|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ม้ง,เกษตรกรรม,ทัศนคติ,การรับของใหม่,เพชรบูรณ์ |
Author |
ไพโรจน์ ราชพรหมมินทร์ |
Title |
การยอมรับเทคนิคใหม่ทางการเกษตรของชาวเขาเผ่าแม้ว ที่หมู่บ้านเข็กน้อย อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
65 |
Year |
2520 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศึกษามหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ |
Abstract |
จากการศึกษาเพื่อทราบถึงการยอมรับเทคนิคใหม่ทางการเกษตรของแม้ว ที่ศูนย์อพยพชาวเขา หมู่บ้านเข็กน้อย อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยเข้าไปสัมภาษณ์หัวหน้าครอบครัวแม้ว จำนวน 246 ครอบครัว ผู้วิจัยพบว่า แม้วยอมรับเทคนิคใหม่ทางการเกษตร เจ้าหน้าที่ของศูนย์อพยพชาวเขาเป็นแหล่งข้อมูลที่ให้ความรู้ทางด้านเทคนิคใหม่ทางการเกษตรมากที่สุด วิธีการที่จะเผยแพร่เทคนิคใหม่ทางการเกษตรแก่ชาวแม้วให้ได้ผลดีนั้นได้แก่ วิธีการสาธิต โดยเฉพาะการทำแปลงสาธิต เมื่อแม้วมีปัญหาทางด้านการเกษตรจะปรึกษากับเพื่อนบ้านมากที่สุด และแม้วมีทัศนคติที่ดีต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ (หน้าต่อจากภาคผนวก) |
|
Focus |
สภาพการยอมรับเทคนิคใหม่ทางการเกษตรของชาวเขาเผ่าแม้ว และทัศนคติของชาวเขาเผ่าแม้วที่มีต่อการเผยแพร่เทคนิคใหม่ทางการเกษตรของเจ้าหน้าที่ศูนย์อพยพชาวเขา (หน้า 26-54) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ม้งที่ศูนย์อพยพชาวเขา บ้านเข็กน้อย หมู่ที่ 6 ตำบลแคมป์สน อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ (หน้า 12) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้งบางคนไม่สามารถจะพูดภาษากลางหรือฟังภาษากลางได้ ซึ่งเป็นปัญหาหนึ่งที่ทางศูนย์อพยพชาวเขากำลังประสบอยู่ เพราะทำให้ไม่สามารถเข้าใจตรงกันได้ ตีความหมายของคำไปคนละอย่าง ในเรื่องการแจกเอกสารเผยแพร่เทคนิคใหม่ทางการเกษตรนับว่าเป็นการสูญเปล่า เพราะว่าชาวเขาระดับหัวหน้าครอบครัวมีน้อยมากที่อ่านหนังสือได้ ดังนั้นแจกไปก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ได้มากนัก เพราะไม่เข้าใจความหมาย แต่ในโอกาสต่อไปเมื่อชาวเขาส่วนใหญ่อ่านหนังสือได้ การเผยแพร่ด้วยวิธีการแจกเอกสารก็อาจจะใช้ได้ (หน้า 59) |
|
Study Period (Data Collection) |
เป็นการเก็บข้อมูลโดยแจกแบบสอบถามและสัมภาษณ์ ไม่ปรากฏช่วงเวลาของการศึกษาวิจัยและการเก็บข้อมูลภาคสนาม |
|
History of the Group and Community |
แนวการอพยพเคลื่อนย้ายของชาวเขาเผ่าแม้ว มี 2 เส้นทางคือ ทางทิศเหนือของภาคเหนือ ซึ่งแตกเป็นหลายกลุ่มกระจายกันอยู่ทั่วไปในที่ราบสูงของทุกจังหวัดในภาคเหนือ (หน้า 1) และทางทิศตะวันออกของภาคเหนือ ซึ่งอพยพมาจากประเทศลาว เข้ามาอยู่หนาแน่นในจังหวัดพิษณุโลก เพชรบูรณ์ เลย (หน้า 2) ชาวเขาในภาคเหนือของประเทศไทยไม่มีประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้เป็นหลักฐานแน่นอน เป็นแต่เพียงได้รับการบอกเล่าสืบต่อกันมาในเรื่องการอพยพและบริเวณที่อยู่อาศัยของพวกตนในอดีต หรือได้หลักฐานอ้างอิงจากหนังสือเก่าๆ ของชนชาติที่มีความเจริญแล้ว เช่น จีน ญวน พม่า มอญ เขมร และไทย ตลอดระยะเวลา 2,000 ปีที่ผ่านมา พวกชาวเขาไม่ได้แยกตัวเองอยู่โดดเดี่ยวอย่างแท้จริง โชคชะตาของพวกเขาได้เชื่อมโยงกับโชคชะตาของชนชาติที่มีอำนาจเหนือกว่าในส่วนภูมิภาคนี้ในลักษณะต่างๆ (หน้า 6) รัฐบาลพยายามที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆเกี่ยวกับชาวเขา ทั้งปัญหาการทำไร่เลื่อนลอย ปัญหาเรื่องฝิ่น ปัญหาความปลอดภัยทางชายแดน และปัญหาทางด้านสังคมและการเมือง จึงได้เกิดโครงการของหน่วยงานต่างๆ และที่เป็นหน่วยงานในพระบรมราชานุเคราะห์ขึ้นหลายหน่วยงาน ในการดำเนินงานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย ได้ดำเนินงานตามโครงการพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาระยะ 5 ปี (2510-2514) ซึ่งได้รับการอนุมัติจากสภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ จึงได้จัดตั้งนิคมสงเคราะห์ชาวเขาขึ้น โดยการคัดเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมบนภูเขาทางภาคเหนือ แล้วชักจูงสนับสนุนให้ชาวเขาที่อยู่กระจัดกระจายมารวมกลุ่มกันเป็นหมู่บ้าน ให้ทำการประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งถาวร (หน้า 5-8) เมื่อประเทศไทยถูกแซกแซงจากพวกคอมมิวนิสต์ ซึ่งพยายามโฆษณาชวนเชื่อดึงเอาชาวเขาเข้าไปเป็นพวกและให้เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาล มีการลอบโจมตีเจ้าหน้าที่ และในที่สุดได้ลอบวางเพลิงที่ทำการนิคมสงเคราะห์ชาวเขา ทำให้ชาวเขาแตกกระจายไปตามแหล่งต่างๆ ทางรัฐบาลจึงได้ตั้งศูนย์อพยพชาวเขาขึ้น โดยมีหน่วยงานของ กอ.รม.น. ร่วมรับผิดชอบ ศูนย์อพยพชาวเขาแห่งนี้ตั้งอยู่ที่บ้านเข็กน้อย หมู่ที่ 17 ตำบลน้ำชุน อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ แต่เนื่องจากตำบลน้ำชุนมีพื้นที่กว้างขวาง การปกครองไม่ทั่วถึง จึงได้ตั้งตำบลแยกการปกครองออกมาอีก ปัจจุบันบ้านเข็กน้อยอยู่หมู่ที่ 6 ตำบลแคมป์สน อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ (หน้า 8-9) ม้งที่ศูนย์อพยพชาวเขาบ้านเข็กน้อยเป็นประชากรที่อพยพมาจากเขตท้องที่ของจังหวัดพิษณุโลก เพชรบูรณ์ เลย (หน้า 13) |
|
Settlement Pattern |
ม้งนิยมตั้งบ้านเรือนในบริเวณที่มีความสูงตั้งแต่ 3,000 ฟุตขึ้นไป และส่วนมากหมู่บ้านมักจะตั้งอยู่ใกล้ลำธารเพื่อความสะดวกในการนำน้ำมาบริโภคมากกว่าสาเหตุอื่น แต่ชอบโยกย้ายบ้านเรือนอยู่เสมอ ดังนั้นการก่อสร้างบ้านเรือนจึงไม่ค่อยจะมั่นคงนัก และในเวลาที่โยกย้ายบ้านเรือนก็จะนำเอาสิ่งของที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้นติดตัวไปด้วย อะไรที่ไม่สามารถจะเอาไปได้ก็มักจะเผาทิ้งเสีย หรือยกให้ญาติพี่น้องของตนที่ไม่ได้โยกย้ายไปด้วย (หน้า 5) การจัดตั้งศูนย์อพยพชาวเขา เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมใหม่ของชาวเขาเผ่าแม้ว คือไม่ได้อยู่ในพื้นที่ระดับสูง และถูกจำกัดให้อยู่เป็นหลักแหล่งมีพื้นที่ตายตัว (หน้า 9) |
|
Demography |
จากการสำรวจของคณะกรรมการองค์การสหประชาชาติ ซึ่งได้ดำเนินการในปี พ.ศ. 2508 -2509 ปรากฏว่ามีประชากรชาวเขาในภาคเหนือของประเทศไทยทั้งสิ้นประมาณ 275,249 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีชาวเขาเผ่าแม้ว 53,031 คน (หน้า 4) ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาชาวเขาที่ศูนย์อพยพชาวเขาบ้านเข็กน้อย หมู่ที่ 6 ตำบลแคมป์สน อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวน 197 หลังคาเรือน 246 ครอบครัว ประชากร 1,473 คน (หน้า 12) |
|
Economy |
อาชีพของชาวเขาส่วนใหญ่คือการทำการเกษตร ซึ่งได้แก่ การปลูกพืชและการเลี้ยงสัตว์ พืชที่สำคัญได้แก่ ฝิ่น ข้าว ข้าวโพด และพืชไร่อื่นๆ อีกเล็กน้อย สัตว์ที่เลี้ยงไว้เช่น ม้า เพื่อใช้เป็นภาหนะ ที่เลี้ยงไว้เป็นอาหารเช่น สุกรและไก่ วิธีการทำการเกษตรนั้นมีทั้งแบบดั้งเดิม (Primitive) เป็นการเผาป่าเพื่อหยอดหรือหว่านเมล็ดพืชที่ต้องการอย่างง่ายๆ ขาดการดุแลรักษา ผลที่ได้จึงไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ และอีกแบบหนึ่งคือ เป็นแบบยังชีพ (Subsistence) เป็นวิธีการที่ดีขึ้นกว่าแบบดั้งเดิมบ้าง แต่ก็ยังมีการโค่นต้นไม้ทำลายป่าอยุ่อย่างเดิม มีการเพาะปลูกที่มีระเบียบเอาใจใส่บ้างเล็กน้อย ที่ชาวเขายังมีการยึดถือปฏิบัติกันอยู่คือ การมีไร่ 2 แห่ง ซึ่งอีกแห่งหนึ่งจะอยู่ห่างไกล เป็นที่สำหรับปลูกฝิ่น (หน้า 10) ฝิ่นเป็นพืชที่ชาวเขารู้จักเพาะปลูกกันมานานแล้ว จนยึดถือเป็นอาชีพอย่างหนึ่ง ในที่นี้มีการปลูกสำหรับบริโภคเองและเป็นสินค้าเพื่อแลกเปลี่ยนกับอาหารและเครื่องนุ่งห่ม เพราะชาวเขาปลูกพืชอาหารได้ไม่เพียงพอต่อการบริโภคตลอดปี แต่ก็ไม่สามารถประเมินได้ว่าชาวเขาผลิตฝิ่นได้ปีละเท่าไร จากการสำรวจของคณะกรรมการปราบปรามยาเสพติดให้โทษเมื่อปี 2509 ปรากฏว่าพื้นที่ที่ใช้ในการปลูกฝิ่น ทั้งหมดของชาวเขามีจำนวนประมาณ 112,000 ไร่ ในพื้นที่ 1 ไร่ จะให้ผลผลิตประมาณ 1.3 กิโลกรัม ดังนั้นในปีหนึ่งๆ ชาวเขาจะผลิตฝิ่นได้ประมาณ 145 ตัน ซึ่งฝิ่นเหล่านี้ได้แพร่กระจายออกไปสู่ส่วนต่างๆ ของประเทศ และเลยออกไปถึงต่างประทศด้วย (หน้า 5-6) เมื่อมีการจัดตั้งศูนย์อพยพชาวเขา เจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ ได้เข้าไปคลุกคลีให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ซึ่งจากการศึกษาวิจัย ผู้วิจัยพบว่าชาวเขายอมรับเอาวิธีการทำการเกษตรแผนใหม่ไว้ใช้ เพื่อปรับปรุงวิธีการเกษตรของตนให้ดีขึ้น และมีการติดต่อกับโลกภายนอก จากแต่เดิมที่เคยอยู่อย่างโดดเดี่ยว รวมกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่น การคมนาคมติดต่อกับกลุ่มอื่นลำบากมาก จะกระทำก็ต่อเมื่อมีความจำเป็น เช่น ต้องการอาหารและยารักษาโรคเท่านั้น แต่ปัจจุบันศูนย์อพยพชาวเขาแห่งนี้ตั้งอยู่ติดกับถนนหลวง การคมนาคมสะดวก มีพ่อค้าแม่ค้าเข้าไปติดต่ออยู่ตลอดเวลา (หน้า 56-57) |
|
Social Organization |
ผู้วิจัยได้อ้างถึง ขจัดภัย บุรุษพัฒน์ (ขจัดภัย; 2518 : 13) ว่าจากการที่ได้ศึกษาค้นคว้าในสังคมชาวเขาทุกเผ่า ความผูกพันกับครอบครัวและความกตัญญูต่อบิดามารดาเป็นไปอย่างแน่นแฟ้นมาก ครอบครัวมีหน้าที่รับผิดชอบทุกด้าน คือเป็นสถาบันทางสังคมและเศรษฐกิจ การผลิต การศึกษา เพศ พิธีทางศาสนา และการพักผ่อนหย่อนใจ ทั้งครอบครัวเดี่ยวและครอบครัวผสม หัวหน้าครอบครัวเป็นผู้ได้รับการเคารพและเป็นใหญ่ในกิจกรรมต่างๆ ของครัวเรือน (หน้า 15-16) จึงอาจกล่าวได้ว่าชาวเขาเผ่าแม้วจะยอมรับเอาวิทยาการแผนใหม่ได้มากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับหัวหน้าครอบครัวจะเป็นผู้ตัดสินใจเป็นสำคัญ ซึ่งเขาจะต้องพิจารณาหลายๆ แง่ เพราะมีความเชื่อถือลัทธิต่างๆ มากมาย (หน้า 16) |
|
Political Organization |
ก่อนจะมีการจัดตั้งศูนย์อพยพชาวเขา รัฐบาลมีปัญหาในเรื่องการปกครองชาวเขา เนื่องจากว่าชาวเขามีประเพณี วัฒนธรรม และภาษาเป็นของตัวเอง ประกอบทั้งแยกตัวอยู่ต่างหาก อพยพเร่ร่อนไปเรื่อยๆ (หน้า 6) หลังจากที่มีการจัดตั้งศูนย์อพยพชาวเขาแล้ว การเอาใจใส่ของเจ้าหน้าที่มีมากและสม่ำเสมอ เป็นนโยบายอย่างหนึ่งของรัฐบาล เพราะอยู่ในเขตล่อแหลมต่ออันตราย (Sensitive Area) เจ้าหน้าที่ซึ่งรวมทั้งหน่วยงาน กอ.รม.น. พยายามที่จะดึงเอาชาวเขาเหล่านี้มาเป็นฝ่ายรัฐบาลให้มากที่สุด จึงเอาใจใส่ตลอดเวลา พยายามจะชักชวนชี้นำในเรื่องการอาชีพเพื่อการกินดีอยู่ดี จนกระทั่งสามารถโน้มน้าวชาวเขาส่วนใหญ่ได้ (หน้า 57) แม้เจ้าหน้าที่ของศูนย์อพยพจะเป็นตัวแทนที่สำคัญที่สุดของฝ่ายรัฐบาลในการเผยแพร่แนวความคิดไปสู่ชาวเขา แต่การเผยแพร่แนวความคิดจากชาวเขาด้วยกันเองจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งก็มีความสำคัญพอๆ กัน เพราะระบบการนับถือผู้อาวุโสเคร่งครัดมาก จึงสามารถที่จะให้แนวความคิดเก่าๆ ที่ติดตัวอยู่กับผู้สูงอายุยังมีอิทธิพลต่ออาชีพการเกษตร (หน้า 58) |
|
Belief System |
การดำเนินวิถีชีวิตของชาวเขายึดหลักขนบธรรมเนียมประเพณีแต่หนหลังเป็นหลัก การที่เจ้าหน้าที่เข้าไปคลุกคลีให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ตลอดจนการแนะนำให้เลิกการทำบางสิ่งบางอย่างที่เป็นอันตรายต่อส่วนรวม ซึ่งการกระทำนั้นมีผลต่อชาวเขาโดยตรง มีผลทำให้ชาวเขาบางส่วนไม่ชอบเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปเกี่ยวข้อง (หน้า 55) เพราะแนวความคิดบางอย่างไปขัดกับความเชื่อดั้งเดิมหรือจารีตประเพณีของเขา ซึ่งเมื่อความเชื่อเก่าที่ฝังแน่นอยู่ในแนวความคิดมีอิทธิพลมากกว่า ประกอบกับการนับถือผู้อาวุโสอย่างเคร่งครัด ดังนั้นความคิดที่จะขัดแย้งจึงมีมากกว่า (หน้า 61) |
|
Education and Socialization |
ปัจจัยอย่างหนึ่งที่ผู้วิจัยพบว่ามีอิทธิพลต่อการยอมรับเทคนิคใหม่ทางการเกษตรของชาวเขาเผ่าแม้วคือ ความรู้ที่ได้จากลูกที่ไปโรงเรียน เพราะเมื่อลูกไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนได้ความรู้จากครูหรือตำรา แล้วจะนำความรู้นั้นมาแนะนำปรับปรุงวิธีการทำการเกษตรของครอบครัว (หน้า 24) |
|
Health and Medicine |
ในอดีตเนื่องจากชาวเขาตั้งบ้านเรือนอยู่ตามป่าเขา กระจัดกระจาย ทำให้ชาวเขาขาดการศึกษา มีปัญหาด้านการอนามัย และฃัดสนยากจน ดังนั้นในการที่รัฐบาลจะเข้าไปช่วยเหลือให้ได้ผลรวดเร็วปุบปับย่อมเป็นไปไม่ได้ (หน้า 7) แต่เมื่อมีการจัดตั้งนิคมสงเคราะห์ชาวเขา รัฐบาลได้มีโครงการสร้างสถานีอนามัย มีพนักงานอนามัยประจำตลอดเวลา (หน้า 8) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ชาวเขามีประเพณี วัฒนธรรม และภาษาเป็นของตัวเอง (หน้า 6) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ศูนย์อพยพชาวเขาบ้านเข็กน้อยตั้งอยู่ติดกับถนนหลวง การคมนาคมสะดวก มีการติดต่อกับโลกภายนอก มีพ่อค้าแม่ค้าเข้าไปติดต่ออยู่ตลอดเวลา ซึ่งแนวความคิดใหม่ๆ จะค่อยแทรกเข้าไปอยู่เรื่อยๆ และเนื่องจากเขตนี้เป็นเขตควบคุมของเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จึงเป็นแหล่งที่มีอิทธิพลในการให้ข้อมูล และคอยระมัดระวังข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ กีดกันไม่ให้คนภายนอกเข้าไปพลุกพล่าน (หน้า 56-57) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ศูนย์อพยพชาวเขามีสภาพแวดแวดล้อมที่แตกต่างจากเดิมที่ชาวเขาเคยอาสัยอยู่มาก เพราะแต่ก่อนชาวเขาเคยอาศัยอยู่แต่บนที่สูงระดับ 3,000 – 5,000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล แต่ที่อยู่ในปัจจุบันอยู่ต่างลงมากว่าเดิมมาก การทำการเกษตรแบบปล่อยปละละเลยจะไม่ได้ผลเหมือนเดิม ชาวเขาจึงมุ่งความสนใจมายังวิธีการที่เจ้าหน้าที่ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง แนวความคิดของชาวเขาเปลี่ยนไปจากเดิม ได้รู้ได้เห็นมากขึ้นทำให้มีแนวความคิดกว้างขวาง โดยเฉพาะบางครอบครัวส่งลูกเรียนถึงระดับมัธยมศึกษา ชาวเขายอมติดต่อกับโลกภายนอก ผู้วิจัยได้อภิปรายผลจากปรากฏการณ์เหล่านี้ว่า ต่อไปการทำการเกษตรของชาวเขาจะพยายามปรับตัวให้เข้ากับชาวไทยพื้นราบได้โดยไม่แตกต่างกันมาก ตลอดทั้งปัญหาที่เกิดต่อทรัพยากรธรรมชาติ ต้นน้ำ ลำธาร และปัญหาอื่นๆ จะหมดไป เมื่ออาชีพของเขาเจริญ เศรษฐกิจก็ย่อมจะดีขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในสังคมชาวเขา โดยเฉพาะทางด้านการเกษตร มีการทำไร่และทำสวนผลไม้ยืนต้น ผิดกับแต่ก่อนซึ่งชาวเขาจะไม่สนใจในเรื่องเหล่านี้เลย (หน้า 56-57) แม้เจ้าหน้าที่จะมีอิทธิพลก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเทคนิคการทำเกษตรจากดั้งเดิมไปสู่การทำเกษตรแผนใหม่ ชาวเขาส่วนใหญ่ยอมรับเอาวิธีการทำการเกษตรแผนใหม่ไว้ใช้เพื่อปรับปรุงวิธีการเกษตรของตนให้ดีขึ้น (หน้า 55) แต่ก็ยังมีชาวเขาบางส่วนไม่พอใจในการที่เจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องเปลี่ยนแปลงความรู้สึกนึกคิดของเขา สาเหตุเพราะ 1. แนวความคิดบางอย่างไปขัดกับความเชื่อถือดั้งเดิม หรือจารีตประเพณีของชาวเขา 2. ฝิ่นเป็นพืชที่ทำเงินรายได้ให้แก่ชาวเขาอย่างมาก การที่รัฐบาลให้เลิกปลูกฝิ่นแล้วไม่สามารถที่จะหาพืชใดที่ให้ผลเป็นเงินมากเท่าๆ กับฝิ่น ชาวเขาจึงไม่พอใจ 3. ชาวเขาถูกจำกัดพื้นที่ในการทำมาหากิน ผิดจากความเคยชินแต่ก่อนที่เคยทำอย่างอิสระเสรี 4. ชาวเขามีงานจุกจิกเพิ่มขึ้นจากเดิม การทำอาชีพเกษตรแต่เดิมปล่อยไว้ตามธรรมชาติ แต่การทำเกษตรเทคนิคใหม่ต้องเอาใจใส่ดูแลตลอดเวลา 5. ชาวเขาต้องลงทุนในการทำเกษตรเพิ่มขึ้น เช่นต้องซื้อปุ๋ย ซื้อยาปราบศัตรูพืช ต้องซื้ออาหารสัตว์จำพวกรำ ซึ่งแต่ก่อนเคยปล่อยสัตว์เลี้ยงหากินตามธรรมชาติ |
|
Map/Illustration |
ผู้วิจัยได้อธิบายแนวทางการอพยพเคลื่อนย้ายของชาวเขาเผ่าต่างๆ โดยอ้างถึงแผนที่แสดงเส้นทางการอพยพของชาวเขาเข้าสู่ภาคเหนือของประเทศไทย (หน้า 3) และใช้ตารางอธิบาย เปรียบเทียบข้อมูลเชิงปริมาณให้เห็นภาพชัดเจนถึงสภาพการยอมรับเทคนิคใหม่ทางการเกษตรของชาวเขาเผ่าแม้ว แหล่งที่ให้ความรู้ทางการเกษตรแก่ชาวเขา วิธีการเผยแพร่เทคนิคใหม่ทางการเกษตรของเจ้าหน้าที่ที่ชาวเขาต้องการ กลุ่มบุคคลที่ชาวเขาให้ความไว้วางใจในการที่จะปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ทางการเกษตร และทัศนคติของชาวเขาที่มีต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ (หน้า 26-30, 42-43, 49-50, 53) |
|
|