สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มลายูมุสลิม,สังคม,เศรษฐกิจ,วัฒนธรรม,ลิเกฮูลู,ปัตตานี
Author สุธี เทพสุริวงค์
Title วิถีและพลังของลิเกฮูลูในจังหวัดปัตตานี
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text -
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเนเชี่ยน
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 86 Year 2546
Source สถาบันวัฒนธรรมศึกษากัลยาณิวัฒนา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
Abstract

กล่าวถึงวิถีชีวิตของผู้แสดงลิเกฮูลูในจังหวัดปัตตานี ซึ่งในการแสดงลิเกฮูลูนั้นได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสังคมเนื่องจากในคณะลิเกฮูลูบางส่วนจะมีหัวหน้าคณะเป็นโต๊ะครู โต๊ะอิหม่าม ได้นำหลักคำสอนศาสนาอิสลามไปสอดแทรกในเนื้อหาการร้อง เพื่อให้ความรู้กับผู้ชมรวมทั้งส่งเสริมด้านจริยธรรม คุณธรรมเพื่อให้สังคมเกิดความร่มเย็น จากการศึกษาระบุว่าการแสดงลิเกฮูลูนั้นมีส่วนสำคัญในการทำให้สังคมเกิดความมั่นคงเนื่องจากทำให้คนในครอบครัวเกิดความภาคภูมิใจและเป็นการหารายได้เข้ามาจุนเจือครอบครัวจึงทำให้ครอบครัวอยู่อย่างมีความสุขเพราะมีรายได้เข้ามาเสริมอาชีพเกษตรกรรมที่ทำเป็นอาชีพหลักดั้งเดิมอยู่แล้วและเป็นการอนุรักษ์การแสดงท้องถิ่นในจังหวัดปัตตานี และจังหวัดชายแดนภาคใต้

Focus

ศึกษาวิถีชีวิตของผู้แสดงลิเกฮูลู พลังความสามารถของลิเกฮูลูที่มีต่อชุมชนและสังคมและวิเคราะห์อนาคตของลิเกฮูลูในจังหวัดปัตตานี (หน้า 2)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มตวอย่างในการศึกษาเป็นหัวหน้าคณะลิเกฮูลู 14 คน และคณะลูกคู่ จำนวน 13 คณะ รวม 25 คน ที่อยู่ในจังหวัดปัตตานี (หน้า 3,25,50 รายชื่อผู้ให้สัมภาษณ์ หน้า 26-30,69-71)

Language and Linguistic Affiliations

ส่วนมากประชาชนกว่า 80% ในชนบท ของจังหวัดปัตตานีนับถือศาสนาอิสลาม ในชีวิตประจำวันจะพูดภาษามลายูและพูดภาษาไทยไม่ค่อยได้ จึงทำให้เกิดปัญหาด้านการสื่อสารการได้ชมลิกูฮูลูจึงเป็นเรื่องเข้าใจได้สะดวกและง่ายกว่าฟังวัทิยุ ดูโทรทัศน์หรืออ่านหนังสือพิมพ์ (หน้า 58)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุเวลาที่ชัดเจน

History of the Group and Community

ประวัติลิเกฮูลู ลิเกฮูลูหรือดิเกฮูลู แต่เดิมเรียกว่า”ปันตนอินัง”(ต่อมาได้เปลี่ยนมาเรียกลิเกฮูลู) ที่กลันตัน เรียกว่า “ลิเกบารัต” หรือ ”บาฆะ” หมายถึง “ลิเกตะวันตก” ส่วนในปัตตานีเรียก “ลิเกฮูลู” หมายถึง ”ลิเกเหนือ” (หน้า 18,19) ในประเทศมาเลเซียเรียกลิเกว่า ”ดิเกร์” (ภาษาเปอร์เซีย) แปลตามความหมายได้สองอย่างคือ เพลงสวดสรรเสริญพระเจ้าซึ่งจะขับร้องในงานเทศกาลวันกำเนิดพระนบี หรืองานเมาลิด มุสลิมเรียกการสวดนี้ว่า ”ดิเกร์เมาลิด” และอีกความหมายเรียกว่า “ลิเกฮูลู” หมายถึงกลอนเพลงโต้ตอบที่ร้องกันเป็นกลุ่มคณะ (หน้า 18) ความเป็นมาของลิเกฮูลูนั้นมีข้อสันนิษฐานด้วยกันหลายอย่างเช่นลิเกฮูลูมาจากการละเล่นของคนป่าเผ่าซาไกซึ่งมีชื้อเรียกตามภาษามลายูว่า “มะนอฆอออแฆสาแก” หมายถึง “โนราห์คนซาไก” ซึ่งมีเครื่องดนตรีที่ทำจากท่อนไม้ไผ่ นำมาเจาะปล้องออกให้หมดทั้งสองด้าน แล้วด้านหนึ่งจะปล่อยไว้เป็นช่องว่าง ส่วนอีกด้าน จะนำเปลือกหรือกาบไม้ หุ้มหรือเสียบอีกด้าน การเล่นก็จะนำไม้หรือใช้มืออุดด้านที่หุ้มก็จะมีเสียงจากนั้นก็จะเล่นเครื่องดนตรีชนิดนี้แล้วก็ร้องเพลงโต้ตอบกันไปมา สันนิษฐานว่าเครื่องดนตรีที่ทำจากกระบอกไม้ไผ่ในเวลาต่อมานั้นกลายเป็นรำมะนาและบานอ (หน้า 18,32) อีกข้อสันนิษฐานระบุว่า ในสมัยพระยาปกครอง 7 หัวเมือง มีการแสดง ”ละไป” (ลิเกฮูลู) คือการร้องลำตัดภาษาอาหรับ ในภายหลังได้มีการปรับเปลี่ยนมาเป็นลิเกฮูลู โดยร้องเป็นภาษาพื้นเมืองเล่นประกอบเครื่องดนตรีรำมะนา (หน้า 18) สำหรับที่มาของชื่อ “ฮูลู”นั้น ในพจนานุกรม Kamus Dewan ระบุว่า “ฮูลู” มีหลายความหมายเช่น ศีรษะ,บริเวณต้นน้ำ,จุดเริ่มต้น,ด้านอาวุธและหมู่บ้านในชนบท สำหรับลิเกฮูลูนั้นคาดว่ามาจากชื่อสถานที่ที่ มีการแสดงครั้งแรกที่บริเวณเหนือลำน้ำที่เป็นต้นน้ำของแม่น้ำปัตตานีที่เรียกว่า “ฮูลู” (ทิศเหนือเรียก”ฮูลู” ส่วนบริเวณทิศใต้ของลำน้ำเรียก “ฮิเล”) สำหรับทิศเหนือ (ฮูลู) คาดว่าเป็นพื้นที่อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี และอำเภอบันนังสตา อำเภอเบตง จังหวัดนะลา เป็นที่เกิดของการเล่นลิเกฮูลู (หน้า 18)

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

จังหวัดปัตตานีมีประชากรทั้งหมด 624,946 คน แบ่งเป็นผู้ชาย 308,536 คน ผู้หญิง 316,410 คน จำนวนครัวเรือนมี 129,863 หลังคาเรือน(จากข้อมูล 30 กันยายน 2545 หน้า 11)

Economy

เศรษฐกิจ หัวหน้าคณะลิเกฮูลูทำอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก โดยมีรายได้เฉลี่ย 20,000-300,000 บาทต่อปี และแสดงลิเกฮูลูมีรายได้ประมาณ 30,000-70,000 บาทต่อปี สำหรับรายจ่ายส่วนมากจะเป็นค่าอาหาร เสื้อผ้า ซ่อมแซมบ้านที่อยู่อาศัย เฉลี่ยระหว่าง 20,000-110,000 บาทต่อปี เกือบทุกครัวเรือนจะมีเครื่องอำนวยความสะดวก ได้แก่ โทรทัศน์ พัดลม ตู้เย็น รถจักรยานยนต์และอื่นๆ (บทคัดย่อ,43) สำหรับอัตราการรับงานแสดงหัวหน้าคณะลิเกฮูลูจะมีงานแสดง 20 ถึง 25 ครั้งต่อเดือน (หน้า 53) คณะลูกคู่ลิเกฮูลูส่วนมากทำงานรับจ้างโดยมีรายได้เฉลี่ย 10,000-68,000 บาทต่อปี และแสดงลิเกฮูลูมีรายได้ประมาณ 5,000-180,000 บาทต่อปี สำหรับรายจ่ายส่วนมากเป็นค่าอาหาร เสื้อผ้า ซ่อมแซมบ้าน เฉลี่ยอยู่ระหว่าง 10,000-50,000 บาทต่อปี เกือบทุกครัวเรือนจะมีเครื่องอำนวยความสะดวก เช่น โทรทัศน์ พัดลม ตู้เย็น ฯลฯ (บทคัดย่อ หน้า 34-35,43,61)

Social Organization

วิถีชีวิตของลิเกฮูลูทางด้านสังคม ในครอบครัวที่มีสามีทำอาชีพแสดงลิเกฮูลู ก็จะมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันโดยคนในครอบครัวก็จะให้การสนับสนุนทั้งในทางตรงและทางอ้อม เช่นจัดสถานที่ให้เพื่อฝึกซ้อม ในครอบครัวที่สามีแสดงลิเกฮูลูเมื่อไปแสดงหรือฝึกซ้อมภรรยาที่อยู่ที่บ้านก็จะทำงานบ้านทุกอย่าง ดูแลลูกเพื่อไม่ให้สามีเกิดความกังวลระหว่างไปทำการแสดง ข้อดีของลิเกฮูลูคือ ทำให้ครอบครัวมีรายได้และสร้างชื่อเสียงให้กับครอบครัว (หน้า 45) สามีที่มีอาชีพแสดงลิเกฮูลูเมื่อมีเวลาว่างก็จะทำงานอาชีพหลักและอาชีพรองช่วยเหลือครอบครัวนอกจากนี้ก็จะพาครอบครัวไปเยี่ยมญาติพี่น้องปีละครั้งเป็นอย่างน้อยและพาครอบครัวไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจเดือนละครั้ง สำหรับการแสดงลิเกฮูลูนั้นส่วนมากทำให้ไม่เกิดปัญหาครอบครัว เนื่องจากส่วนมากครอบครัวของนักแสดงลิเกฮูลูมักจะเป็นแบบผัวเดียวเมียเดียว (หน้า 46) การแสดงลิเกฮูลูก็มีข้อดีคือทำให้สังคมเกิดความเข้มแข็งทำให้คนในสังคมเกิดความความสามัคคี (หน้า 49) และเป็นการส่งเสริมด้านสังคมรวมทั้งเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น (หน้า 53) ช่วยทำให้เยาวชนใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ห่างไกลยาเสพติด (หน้า 59,62,63)

Political Organization

ลิเกฮูลูส่วนมากไม่สนใจตำแหน่งทางการเมืองไม่ว่าจะอยู่ระดับใดก็ตาม ส่วนกิจกรรมด้านการเมืองของชุมชนนั้นผู้แสดงลิเกฮูลู ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีเช่นเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง ไปลงคะแนนเลือกตั้ง รวมทั้งเป็นคณะกรรมการต่างๆที่มีอยู่ในชุมชน (บทคัดย่อ,62) ในจำนวนผู้ให้สัมภาษณ์ 25 คนมีลิเกฮูลูที่มีตำแหน่งการเมืองท้องถิ่น คือเป็นผู้ใหญ่บ้าน 2 คน และเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 2 คน หรือคิดเป็นจำนวน 16 % ของผู้ให้สัมภาษณ์ (หน้า 49-51)

Belief System

ความเชื่อและศาสนา ประชากรในจังหวัดปัตตานีแบ่งตามการนับถือศาสนาได้ดังนี้ นับถือศาสนาอิสลาม 498,847 คน หรือ 80.68 % นับถือศาสนาพุทธ 118,020 คน หรือ 19.09 % และนับถือศาสนาคริสต์ 1,401 คน หรือ 0.23 % (หน้า 11) ลิเกฮูลูกับวัฒนธรรมความเชื่อ ด้านวัฒนธรรมความเชื่อ ลิเกฮูลูมีประโยชน์ต่อชุมชนคือในการแสดงได้นำหลักคำสอนของศาสนาอิสลามมาสอดแทรกในเนื้อหาเพื่อให้ความรู้กับผู้ชมจึงทำให้เกิดความรู้ ส่งเสริมคุณธรรมทำให้สังคมเกิดสันติสุข (บทคัดย่อ) เนื่องจากมุสลิมในจังหวัดปัตตานีให้ความสนใจลิเกฮูลูซึ่งประกอบด้วยผู้ลิเกฮูลู 100 % เป็นมุสลิม (หน้า 51) และสามารถนำคำสอนของศาสนา มาใช้ในการแสดงเพื่อสั่งสอนคนในชุมชนให้เป็นคนดี นอกจากนี้การแสดงลิเกฮูลูยังเป็นการส่งเสริมศาสนาได้อีกทางหนึ่ง (หน้า 52) นอกจากนี้หัวหน้าคณะลิเกฮูลูอีกหลายคนยังเป็นโต๊ะครู โต๊ะอิหม่าม ฉะนั้นเมื่อมีการแสดงจึงทำให้ผู้แสดงได้ใช้หลักธรรมคำสอนให้ความรู้กับผู้ชมเพื่อให้เกิดความเพลิดเพลินใจได้ความรู้ และส่งเสริมจริยธรรม คุณธรรมไปด้วย (หน้า 58,59,62) ประเพณีท้องถิ่น ในจังหวัดปัตตานีมีประเพณีและการละเล่นต่างๆ ดังนี้ ประเพณีเจ้าหลิมกอเหนี่ยว ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนอ้าย ตามจันทรคติของจีนโดยจัดเป็นประจำทุกปี ประเพณีชักพระ จัดที่อำเภอโคกโพธิ์ ประเพณีแห่พระอีก๋ง จัดโดยคนไทยพุทธในอำเภอสายบุรี งานฮารีรายอ เป็นงานเฉลิมฉลองการเลิกถือศีลอดของมุสลิม ประเพณีแห่ลาซัง(บูยอบือแน) พิธีฉลองนาหรือซังข้าวทุกวันนี้จัดอยู่ที่ตำบลควน อำเภอปานาเระ (หน้า 14)

Education and Socialization

ในจังหวัดปัตตานีประกอบด้วยโรงเรียนตั้งแต่ก่อนระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษา มีสถานศึกษา 429 แห่ง ประกอบด้วยครู 7,157 คน นักเรียน 162,439 คน เมื่อเทียบอัตราส่วนของจำนวนนักเรียนกับจำนวนครูคิดเป็น 23ต่อ 1 คน (หน้า 11)

Health and Medicine

สถานพยาบาลและสุขภาพอนามัย ในจังหวัดมีโรงพยาบาล 12 แห่ง จำนวน 700 เตียง ประกอบด้วยแพทย์ 89 คน ทันตแพทย์ 29 คน พยาบาล 445 คน เภสัชกร 50 คน สถานีอนามัยมี 128 แห่ง สถานบริการสาธารณสุข 3 แห่ง ส่วนข้อมูลด้านสุขภาพ พ.ศ. 2545 ระบุว่าว่ามีอัตราการเกิด 12.75 ต่อประชากรพันคน อัตราการตาย 3.19 ต่อประชากรพันคน (หน้า 12)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกายของลิเกฮูลู มีการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยคือในอดีตจะแต่งตัวเหมือนคนทั่วไปโดยจะโพกศีรษะ สวมเสื้อคอกลม สวมโสร่ง บางโอกาสก็จะเหน็บขวานเพื่อทำให้คู่ต่อสู้เกิดความยำเกรง ภายหลังได้แต่งตัวเหมือนการเล่นสิละ(ไม่ได้ระบุรายละเอียดว่าชุดเป็นอย่างไร) จะต่างกันคือไม่เหน็บกริช บางครั้งก็เหน็บขวาน ทุกวันนี้แต่งตัวเหมือนคนมุสลิมหรือชุดสมัยนิยม (หน้า 19) เมื่อแสดงบนเวทีลูคู่จะสวมชุดเหมือนกันเสื้อผ้าสีสดใส หัวหน้าคณะจะแต่งตัวไม่เหมือนคนอื่นเพื่อเป็นจุดเด่นของการแสดง (หน้า 24) องค์ประกอบของคณะลิเกฮูลู มีส่วนประกอบที่สำคัญ 2 ส่วนคือผู้ขับกลอนลิเกฮูลู กับคณะลูกคู่ลิเกฮูลู ทั้งสองส่วนนี้จะแยกอิสระต่อกันผู้ว่าจ้างลิเกฮูลูจะจ้างผู้ขับกลอนลิเกฮูลูหรือ”หัวหน้าคณะ” ใดก็ได้ หรือจะไปจ้างคณะลูกคู่ลิเกฮูลูมาเล่นก็ได้ไม่ต้องจ้างพร้อมกัน (หน้า 21,25) ผู้ขับกลอน (กาโระ) ลิเกฮูลู หรือ “หัวหน้าคณะ” ส่วนมากอยู่คนเดียวอย่างอิสระเมื่อจะแสดงก็จะเลือกคณะลูกคู่มาร่วมการแสดง ในการแสดงแต่ละครั้งผู้ขับกลอนจะมีสองฝ่ายคือฝ่ายผู้โต้และผู้ตอบ สำหรับผู้โต้จะทำหน้าที่ตั้งหัวข้อเพื่อประชันไหวพริบ ส่วนผู้ตอบจะทำหน้าที่ตอบหัวข้อที่ผู้โต้ได้ถามไว้ การตอบโต้หากทำได้ดีก็จะทำให้เกิดความรู้และผู้ชมเพลิดเพลิน ในการแสดงเจ้าภาพจะจ้างผู้โต้และผู้ตอบคนละคณะหรือจะให้ลิเกฮูลูหาผู้โต้และผู้ตอบเอง (หน้า 21) คณะลูกคู่ลิเกฮูลู แบ่งเป็น 3 ประเภทดังนี้ 1) ผู้แสดงประกอบจังหวะลีลา มี 8-12 คน มีหน้าที่แสดงลีลาประกอบเมื่อนักร้องร้องเพลงและเป็นผู้ร้องรับในช่วงแสดง 2) ผู้ร้องเพลงหรือนักร้อง บางครั้งอาจเป็นผู้เล่นดนตรีหรือผู้แสดงประกอบจังหวะลีลา 3) นักดนตรี มี 5-8 คน ในจำนวนส่วนหนึ่งเป็นผู้แสดงประกอบจังหวะลีลา (หน้า 21) รูปแบบการแสดง แบ่งออกเป็นเป็น 3 ประเภทคือ 1) การแสดงเพื่อสร้างความสนุกสาน ลูกคู่ของคณะจะนั่งล้อมลงหันหน้าเข้าหากันส่วนคนร้องโต้ตอบกับนักดนตรีจะอยู่นอกวง เพื่อความสนุกแสดงจึงต้องอยู่คนละคณะ (ภาพหน้า 23) 2) เพื่อสาธิตการแสดงลิเกฮูลู การแสดงผู้โต้ ผู้ตอบและลูกคู่อาจจะเป็นคณะเดียวกันหรือต่างคณะ การแสดงก็เพื่อเป็นการสาธิตที่หน่วยงานของรัฐเป็นผู้ว่าจ้าง (เรื่องและภาพหน้า 23) 3) การแข่งขันในเทศกาล ซึ่งจัดเพื่อการแข่งขันเป็นประจำทุกปีเช่นงานกาชาดจังหวัดปัตตานี การนั่งแสดงบนเวที ลูกคู่จะนั่งเรียงแถวหันหน้าไปทางเวที ส่วนนักร้องและนักดนตรีจะนั่งรวมกลุ่มทางด้านหลังลูกคู่ สำหรับหัวหน้าคณะจะนั่งทางด้านข้างของคณะ โดยการนั่งจะเหมือนกันทั้งสองคณะ เนื้อหาการร้องเป็นแนวสร้างสรรค์ทำให้เกิดความสงบสุข เช่นการห่างไกลยาเสพติด ฯลฯ (เรื่องและภาพ หน้า 24) ขั้นตอนในการแสดง ในแต่ละทีมของคณะลิเกฮูลูจะนั่งแยกเป็นสองกลุ่ม โดยจะเริ่มการแสดงดังต่อไปนี้ 1) เริ่มด้วยการโหมโรง โดยเล่นเครื่องดนตรีที่ประกอบด้วย รำมะนา 2 ใบและฆ้อง การโหมโรงนั้นมี 3 จังหวะคือจังหวะแรกเรียก “ตาโบะ” จังหวะที่สองคือ “ปันตง” จะตีเป็นเพลงโดยไม่ขับร้อง และจบที่เพลง”แจนอ”ก็คือจบการโหมโรง (หน้า 24) 2) ร้องเพลงปันตงครั้งที่ 1 หนึ่งเพลง โดยจะร้องเพลงลิเกฮูลู แบบดั้งเดิมโดยเป็นเนื้อหาในหัวข้อที่เตรียมมา (หน้า 25) 3) หัวหน้าคณะลิเกฮูลูขับกลอนกาโละเบิกทางหรือ “กาโระแยะกี” เพื่อกล่าวสวัสดีกับเจ้าภาพ ประธานพิธีรวมทั้งผู้ชมโดยจะด้นเป็นกลอนสด 4) นักร้องลิเกฮูลูร้องเพลง เพลงที่ร้องอาจเป็นเพลงลูกทุ่งหรือเพลงที่แต่งเองโดยจะร้องเพลงสลับกันระหว่างผู้โต้กับผู้ตอบอีกทีมหนึ่ง 5) หัวหน้าคณะร้องเพลงปันตงครั้งที่ 2 เนื้อหาเดียวกันกับการร้องครั้งแรก 6) หัวหน้าคณะขับกาโระ ในหัวข้อการแสดงและโต้ตอบกับอีกฝ่าย 7) หัวหน้าคณะฝ่ายตรงข้ามขับ”วาปุลัน” ซึ่งเป็นเครื่องเตือนว่ายุติการแสดงลิเกฮูลู (หน้า 25) เครื่องดนตรีลิเกฮูลู รำมะนาใหญ่ (ชื่อมลายู “บานออีบู”) ทำหน้าที่ควบคุมจังหวะเครื่องดนตรีทุกชิ้นในวงลิเกฮูลู รำมะนาใหญ่เป็นเครื่องดนตรีที่สำคัญที่สุดในสามชิ้นนับตั้งแต่อดีตที่มีการเล่นลิเกฮูลู ซึ่งในเวลานั้นใช้เครื่องดนตรีเพียงสามชิ้นเท่านั้น (หน้า 22) รำมะนาเล็ก (บานออาเนาะ) มีหน้าที่ในการตบแต่งจังหวะของรำมะนาใหญ่และเป็นหนึ่งในสามของเครื่องดนตรีที่เล่นในวงลิเกฮูลู ฆ้อง (ชื่อมลายู ”โฆง”) มีความสำคัญในการบังคับจังหวะของการเล่นเครื่องดนตรีทุกชิ้นและเป็นหนึ่งในสามของเครื่องดนตรีดั้งเดิม ฉิ่ง (อาเนาะอาแย) เล่นเสริมเครื่องดนตรีอื่นเพื่อให้เกิดความไพเราะชวนฟังในการเล่น การเช่นฉิ่งจะเล่นในช่วงที่นักร้องร้องเพลงและเวลาหัวหน้าคณะร้องปันตงหรือบทกวีภาษามลายูซึ่งนำเสนอวิถีชีวิตของคนในชุมชนมาเล่าสู่ผู้ฟัง ลูกแซ็ก (ชื่อมลายู ”เวาะลอมา”) ทำหน้าที่เพิ่มความไพเราะในการเล่นลิเกฮูลูและจะเล่นในช่วงการร้องเพลง แต่จะไม่เล่นในเวลาที่มีการขับ(กาโระ)ลิเกฮูลู (หน้า 22) ฉาบ (กายูตือโปะ) เมื่อเล่นก็จะช่วยเสริมให้เสียงปรบมือของลูกคู่ดังชัดเจนมากขึ้นและเล่นในขณะขับลิเกฮูลู โหม่ง (ชื่อมลายู ”ม่อง”) มีความสำคัญคือเล่นเพื่อตบแต่งเสียงดนตรีเพื่อให้เข้าจังหวะเมื่อร้องเพลง ขลุ่ย (ปูลิง) ในวงจะมีหรือไม่มีก็ไม่เป็นไร สมัยก่อนจะเล่นซออู้ แต่ทุกวันนี้เปลี่ยนมาเป่าขลุ่ย ข้อดีคือเพิ่มความไพเราะขณะเล่นลิเกฮูลู(หน้า 19,22) การละเล่นศิลปะการแสดง การละเล่นชนิดอื่นในจังหวัดปัตตานีได้แก่ รองแง็ง เป็นศิลปะการเต้นรำของมุสลิม สิละ(ซีละ) ศิลปะการป้องกันตัวชนิดหนึ่ง มะโย่ง คือละครของมุสลิม ทั้งหมดได้บอกข้อมูลเพียงสั้นๆโดยไม่ได้ระบุรายละเอียดในส่วนอื่นไว้ในงานเขียน (หน้า 14)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มี

Social Cultural and Identity Change

ไม่มี

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ตาราง หน่วยการปกครอง (หน้า 10)ประชากรและครอบครัว (หน้า 11) อาชีพและรายได้ต่อปี,รายจ่ายต่อปีของหัวหน้าคณะลิเกฮูลู (หน้า 34,36) จำนวนครอบครัวของหัวหน้าคณะ,คณะลูกคู่ลิเกฮูลูที่มี เครื่องอำนวยความสะดวก (หน้า 37,41) อาชีพ รายได้,รายจ่ายต่อปี (หน้า 38,40) เศรษฐกิจ,สถานภาพทางการเมืองของผู้แสดงลิเกฮูลู (หน้า 43,50) แผนที่ จังหวัดปัตตานี (หน้า 17) ภาพ การแสดงลิเกฮูลู (หน้า 23,24) ภาพการสัมภาษณ์หัวหน้าคณะลิเกฮูลู,การแสดงลิเกฮูลู การฝึกเยาวชน ,แผ่นวีซีดีลิเกฮูลู,ต้นซากอกือเนอรี เชื่อว่าถ้ากินใบสดเสียงจะดี,การแข่งขันลิเกฮูลูและอื่นๆ (หน้า 74-86)

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 27 พ.ค. 2562
TAG ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู, มลายูมุสลิม, สังคม, เศรษฐกิจ, วัฒนธรรม, ลิเกฮูลู, ปัตตานี, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง