมสุขภาพของชาวมุสลิมในประเทศไทย |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไม่ระบุ |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
120 |
Year |
2548 |
Source |
แผนงานสร้างเสริมสุขภาวะมุสลิมไทยได้รับการสนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และศูนย์เศรษฐศาสตร์สาธารณสุข คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. กรุงเทพฯ : ศูนย์เศรษฐศาสตร์สาธารณสุข คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
การศึกษาการส่งเสริมสุขภาพของชาวมุสลิมในประเทศไทย ผู้เขียนพบว่า 1. พฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพ ชุมชนมุสลิมแต่ละภาคในประเทศไทยมีพฤติกรรมในการเข้ารับการรักษาพยาบาลเมื่อเกิดการเจ็บป่วย จากแพทย์แผนปัจจุบัน สาธารณสุข และแพทย์แผนโบราณที่แตกต่างกัน แต่ชาวมุสลิมทุกภาคสนใจ และรู้วิธีปฏิบัติตนในการป้องกันโรค และการส่งเสริมสุขภาพเป็นอย่างดี 2. ความแตกต่างของพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพนั้นสัมพันธ์กับปัจจัยทางเศรษฐกิจ กฎเกณฑ์ทางศาสนา ระบบ และประเภทผู้ให้บริการสุขภาพในชุมชนมุสลิมแต่ละภาคที่ต่างกัน และ 3. เพื่อให้ชุมชนมุสลิมในประเทศไทยมีสุขภาพที่ดี ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้เขียนจึงเสนอแนะให้แต่ละชุมชนมุสลิมมีการวางแผน จัดการ และสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชน ด้วยการส่งเสริมบทบาทด้านบุคลากรที่สำคัญ คือ ผู้นำชุมชน และผู้นำทางศาสนา การประชาสัมพันธ์ การจัดกิจกรรม การพัฒนาสุขลักษณะของชุมชน และการหาและจัดสรรงบประมาณ เพื่อการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพของชาวมุสลิมในชุมชนของตนเองต่อไป (บทสรุปผู้บริหาร) |
|
Focus |
ศึกษาพฤติกรรม ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ สังคม และแนวทางการส่งเสริมสุขภาพ เพื่อการมีสุขภาวะที่ดีของชาวมุสลิมในประเทศไทย (หน้า 1-2, 11-13) |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนใช้แนวคิดเรื่องสุขภาวะ คือ การสร้างความสุของค์รวมที่หมายถึง สุขภาพกาย ใจ สังคม จิตวิญญาณ และปัญญา เพื่อให้คนในสังคมสามารถดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข (หน้า 11) และใช้ผลการศึกษาที่พบในงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสุขภาวะของชาวมุสลิมในจังหวัดปัตตานี นราธิวาส และยะลา ในช่วงปี พ.ศ. 2525-2546 ที่แสดงถึงภาพรวมของปัญหาสุขภาพของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อพฤติกรรมในการดูแลรักษาสุขภาพ และการแก้ไขปัญหาสาธารณสุขของชาวมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หน้า 15-19) เข้ามาช่วยในการศึกษาการส่งเสริมสุขภาพของชาวมุสลิมในประเทศไทย ซึ่งผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพจากระบบสาธารณสุข และการรักษาพยาบาล ภายใต้บริบทปัจจัยแวดล้อมทางด้านเศรษฐกิจ และสังคมเป็นตัวสะท้อนถึงสุขภาวะของชาวมุสลิมในปัจจุบัน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการหาแนวทางส่งเสริมสุขภาพของชาวมุสลิมในประเทศไทย (หน้า 111-116 ) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มประชากรหลักในการศึกษาครั้งนี้ คือ ชาวไทยมุสลิมที่กระจายตัวอาศัยอยู่เป็นชุมชนชาวมุสลิมตามภูมิภาคต่างๆ ในประเทศไทย ได้แก่ ชาวมุสลิมในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ตอนบนและล่าง (หน้า 25-26) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Settlement Pattern |
ชาวไทยมุสลิมที่อาศัยอยู่เป็นครัวเรือนในภูมิภาคและจังหวัดต่างๆ ของประเทศไทยในการศึกษาครั้งนี้ มักดำรงชีวิตอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มสังคมของตนเอง และผูกพันกับศาสนาเป็นหลัก มีมัสยิดในชุมชนของตนเองเป็นศูนย์รวมจิตใจ และกิจกรรมของชุมชน (หน้า 11) |
|
Demography |
จากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี พ.ศ. 2543 จำนวนชาวมุสลิมผู้นับถือศาสนาอิสลามในประเทศไทย มีประมาณ 2,777,542 คน ซึ่งมากเป็นอันดับสองของประเทศ เมื่อจำแนกจำนวนผู้นับถือศาสนาอิสลามเฉพาะพื้นที่ศึกษามีดังนี้ จังหวัดเชียงใหม่ 14,380 คน (0.90%) จังหวัดเชียงราย 2,375 คน (0.19%) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 29,632 คน (3.97%) จังหวัดสระบุรี 6,440 คน (1.17%) จังหวัดตราด 2,166 คน จังหวัดสงขลา 289,924 คน จังหวัดนราธิวาส 543,032 คน จังหวัดปัตตานี 18.93 % (จังหวัดกรุงเทพมหานคร จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดลำพูน และลำปาง ผู้เขียนไม่ได้ระบุจำนวนผู้นับถือศาสนาอิสลาม) (หน้า 2-9) ส่วนจำนวนประชากรเฉพาะในกรณีศึกษาครั้งนี้มีทั้งหมด 3,000 ครัวเรือน 14,605 คน ซึ่งถือเป็นกลุ่มผู้ให้ข้อมูลปฐมภูมิในการศึกษาครั้งนี้ที่ได้มาจากการคัดเลือกสุ่มตัวอย่างจากพื้นที่ทำการศึกษาดังที่กล่าวมาข้างต้น (หน้า 25-26) และพบว่าครัวเรือนในภาคเหนือ ภาคกลาง กรุงเทพมหานคร และภาคใต้ตอนบนส่วนใหญ่มีครัวเรือนขนาดเล็ก คือ 1-5 คน ต่างไปจากครัวเรือนในภาคใต้ตอนล่างที่ส่วนใหญ่มีขนาดครัวเรือน 6-10 คน จำนวนประชากรทั้งหมดแบ่งเป็นเพศชาย 7,026 คน และเพศหญิง 7,556 คน ส่วนใหญ่มีอายุอยู่ในวัยทำงาน คือ 15-59 ปี รองลงมาสมาชิกในครอบครัวอยู่ไม่ได้อยู่ในวัยแรงงาน คือ อายุ 0-14 ปี และ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งพบว่ากลุ่มอย่างศึกษาทั้งประเทศมีสัดส่วนการพึ่งพิง 53.72 % โดยมีภาคใต้ตอนล่างมีสัดส่วนการพึ่งพิงสูงที่สุดในประเทศ คือ 59.31 % รองลงมาคือ ภาคกลาง (54.45%) ภาคเหนือ (50.47%) ภาคใต้ตอนบน (49.91%) และกรุงเทพมหานคร (44.96%) ตามลำดับ สถานภาพ สมรสแล้ว 41.77% โสด 52.98% หม้าย 3.78 % หย่า 0.69% แยกกันอยู่ 0.46% ไม่ทราบสถานภาพ 0.32% (หน้า 35-38) |
|
Economy |
สภาพเศรษฐกิจโดยรวมของพื้นที่ทำการศึกษาที่ชุมชนมุสลิมอาศัยอยู่ คือ เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง พระนครศรีอยุธยา ตราด สระบุรี กรุงเทพมหานคร สงขลา นราธิวาส และปัตตานี พบว่า แต่ละจังหวัดมีระบบเศรษฐกิจเชิงพาณิชย์ที่หลากหลาย และแตกต่างกันออกไปตามบริบทสภาพแวดล้อมของแต่ละจังหวัด ส่วนใหญ่อยู่ในภาคอุตสาหกรรม การเกษตร และบริการ (หน้า 2-8) เมื่อพิจารณาถึงลักษณะทั่วไปทางเศรษฐกิจของชาวมุสลิมทั้งประเทศที่เป็นกลุ่มตัวอย่างศึกษา พบว่า ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำงาน 19.28% และอยู่ระหว่างการศึกษา 30.32% รองลงมา คือ อาชีพรับจ้างรายวัน 16.29% ค้าขาย 13.23% และเกษตร 10.43% ตามลำดับ (หน้า 40) และรายได้ของกลุ่มตัวอย่างทั้งประเทศเฉลี่ยเดือนละ 5,806.18 บาท เมื่อจำแนกในระดับภูมิภาคพบว่า ชาวมุสลิมที่อยู่ในภาคใต้ตอนล่างมีระดับการศึกษาที่ไม่สูงมาก และสมาชิกในครอบครัวไม่ได้อยู่ในวัยแรงงาน จึงทำให้มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่าภาคอื่นๆ คือ 3,831.60 บาท ส่วนภาคเหนือ เฉลี่ยอยู่ที่ 9,257.59 บาท ภาคกลาง 5,362.71 บาท ภาคใต้ตอนบน 4,983.85 บาท และกรุงเทพมหานคร 9,265.94 บาท (หน้า 40-42) |
|
Belief System |
ชุมชนมุสลิมในพื้นที่ศึกษานับถือศาสนาอิสลาม และมีมัสยิดในจังหวัดที่ตนเองอาศัยอยู่ (หน้า 2-9 ) หลักศาสนาอิสลาม และการปฏิบัติศาสนกิจ คือ การทำละมาด และการถือศีลอด เป็นหลักสำคัญในการดำรงชีวิตของชาวมุสลิม ซึ่งพบว่า ชาวมุสลิมภาคใต้ตอนบน และตอนล่างมีการปฏิบัติศาสนกิจอย่างเคร่งครัดมากกว่ากลุ่มชาวมุสลิมในภาคเหนือ ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร จากการที่ชุมชนชาวมุสลิมในประเทศไทยมีการกระจายตัวของกลุ่มประชากรอาศัยอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ โดยมีความแตกต่างของสภาพแวดล้อมถิ่นที่อยู่อาศัย ลักษณะทางสังคม วิถีการดำเนินชีวิต และการประกอบอาชีพ ทำให้กลุ่มตัวอย่างชาวมุสลิมแต่ละภูมิภาคมีการปฏิบัติศาสนกิจที่แตกต่างกัน คือ กลุ่มตัวอย่างชาวมุสลิมในประเทศไทยโดยรวมมีการละมาดทุกครั้งและทุกวัน 75.15 % รองลงมาคือ บางครั้งทุกวัน 12.79 % บางครั้งบางวัน 11.52 % และไม่ปฏิบัติเลย 0.57 % แต่ในระดับภาคพบว่า กลุ่มตัวอย่างชาวมุสลิมภาคใต้ตอนล่างเป็นกลุ่มที่มีการละมาดอย่างเคร่งครัดมากที่สุด รองลงมาคือ กลุ่มตัวอย่างชาวมุสลิมภาคใต้ตอนบน ภาคเหนือ กรุงเทพมหานคร และภาคกลาง ตามลำดับ ส่วนการถือศีลอดพบว่า กลุ่มตัวอย่างชาวมุสลิมในประเทศไทยโดยรวมมีการถือศีลอดเป็นประจำ 87.55 % และ ไม่เป็นประจำ 12.45 % (หน้า 39-40) ผู้เขียนมองว่า ถึงแม้ว่าชาวมุสลิมในภาคใต้ตอนล่างเป็นภาคที่ประสบกับปัญหาด้านการสร้างสุขภาวะมากที่สุด เนื่องจากการมีรายได้น้อย สมาชิกในครอบครัวไม่ได้อยู่ในวัยแรงงาน ระดับการศึกษาไม่สูง และปัญหาการก่อความไม่สงบในพื้นที่ แต่ชาวมุสลิมในภาคใต้ตอนล่างกลับเป็นภาคที่มีชาวมุสลิมปฏิบัติศาสนกิจอย่างเคร่งครัด บทบาทของหลักศาสนาอิสลามจึงมีนัยยะสำคัญดังเห็นได้จากผลการศึกษาที่ช่วยสร้างเสริม และบรรเทาปัญหาสุขภาวะให้กับชาวมุสลิมในภาคใต้ตอนล่าง (หน้า 117-118) |
|
Education and Socialization |
กลุ่มตัวอย่างชาวมุสลิมที่ได้รับการศึกษาโดยเฉลี่ยทั้งประเทศ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับประถมศึกษา รองลงมาคือ มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย และปริญญาตรี หรือสูงกว่าตามลำดับ โดยมีกลุ่มตัวอย่างชาวมุสลิมในภาคเหนือ และกรุงเทพมหานครเป็นกลุ่มที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี หรือมากกว่า มีสัดส่วนสูงกว่าชาวมุสลิมภาคกลาง และภาคใต้ ซึ่งผู้เขียนมองว่า การที่กลุ่มตัวอย่างชาวมุสลิมภาคใต้มีระดับการศึกษาไม่สูงมากนั้นสัมพันธ์กับปัญหาขาดแคลนสถานศึกษา และปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ (หน้า 38) |
|
Health and Medicine |
1. ลักษณะของโรคภัยไข้เจ็บ กลุ่มตัวอย่างชาวมุสลิมในประเทศไทยป่วยด้วยโรคเรื้อรังที่พบ คือ โรคความดันโลหิตสูง โรคกระดูกและข้อ และโรคเบาหวาน ส่วนที่ผู้อยู่ในภาคใต้ตอนบน ภาคใต้ตอนล่าง และกรุงเทพมหานคร พบว่ามีป่วยเป็นโรคหอบหืด สำหรับชาวมุสลิมที่มีอายุ 35 ปี ขึ้นไป เจ็บป่วยด้วยโรคที่พบ ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคกระดูกและข้อ โรคเบาหวาน โรคหอบหืด โรคหัวใจ และวัณโรค (ภาคใต้ตอนล่างพบมากที่สุด) และที่มีอายุ 55 ปี ขึ้นไป ป่วยด้วยโรคดังกล่าวเช่นกัน ยกเว้นวัณโรค และในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมาก่อนการสัมภาษณ์ ชาวมุสลิมในประเทศไทยป่วยด้วยโรคเบาหวานมากที่สุด รองมา คือ โรคหัวใจ และโรคไขมันอุดตัน (หน้า 43-47) 2. การรักษาพยาบาล เมื่อเจ็บป่วยนิยมเข้ารักษาที่โรงพยาบาลทั่วไป หรือโรงพยาบาลศูนย์มากที่สุด โดยเฉพาะชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในภาคเหนือ กลาง ภาคใต้ตอนบน รองมา คือ โรงพยาบาลชุมชนและสถานีอนามัย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมในภาคใต้ตอนล่าง เพราะมีรายได้น้อย (หน้า 48) ส่วนใหญ่มีความถี่ในการเข้ารับการรักษา ตั้งแต่ 0-3 เดือนต่อครั้ง (88.19%) 4-6 เดือนต่อครั้ง (8.34%) 7-9 เดือนต่อครั้ง (0.70%) 10-12 เดือนต่อครั้ง (1.31%) และมากกว่า 12 เดือนต่อครั้ง (1.46%) (หน้า 49) โดยใช้สวัสดิการการรักษาจากบัตรทอง 30 บาทเป็นส่วนใหญ่ รองมา คือ บัตรทองฟรี และไม่มีหลักประกันสุขภาพ โดยเฉพาะในภาคใต้ตอนบนและภาคเหนือ (หน้า 50-51) มีความพึงพอใจในผลการรักษามากที่สุด รองมา คือ ความเชี่ยวชาญของแพทย์ ความเอาใจใส่ และกิริยาของเจ้าหน้าที่ (หน้า 52-53) มีการตัดสินใจเข้ารับการรักษาจากแพทย์หรือสาธารณสุขเมื่อเจ็บป่วยทุกครั้งมากที่สุด รองมาคือ รักษาด้วยตนเองไม่หาย และรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา หากไม่รักษาในสถานพยาบาลมักซื้อยากินเอง ใช้ยาสมุนไพร แพทย์แผนไทย และโบราณ มีการให้ความสำคัญกับความเชี่ยวชาญของแพทย์มากกว่าเรื่องเพศมากที่สุด รองมาคือ การรักษากับแพทย์ที่มีเพศเดียวกันไม่มีความสำคัญ และการรักษากับแพทย์ที่มีเพศเดียวกันมีความสำคัญมากเพราะเป็นกฎเกณฑ์ทางศาสนา (หน้า 61-64) 3. การป้องกันโรค ส่วนใหญ่สตรีมีครรภ์ฝากครรภ์ในสถานพยาบาล และสาเหตุที่ไม่ฝากครรภ์เนื่องจากเหตุผลอื่นมากเป็นอันดับหนึ่ง รองมา คือ ไม่พอใจในการรักษาและ ไม่เห็นประโยชน์ มีการพาสมาชิกในครอบครัวที่มีอายุตั้งแต่ 0-5 ปี ไปฉีดวัคซีนตามเกณฑ์ครบที่โรงพยาบาลรัฐมากสุด รองมาคือ สถานีอนามัย และสาเหตุที่ไม่พาไปเด็กไปรับวัคซีนมากสุด เพราะไม่ทราบ รองมาคือ เหตุผลอื่นๆ และสถานพยาบาลไกลจากบ้าน และกลุ่มชาวมุสลิมทั่วไปมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี (6.29%) หรือเอ (2.60%) ไม่เคยตรวจสุขภาพประจำปีเลย (41.77%) ตรวจแต่ไม่ทุกปี (34.14%) ตรวจทุกปี (18.30%) มีการตรวจโรคเสี่ยงเฉพาะของผู้หญิงและผู้ชาย (5.79%) และไม่มีตรวจโรคเสี่ยง (28.81%) มีตรวจโรคเสี่ยงเกี่ยวกับโรคฟัน (29.68%) โรคตา (13.42%) และโรคกระดูก (10.97%) (หน้า 65-75) 4. การส่งเสริมสุขภาพ ส่วนใหญ่มีการออกกำลังกายเป็นประจำ (67.94%) มีความรู้ความเข้าใจ และเคยได้รับความรู้เกี่ยวกับสุขภาพอนามัยจากสื่อต่างๆ มากสุด รองมา คือ จากสถานีอนามัย และโรงพยาบาล มีการทำสุหนัตซึ่งเป็นข้อบัญญัติของศาสนาอิสลาม ไม่มีผู้สูบบุหรี่ในครัวเรือน (41.20%) มีผู้สูบบุหรี่ในครัวเรือน 1-2 คน (52.91%) และมีผู้สูบบุหรี่ในครัวเรือน 3-4 คน (5.66%) (หน้า 76-84) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้ใช้ตาราง และภาพกราฟแผนภูมิแท่ง เพื่ออธิบายข้อมูลเชิงปริมาณในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลทั่วไประดับครัวเรือน ประชากร เศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม (หน้า 35-42) การรักษาสุขภาพเมื่อเกิดการเจ็บป่วย (หน้า 44-47) การรับบริการ (หน้า 49-64) การป้องกันโรค และส่งเสริมสุขภาพ (หน้า 66-84) และการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพ (หน้า 87-108) ของกลุ่มตัวอย่างชาวมุสลิมทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค |
|
|