สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,เกษตรกรรม,ทัศนคติ,การรับของใหม่,เพชรบูรณ์
Author ไพโรจน์ ราชพรหมมินทร์
Title การยอมรับเทคนิคใหม่ทางการเกษตรของชาวเขาเผ่าแม้ว ที่หมู่บ้านเข็กน้อย อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 65 Year 2520
Source หลักสูตรปริญญาศึกษามหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Abstract

จากการศึกษาเพื่อทราบถึงการยอมรับเทคนิคใหม่ทางการเกษตรของแม้ว ที่ศูนย์อพยพชาวเขา หมู่บ้านเข็กน้อย อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยเข้าไปสัมภาษณ์หัวหน้าครอบครัวแม้ว จำนวน 246 ครอบครัว ผู้วิจัยพบว่า แม้วยอมรับเทคนิคใหม่ทางการเกษตร เจ้าหน้าที่ของศูนย์อพยพชาวเขาเป็นแหล่งข้อมูลที่ให้ความรู้ทางด้านเทคนิคใหม่ทางการเกษตรมากที่สุด วิธีการที่จะเผยแพร่เทคนิคใหม่ทางการเกษตรแก่ชาวแม้วให้ได้ผลดีนั้นได้แก่ วิธีการสาธิต โดยเฉพาะการทำแปลงสาธิต เมื่อแม้วมีปัญหาทางด้านการเกษตรจะปรึกษากับเพื่อนบ้านมากที่สุด และแม้วมีทัศนคติที่ดีต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ (หน้าต่อจากภาคผนวก)

Focus

สภาพการยอมรับเทคนิคใหม่ทางการเกษตรของชาวเขาเผ่าแม้ว และทัศนคติของชาวเขาเผ่าแม้วที่มีต่อการเผยแพร่เทคนิคใหม่ทางการเกษตรของเจ้าหน้าที่ศูนย์อพยพชาวเขา (หน้า 26-54)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ม้งที่ศูนย์อพยพชาวเขา บ้านเข็กน้อย หมู่ที่ 6 ตำบลแคมป์สน อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ (หน้า 12)

Language and Linguistic Affiliations

ม้งบางคนไม่สามารถจะพูดภาษากลางหรือฟังภาษากลางได้ ซึ่งเป็นปัญหาหนึ่งที่ทางศูนย์อพยพชาวเขากำลังประสบอยู่ เพราะทำให้ไม่สามารถเข้าใจตรงกันได้ ตีความหมายของคำไปคนละอย่าง ในเรื่องการแจกเอกสารเผยแพร่เทคนิคใหม่ทางการเกษตรนับว่าเป็นการสูญเปล่า เพราะว่าชาวเขาระดับหัวหน้าครอบครัวมีน้อยมากที่อ่านหนังสือได้ ดังนั้นแจกไปก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ได้มากนัก เพราะไม่เข้าใจความหมาย แต่ในโอกาสต่อไปเมื่อชาวเขาส่วนใหญ่อ่านหนังสือได้ การเผยแพร่ด้วยวิธีการแจกเอกสารก็อาจจะใช้ได้ (หน้า 59)

Study Period (Data Collection)

เป็นการเก็บข้อมูลโดยแจกแบบสอบถามและสัมภาษณ์ ไม่ปรากฏช่วงเวลาของการศึกษาวิจัยและการเก็บข้อมูลภาคสนาม

History of the Group and Community

แนวการอพยพเคลื่อนย้ายของชาวเขาเผ่าแม้ว มี 2 เส้นทางคือ ทางทิศเหนือของภาคเหนือ ซึ่งแตกเป็นหลายกลุ่มกระจายกันอยู่ทั่วไปในที่ราบสูงของทุกจังหวัดในภาคเหนือ (หน้า 1) และทางทิศตะวันออกของภาคเหนือ ซึ่งอพยพมาจากประเทศลาว เข้ามาอยู่หนาแน่นในจังหวัดพิษณุโลก เพชรบูรณ์ เลย (หน้า 2) ชาวเขาในภาคเหนือของประเทศไทยไม่มีประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้เป็นหลักฐานแน่นอน เป็นแต่เพียงได้รับการบอกเล่าสืบต่อกันมาในเรื่องการอพยพและบริเวณที่อยู่อาศัยของพวกตนในอดีต หรือได้หลักฐานอ้างอิงจากหนังสือเก่าๆ ของชนชาติที่มีความเจริญแล้ว เช่น จีน ญวน พม่า มอญ เขมร และไทย ตลอดระยะเวลา 2,000 ปีที่ผ่านมา พวกชาวเขาไม่ได้แยกตัวเองอยู่โดดเดี่ยวอย่างแท้จริง โชคชะตาของพวกเขาได้เชื่อมโยงกับโชคชะตาของชนชาติที่มีอำนาจเหนือกว่าในส่วนภูมิภาคนี้ในลักษณะต่างๆ (หน้า 6) รัฐบาลพยายามที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆเกี่ยวกับชาวเขา ทั้งปัญหาการทำไร่เลื่อนลอย ปัญหาเรื่องฝิ่น ปัญหาความปลอดภัยทางชายแดน และปัญหาทางด้านสังคมและการเมือง จึงได้เกิดโครงการของหน่วยงานต่างๆ และที่เป็นหน่วยงานในพระบรมราชานุเคราะห์ขึ้นหลายหน่วยงาน ในการดำเนินงานพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย ได้ดำเนินงานตามโครงการพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาระยะ 5 ปี (2510-2514) ซึ่งได้รับการอนุมัติจากสภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ จึงได้จัดตั้งนิคมสงเคราะห์ชาวเขาขึ้น โดยการคัดเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมบนภูเขาทางภาคเหนือ แล้วชักจูงสนับสนุนให้ชาวเขาที่อยู่กระจัดกระจายมารวมกลุ่มกันเป็นหมู่บ้าน ให้ทำการประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งถาวร (หน้า 5-8) เมื่อประเทศไทยถูกแซกแซงจากพวกคอมมิวนิสต์ ซึ่งพยายามโฆษณาชวนเชื่อดึงเอาชาวเขาเข้าไปเป็นพวกและให้เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาล มีการลอบโจมตีเจ้าหน้าที่ และในที่สุดได้ลอบวางเพลิงที่ทำการนิคมสงเคราะห์ชาวเขา ทำให้ชาวเขาแตกกระจายไปตามแหล่งต่างๆ ทางรัฐบาลจึงได้ตั้งศูนย์อพยพชาวเขาขึ้น โดยมีหน่วยงานของ กอ.รม.น. ร่วมรับผิดชอบ ศูนย์อพยพชาวเขาแห่งนี้ตั้งอยู่ที่บ้านเข็กน้อย หมู่ที่ 17 ตำบลน้ำชุน อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ แต่เนื่องจากตำบลน้ำชุนมีพื้นที่กว้างขวาง การปกครองไม่ทั่วถึง จึงได้ตั้งตำบลแยกการปกครองออกมาอีก ปัจจุบันบ้านเข็กน้อยอยู่หมู่ที่ 6 ตำบลแคมป์สน อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ (หน้า 8-9) ม้งที่ศูนย์อพยพชาวเขาบ้านเข็กน้อยเป็นประชากรที่อพยพมาจากเขตท้องที่ของจังหวัดพิษณุโลก เพชรบูรณ์ เลย (หน้า 13)

Settlement Pattern

ม้งนิยมตั้งบ้านเรือนในบริเวณที่มีความสูงตั้งแต่ 3,000 ฟุตขึ้นไป และส่วนมากหมู่บ้านมักจะตั้งอยู่ใกล้ลำธารเพื่อความสะดวกในการนำน้ำมาบริโภคมากกว่าสาเหตุอื่น แต่ชอบโยกย้ายบ้านเรือนอยู่เสมอ ดังนั้นการก่อสร้างบ้านเรือนจึงไม่ค่อยจะมั่นคงนัก และในเวลาที่โยกย้ายบ้านเรือนก็จะนำเอาสิ่งของที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้นติดตัวไปด้วย อะไรที่ไม่สามารถจะเอาไปได้ก็มักจะเผาทิ้งเสีย หรือยกให้ญาติพี่น้องของตนที่ไม่ได้โยกย้ายไปด้วย (หน้า 5) การจัดตั้งศูนย์อพยพชาวเขา เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมใหม่ของชาวเขาเผ่าแม้ว คือไม่ได้อยู่ในพื้นที่ระดับสูง และถูกจำกัดให้อยู่เป็นหลักแหล่งมีพื้นที่ตายตัว (หน้า 9)

Demography

จากการสำรวจของคณะกรรมการองค์การสหประชาชาติ ซึ่งได้ดำเนินการในปี พ.ศ. 2508 -2509 ปรากฏว่ามีประชากรชาวเขาในภาคเหนือของประเทศไทยทั้งสิ้นประมาณ 275,249 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีชาวเขาเผ่าแม้ว 53,031 คน (หน้า 4) ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาชาวเขาที่ศูนย์อพยพชาวเขาบ้านเข็กน้อย หมู่ที่ 6 ตำบลแคมป์สน อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวน 197 หลังคาเรือน 246 ครอบครัว ประชากร 1,473 คน (หน้า 12)

Economy

อาชีพของชาวเขาส่วนใหญ่คือการทำการเกษตร ซึ่งได้แก่ การปลูกพืชและการเลี้ยงสัตว์ พืชที่สำคัญได้แก่ ฝิ่น ข้าว ข้าวโพด และพืชไร่อื่นๆ อีกเล็กน้อย สัตว์ที่เลี้ยงไว้เช่น ม้า เพื่อใช้เป็นภาหนะ ที่เลี้ยงไว้เป็นอาหารเช่น สุกรและไก่ วิธีการทำการเกษตรนั้นมีทั้งแบบดั้งเดิม (Primitive) เป็นการเผาป่าเพื่อหยอดหรือหว่านเมล็ดพืชที่ต้องการอย่างง่ายๆ ขาดการดุแลรักษา ผลที่ได้จึงไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ และอีกแบบหนึ่งคือ เป็นแบบยังชีพ (Subsistence) เป็นวิธีการที่ดีขึ้นกว่าแบบดั้งเดิมบ้าง แต่ก็ยังมีการโค่นต้นไม้ทำลายป่าอยุ่อย่างเดิม มีการเพาะปลูกที่มีระเบียบเอาใจใส่บ้างเล็กน้อย ที่ชาวเขายังมีการยึดถือปฏิบัติกันอยู่คือ การมีไร่ 2 แห่ง ซึ่งอีกแห่งหนึ่งจะอยู่ห่างไกล เป็นที่สำหรับปลูกฝิ่น (หน้า 10) ฝิ่นเป็นพืชที่ชาวเขารู้จักเพาะปลูกกันมานานแล้ว จนยึดถือเป็นอาชีพอย่างหนึ่ง ในที่นี้มีการปลูกสำหรับบริโภคเองและเป็นสินค้าเพื่อแลกเปลี่ยนกับอาหารและเครื่องนุ่งห่ม เพราะชาวเขาปลูกพืชอาหารได้ไม่เพียงพอต่อการบริโภคตลอดปี แต่ก็ไม่สามารถประเมินได้ว่าชาวเขาผลิตฝิ่นได้ปีละเท่าไร จากการสำรวจของคณะกรรมการปราบปรามยาเสพติดให้โทษเมื่อปี 2509 ปรากฏว่าพื้นที่ที่ใช้ในการปลูกฝิ่น ทั้งหมดของชาวเขามีจำนวนประมาณ 112,000 ไร่ ในพื้นที่ 1 ไร่ จะให้ผลผลิตประมาณ 1.3 กิโลกรัม ดังนั้นในปีหนึ่งๆ ชาวเขาจะผลิตฝิ่นได้ประมาณ 145 ตัน ซึ่งฝิ่นเหล่านี้ได้แพร่กระจายออกไปสู่ส่วนต่างๆ ของประเทศ และเลยออกไปถึงต่างประทศด้วย (หน้า 5-6) เมื่อมีการจัดตั้งศูนย์อพยพชาวเขา เจ้าหน้าที่ของศูนย์ฯ ได้เข้าไปคลุกคลีให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ซึ่งจากการศึกษาวิจัย ผู้วิจัยพบว่าชาวเขายอมรับเอาวิธีการทำการเกษตรแผนใหม่ไว้ใช้ เพื่อปรับปรุงวิธีการเกษตรของตนให้ดีขึ้น และมีการติดต่อกับโลกภายนอก จากแต่เดิมที่เคยอยู่อย่างโดดเดี่ยว รวมกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่น การคมนาคมติดต่อกับกลุ่มอื่นลำบากมาก จะกระทำก็ต่อเมื่อมีความจำเป็น เช่น ต้องการอาหารและยารักษาโรคเท่านั้น แต่ปัจจุบันศูนย์อพยพชาวเขาแห่งนี้ตั้งอยู่ติดกับถนนหลวง การคมนาคมสะดวก มีพ่อค้าแม่ค้าเข้าไปติดต่ออยู่ตลอดเวลา (หน้า 56-57)

Social Organization

ผู้วิจัยได้อ้างถึง ขจัดภัย บุรุษพัฒน์ (ขจัดภัย; 2518 : 13) ว่าจากการที่ได้ศึกษาค้นคว้าในสังคมชาวเขาทุกเผ่า ความผูกพันกับครอบครัวและความกตัญญูต่อบิดามารดาเป็นไปอย่างแน่นแฟ้นมาก ครอบครัวมีหน้าที่รับผิดชอบทุกด้าน คือเป็นสถาบันทางสังคมและเศรษฐกิจ การผลิต การศึกษา เพศ พิธีทางศาสนา และการพักผ่อนหย่อนใจ ทั้งครอบครัวเดี่ยวและครอบครัวผสม หัวหน้าครอบครัวเป็นผู้ได้รับการเคารพและเป็นใหญ่ในกิจกรรมต่างๆ ของครัวเรือน (หน้า 15-16) จึงอาจกล่าวได้ว่าชาวเขาเผ่าแม้วจะยอมรับเอาวิทยาการแผนใหม่ได้มากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับหัวหน้าครอบครัวจะเป็นผู้ตัดสินใจเป็นสำคัญ ซึ่งเขาจะต้องพิจารณาหลายๆ แง่ เพราะมีความเชื่อถือลัทธิต่างๆ มากมาย (หน้า 16)

Political Organization

ก่อนจะมีการจัดตั้งศูนย์อพยพชาวเขา รัฐบาลมีปัญหาในเรื่องการปกครองชาวเขา เนื่องจากว่าชาวเขามีประเพณี วัฒนธรรม และภาษาเป็นของตัวเอง ประกอบทั้งแยกตัวอยู่ต่างหาก อพยพเร่ร่อนไปเรื่อยๆ (หน้า 6) หลังจากที่มีการจัดตั้งศูนย์อพยพชาวเขาแล้ว การเอาใจใส่ของเจ้าหน้าที่มีมากและสม่ำเสมอ เป็นนโยบายอย่างหนึ่งของรัฐบาล เพราะอยู่ในเขตล่อแหลมต่ออันตราย (Sensitive Area) เจ้าหน้าที่ซึ่งรวมทั้งหน่วยงาน กอ.รม.น. พยายามที่จะดึงเอาชาวเขาเหล่านี้มาเป็นฝ่ายรัฐบาลให้มากที่สุด จึงเอาใจใส่ตลอดเวลา พยายามจะชักชวนชี้นำในเรื่องการอาชีพเพื่อการกินดีอยู่ดี จนกระทั่งสามารถโน้มน้าวชาวเขาส่วนใหญ่ได้ (หน้า 57) แม้เจ้าหน้าที่ของศูนย์อพยพจะเป็นตัวแทนที่สำคัญที่สุดของฝ่ายรัฐบาลในการเผยแพร่แนวความคิดไปสู่ชาวเขา แต่การเผยแพร่แนวความคิดจากชาวเขาด้วยกันเองจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งก็มีความสำคัญพอๆ กัน เพราะระบบการนับถือผู้อาวุโสเคร่งครัดมาก จึงสามารถที่จะให้แนวความคิดเก่าๆ ที่ติดตัวอยู่กับผู้สูงอายุยังมีอิทธิพลต่ออาชีพการเกษตร (หน้า 58)

Belief System

การดำเนินวิถีชีวิตของชาวเขายึดหลักขนบธรรมเนียมประเพณีแต่หนหลังเป็นหลัก การที่เจ้าหน้าที่เข้าไปคลุกคลีให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ตลอดจนการแนะนำให้เลิกการทำบางสิ่งบางอย่างที่เป็นอันตรายต่อส่วนรวม ซึ่งการกระทำนั้นมีผลต่อชาวเขาโดยตรง มีผลทำให้ชาวเขาบางส่วนไม่ชอบเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปเกี่ยวข้อง (หน้า 55) เพราะแนวความคิดบางอย่างไปขัดกับความเชื่อดั้งเดิมหรือจารีตประเพณีของเขา ซึ่งเมื่อความเชื่อเก่าที่ฝังแน่นอยู่ในแนวความคิดมีอิทธิพลมากกว่า ประกอบกับการนับถือผู้อาวุโสอย่างเคร่งครัด ดังนั้นความคิดที่จะขัดแย้งจึงมีมากกว่า (หน้า 61)

Education and Socialization

ปัจจัยอย่างหนึ่งที่ผู้วิจัยพบว่ามีอิทธิพลต่อการยอมรับเทคนิคใหม่ทางการเกษตรของชาวเขาเผ่าแม้วคือ ความรู้ที่ได้จากลูกที่ไปโรงเรียน เพราะเมื่อลูกไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนได้ความรู้จากครูหรือตำรา แล้วจะนำความรู้นั้นมาแนะนำปรับปรุงวิธีการทำการเกษตรของครอบครัว (หน้า 24)

Health and Medicine

ในอดีตเนื่องจากชาวเขาตั้งบ้านเรือนอยู่ตามป่าเขา กระจัดกระจาย ทำให้ชาวเขาขาดการศึกษา มีปัญหาด้านการอนามัย และฃัดสนยากจน ดังนั้นในการที่รัฐบาลจะเข้าไปช่วยเหลือให้ได้ผลรวดเร็วปุบปับย่อมเป็นไปไม่ได้ (หน้า 7) แต่เมื่อมีการจัดตั้งนิคมสงเคราะห์ชาวเขา รัฐบาลได้มีโครงการสร้างสถานีอนามัย มีพนักงานอนามัยประจำตลอดเวลา (หน้า 8)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ชาวเขามีประเพณี วัฒนธรรม และภาษาเป็นของตัวเอง (หน้า 6)

Folklore

ไม่ปรากฏในงานวิจัย

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ศูนย์อพยพชาวเขาบ้านเข็กน้อยตั้งอยู่ติดกับถนนหลวง การคมนาคมสะดวก มีการติดต่อกับโลกภายนอก มีพ่อค้าแม่ค้าเข้าไปติดต่ออยู่ตลอดเวลา ซึ่งแนวความคิดใหม่ๆ จะค่อยแทรกเข้าไปอยู่เรื่อยๆ และเนื่องจากเขตนี้เป็นเขตควบคุมของเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จึงเป็นแหล่งที่มีอิทธิพลในการให้ข้อมูล และคอยระมัดระวังข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ กีดกันไม่ให้คนภายนอกเข้าไปพลุกพล่าน (หน้า 56-57)

Social Cultural and Identity Change

ศูนย์อพยพชาวเขามีสภาพแวดแวดล้อมที่แตกต่างจากเดิมที่ชาวเขาเคยอาสัยอยู่มาก เพราะแต่ก่อนชาวเขาเคยอาศัยอยู่แต่บนที่สูงระดับ 3,000 – 5,000 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล แต่ที่อยู่ในปัจจุบันอยู่ต่างลงมากว่าเดิมมาก การทำการเกษตรแบบปล่อยปละละเลยจะไม่ได้ผลเหมือนเดิม ชาวเขาจึงมุ่งความสนใจมายังวิธีการที่เจ้าหน้าที่ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง แนวความคิดของชาวเขาเปลี่ยนไปจากเดิม ได้รู้ได้เห็นมากขึ้นทำให้มีแนวความคิดกว้างขวาง โดยเฉพาะบางครอบครัวส่งลูกเรียนถึงระดับมัธยมศึกษา ชาวเขายอมติดต่อกับโลกภายนอก ผู้วิจัยได้อภิปรายผลจากปรากฏการณ์เหล่านี้ว่า ต่อไปการทำการเกษตรของชาวเขาจะพยายามปรับตัวให้เข้ากับชาวไทยพื้นราบได้โดยไม่แตกต่างกันมาก ตลอดทั้งปัญหาที่เกิดต่อทรัพยากรธรรมชาติ ต้นน้ำ ลำธาร และปัญหาอื่นๆ จะหมดไป เมื่ออาชีพของเขาเจริญ เศรษฐกิจก็ย่อมจะดีขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในสังคมชาวเขา โดยเฉพาะทางด้านการเกษตร มีการทำไร่และทำสวนผลไม้ยืนต้น ผิดกับแต่ก่อนซึ่งชาวเขาจะไม่สนใจในเรื่องเหล่านี้เลย (หน้า 56-57) แม้เจ้าหน้าที่จะมีอิทธิพลก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเทคนิคการทำเกษตรจากดั้งเดิมไปสู่การทำเกษตรแผนใหม่ ชาวเขาส่วนใหญ่ยอมรับเอาวิธีการทำการเกษตรแผนใหม่ไว้ใช้เพื่อปรับปรุงวิธีการเกษตรของตนให้ดีขึ้น (หน้า 55) แต่ก็ยังมีชาวเขาบางส่วนไม่พอใจในการที่เจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องเปลี่ยนแปลงความรู้สึกนึกคิดของเขา สาเหตุเพราะ 1. แนวความคิดบางอย่างไปขัดกับความเชื่อถือดั้งเดิม หรือจารีตประเพณีของชาวเขา 2. ฝิ่นเป็นพืชที่ทำเงินรายได้ให้แก่ชาวเขาอย่างมาก การที่รัฐบาลให้เลิกปลูกฝิ่นแล้วไม่สามารถที่จะหาพืชใดที่ให้ผลเป็นเงินมากเท่าๆ กับฝิ่น ชาวเขาจึงไม่พอใจ 3. ชาวเขาถูกจำกัดพื้นที่ในการทำมาหากิน ผิดจากความเคยชินแต่ก่อนที่เคยทำอย่างอิสระเสรี 4. ชาวเขามีงานจุกจิกเพิ่มขึ้นจากเดิม การทำอาชีพเกษตรแต่เดิมปล่อยไว้ตามธรรมชาติ แต่การทำเกษตรเทคนิคใหม่ต้องเอาใจใส่ดูแลตลอดเวลา 5. ชาวเขาต้องลงทุนในการทำเกษตรเพิ่มขึ้น เช่นต้องซื้อปุ๋ย ซื้อยาปราบศัตรูพืช ต้องซื้ออาหารสัตว์จำพวกรำ ซึ่งแต่ก่อนเคยปล่อยสัตว์เลี้ยงหากินตามธรรมชาติ

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ผู้วิจัยได้อธิบายแนวทางการอพยพเคลื่อนย้ายของชาวเขาเผ่าต่างๆ โดยอ้างถึงแผนที่แสดงเส้นทางการอพยพของชาวเขาเข้าสู่ภาคเหนือของประเทศไทย (หน้า 3) และใช้ตารางอธิบาย เปรียบเทียบข้อมูลเชิงปริมาณให้เห็นภาพชัดเจนถึงสภาพการยอมรับเทคนิคใหม่ทางการเกษตรของชาวเขาเผ่าแม้ว แหล่งที่ให้ความรู้ทางการเกษตรแก่ชาวเขา วิธีการเผยแพร่เทคนิคใหม่ทางการเกษตรของเจ้าหน้าที่ที่ชาวเขาต้องการ กลุ่มบุคคลที่ชาวเขาให้ความไว้วางใจในการที่จะปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ทางการเกษตร และทัศนคติของชาวเขาที่มีต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ (หน้า 26-30, 42-43, 49-50, 53)

Text Analyst สุธิดา วงษ์อนันต์ Date of Report 27 พ.ค. 2562
TAG ม้ง, เกษตรกรรม, ทัศนคติ, การรับของใหม่, เพชรบูรณ์, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง