|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,เรือน,วิถีชีวิต,สังคม,เพชรบุรี |
Author |
โชติมา จตุรวงค์ |
Title |
เรือนไทดำ : กรณีศึกษา เพชรบุรี |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
273 |
Year |
2540 |
Source |
หลักสูตรปริญญาสถาปัตยกรรมศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชาสถาปัตยกรรม บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
กล่าวถึงลักษณะเรือนไทดำ สิบสองจุไทยแบบดั้งเดิมในประเทศเวียดนามและเรือนไทดำหมู่บ้านแม่ประจันต์ ตำบลวังไคร้ อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรีในแบบต่างๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันว่าเรือนไทดำได้เปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง ซึ่งในการศึกษาได้ระบุถึงความเชื่อต่างๆที่เกี่ยวกับเรือนการใช้สอยพื้นที่ การก่อสร้าง โดยได้นำข้อมูลต่างๆเช่น ประวัติศาสตร์ สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม มาวิเคราะห์หาสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงผังบ้านและรูปทรงเรือนไทดำบ้านแม่ประจันต์ตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งกลุ่มไทดำ หมู่บ้านแม่ประจันต์ซึ่งเป็นหมู่บ้านกรณีศึกษานั้นมีบรรพบุรุษที่อพยพมาจากดินแดนสิบสองจุไท ในประเทศเวียดนาม |
|
Focus |
ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นของลักษณะบ้านและเรือนไทดำ สิบสองจุไท ในอดีตและลักษณะบ้านและเรือนไทดำ เช่นคติความเชื่อ ความสัมพันธ์ของเนื้อที่ใช้สอยตามแบบแผนของการดำเนินชีวิต วิธีการก่อสร้าง ที่บ้านแม่ประจันต์ จังหวัดเพชรบุรี ในอดีตจนถึงปัจจุบัน และเปรียบเทียบลักษณะบ้านและเรือนไทดำ ข้อมูลเบื้องต้นของไทดำ สิบสองจุไท ในอดีตกับไทดำบ้านแม่ประจันต์ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งนำมาใช้ในการวิเคราะห์ที่มาของลักษณะบ้านและเรือน และการเปลี่ยนแปลงเช่น ประวัติศาสตร์ ลักษณะทางกายภาพ สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและอื่นๆ (หน้า 5) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทดำ (ไททรงดำ) ลาวทรงดำหรือลาวโซ่ง(Tai Dam, Black Tai) คือชนเผ่าไทในกลุ่มไทน้อยเมื่อก่อนเคยตั้งถิ่นฐานอยู่ที่สิบสองจุไท ภาคเหนือของประเทศเวียดนามสาเหตุที่เรียก “ไทดำ”(Black Tai) เพราะชอบสวมเสื้อผ้าสีดำ ส่วนคนไทยในภาคกลางนั้นเรียกว่า “ลาวทรงดำ” เนื่องจากคิดว่าเป็นคนลาว เนื่องจากอพยพมาพร้อมกับคนลาวกลุ่มอื่นๆ ในภายหลังจึงเรียกสั้นๆ โดยไม่มีคำว่าดำเช่นเมื่อก่อนเหลือเฉพาะคำว่า “ลาวทรง”หรือบางครั้งเรียก “ลาวโซ่ง” (หน้า 2) ส่วนคนเวียดนาม เรียก “Tag Den” คนฝรั่งเศสเรียก ”Tai Noir” (หน้า32) (ภาพหน้า 31,32) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาตระกูลไท-ลาว อยู่ในตระกูลออสโตร-ไท ซึ่งแตกสายเมื่อ 4000 ปีก่อน คริสตศักราช อันเป็นหนึ่งในสามของตระกูลภาษาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ตระกูลภาษาจีน-ทิเบต,ออสโตร-ไทและกลุ่มภาษามอญ-ขอม(เขมร)และมุนดา(หน้า 23) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติหมู่บ้านแม่ประจันต์ คนในหมู่บ้านแม่ประจันต์โยกย้ายที่อยู่เข้ามาในประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 3 ในตอนแรกทางการกำหนดให้ไทดำไปอยู่หมู่บ้านท่าแร้ง อำเภอเขาแหลม แต่ไทดำขอไปอยู่บ้านวังตะโกเพราะชอบสภาพแวดล้อมหมู่บ้านที่เป็นป่าเขา กระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 4 ผู้นำหมู่บ้าน ได้พาครอบครัวต่างๆ ย้ายมาที่อยู่ซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านในทุกวันนี้โดยในตอนแรกมาอยู่ในบริเวณหมู่ 9 ในตอนนั้นสภาพแวดล้อมของหมู่บ้านเต็มไปด้วยต้นยางเป็นจำนวนมากจึงเรียกหมู่บ้านว่า “บ้านดงยาง” (หน้า 88) ไทดำที่ราบลุ่มภาคกลางของไทยและไทดำบ้านแม่ประจันต์ จังหวัดเพชรบุรี เมื่อก่อนไทดำ สิบสองจุไท สร้างบ้านเรือนอยู่ในภาคเหนือของประเทศเวียดนาม ไทดำได้อพยพมาอยู่ในประเทศไทยหลายครั้งด้วยกันเนื่องจากว่าพื้นที่สิบสองจุไท้ป็นเมืองสามฝ่ายฟ้าโยอยู่ติดกับประเทศจีน เวียดนามและลาว ซึ่งมีการสู้รบกันอยู่บ่อยครั้ง ไทดำอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยโดยครั้งที่สำคัญๆอยู่ใน 4 รัชสมัยได้แก่ 1) สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี 2) สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก 3) สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว 4) สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในช่วงแรกทางการให้ไทดำไปตั้งรกรากที่จังหวัดเพชรบุรีกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงอนุญาตให้ไปอยู่จังหวัดอื่น ในประเทศไทยมีไทดำอยู่ในหลายจังหวัดเช่น เพชรบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม สุโขทัย พิจิตร พิษณุโลก กาญจนบุรี ลพบุรี สระบุรี เลย เป็นต้น (หน้า 2,75-80) |
|
Settlement Pattern |
เรือนไทดำบ้านแม่ประจันต์ จังหวัดเพชรบุรี จากการศึกษาระบุว่าเรือนไทดำบ้านแม่ประจันต์ เป็นบ้านที่สืบต่อแบบผังบ้านกับเรือนไทดำแบบดั้งเดิมสิบสองจุไทต่อมารูปแบบบ้านเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากได้รับอิทธิพลจากท้องถิ่นจากภาคกลางของประเทศไทย สำหรับบ้านเรือนไทดำบ้านแม่ประจันต์ ได้แบ่งออกเป็นแบบต่างๆ ดังต่อไปนี้ (หน้า 107,213) เรือนไทดำแบบดั้งเดิม เป็นบ้านเรือนที่สืบทอดมาจากเรือนไทดำสิบสองจุไท หลังคาเป็นทรงกระดองเต่ามุงหญ้าคาโค้งคลุมปิดฝาผนัง วัสดุที่นำมาสร้างได้แก่ ไม้ ไม้ไผ่กับไม้รวก (หน้า 107) ใต้ถุนสูง เพื่อเป็นที่นั่งเล่น ตำข้าว เก็บเครื่องใช้สอยและเป็นคอกเลี้ยงสัตว์ การสร้างบ้านโดยมากจะไม่สร้างอยู่ริมน้ำหรือพื้นที่ที่น้ำอาจท่วม จำนวนห้องจะเป็นเลขคี่ส่วนใหญ่จะทำสามห้อง ตัวบ้านมี ประตู 2 บาน บันได มี 2 ด้าน พื้นที่ใช้สอยแบ่งออกเป็น ชานหรือก๊กจานคือชานบ้านซึ่งมีหลังคาคลุมบริเวณทางขึ้น, สิชาน(ชานพักบันไดก่อนถึงชานมุงหลังคา) กับชานแดด (ไม่มุงหลังคา เป็นที่ซักผ้า ตากผ้า) นอกจากนี้จะเป็นห้องผี ที่นอน ครัวและกว้านคือชานบ้านมีหลังคาส่วนที่ติดกับเสาผีเรือน (หน้า 7,8,110 ) เรือนไทดำแบบดั้งเดิมมี 2 ประเภทดังนี้ 1) เรือนชั้นผู้น้อย ประกอบด้วยชานมีหลังคาใช้เป็นที่นั่งเล่น สิชานเป็นชานพักบันไดก่อนถึงชานส่วนนี้จะมีหลังคาคลุมและชานแดดไม่มีหลังคา (หน้า 110) ในส่วนที่เป็นที่อยู่เป็นห้องโถงมีประตู 2 ด้านได้แก่ด้านชานและกว้าน สำหรับคนสกุลอื่นจะเข้าไปไม่ได้เพราะเป็นที่ตั้งของเสาผีเรือน ในตัวเรือนที่ใช้เป็นที่อยู่จะแบ่งการใช้สอยดังนี้ ห้องผีเรือน (กะล่อห้อง) เป็นช่วงเสาแรกซึ่งติดทางกว๊านห้องนี้เป็นที่อยู่ของเสาผีเรือนห้องนี้ไม่ใช้นอนเพราะเป็นห้องที่ทำพิธีเสนผีเรือน , ห้องโถงใช้เป็นที่นอนได้แก่บริเวณช่วงเสาที่อยู่ติดกับห้องผีเรือน, ห้องผีมด ถ้าหากมีผีมดอยู่ในเรือน สำหรับ”มด”จะทำหน้าที่คล้ายหมอผี มีหน้าที่สะเดาะเคราะห์ รักษาการเจ็บป่วย ต่ออายุ และอื่นๆ ผู้ที่มาเป็นมดจะสืบต่อโดยสายเลือดภายในตระกูลเดียวกัน (หน้า 111) 2) เรือนชั้นผู้ท้าว ดูจากภายนอกจะเหมือนเรือนชั้นผู้น้อยแค่จะต่างกันในการใช้พื้นที่ใช้สอยภายในบ้านดังนี้ ในส่วนของชานมีหลังคาบันไดทางขึ้นด้านชานใช้ได้ทั้งคนตระกูลเดียวกันและตระกูลอื่น,สิชานเป็นชานพักบันไดก่อนจะถึงชานมุงหลังคา,ชานแดดไม่มุงหลังคา เป็นที่ซักและตากเสื้อผ้า รวมทั้งอาหารแห้งต่างๆ สำหรับที่พักอาศัยนั้นจะเป็นห้องโล่งประตูจะอยู่ด้านชานและกว้าน คนในตระกูลอื่นสามารถใช้ประตูทางด้านนี้ บริเวณที่นอนจะเป็นห้องโถง ห้องครัวจะอยู่กลางเรือน ส่วนของก้อนเส้าหุงข้าวทำกับข้าวจะวางบนกะบะใส่ดิน ในส่วนกว้าน หมอเสนชั้นผู้ท้าวจะขึ้นในช่วงทำพิธีเสนผีเรือนกับคนตระกูลเดียวกัน ส่วนชานจะเป็นทางขึ้นของคนตระกูลอื่น บันไดมี 2 ด้านและมีประตู 2 บาน ในส่วนชานจะอยู่ทางด้านหน้าส่วนทางด้านหลังจะเป็นกว้าน หลังคาเป็นทรงกระดองเต่าคลุมตัวบ้านไม่เห็นผนัง ใต้หลังคาจะเป็นที่ตั้งของครกกระเดื่อง วัสดุสร้างบ้านประกอบด้วยไม้ ไม้ไผ่ และไม้รวก (หน้า 111-113,110-117 ภาพหน้า 118-128) เรือนไทดำชนิดที่พัฒนาจากแบบดั้งเดิม วัสดุสร้างบ้านและความเชื่อจะคล้ายแบบดั้งเดิมแต่ได้ลดและปรับเปลี่ยนส่วนประกอบต่างๆ เช่น สร้างในแบบดั้งเดิมบางอย่างได้แก่ ไม้ไขว่ขาเปีย ยึดผืนหลังคาเพื่อความแข็งแรง หลังคามุงหญ้าคากั้นผนังด้วยไม้ไผ่สาน แขวนเต่าไม้ซองครอบหัวเสา ตัดบางส่วนที่ทำให้หลังคาโค้งเป็นทรงกระดองเต่า ไม่ว่าจะเป็น กวางตุ๊บ เสาตุ๊บ ขื่อร่อง เพิ่มพื้นที่ใช้สอยภายในเรือน โดยต่อผืนหลังคาออกเป็นเพิงปีกนกนอกจากนี้ยังสร้างโครงสร้างใหม่เหมือนเรือนท้องถิ่น อาทิ เต้าไม้รับหลังคา รางน้ำสังกะสี พื้นไม้ และอื่นๆ (หน้า 107) ใต้ถุนสูงใช้เป็นที่เก็บอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในครัวเรือน นั่งพักผ่อน และสร้างคอกเลี้ยงสัตว์ได้แก่ ไก่ หมู และอื่นๆ ส่วนพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านได้แก่ ชานแดด พื้นที่พักผ่อนและรับแขกเป็นห้องโถง ไม่มีประตู ในส่วนที่นอนเป็นห้องโถง ไม่มีประตู ห้องผีเรือน ครัว (หน้า 147-152 ภาพหน้า 129-146,149,153-156) เรือนไทดำชนิดที่ได้รับอิทธิพลของท้องถิ่น มีการเปลี่ยนวัสดุ จนแตกต่างจากเรือนไทดำดั้งเดิมลักษณะเหมือนกับเรือนคนไทยในท้องถิ่น วัสดุที่สร้างเป็นไม้จริงทั้งหลัง มุงหลังคาด้วยกะเบื้องดินเผาและสังกะสี หลังคาไม่ลาดชัน ผนังกั้นด้วยไม้จริงและทำหน้าต่าง (หน้า 108) ใต้ถุนสูงโดยใช้พื้นที่ใต้ถุน เป็นที่นั่งพักผ่อน เป็นเล้าเลี้ยงไก่ จำนวนห้องหรือช่วงเสา ต่อเติมหลายครั้งจึงทำให้ไม่มีความแน่นอน การใช้สอยพื้นที่บนเรือนมีดังนี้ชานแดดอยู่ทางหน้าบ้านไม่มุงหลังคา พื้นที่พักผ่อน ,พื้นที่ส่วนนอน เป็นห้องโล่ง ,ห้องผีเรือน ,ครัวแยกออกมาต่างหากแต่ไม่ทำประตู , ยุ้งข้าวเมื่อมีการต่อเติมจึงกลายเป็นส่วนเดียวกับเรือน บันไดมีทางขึ้น 1 ด้านคือทางชานบ้าน (หน้า 192,194,198-200 ภาพหน้า 157-197,201-206) เรือนไทดำชนิดที่ได้รับอิทธิพลจากส่วนกลาง คือเรือนที่ไม่เหลือความเป็นท้องถิ่นไทยสยาม เพชรบุรี ลักษณะเรือนมี 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นคอนกรีต ใช้เป็นที่รับแขกและพักผ่อน ชั้นบนเป็นไม้ พื้นเป็นไม้ เป็นห้องนอน และห้องผีเรือน หลังคามุงสังกะสี หรือกระเบื้อง บันไดมีทางขึ้น 1 ข้างอยู่ภายในบ้าน ยุ้งข้าวแยกออกมาจากตัวเรือน บางหลังก็ไม่มี(หน้า108,109,207-209 ภาพหน้า 210- 212) เรือนไทดำแบบดั้งเดิม สิบสองจุไท เวียดนาม จากการศึกษาได้กล่าวถึงเรือนไทดำแบบดั้งเดิมสิบสองจุไท เวียดนาม เนื่องจากเป็นบรรพบุรุษของไทดำที่อยู่ในประเทศไทย ทั้งนี้การตั้งผังหมู่บ้านและเรือนไทดำแบบดั้งเดิมสิบสองจุไทได้เป็นเครื่องอธิบายลักษณะทางสังคม เศรษฐกิจ ความเชื่อและอื่นๆโดยได้แยกออกเป็น 2 ส่วนดังนี้ 1) ผังบ้านและเรือนไทดำแบบดั้งเดิมสิบสองจุไท ผังหมู่บ้านไทดำแบบดั้งเดิมมีลักษณะเด่นคือ เป็นหมู่บ้านที่เรียงรายตามเชิงเขา อยู่บนดอนน้ำท่วมไม่ถึง อยู่ใกล้แหล่งน้ำกินน้ำใช้และป่าเขา มีแหล่งน้ำอยู่ใกล้ที่นา มีป่าช้าอยู่ใกล้หมู่บ้าน ฯลฯ ลักษณะของเรือนไทดำจะมีจุดเด่นคือ ใต้ถุนสูงพื้นที่ใต้ถุนใช้เลี้ยงสัตว์ และเก็บอุปกรณ์เครื่องใช้ มีหลายห้องเนื่องจากบ้านมีคนในครอบครัว 10-20 คน การใช้สอยเรือนไทดำแบ่งออกเป็น 3 ส่วนได้แก่ชานทางด้านหน้า ด้านหลังกับส่วนที่เป็นที่พัก มีบันไดทางขึ้น 2 ด้านได้แก่ทางกว้านด้านหน้ากับชานด้านหลังสำหรับการใช้สอยบันไดผู้ชายและแขกผู้ชายจะขึ้นบันไดและใช้ประตูด้านที่เป็นกว้านสำหรับประตูและบันไดชานผู้หญิงและแขกที่เป็นผู้หญิงจะใช้ทางด้านนี้ หลังคาเป็นทรงกระดองเต่า เตาไฟอยู่ในส่วนที่พัก ในเรือนจะมีเสาสำคัญได้แก่เสาแฮก(เสาต้นแรก) ไทดำเชื่อว่าเป็นเสาที่นำความเจริญรุ่งเรืองมาให้จึงชอบแขวนพันธุ์พืชไม่ว่าจะเป็นข้าวโพด ฝ้ายและอื่นๆไว้ที่นี่กับเสาเจ้าเสื้อ(เสาผี) เป็นที่อยู่ของผีบรรพบุรุษ เรือนสร้างด้วยไม้ไผ่ บางหลังมีไม้จริงผสมด้วย มียุ้งข้าวหรือที่เก็บข้าว เรือน ไทดำในเวียดนามแบ่งออกตามขนาดของครอบครัวคือเรือนครอบครัวเล็ก แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ ครอบครัวเดี่ยวมีสามีภรรยาและลูก ครอบครัวที่ประกอบด้วยพ่อแม่ฝ่ายสามี สามีภรรยาและลูก และครอบครัวที่จะเป็นก่อนครอบครัวใหญ่ที่ประกอบด้วยคู่วามีภรรยา 2-3 คู่ที่เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดและลูกหลาน ลูกเลี้ยง หลานเลี้ยงกับลูกเขยที่ยังได้ได้แยกเรือน และเรือนครอบครัวใหญ่ คนในเรือนประกอบด้วยสมาชิกมากกว่า 3 ชั่วคน (หน้า 40-58 แผนภูมิหน้า 53-57) 2) ที่มาของผังบ้านและเรือนไทดำแบบดั้งเดิม มาจากหมู่บ้านตั้งอยู่บนเชิงเขาเพื่อไม่ให้น้ำท่วม อยู่ใกล้กับแหล่งน้ำเพราะทำอาชีพเพาะปลูก มีป่าไผ่ข้างหมู่บ้านจึงนำมาสร้างบ้านและเครื่องใช้สอยอื่นๆ มีศาลผีบ้านเพื่อเซ่นไหว้แสดงความเคารพและเพื่อความอยู่ดีมีสุข มีป่าช้าภายในหมู่บ้านเพราะจะต้องประกอบพิธีเผาศพและฝังขี้เถ้า ในหมู่บ้านแบ่งกลุ่มเรือนตายสายของพ่อเนื่องจากไทดำถือสายทางฝ่ายชายและลำดับความอาวุโส (หน้า59-61 ภาพหน้า 41,42,45 - 59) |
|
Demography |
ประชากรหมู่บ้านแม่ประจันต์ แบ่งออกเป็นหมู่ต่างๆดังนี้ หมู่ 1 มีประชากรทั้งหมด 433 คน แบ่งเป็นชาย 222 คน ผู้หญิง 211 คน มีจำนวนครัวเรือนทั้งหมด 76 ครัวเรือน หมู่ 6 มีประชากรทั้งหมด 503 คน แบ่งเป็นผู้ชาย 253 คน ผู้หญิง 250 คน มีจำนวนครัวเรือนทั้งหมด 98 ครัวเรือน หมู่ 9 มีประชากรทั้งหมด 388 คน แบ่งเป็นผู้ชาย 185 คน ผู้หญิง 203 คน มีจำครัวเรือนทั้งหมด 75 ครัวเรือน (ข้อมูล พ.ศ.2539 ตารางหน้า 90, 91) |
|
Economy |
เศรษฐกิจ 85 % ของจำนวนประชากรในหมู่บ้านมีอาชีพเกษตรกรรมโดยปลูกข้าวแบบยังชีพนอกจากนี้ยังปลูกผักสวนครัวและพืชไร่ อาทิเช่น มะนาว กล้วย มะเขือเพื่อขายสำหรับการปลูกพืชจะใช้น้ำจากลำห้วยแม่ประจันต์ บ่อน้ำและคลองชลประทาน การเพาะปลูกพืชไร่ส่วนมากจะปลูกในคุ้มล่างหมู่ 9 มากกว่าหมู่ 1 กับหมู่ 6 เนื่องจากหมู่ 9 อยู่ใกล้ลำห้วยแม่ประจันต์ ห้วยลำไทร คลองชลประทาน ส่วนในหมู่ 6 และหมู่ 1 น้ำในลำห้วยและบ่อแห้งทำให้ขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง (หน้า 91,101) สำหรับขนาดพื้นที่มีดังนี้ หมู่ 1 มีพื้นที่ทั้งหมด 2,500 ไร่เป็นพื้นที่การเกษตร 2,028 ไร่, หมู่ 6 มีที่ดินทั้งหมด 1,364 ไร่เป็นพื้นที่ทำการเกษตร 1,260 ไร่ ส่วนหมู่ 9 มีที่ดิน 1,570 ไร่ มีที่ดินทำการเกษตรจำนวน 1,300 ไร่ (หน้า 90) |
|
Social Organization |
ครอบครัว ไทดำเมื่อแต่งงานแล้วจะเปลี่ยนมานับถือผีและใช้นามสกุลและย้ายมาอยู่บ้านสามีโดยจะถือสายตามฝ่ายชาย อันดับความอาวุโสจะยึดที่ลูกชายคนโต ตัวอย่างเช่นการจัดอันดับการนอน เสาผีเรือนทางด้านหน้าจะถือว่าเป็นตำแหน่งหลัก โดยพ่อแม่ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวเมื่อนอนจะนอนในตำแหน่งด้านหน้าของเรือนติดกับเสาผีเรือน อันดับสองจะเป็นน้องชายของเจ้าของเรือน คู่ลูกชายเจ้าของเรือนเรียงตามความอาวุโส คู่ลูกชายน้องชายตามอันดับอาวุโส ฯลฯ (ดูแผนภูมิหน้า 66) ตามการปฏิบัติหากพ่อแม่เสียชีวิต “อาว์” หรือน้องชายพ่อ จะทำหน้าที่ต่อเป็น“เตรืองกก”(หัวหน้าครอบครัว)โดยจะเรียอาว์กับอาว์สะใภ้ว่า “ปอแม”หรือ”ปู๊ย่า” แต่ถ้าหากอาและภรรยาตาย ลูกชายคนโตของพ่อแม่(สายคนโต)ก็จะมาทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวต่อ (หน้า 58,67 ตารางหน้า 255-257) |
|
Political Organization |
บ้านแม่ประจันต์ แบ่งการปกครองออกเป็น 3 หมู่ได้แก่ หมู่ 1 คุ้มกลาง,หมู่ 6คุ้มบน และหมู่ 9 คุ้มล่าง (หน้า 90,92,100) การปกครองของไทยที่มีต่อไทดำ ในอดีตทางการได้ปกครองไทดำในระบบไพร่โดยใช้กฎหมายตราสามดวง ในการปกครองชุมชนลาวได้แบ่งออกเป็น 2 ระดับได้แก่ 1) มูลนายลาว ได้มาโดยการแต่งตั้ง เช่นเจ้าเมือง ปลัดเมือง จางวางลาว นายกองลาวนายร้อยลาว เป็นต้น กลุ่มนี้มีหน้าที่เก็บผลประโยชน์อาทิ เก็บส่วย ให้กับทางการ มูลนายลาวมีหน้าที่เหมือนกับขุนนางไทยแต่อยู่ในการดูแลของขุนนางไทยระดับสูง 2) ไพร่ลาว แบ่งเป็น เลกลาวไพร่สมคือกลุ่มที่กษัตริย์พระราชทานให้แม่ทัพนายกองที่มีความชอบ คนที่ทำหน้าที่นี้จะไปเป็นเลกสมให้กับมูลนาย,เลกลาวไพร่หลวงมีหน้าที่แตกต่างกันเช่น เป็นทหาร ไปทำงานสร้างพระนครคีรี(เขาวัง)ในช่วงรัชกาลที่ 4 ในระยะเวลา 3 เดือนต่อปี ไปรับใช้พระเจ้าอยู่หัว ในพระราชวังพระนครคีรี ส่งส่วยหรือเรียก “เลกลาวกองส่วย”เพื่อส่งไม้ ดีบุกและอื่นๆ ให้กับทางการไทย (หน้า 80-84) |
|
Belief System |
ศาสนาและความเชื่อ ไทดำเชื่อเรื่องผีและนับถือศาสนาพุทธ ในแต่ละคุ้มมีศาลผีประจำคุ้มดังนี้ หมู่ 9 ศาลผีประจำคุ้มคือ คุณพ่อกะรูอู หมู่ 1 มีศาลคุณพ่อจันทร์เป็นศาลผีประจำคุ้ม และหมู่ 6 มีศาลคุณแม่สำลีเป็นศาลผีประจำคุ้ม (หน้า 2 แผนที่หน้า 100) ภายในหมู่บ้านมีวัดตั้งอยู่ในคุ้มล่างหมู่ 9 (หน้า 101 ภาพ หน้า 105,106) |
|
Education and Socialization |
ในหมู่บ้านมีโรงเรียนระดับประถมศึกษาตั้งอยู่ที่คุ้มล่างหมู่ 9 (หน้า 101) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย ผู้หญิงนิยมแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำ สวมเสื้อแขนยาวบริเวณรอบคอเสื้อจากคอเสื้อลงมากลางลำตัวจะประดับแถบเสื้อบริเวณกนุมด้วยลวดลาย คาดผ้าที่เอว สวมผ้าถุงยาวกรมข้อเท้า ทรงผมจะไว้ผมยาวแล้วมวยจุกเอาไว้ บางคนจะโพกเปียวที่ประดับด้วยขดกุด(ลายผักกูด)ไว้ที่ศีรษะ (หน้า 2,32 ดูจากภาพหน้า 4,31,93 ตัวอย่างผ้าเปียวหน้า 73) |
|
Folklore |
กำเนิดจากนิทานและตำนานอันเป็นที่มาของชนชั้นและการปกครอง ตำนานกล่าวว่า บรรพบุรุษไทดำตระกูลลอ,วี,ลู,ลาว,หลวง,กา,ตองและกวาง เกิดจากลูกน้ำเต้าฝั่งสะอาด บรรพบุรุษตระกูลกวางเกิดมาเป็นอันดับแรกและอันดับสองคือตระกูลหลวง ส่วนบรรพบุรุษตระกูลลอคำแถนหลวงเป็นผู้สร้างโดยได้ส่งมายังโลกให้มาทำหน้าที่บุกเบิกรวมทั้งปกครอง และตระกูลลอได้มาเป็นผู้ช่วยในการบุกเบิก สำหรับชาติพันธุ์ข่าได้เกิดจากฝั่งที่เป็นรูไม้ลนไฟ ผิวพรรณของข่าจึงคล้ำตามความเชื่อของไทดำนั้นเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเชื่อเรื่องแถนจึงได้แบ่งการปกครองตามชาติกำเนิดดังนี้ ตระกูลลอคำทำหน้าที่เป็นชนชั้นปกครองเพราะแถนหลวงเป็นผู้สร้างแล้วส่งมายังโลกเชื่อว่าคนในตระกูลนี้มีเชื้อสายจากแถนหลวงจึงติดต่อกับแถนได้ ตระกูลลอได้เป็นชนชั้นปกครองอันดับสอง ส่วนตระกูลกวางเกิดจากน้ำเต้าเป็นอันดับแรกจึงทำหน้าที่ชนชั้นปกครองกับสามัญชน ถ้าหากเมืองใดคนตระกูลลอคำไม่มี คนตระกูลกวางจะได้รับเลือกให้เป็นผู้นำ และคนในตระกูลหลวงเกิดเป็นที่สอง จึงได้เป็นหมอช่าง และเป็นผู้นำด้านพิธีความเชื่อต่างๆ (หน้า 35-39,245) นิทานเรือนไทดำหลังคาทรงกระดองเต่า นานมาแล้วตอนนั้นคนกับสัตว์ยังพูดคุยกันด้วยความเข้าใจ กระทั่งในวันหนึ่งแถน ( “แถน” หรือผีฟ้า คือเทวดา สามารถเสกให้เกิดสิ่งต่างๆ ได้ แถนหลวงเป็นหัวหน้า-หน้า 8,14,16) ต้องการจะลองใจว่ามีใครจะเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อตนมากกว่าคนอื่น จึงจะมอบสิ่งล้ำค่าให้ ดังนั้นแถนจึงวางอุบายว่าตนเองเสียชีวิต ครั้นข่าวแถนเสียชีวิตได้กระจายไปถึงโลก เมื่อสัตว์ต่างๆ ทราบข่าวร้ายจึงเดินทางไปสวรรค์ เมื่อไปถึงก็ร้องไห้อย่างเศร้าโศกและร้องเพลงสวดเพื่อถวายแด่แถนที่ล่วงลับ ส่วนคนได้เดินทางไปถึงช้ากว่าสัตว์อื่นๆ แม้กระทั่งเต่า เมื่อคนไปถึงที่มีต้นไม้ใหญ่ขวางทางอยู่ พบเต่าซึ่งไม่สามารถข้ามไปไม่ได้ เมื่อเห็นคนเต่าจึงวิงวอนให้คนอุ้มข้ามต้นไม้ที่ขวางทางนั้น โดยบอกว่าจะสอนบทสวดเพื่อถวายแถน เมื่อไปถึงคนก็ร้องเพลงสวดนั้นถวาย ทำให้แถนปลื้มปีติ จึงมั่นใจว่าคนมีความซื่อสัตย์กับตนกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ดังนั้นแถนจึงสาปให้สัตว์ทุกชนิดบนโลกไม่สามารถพูดจาและให้เป็นอาหารของคน จากเหตุการณ์นี้ทำให้คนรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเต่า นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าเต่าได้สอนให้คนสร้างบ้านทรงยกเสาสูง และหลังคาทรงกระดองเต่า (เรื่องและภาพหน้า 62,หน้า 71,246) นิทานบุญคุณผักกูด นานมาแล้วขณะนั้นคนไทดำในเวียดนามได้ทำไร่นาและปลูกผัก ตามไร่นาจะมีผักกูด(พืชตระกูลเฟิร์น ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยเรียกว่า “ผักกูดง่อง”) ผักกูดนั้นอร่อยยอดงอและมีความสวยงาม คนไทดำจะเก็บผูกกูดมาผึ่งแดดและใส่เกลือนิดหน่อย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วลูกหลานที่เป็นผู้หญิง จะไปเก็บผักกูดมาให้ปู่ย่ากิน มีอยู่วันหนึ่งมีลูกสะใภ้คนหนึ่งไปเก็บผักกูดมาให้ปู่กับย่า แต่เมื่อหาทั้งป่าก็เก็บผักกูดไม่ได้จึงนั่งลงร้องไห้เสียใจอยู่กลางป่า เมื่อผักกูดเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็สงสารเกิดความซาบซึ้งใจในความกตัญญูของลูกสะใภ้คนนั้น ดังนั้นจึงพร้อมใจกันแตกยอดสวยงามเป็นจำนวนมาก เพื่อให้เธอเก็บไปฝากปู่ย่าได้ตามความต้องการ เพื่อเป็นการระลึกถึงบุญคุณผักกูด พอกลับถึงบ้านเธอจึงทอผ้าเป็นลายผักกูดหรือลายขอกุดในผ้าทุกผืน นอกจากนี้ยังได้ติดเครื่องหมายของผักกูดไว้ที่หลังคาเหนือจั่วบ้านเรือนไทดำ (หน้า 72 ภาพหน้า 73) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
สาเหตุการเปลี่ยนแปลงลักษณะผังบ้านและเรือนไทดำแบบดั้งเดิม สิบสองจุไทจนถึงปัจจุบันของบ้านแม่ประจันต์ จังหวัดเพชรบุรี สิ่งที่เป็นปัจจัยในการเปลี่ยนแปลงแบ่งออกเป็น 3 ปัจจัยดังนี้ 1) ปัจจัยทางกายภาพ เช่น ที่ตั้งหมู่บ้าน สภาพภูมิอากาศ วัสดุที่นำมาสร้างบ้าน การก่อสร้าง เป็นต้น 2) 2) ปัจจัยทางสังคม เช่น เศรษฐกิจได้แก่การเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์ การป้องกันอันตรายจากคนและสัตว์ ความเชื่อและศาสนาได้แก่ความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ เช่น เชื่อว่าแถนส่งคนมายังโลกเพื่อทำหน้าที่ผู้นำ เป็นต้น 3) ปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรม เช่นความต้องการพื้นฐานปัจจัย 4 เช่นที่อยู่อาศัย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรคเมื่อเจ็บไข้ ลักษณะครอบครัวที่ถือสายฝ่ายผู้ชาย สถานของสตรีซึ่งมีไม่เท่าผู้ชาย ความต้องการความเป็นส่วนตัว ความสัมพันธ์กันทางสังคม ฯลฯ (หน้า 236 -262) |
|
Map/Illustration |
แผนที่ ที่ตั้งถิ่นฐานตามลุ่มแม่น้ำของคนไทกลุ่มต่างๆ (หน้า 25) ประเทศเวียดนาม (หน้า 29) ดินแดนสิบสองจุดไท,หมู่บ้านไทดำ เวียดนาม (หน้า 34,41) ประเทศไทยก่อนที่จะสูญเสียดินแดนแก่อังกฤษและฝรั่งเศส (หน้า 78) ประเทศไทย (หน้า 85) จังหวัดเพชรบุรี (หน้า 86) ผังบ้านแม่ประจันต์ในอดีต ระยะที่ 1,2 ,3 (หน้า 98,99) ผังการแบ่งคุ้มและศาลผี ในปัจจุบัน,ผังบ้าน (หน้า 100,103) ผังการแบ่งกลุ่มเรือนตามสายสกุลบิดา (หน้า 102) เรือนตัวอย่าง (หน้า 109) รูป หญิงไทดำ ทุ่งนาและบ้านในสิบสองจุไท ,การแต่งกายและทรงผมหญิงไทดำ(หน้า 1,4,31) คนไทลื้อสิบสองพันนา (หน้า 22) หมู่บ้านไทดำ ,กลุ่มเรือนที่แยกจากผืนนาของหมู่บ้านไทดำสิบสองจุไท (หน้า 42) เรือนยาวหลายห้องของไทดำ ,เรือนไทดำในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม (หน้า 45,52) ชานแดดของเรือนไทดำ(หน้า 46) ครัว (หน้า 48) หลังคาแบบกระดองเต่าของเรือนไทดำแบบดั้งเดิม (หน้า 49) เตาไฟ (หน้า 50) เสาผีเรือน (หน้า 51) การค้าขายผลผลิตทางการเกษตร (หน้า 59) ภาพสันนิษฐานรูปทรงหลังคาของซากเรือนโบราณที่บ้านขาว จังหวัดกาญจนบุรี (หน้า 63) สถานะหญิงในสังคมไทดำ (หน้า 67) ผ้าเปียวใช้โพกศีรษะและลวดลายขอกุดบนผ้าเปียวของหญิงไทดำ ,เรือนไทดำจำลอง พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านฮานอย เวียดนาม (หน้า 73) ทรงผมและการแต่งกายของหญิงไทดำ บ้านแม่ประจันต์ (หน้า 93) หมอธรรมชั้นผู้น้อย (หน้า 94) พิธีเสนตั้งบั้ง (หน้า 94) ลำห้วยแม่ประจันต์ ,ถนน,พื้นที่ทำไร่,นาป่าแฮ้ว บริเวณคุ้มบน,ลานระหว่างกลุ่มเรือนเครือญาติ (หน้า 104) ศาลผีประจำคุ้มกลาง คุ้มบน คุ้มล่าง (หน้า 105) อุโบสถ วัดบ้านแม่ประจันต์ เมรุ กุฏิ โรงเรียน บ้านแม่ประจันต์ (หน้า 106) เรือนไทดำแบบดั้งเดิม บ้านหนองปรง จังหวัดเพชรบุรี,เรือนไทดำบ้านแม่ประจันต์ (หน้า 125) ที่เก็บของเหนือส่วนนอน ,เสาผีเรือชั้นผู้น้อย ,การซักตับหลังคาหญ้าคา,ประตู(หน้า 126) เตาไฟซองครอบหัวเสา หรืองอบ ,วิธีมัดหวาย (หน้า 127) เสาตุ๊บ ,รอยต่อของเสา,โครงไม้รวกกันขโมย,วิธีการมัดแบบกำวางระหว่างตงไม้ไผ่ (หน้า 128) หิ้งมดและร่มสีแดง,กะบะเตาไฟ,ซองครอบหัวเสาหรืองอบ,เสาผีเรือน,ศาลผีเรือน(หน้า 155) ซองครอบหัวเสาและเต่าไม้เหนือเสาเอก ,โครงไม้รวกกันขโมย, รอยต่อของจันทัน ,รอยต่อระหว่างเสา,วิธีการมัดแบบกำวางระหว่างตงไม้ไผ่และราไม้ไผ่ (หน้า 156) งอบไม้ไผ่และเต่าไม้ ,เสาเอก ,เสาผีเรือน ,ห้องผีเรือน (หน้า 205) ยุ้งข้าว,ที่บรรจุข้าวหรือกะล่อมข้าว (หน้า 206) เรือน,เสา ,พื้นที่ใกล้เสาผีเรือน,หิ้งมดในห้องผีเรือน (หน้า 210,211)ยังคงแขวนงอบและข้าวโพดเหนือเสาเอก,บางเรือนนิยมติดผ้ายันต์ (หน้า 211) เรือนไทดำ บ้านแม่ประจันต์ชนิดที่ได้รับอิทธิพลจากส่วนกลางแบบต่างๆ (หน้า 212) |
|
|