|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลีซู,ศาสนาคริสต์,วิถีชีวิต,เชียงราย |
Author |
นงนภัส เพิ่มมิตร |
Title |
การเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ของชาวลีซอ : ศึกษากรณีบ้านป่าตึง จังหวัดเชียงราย |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ลีซู,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
353 |
Year |
2546 |
Source |
หลักสูตรปริญญามานุษยวิทยามหาบัณฑิต สังคมวิทยามานุษยวิทยา ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
งานเขียนกล่าวถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากการนับถือศาสนาพุทธ(ผี)ไปนับถือศาสนาคริสต์ของลีซอบ้านป่าตึง หมู่ 5 ตำบลบ้านโป่ง อำเภอ เวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย โดยผู้เขียนได้ระบุว่าปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนศาสนาก็คือการเจ็บป่วย เนื่องจากตอนนับถือศาสนาพุทธ(ผี)นั้นมีปัญหาเรื่องการเจ็บป่วย เพราะถ้าป่วยก็ต้องเซ่นไหว้ผีซึ่งต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงมีลีซูเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์เพราะไม่ต้องระมัดระวังว่าจะผิดผีเนื่องจากพระเจ้าจะช่วยคุ้มครองไม่ให้ผีร้ายๆต่างๆมารวบกวน ซึ่งจากปัจจัยนี้จึงทำให้ลีซูในหมู่บ้านป่าจึงเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ นอกจากนี้ในงานเขียนยังศึกษาประเพณีพิธีกรรมต่างๆ ของลีซอและผลกระทบของการเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ว่ามีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของลีซอบ้านป่าตึงอย่างไร |
|
Focus |
ศึกษาปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากการนับถือผีไปนับถือศาสนาคริสต์,ศึกษาประเพณีพิธีกรรมในรอบ 1 ปี,ผลกระทบจากการที่ชาวเขาเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์และศึกษาวิถีชีวิตในปัจจุบันของลีซอ (หน้า 8) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ลีซู (ลีซู) เป็นชาติพันธุ์ที่เป็นสาขาในชนชาติโล-โล ลีซอเมื่อเรียกตนเองจะเรียกว่า “ลีซู” ส่วนคนจีนจะเรียกว่า “ลีโซ” หรือ ”ลีซือ” ในกลุ่มชาวไทยใหญ่ ชาวไทย-จีนเรียกลีซอว่า “แข่ลีซอ” คนไทยเรียกว่า”ลีซอ” ทั้งนี้ว่าคำแข่ในภาษาไทยใหญ่หมายถึง “ชาวจีนกลาง” วัฒนธรรมประเพณีของลีซอจะได้รับอิทธิพลมาจากจีนเพราะตั้งรกรากอยู่ในจีนมาเป็นเวลายาวนาน (หน้า 3) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติบ้านป่าตึง บริเวณหมู่บ้านเมื่อก่อนนี้เป็นป่าที่มีต้นไม้ขึ้นเป็นจำนวนมาก การตั้งหมู่บ้านเริ่มเมื่อ 30 ปีที่แล้ว โดยลีซู ตระกูลเลาย้าง กับ ตระกูลเลายีเข้ามาตั้งบ้านเรือนก่อนครอบครัวอื่นเนื่องจากต้องการเข้ามาเสาะหาพื้นที่เพื่อทำการเพาะปลูกเพราะว่าในเวลานั้นรัฐบาลมีนโยบายรณรงค์ให้ชาวเขาเลือกปลูกฝิ่นและในภายหลังได้มีครอบครัวอื่นๆ ย้ายเข้ามาอยู่เพิ่มเติม (หน้า 84) และหน่วยงานข้าราชการเข้ามาสร้างโรงเรียนในภายหลัง ส่วนชาติพันธุ์อื่นเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านได้แก่กะเหรี่ยง ที่มาอยู่ในหมู่บ้านเพราะแต่งงานกับลีซู ซึ่งส่วนมากจะเป็นกะเหรี่ยงผู้หญิงที่แต่งกับผู้ชายลีซูในหมู่บ้าน สำหรับมูเซอนั้นได้ย้ายเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านเพราะบ้านเดิมนั้นอยู่ห่างไกลและลูกหลานไม่สะดวกในการเดินทางมาเรียนหนังสือที่บ้านป่าตึง ดังนั้นเมื่อเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านทางชาวบ้านป่าตึงจึงให้มูเซอเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านได้แต่ให้อยู่ห่างจากหมู่บ้านของลีซอเนื่องจากเกรงว่าอาจจะมีเรื่องขัดแย้งกันแพราะว่ามีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน (หน้า 85) ประวัติการเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ในบ้านป่าตึง เมื่อก่อนนี้ลีซูบ้านป่าตึงนับถือศาสนาพุทธ (ผี) สาเหตุที่ทำให้ลีซูเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์เพราะว่า เกิดการเจ็บป่วย โดยไม่ทราบสาเหตุ รวมทั้งไม่ทราบวิธีรักษา ดังนั้นญาติผู้ป่วยจึงให้คำแนะนำให้ผู้ป่วยเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ เนื่องจากว่าการนับถือศาสนาพุทธเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีการเจ็บป่วย เพราะว่าการนับถือศาสนาพุทธ(ผี) สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติต่างๆ ก็จะยังคงมีอำนาจต่อตัวผู้ป่วย แต่ถ้าเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์พระเจ้าก็จะช่วยคุ้มครองผู้ป่วยให้รอดพ้นจากอันตรายของผีร้ายทั้งหลาย (หน้า 100,134,135) |
|
Settlement Pattern |
บ้านลีซู โดยมากจะปลูกบ้านติดกับพื้นดิน ส่วนที่เป็นที่รับแขกกับที่นอนจะสร้างแบบยกพื้นสูง ฝาบ้านจะกั้นปิดทึบ เสาบ้านจะเป็นไม้ไผ่หรือไม้ชนิดอื่น หลังคาบ้านมุงด้วยใบคา ชายคาบ้านยาวลงมาเกือบจรดถึงพื้นดิน ในบางหลังจะมุงหลังคาด้วยไม้ไผ่โดยจะนำไม้ไผ่มาผ่าครึ่งแล้วนำมาวางซ้อนกัน โดยนำลำหนึ่งหงายและอีกลำคว่ำประกบกันลักษณะคล้ายกับมุงด้วยกระเบื้อง (หน้า 4) การสร้างบ้านของลีซูบ้านป่าตึง วัสดุที่สร้างบ้านเรือนจะเป็นวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น เช่นไม้ไผ่และวัสดุอื่นๆ เมื่อสร้างบ้านได้ 3 ถึง 4 ปี ก็จะรื้อสร้างใหม่ (หน้า 73) สำหรับบ้านที่สร้างแบบค่อมดินนั้นก่อสร้างบ้านต้องปรับพื้นดินได้เรียบก่อน เมื่อสร้างบ้านเรียบร้อยแล้วก็จะนำไม้ไผ่มาปูทับให้พื้นดินแน่นโดยจะทับเอาไว้ราว 1 สัปดาห์ (เรื่องและภาพหน้า 78) การใช้สอยบ้านเมื่อเปิดประตูเข้าไปก็จะเห็นกองไฟที่ก่อไว้ในบ้าน เนื้อที่บ้านจะเป็นที่โล่งครึ่งหนึ่งแล้วจะวางแคร่เพื่อนั่งพักผ่อน (เรื่องและภาพหน้า 79) |
|
Demography |
ประชากรที่ศึกษา ลีซูที่เป็นประชากรศึกษาเป็นหัวหน้าครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์ จำนวน 23 ครอบครัวที่อยู่บ้านป่าตึง (หน้า 72) |
|
Economy |
เศรษฐกิจ อาชีพหลักดั้งเดิมของลีซอบ้านป่าตึงคือปลูกข้าวเอาไว้กินในครอบครัวและเลี้ยงสัตว์ ต่อมาแม้วที่มาเยี่ยมเยียนครอบครัวลีซอที่รู้จักในบ้านป่าตึงได้แนะนำให้ปลูกข้าวโพดเพื่อเลี้ยงสัตว์ เช่นเลี้ยงหมูเพราะเมื่อก่อนนี้ครอบครัวจะเลี้ยงหมูเฉลี่ยครัวละ 20 ตัว ซึ่งหมูเหล่านี้จะเลี้ยงไว้เพื่อเป็นอาหารและสำหรับเลี้ยงผีในกลุ่มครอบครัวที่นับถือศาสนาพุทธ(ผี) (หน้า 90) ต่อมาการปลูกข้าวโพดจึงแพร่หลาย จนทุกวันนี้การปลูกข้าวโพดจึงเป็นรายได้หลักของลีซอบ้านป่าตึง (หน้า 91) สำหรับการปลูกข้าวโพดนั้นแม้ว่าจะมีราคาไม่สูงแต่ก็มีปริมาณมากและการป้องกันโรคก็สามารถทำได้ง่ายไม่ยุ่งยาก ส่วนพืชอื่นที่ปลูกเสริมนอกจากข้าวโพดได้แก่ ขิงและถั่วแดง เป็นต้น สำหรับการปลูกขิงนั้นลีซอไม่ค่อยมีความชำนาญและเสี่ยงต่อการติดเชื้อรา หากปีไหนติดเชื้อ ก็เกิดความเสียหายขายไม่ได้ราคา เนื่องจากลีซอไม่รู้วิธีป้องกันไม่ให้ขิงที่ปลูกติดเชื้อรา (หน้า 92) ข้าวปุก มีวิธีการทำคือนำข้าวเหนียวมาแช่ไว้ 1 คืน จากนั้นก็นำมานึ่งนานประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อข้าวสุกแล้วก็นำมาใส่ในครก สำหรับข้าวปุกที่ใช้ในพิธีวันปีใหม่ก่อนตำจะจุดธูป 2 หรือ 3 คู่ และวางเหล้าไว้ด้านข้าง 1 ขวด จากนั้นก็จะให้ผู้หญิงโสด 2 คน เป็นคนตำพอเป็นพิธี โดยให้คนหนึ่งวางข้าวไว้ในครกส่วนอีกคนเป็นคนตำข้าว (หน้า 111) ต่อไปก็จะเปลี่ยนให้ผู้ใหญ่ 2 คนมาตำโดยจะให้อีกคนช่วยผสมงาดำกับข้าวเหนียว เมื่อตำจนคลุกเคล้าเข้ากันแล้วก็จะนำข้าวที่ตำนั้นมาปั้นเป็นก้อน ในกรณีที่บ้านใดไม่มีครกตำข้าวปุกก็จะนำกระสอบปุ๋ยมานวดข้าวผสมกับงาดำ (หน้า112) การกลั่นเหล้า การกลั่นเหล้าของลีซูทั้งเหล้าข้าวโพดและข้าวเปลือกนั้นมีขั้นตอนกันทำเหมือนกันดังนี้ เริ่มแรกจะรองเข่งด้วยใบตองเพื่อรองข้าวโพดหรือข้าวเปลือก การกลั่นเหล้าจะใช้ข้าวโพดหรือข้าวเปลือก จำนวน 4 ปี๊บแล้วนำมาผสมกับแป้งหมักเหล้า 70 หน่วย (งานเขียนระบุว่า 100 หน่วย เท่ากับ 120 บาท) เมื่อนำมาผสมคลุกเคล้ากันแล้ว ก็นำใบตองมาปิดเก็บไว้เป็นเวลา 10 กว่าวันหลังจากที่ครบตามเวลาที่กำหนดแล้ว ก็จะนำถึงไม้โดยจะเจาะรูไว้ทางด้านหลังเพื่อสอดไม้ไผ่เป็นที่ให้เหล้าที่กลั่นไหลลงภาชนะที่เอาไว้รองเหล้าที่กลั่น (หน้า 112) ส่วนในถังไม้จะวางไม้เซาะที่เป็นไม้สานเป็นรูปวงกลมลักษณะเหมือนตาลปัตร ซึ่งลีซูเรียกว่า “หยุพิ” ปิดบริเวณก้นถัง นำข้าวโพดหรือข้าวเปลือกลงในถังปริมาณ 2 ใน 5 ส่วนของถังไม้ จากนั้นก็วางภาชนะกลางกระทะที่ใส่น้ำซึ่งตั้งในเตาไฟ บริเวณรอบปากถังไม้จะพันผ้าเอาไว้เพื่อเอาไว้ตั้งกระทะอีกหนึ่งใบที่รองน้ำไว้แล้ววางไว้บนถังไม้ เมื่อน้ำในกระทะเริ่มร้อนก็จะเปลี่ยนน้ำ สำหรับการกลั่นเหล้าต่อครั้งจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง (หน้า 112 ภาพหน้า 113) ในการผลิตเหล้าลีซูจะประกอบพิธีกรรมด้วยคือจะเตรียมสิ่งต่างๆ เพื่อไหว้ผีฟ้าได้แก่ น้ำ 1 ชาม ตะเกียบ 1 คู่โดยวางเป็นรูปกากบาท จุดธูป 2 ดอก สำหรับการอธิษฐานจะบอกผีฟ้าว่า ถ้าได้เหล้าฉลองปีใหม่เป็นจำนวนมาก ก็จะนำหมูไปแก้บน สำหรับการทำพิธีการแก้บนจะทำหลังจากกลั่นเหล้าเสร็จแล้ว 3 ถึง4 ชั่วโมงและนำเหล้าดังกล่าวมาเซ่นไหว้ขณะประกอบพิธีด้วย (ภาพหน้า 113) |
|
Social Organization |
ครอบครัว ลีซูบ้านป่าตึงจะอยู่แบบครอบครัวขาย ถ้าหากมีการย้ายบ้านไปสร้างครอบครัวของตนเองก็ยังมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันในกลุ่มเครือญาติเช่น ถ้าลูกที่แต่งงานมีครอบครัวไปทำงานในไร่ พ่อแม่ที่อยู่ที่บ้านก็จะช่วยดูแลเลี้ยงดูหลานให้ ดังนั้นการสร้างบ้านจึงชอบที่จะสร้างบ้านใกล้กับบ้านของพ่อ แม่ เพื่อที่จะได้ดูแลได้อย่างใกล้ชิด (หน้า 86) พิธีแต่งงานและการเลือกคู่ครอง ลีซู เรียกพิธีแต่งงานว่า ”อุดู้แถ่” หรือ ”กินฟ้า” (หน้า 6) ในงานเขียนได้กล่าวถึงตั้งแต่พิธีขอหมั้นว่าในหมู่บ้านป่าตึงได้มีการรวมพิธีของทั้งศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์เข้าไว้ในการประกอบพิธี นับตั้งแต่การสู่ขอญาติผู้ใหญ่ฝ่ายชายจะเดินทางมาที่บ้านฝ่ายหญิง ตอนที่ทำการสู่ขอหากเป็นกลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธญาติผู้ใหญ่ฝ่ายชายจะรินเหล้าให้ญาติฝ่ายหญิง แต่ถ้านับถือศาสนาคริสต์ก็จะเปลี่ยนเป็นน้ำอัดลมโดยไม่ใช้เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ในวันนี้จะตกลงเรื่องค่าสินสอดและพูดคุยเรื่องหากแต่งงานแล้วจะให้เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวไปอยู่บ้านของฝ่ายใด (หน้า 126) การจัดพิธีแต่งงานที่เจ้าบ่าวนับถือศาสนาพุทธกับเจ้าสาวที่นับถือศาสนาคริสต์ ในวันแต่งงานญาติฝ่ายชายและเพื่อนบ้านจะมาที่บ้านเจ้าสาวเพื่อช่วยทำอาหารในตอนเช้าและเจ้าสาวก็จะมาช่วยทำอาหารด้วย กระทั่งถึงช่วงกำหนดทำพิธีก็จะไปแต่งตัวชุดเจ้าสาว ครั้นเริ่มทำพิธีญาติผู้ใหญ่ฝ่ายชายจะกล่าวก่อนจัดพิธี จากนั้นก็จะยกขันโตกมาตั้งตรงกลางซึ่งในขันโตกจะใส่กับข้าวหลายอย่างและชามตั้งไว้เพื่อให้แขกที่มาร่วมงานใส่ซองเพื่อช่วยงาน ต่อมาแม่ของเจ้าบ่าวก็จะมอบเงินสินสอดให้กับแม่เจ้าสาว ส่วนเจ้าบ่าวก็จะมอบซองที่แขกใส่มาช่วยงานที่อยู่ในชามให้กับเจ้าสาว โดยเจ้าสาวจะจับชายเสื้อที่รองรับซองเอาไว้ (หน้า 126 ภาพหน้า 127) พิธีแต่งงานของลีซูที่นับถือศาสนาคริสต์ ในวันสู่ขอญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายชายจะมาที่บ้านของฝ่ายหญิงพร้อมกับขนมปังปี๊บและน้ำอัดลม ระหว่างที่ตกลงกันนั้นจะให้เจ้าบ่าวอยู่ด้านนอกและเจ้าสาวก็จะไม่ออกมาให้ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายชายพบหน้า เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้วทั้งเจ่าบ่าวกับเจ้าสาวถึงจะออกมาเพื่อพูดคุยกับญาติผู้ใหญ่เรื่องการกำหนดวันแต่งงานและถ้าแต่งงานแล้วจะไปอยู่บ้านฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชาย (หน้า 142) วันแต่งงานจะจัดที่บ้านฝ่ายเจ้าสาวสำหรับค่าใช้จ่ายฝ่ายเจ้าบ่าวจะเป็นผู้ออก เมื่อเริ่มพิธีญาติผู้ใหญ่ฝ่ายชายจะมอบเงินสินสอดให้ฝ่ายเจ้าสาว ในการจัดพิธีที่บ้านเจ้าสาวอาหารที่เลี้ยงแขกเหรื่อที่มาร่วมงานจะเป็นอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อหมู มีรสจืด สำหรับเครื่องดื่มจะเป็นน้ำอัดลมไม่มีเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ต่อมาก็จะมาประกอบพิธีที่โบสถ์ พิธีจะเริ่มโดยให้คู่บ่าวสาวอธิษฐานต่อพระเจ้า จากนั้นทั้งสองก็จะเดินมาด้านหน้าแล้วอาจารย์สอนศาสนาประจำโบสถ์ก็จะอ่านคัมภีร์เพื่ออบรมต่อคู่บ่าวสาวว่าคริสตศาสนิกชนควรปฏิบัติตนอย่างไรและสิ่งใดไม่ควรกระทำ ต่อมาก็จะให้เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวจับมือกัน ก็ถือว่าจบพิธีที่โบสถ์ (หน้า 142) หลังจากนั้นแขกเหรื่อก็จะกลับมากินเลี้ยงที่บ้านเจ้าสาว (หน้า 143) |
|
Political Organization |
การปกครอง หมู่บ้านป่าตึงเป็นหมู่บ้านบริวารของบ้านโป่งเทวี ซึ่งแบ่งออกเป็นหมู่ 2 โดยมีกำนันเป็นผู้นำกับหมู่ 5 มีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำ (หน้า 86,87) ในหมู่บ้านป่าตึงมีผู้นำ 2 แบบคือผู้นำชุมชนกับผู้นำศาสนา สำหรับผู้นำชุมชนจะเป็นผู้นำศาสนาคริสต์ พร้อมกันไปด้วย และมีผู้นำศาสนาพุทธ(ผี) (หน้า 88) ในหมู่บ้านนอกจากผู้นำแล้วยังประกอบกรรมการหมู่บ้านอีก 2 คน ซึ่งเป็นคณะทำงานด้านการปกครองหมู่บ้าน (หน้า 89) |
|
Belief System |
ศาสนาและความเชื่อ ลีซูบ้านป่าตึงมีการนับถือศาสนาดังนี้ ศาสนาคริสต์ 67.2% ศาสนาพุทธ 32.3% และศาสนาอิสลาม 0.5% (หน้า 99 ตารางหน้า 100) ลีซูที่มาตั้งหมู่บ้านในครั้งแรกนั้นนับถือศาสนาพุทธ(ผี) พอมีคนในหมู่บ้านเจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ ญาติพี่น้องจึงแนะนำให้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ เนื่องจากเชื่อพระเจ้าจะสามารถทำให้อาการป่วยไข้ให้หายได้ จึงมีลีซูในหมู่บ้านเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์เป็นจำนวนมาก (หน้า 100)บ้านป่าตึงมีโบสถ์ 1 แห่งชื่อ โบสถ์สภา (หน้า 101) ลีซูที่นับถือศาสนาพุทธ(ผี)มีสถานที่ประกอบพิธีเรียกว่า ” อาปาหมู่ฮี” ซึ่งเป็นที่อยู่ของผีหัวบ้านที่มีหน้าหน้าที่ป้องปักรักษาหมู่บ้านจากสิ่งไม่ดีต่างๆ ที่แห่งนี้ผู้ชายสามารถขึ้นไปบนนั้นได้แต่ถ้าเป็นผู้หญิงต้องอายุไม่เกิน 10 ปี ซึ่งส่วนมากที่นิยมขึ้น “อาปาหมู่ฮี “จะเป็นวันปีใหม่ (หน้า 101) ส่วนคนอื่นที่สามารถขึ้นไปบนนี้ได้คืออาจารย์บ้านซึ่งลีซูในหมู่บ้านได้คัดเลือก (หน้า 102) อาปาหมู่ฮี จะตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เป็นจุดสูงสุดของหมู่บ้านเพื่อต้องการให้ผีหัวบ้านมองเห็นหมู่บ้านได้ทั่วถึง (หน้า 108 ภาพหน้า 109) ผี ลีซูบ้านป่าตึงที่นับถือศาสนาพุทธ(ผี) เชื่อว่าผีมี 2 อย่างคือ 1. ผีหัวบ้าน มีหน้าที่ปกป้องรักษาป่าไม้มีอำนาจมากกว่าผีบ้านซึ่งแต่ละแห่งจะมีผีหัวบ้านไม่เหมือนกัน สำหรับผีหัวบ้านแบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ (หน้า 102) 1.1 ซาฉื่อโหล่งหยุ คือ หลักเมือง มีอำนาจที่สุด 1.2 อิ๊ต่ามา คือ องครักษ์ของหลักเมือง 1.3 ควอสึ คือผู้ช่วยองครักษ์ (หน้า 102) 2. ผีบ้าน ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองบ้านเรือนในแต่ละหลังให้คนในบ้านอยู่ดีมีแต่ความสุข (หน้า 103) ลีซูมีความเชื่อเรื่องผี (หน้า 5) ซึ่งผีนั้นจะประกอบด้วยผีดีและผีร้าย สำหรับผีดีนั้นจะช่วยคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุข แต่ถ้าหากไม่ทำพิธีเซ่นไหว้เป็นประจำผีชนิดนี้ก็อาจทำอันตรายคนได้เช่นกัน ส่วนผีร้ายจะอยู่ตามสถานที่ต่างๆ เป็นผีที่จ้องทำร้ายคนแต่เข้ามาในหมู่บ้านไม่ได้เพราะมีผีเรือนคอยดูแลคนที่อยู่ในบ้านแห่งนั้นสำหรับผีที่อยู่ในที่ต่างๆจะมีชื่อเรียกอาทิเช่น ผีน้ำ เรียกว่า “อิยาเน” ผีป่า เรียกว่า “เน่ด่ามา” ผีไร่ เรียกว่า “อามิเน่” เป็นต้น (หน้า 6) ผีที่น่ากลัวมากคือ ”ผีหลวง” จะอยู่บริเวณยอดภูเขาสูงซึ่งลีซอจะสร้างศาลและทำรั้วกั้นไว้ไม่ให้ใครเข้าไปเพราะเกรงว่าผีหลวงจะทำร้าย ส่วน “ผีเมือง” บางครั้งเรียกว่า “ผีดอยหลวง” ลีซอจะทำศาลไว้ที่บริเวณเนินนอกหมู่บ้าน ผีชนิดนี้มีหน้าที่ดูแลรักษาหมู่บ้านการทำพิธีเลี้ยงผีจะจัดในวันขึ้นปีใหม่หรือในระหว่างที่มีคนในหมู่บ้านเป็นไข้ไม่สบายหรือเป็นโรคระบาด (หน้า 6) ประเพณีพิธีกรรมใน 1 สัปดาห์ มีเฉพาะการเรียกขวัญเมื่อเจ็บป่วย การทำพิธีจะเรียกได้ทุกอาทิตย์ ส่วนการประกอบพิธีกรรมอื่นๆ นั้นไม่มี (หน้า 109) ประเพณีพิธีกรรมใน 1 เดือน ในหนึ่งเดือนจะมีวันศีล 2 วัน คือวันขึ้น 1 ค่ำ หรือที่ลีซูเรียกข้างแรม และวันขึ้น 15 ค่ำ ลีซูเรียกข้างขึ้น ลีซูถือว่าเป็นวันที่ต้องแสดงความนับถือต่อบรรพบุรุษในวันนี้จะเปลี่ยนน้ำที่หิ้งบรรพบุรุษทุกใบ โดยถือว่าเป็นวันหยุดของลีซูที่นับถือศาสนาพุทธ(ผี) จะไม่ออกไปทำงานที่ไร่เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้ผีโกรธเคืองแล้วจะทำให้เป็นไข้ไม่สบาย แต่ทุกวันนี้ได้ผ่อนปรนความเคร่งครัดลง เพราะบางบ้านอาจจะทำงานในไร่นาไม่ทันก็ต้องไปปลูกพืช ถอนหญ้า เก็บผลผลิตเช่นเก็บข้าวโพด เวลาทำงานจะไม่จับของมีคมเพราะกลัวผีโกรธ(หน้า 110) ประเพณีพิธีกรรมในรอบ 1 ปีของศาสนาพุทธ(ผี) (หน้า 110-131)มีดังนี้ วันขึ้นปีใหม่ ลีซูที่นับถือศาสนาพุทธ(ผี) จะจัดงานวันปีใหม่ 2 ครั้งคือ ปีใหม่สำหรับผู้หญิงโดยจะจัดในวันแรม 15 ค่ำเดือน 2 หรือขึ้น 1 ค่ำ เดือน 3 โดยในทุก 3 ปีลีซอจะจัดวันปีใหม่ให้ช้ากว่าเดิม 1 เดือน สำหรับการจัดปีใหม่ผู้ชายหรือปีใหม่น้อยจะจัดหลังจากปีใหม่ผู้หญิง 37 วัน ในการจัดปีใหม่ทั้งชายหญิงจะมีการจัดที่เหมือนกัน (หน้า 110) ก่อนถึงวันขึ้นปีใหม่ 3 สัปดาห์ ลีซูผู้หญิงจะแต่งตัวชุดประจำเผ่าด้วยผ้าที่ซื้อมาตัดเย็บเอง ส่วนผู้ชายจะสวมกางเกงลีซู สวมแบบเสื้อตามสมัยนิยม ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเมื่อก่อนผู้ชายลีซูแต่งตัวด้วยชุดประจำเผ่า จนมีอยู่วันหนึ่งคนพื้นเมืองได้ไปที่หมู่บ้านแล้วซื้อเสื้อผ้าชุดลีซู จนทุกวันนี้ผู้ชายลีซูทุกวัยจึงสวมเฉพาะกางเกงชุดประจำเผ่าส่วนเสื้อจะสวมแบบคนพื้นเมือง (หน้า111 ) ในระหว่างนี้ก็จะเตรียมเหล้าข้าวโพดกับเหล้าข้าวเปลือกและตกลงกันที่บ้านอาจารย์ว่าจะจัดงานปีใหม่วันไหน แต่ทุกวันนี้มีปฏิทินลีซู จึงทราบล่วงหน้าว่าจะจัดวันใด ก่อนถึงวันปีใหม่หนึ่งวันก็จะทำข้าวปุกเพื่อเซ่นไหว้ผี (หน้า 111) ครั้นรุ่งเช้าวันสิ้นปีลีซูก็จะฆ่าหมูทำอาหารเลี้ยงแขกเหรื่อ (หน้า112-113) พิธีไหว้ผีฟ้า(ผีปีใหม่) จะจัดพิธีไหว้ผีฟ้าในช่วงบ่ายของวันก่อนวันขึ้นปีใหม่ (หน้า113) การประกอบพิธีจะตัดต้นไม้สูง 2 เมตรมาปักที่ลานบ้านแล้วผูกด้วยผ้าหรือกระดาษสีสดใส การไหว้ผีฟ้าจะทำเฉพาะคนที่อยู่ในครอบครัวนั้น สำหรับคนที่เข้าพิธีนี้ห้ามไปค้างแรมนอกหมู่บ้านเพราะจะถือว่าไม่นับถือผีฟ้า (หน้า114) จากนั้นก็จะนำกระบอกไม้ไผ่เพื่อปักธูปในระดับที่พอดี และที่ประตูนอกบ้านจะติดกระบอกไม้ไผ่ไว้ฝั่งละข้างและอีกกระบอกจะวางไว้บริเวณเตาไฟเพื่อขอบคุณไฟที่ช่วยทำให้อาหารสุกและที่หิ้งบรรพบุรุษก็จะวางกระบอกไว้ไผ่เอาไว้เพื่อปักธูปเช่นกัน (หน้า115) คนในบ้านต้องบอกกล่าวผีบรรพบุรุษว่าได้เชิญผีฟ้ามาอยู่ด้วยในวันปีใหม่ เพื่อไม่ให้ผิดผี จากนั้นหัวหน้าครอบครัวจะจุดธูปจำนวนคู่ตามจำนวนกระบอกไม้ไผ่จนครบทุกกระบอก (หน้า115 ภาพหน้า 116) พิธีดำหัวหมอผี จะประกอบพิธีเวลา 20.00 น.โดยแต่ละครอบครัวจะส่งตัวแทนเขาเข้าร่วมพิธีที่จัดที่บ้านหมอผี โดยจะนำเครื่องเซ่นไหว้ที่ประกอบด้วย ธูปหนึ่งคู่ เหล้าข้าวโพด ข้าวปุก นำมาวางไว้ที่หิ้งบรรพบุรุษของหมอผีเพื่อขอบคุณหมอผีและบรรพบุรุษ (หน้า116) ที่ช่วยรักษาเวลาเป็นไข้ไม่สบายในปีเก่าที่ผ่านมา เมื่อประกอบพิธีหมอผีจะจุดธูปแล้วนำมาวนที่เครื่องเซ่นแล้วหมอผีก็จะบอกกล่าวให้ผีบรรพบุรุษมาช่วยรักษาผู้ป่วย เมื่อประกอบพิธีเสร็จแล้วก็จะรินเหล้าให้คนที่เข้าร่วมพิธี (หน้า 117) แล้วหมอผีก็จะบอกให้ชาวบ้านเอาเครื่องเซ่นไหว้ไปถวายกับบรรพบุรุษของหมอผี เมื่อทำพิธีเสร็จแล้วคนก็จะมาเต้นรำที่บ้านอาจารย์บ้าน จนเที่ยงคืนก็จะกลับบ้าน(หน้า 118) พิธีดำหัวอาจารย์บ้าน ของเซ่นไหว้มี 3 ส่วนโดยจะนำไปไหว้หิ้งต่างๆ คือหิ้งบรรพบุรุษกับหิ้งบูชาอาจารย์ซึ่งจะมีเครื่องเซ่นที่เหมือนกันได้แก่ เนื้อหมู เหล้าข้าวโพด ข้าวปุก สำหรับหิ้งบรรพบุรุษนั้นจะตั้งอยู่ตรงกลาง หิ้งบูชาอาจารย์จะอยู่ด้านขวามือ หิ้งบูชาผีหัวบ้านที่เชิญมาจาก ”อาปาหมู่ฮี” จะอยู่ด้านซ้ายมือ มีเครื่องเซ่นได้แก่ ข้าวสุก 1 ชาม เหล้าข้าวโพด 1 ชาม น้ำ 1 ชาม โดยมีใบไม้ที่ลีซอเรียกว่า ”ใบลุกขว่า” เอาไว้พรมน้ำมนต์ (หน้า119) หลังจากที่ไหว้บรรพบุรุษแล้วลีซูก็จะมาที่บ้านอาจารย์บ้านโดยจะนำเครื่องเซ่นไหว้เช่นเนื้อหมู เหล้าข้าวโพดหรือเหล้าข้าวเปลือก ข้าวปุก และธูปจำนวนคู่นำมาวางไว้ที่หน้าบ้านอาจารย์บ้านจนเวลา 9.00-10.00 น.ลีซูก็จะมาเต้นรำประกอบดนตรีรอบต้นไม้หน้าบ้านของอาจารย์บ้าน จน 10.00 น.ก็จะหยุดเต้นรำแล้วขึ้นไปบนบ้าน (หน้า 119) เอาของเซ่นไหว้ไปวางไว้ที่หิ้งบรรพบุรุษของอาจารย์บ้านกับหิ้งผีหัวบ้าน(ผีที่ทำหน้าที่รักษาป่าไม้มีอำนาจมากกว่าผีบ้าน-ดูคำอธิบายหน้า 102)(หน้า 120) การประกอบพิธีอาจารย์บ้านจะจุดธูป 1 ดอกในกระบอกไม้ไผ่ในทุกหิ้ง แล้วปักธูป 2 ดอกที่ขันโตกผีหัวบ้าน จากนั้นอาจารย์บ้านก็จะบอกกับผีหัวบ้านเพื่อทำพิธีในวันขึ้นปีใหม่โดยขอให้ชาวบ้านทุกคนมีความสุข ปลูกพืชได้ผลดี (ภาพหน้า 120) หลังจากบอกกล่าวกับผีหัวบ้านแล้ว ก็จะนำเหล้าที่วางไว้ข้างขันโตกรินให้ผู้ร่วมพิธีดื่ม ต่อมาก็จะปะพรมน้ำมนต์และโปรยข้าวสารเพื่อความเป็นมงคล เมื่อจบพิธีทุกคนก็จะลงมาเต้นรำที่ลานบ้าน (หน้า121) พิธีส่งผีปีใหม่ หลังจากผ่านปีใหม่ไปหนึ่งวัน จะจัดพิธีส่งผีปีใหม่และขอพรให้มีความสุข พิธีจะเริ่มด้วยจุดธูปบอกกล่าวหิ้งในบ้านแล้วนำเครื่องเซ่นได้แก่ เนื้อหมู ข้าวปุก ข้าวสวย 2 ถ้วย เหล้า 2 แก้วนำมาวางไว้ที่ต้นไม้หน้าบ้าน คนทำพิธีก็จะพูดว่า ขอให้ทุกคนในบ้านโชคดี ผีเคราะห์ที่ไม่ดีให้ออกไปทางทิศตะวันตก ให้ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ได้ผลผลิตดีกว่าทุกๆ ปี จากนั้นก็จะกลับเข้ามาในบ้านเก็บกระบอกไม้ไผ่ที่ปักธูปไว้ออกจากบ้าน เอามารวมกันที่บริเวณต้นไม้ ต่อมาก็จะถอนต้นไม้และกระบอกไม้ไผ่เดินไปทิ้งด้านทิศตะวันตก (หน้า 121 ภาพหน้า122) พิธีดำหัวผีหลวง จะประกอบพิธีหลังจากวันปีใหม่ผู้หญิง 7 วัน โดยจะให้อาจารย์บ้านเป็นผู้กำหนดวันสำหรับการประกอบพิธีจะทำที่ ”อาปาหมู่ฮี”ที่อยู่ของผีหลวงซึ่งจะอยู่ไกลจากหมู่บ้านไปบริเวณภูเขา โดยจะจัดในเวลา 9.00 น. ส่วนการจัดพิธีในครั้งที่สองจะให้เฉพาะอาจารย์บ้านและผู้ชายที่ขึ้นมาได้ ในการทำพิธีในวันแรกจะมาเวลา 03.00 น. สถานที่ประกอบพิธีจะนำต้นไผ่มาตั้ง 4 มุมแล้วมุงหญ้าคา บริเวณนี้จะห้ามผู้หญิงเข้าไป ของเซ่นไหว้จะประกอบไปด้วย ข้าวปุก ท่อนอ้อยยาว 1 ฟุต ส้ม เหล้าข้าวโพด 4 กระบอกไม้ไผ่ เมื่อจัดเครื่องเซ่นไหว้แล้วก็จะวางกระบอกไม้ไผ่ไว้ที่ด้านนอกซุ้ม ปักธูปที่พันด้วยกระดาษสาสีขาวหรือ ”ดอกกระสาร์ท” ที่กระบอกไม้ไผ่ (หน้า122) ต่อมาอาจารย์บ้านก็จะออกมาจุดประทัดด้านนอกซุ้มเพื่อบอกผีหลวงให้มารับเครื่องเซ่นไหว้ จากนั้นจะเดินมาที่ซุ้มจุดธูปหนึ่งกำเพื่อขอให้มีความสุขและขอให้คุ้มครองดูแลพืชไร่ต่างๆ ต่อมาอาจารย์บ้านก็จะคล้องฝ้ายให้กับผู้เข้าร่วมพิธีเพื่อแสดงว่าผีหลวงได้ให้ความคุ้มครองก็ถือว่าจบการทำพิธี ลีซอก็จะเป่าแคนและเต้นรำนอกซุ้ม (เรื่องและภาพหน้า123) พิธีดำหัวครูโรงเรียนบ้านป่าตึง ตอนเช้าลีซูบ้านป่าตึงก็จะมาจัดที่โรงเรียน ตอนมาจะถือ”อี้หลี่”ซึ่งทำด้วยต้นกล้วยเป็นรูปสามเหลี่ยม อันเป็นเครื่องหมายของประเพณี ความเคารพนับถือ ความสวย ความสมบูรณ์ และนำดอกไม้ ข้าวปุก และสิ่งของอื่นๆมาประกอบพิธี ครูและชาวบ้านจะเต้นรำที่ประกอบด้วยเครื่องดนตรี เช่น ขลุ่ย แคน ซึง รอบโต๊ะที่วางสิ่งของไว้ 3 รอบ จากนั้นครูใหญ่ก็จะกล่าวขอบคุณชาวบ้านที่มาทำพิธีดำหัวขอให้มีชีวิตเจริญก้าวหน้า ปลูกพืชได้ผลผลิตมากๆ (ภาพ”อี้หลี่”หน้า124 -125) พิธีกินข้าวโพดใหม่ อยู่ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงกันยายน การจัดพิธีไม่ต้องทำพร้อมกันก็ได้โดยจะจัดในวันขึ้นหรือขึ้นกี่ค่ำก็ไม่เป็นไรแต่ต้องไม่จัดในวันจม(ลีซูเรียก”วันจม” คือ “วันแรม”)หรือวันแรม พิธีกินข้าวโพดใหม่จะจัดก่อนที่จะขายให้พ่อค้า ลีซูจะเตรียมข้าวโพดที่ยังไม่แกะเปลือก นำถ้วยมาวางที่หิ้งบรรพบุรุษ 1 ใบ ข้าวโพด 1 คู่ และแตงกวา 1 คู่ และดอกไม้ ที่ใต้หิ้งบรรพบุรุษจะนำลำอ้อย 1 คู่ กล้วย 1 คู่ สับปะรด 1 คู่ และดอกไม้บรรจุใน ”คาทู” ซึ่งเป็นภาชนะใส่ข้าวโพดลีซูจะใช้ในหน้าเก็บเกี่ยวผลผลิต ต่อมาหัวหน้าครอบครัวจะเปลี่ยนน้ำในถ้วยทุกใบ และจุดธูป 1หรือ 2 คู่ต่อถ้วย 1 ใบ (หน้า 125) แล้วขอให้ปีหน้าได้ผลผลิตมากและให้อยู่เย็นเป็นสุข ส่วนสิ่งของที่นำมาประกอบพิธีจะตั้งไว้ 2 วัน (หน้า 126) งานศพของศาสนาพุทธ(ผี) (หน้า 127-131) แบ่งออกเป็น 2 อย่างดังนี้ 1 ) กรณีเสียชีวิตเพราะถูกฆาตกรรมหรืออุบัติเหตุจะตั้งศพไว้นอกหมู่บ้านไม่ให้นำศพเข้าภายในหมู่บ้าน การประกอบพิธีศพจะใช้วิธีการเผา (หน้า 127) 2) กรณีอายุมากถ้าเสียชีวิตถึงป่วยเป็นโรคร้ายแรงก็สามารถทำพิธีในหมู่บ้านได้ หากมีคนในบ้านเสียชีวิต การตั้งศพไว้ที่บ้านถ้าแขกที่มาช่วยงานไม่มากก็จะตั้งศพไว้ 3 วัน แต่หากแขกมามากก็จะตั้งศพไว้ที่บ้านเป็นเวลา 7 ถึง 9 วัน (หน้า 127) เมื่อคนตายก็จะต้มน้ำแล้วนำใบยะหล่ามาเผี่ย(งานเขียนบอกว่าพืชชนิดนี้เกิดอยู่ในป่า) ซึ่งจะมีอยู่ในป่าหรือใบโหยขว่า ซึ่งมีอยู่ในพื้นที่หมู่บ้าน หรือไม่ก็ใช้เปลือกกัญชา ใส่ในน้ำอุ่นมาทำความสะอาดศพ เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ จากนั้นก็นำผ้าดิบสีขาวผืนใหญ่ 3 ถึง 4 เมตร แล้วพับครึ่งตามยาวเย็บผ้าด้านที่อยู่ปลายเท้า ถ้าคนที่ตายเป็นผู้ชายให้เย็บ 9 ครั้ง ถ้าเป็นหญิงให้เย็บ 7 ครั้ง จากนั้นก็เอาผ้าที่เย็บนั้นวางส่วนที่เย็บไว้ด้ายเท้าของผู้ตายแล้วปูลงในโลง ถ้าหากโลงยังตอกไม่เสร็จก็จะตัดไม้มาวางแนวขวางจะใช้ไม้อะไรก็ได้ยกเว้นไม้ไผ่ ถ้าเป็นศพผู้ชายจะใช้ 9 ท่อน ถ้าศพผู้หญิงจะใช้ 7 ท่อน แล้วนำไม้ขนาดใหญ่มาปูทับไม้เหล่านี้แล้วนำศพที่ห่อด้วยผ้าดิบวางลง ถ้าโลงทำเสร็จแล้วก็นำมาใส่โลงได้เลย (หน้า 128) ขณะที่รอหาที่ฝังศพ ก็จะให้คนมาเฝ้าศพเพื่อป้องกันแมลงวันไปไข่ใส่ศพ (หน้า 128) การหาพื้นที่จะต้องไกลจากพื้นที่เพาะปลูกและไม่ใช่บริเวณที่เป็นภูเขาสองลูกชนกัน โดยมีหลุมศพอยู่ระหว่างกลาง เชื่อว่าจะทำให้ลูกหลานเป็นโจรผู้ร้ายหรืออาจถูกปล้นหรือบาดหมางกัน เมื่อเลือกพื้นที่ก็จะโยนไข่ไปทางด้านหลังถ้าไข่แตกก็แสดงว่าฝังศพตรงนั้นได้แต่ถ้าไข่ไม่แตกก็ให้ไปเลือกพื้นที่ใหม่ เมื่อได้พื้นที่แล้วก็จะปักไม้ไว้เป็นสัญลักษณ์ (หน้า 129) เมื่อจะเคลื่อนศพคนที่เป็นลูกจะเชิญคนมายกศพถ้าหากคนตายเป็นผู้ชาย จะเชิญ 9 คน ถ้าหากคนตายเป็นหญิงจะเชิญ 7 คน สำหรับการเชิญให้คนให้มาแบกศพต่อ 1 คนนั้นจะใช้ ผ้าดิบสีขาว 1 ผืน กว้าง 2 คืบ ยาว 2 ฟุตครึ่ง เมื่อได้รับเชิญแล้วคนนั้นก็จะนำผ้าดิบสีขาววางที่ไหล่ขวาตอนประกอบพิธีศพ (หน้า 129) การเคลื่อนศพไปฝังจะวางแก้วน้ำรูปมังกรใส่น้ำเต็มแก้ววางบนโลง เมื่อจะเคลื่อนศพก็ให้คนมีความรู้เรื่องการประกอบพิธีมาพูดให้เพื่อสวรรค์เปิดให้กับคนที่เสียชีวิต แล้วจะตบฝาโลงให้น้ำกระเด็นจนหมดแก้ว คนที่เป็นลูกจะใช้ผ้าเช็ดฝาโลงจนแห้งเพื่อบอกให้รู้ว่าคนตายได้ออกจากบ้านแล้ว ส่วนคนที่อยู่ด้านนอกบ้านก็จะยืนปืนขึ้นฟ้าจากนั้นก็จะเคลื่อนศพออกจากบ้าน (หน้า 129) การขุดหลุมจะขุดบริเวณที่ทำเครื่องหมายไว้ (หน้า 129) เมื่อจะนำโลงศพลงหลุมจะปักไม้ที่ด้านขวาของศีรษะและด้านเท้าของผู้ตาย พอนำโลงลงในหลุมก็จะให้ลูกชายยืนอยู่ทางด้านขวาและหันหลังให้ผู้ตายถ้าหากไม่มีลูกชายก็ให้ลูกสาวไปยืนแทน ต่อมาก็จะให้คนเอาดินมาวางใส่เสื้อของลูกชายที่ถือชายเสื้อด้านหลังออกให้อยู่ข้างลำตัวแล้วสลัดดินลงหลุม ถ้าคนที่เสียชีวิตเป็นผู้ชายจะสลัดดินลงหลุม 9 ครั้ง โดยสลัดดินลงทางด้านขวามือ 5 ครั้ง แล้วเดินอ้อมทางศีรษะมาด้านซ้ายมือของผู้ตายทำอีก 4 ครั้ง หากคนเสียชีวิตเป็นผู้หญิงจะทำ 7 ครั้ง คือด้านขวามือของผู้ตาย 4 ครั้งและด้านซ้าย 3 ครั้ง (หน้า 130) หลังจากที่กลบดินแล้วก็จะดึงไม้ที่ปักไว้ด้านเท้าของศพออก จุดธูปหนึ่งกำใหญ่แล้วจ่อลงในรู ให้ควันลอยมาด้านศีรษะของศพจากนั้นก็จะดึงไม้ที่ปักไว้ด้านศีรษะของผู้เสียชีวิตออกแล้วพูดว่า “ ขวัญคนเป็นออกไปให้หมด” ต่อมาก็ปิดรูทั้งสองด้าน ก็ถือว่าจบพิธีในวันแรก (หน้า 130) วันรุ่งขึ้น 03.00 น.นำอาหารไปป่าช้าเลี้ยงผู้เสียชีวิต นำอาหารวางไว้ จากนั้นอีก 3 วันก็จะกลับมาพร้อม “ประตูผี” หรือ “ป้ายชื่อของผู้ตาย” เมื่อทำประตูผีเรียบร้อยแล้วก็จะฆ่าไก่ตัวผู้และหมู่ตัวเมีย อย่างละ 1 ตัว ไปเซ่นไหว้เจ้าที่ที่ดูแลป่าช้า ฆ่าแล้วนำกลับบ้านเพื่อไปทำอาหาร (หน้า 130) เมื่อปักธูปพร้อมกับอาหารหลังจากทำพิธี เมื่อกลับมาถึงบ้านก็จะทำอาหารเลี้ยงคนที่มาช่วยงาน หากผู้ชายเสียชีวิตจะเลี้ยง 9 คืน ถ้าเป็นหญิงจะเลี้ยง 7 คืน (หน้า 131) ประเพณีพิธีกรรมในรอบ 1 ปีของโบสถ์คริสต์ (หน้า 137-148) แต่ละสัปดาห์ในเวลากลางคืนในวันพุธกับวันเสาร์ เวลา 19.15-20.15 น. ลีซูบ้านป่าตึงที่นับถือศาสนาคริสต์จะมาร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า อาจารย์ประจำโบสถ์ก็จะเทศนา หากมีคนเจ็บไข้ก็จะอธิษฐานเพื่อขอพรจากพระเจ้าเพื่อให้หายป่วย (หน้า 137) ในวันอาทิตย์ของแต่ละสัปดาห์ตั้งแต่เวลาเช้าจนถึงเย็นจะมีการแสดงของเยาวชนในหมู่บ้าน อาทิการเต้นรำโดยอาจารย์สอนศาสนาก็จะเป็นออกแบบท่าเต้นรำให้กับกลุ่มเยาวชน (หน้า138) กิจกรรมที่โบสถ์ในวันอาทิตย์แรกของเดือน ในการเข้าโบสถ์รอบสองหรือเวลา 10.55 น.-11.55 น. จะทำพิธีรับประทานขนมปังทั้งนี้ในความหมายทางศาสนาคริสต์แล้ว “ขนมปัง” หมายถึง “ร่างกายของพระเจ้า” ส่วน “น้ำองุ่นหรือน้ำแดง”หมายถึง ”โลหิตของพระเจ้า” สำหรับคนที่เข้าร่วมทำพิธีต้องผ่านการทำพิธีศีลจุ่ม มาแล้ว (หน้า 138) พิธีกินข้าวใหม่ จะจัดในปลายเดือนพฤศจิกายน เมื่อลีซูเก็บเกี่ยวข้าวกับข้าวโพดแล้วก็จะมาประชุมกันว่าจะจัดพิธีกินข้าวใหม่ เมื่อตกลงกันแล้วก็จะเก็บเงินครอบครัวละ 200 บาทเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดพิธี ก่อนถึงวันงานทุกคนจะมาทำความสะอาด เมื่อถึงวันงาน 08.30 น.ลีซอจะช่วยกันไปตัดไม้ไผ่มาทำโต๊ะเพื่อเป็นที่นั่งกินข้าวในช่วงกลางวันหรือลีซอเรียกว่า “เมโจ” ในช่วงนี้ลีซอจะช่วยกันทำอาหารและทำความสะอาด (หน้า 138 ภาพหน้า 139 ) ลีซูจะนำผลผลิตมาวางไว้ที่หน้าโบสถ์เพื่อขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยให้พืชในไร่นาให้ผลิตผลเป็นจำนวนมากของที่นำมานั้นอาจารย์สอนศาสนาประจำโบสถ์จะรับไว้ ของที่ได้รับนั้นจะเอาไปมอบให้ใครต่อไปก็ได้ ในเวลา 10.55 น.อาจารย์ประจำโบสถ์จะให้ผู้ที่มีความรู้ด้านศาสนามาให้ความรู้กับผู้ที่มาร่วมงาน ร้องเพลงและอธิษฐานให้ชีวิตมีแต่ความสุข สำหรับการแสดงนั้นก็จะเป็นเรื่องราวการเพาะปลูกแล้วนำพืชผลมาถวายพระเจ้าและขอบคุณที่พระเจ้าได้ประทาน แสงตะวัน น้ำฝนที่ช่วยให้พืชเจริญงอกงามเป็นอาหารของคน (หน้า 140) เมื่อจบพิธีแล้วลีซอก็จะออกมานอกโบสถ์ ร่วมกันกินข้าวกลางวันจากนั้นก็จะเล่นเกมต่างๆ และจะได้ขนมเป็นรางวัล (หน้า141) วันคริสต์มาส ลีซูบ้านป่าตึงจะไม่จัดงานวันคริสต์มาสในหมู่บ้าน ในวันนี้อาจารย์สอนศาสนาประจำโบสถ์จะส่งรายชื่อของลีซอ ไปร่วมกิจกรรมที่หมู่บ้านอื่นเพื่อร่วมอวยพรในวันคริสต์มาสและจัดการแสดงต่างๆ โดยจะของบประมาณค่าอาหารที่ทางศูนย์ฯจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ (หน้า141) พิธีกรรมศีลจุ่ม ลีซอที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์หรือที่เรียกว่า “ผู้รับเชื่อใหม่” จะต้องผ่านพิธีกรรมศีลจุ่ม โดยจะต้องผ่านการทดสอบเป็นเวลา 1 เดือน อย่างแรกที่ต้องทำคือมีจิตศรัทธาและเชื่อมั่นต่อพระเจ้า อย่างที่สองคือทำตัวเป็นคนดีไม่ดื่มเหล้าไม่โกหก สำหรับคนที่สามารถประกอบพิธี จะเป็นอาจารย์สอนศาสนา 1 คน กับสมาชิกของโบสถ์ที่เคยผ่านพิธีศีลจุ่มอีก 1 คน หลังจากผ่านไป 1 เดือน เมื่อผ่านผ่านการทดสอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาจารย์สอนศาสนาจะนัดผู้เชื่อใหม่มาที่โบสถ์ อาจารย์จะสอบถามว่าพร้อมที่จะเข้ามานับถือศาสนาคริสต์หรือไม่ จากนั้นอาจารย์จะเทศนาเรื่องศีลจุ่มและคณะกรรมการโบสถ์จะอธิษฐาน (หน้า 141) ต่อมาอาจารย์กับผู้รับเชื่อใหม่ก็จะไปที่ห้วย การประกอบพิธีผู้รับเชื่อใหม่ จะอยู่กลางระหว่างอาจารย์สอนศาสนากับคณะกรรมการโบสถ์ ต่อมาอาจารย์ก็จะอ่านคัมภีร์เรื่องศีลจุ่ม เมื่ออ่านจบแล้วผู้รับเชื่อใหม่ก็จะนอนหงายลงในห้วย โดยอาจารย์สอนศาสนากับคณะกรรมการโบสถ์ก็จะช่วยประคอบให้ผู้รับเชื่อใหม่นอนในห้วย ซึ่งการปฏิบัติเช่นนี้มีความหมายคือ การตายแล้วเกิดใหม่จะทำเพียงครั้งเดียวคล้ายกับพระเยซูเคยตายแทนชาวโลกนั่นเอง (หน้า 142) งานศพของศาสนาคริสต์ เมื่อมีคนเสียชีวิตจะตั้งศพไว้บ้านเป็นเวลา 3 วัน ถ้าคนที่เสียชีวิตเป็นคนสูงอายุจะใช้ผ้าขาวคลุมร่างกาย ถ้าหากเป็นคนหนุ่มสาวก็จะสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ ในงานพิธีอาจารย์ประจำโบสถ์จะไปร่วมร้องเพลงให้กำลังใจต่อญาติผู้เสียชีวิตโดยจะใช้เวลาในพิธี 1 ชั่วโมง ในวันสุดท้ายก็จะเคลื่อนศพไปยังหลุมหลังจากกลบดิน ต่อมาอาจารย์สอนศาสนาพระจำโบสถ์ก็จะเทศนาแก่ผู้มาร่วมงานโดยมีเนื้อหาว่าคนเกิดมาจากดิน เมื่อตายก็เหมือนกับว่าต้องกลับไปเป็นดิน เมื่อกล่าวจบก็ถือว่าเสร็จสิ้นการประกอบพิธี (หน้า 144,145) |
|
Education and Socialization |
การศึกษา ในหมู่บ้านมีโรงเรียนประจำหมู่บ้านชื่อ โรงเรียนบ้านป่าตึง ตั้งอยู่หมู่ 5 ตำบลบ้านโป่ง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย สร้างเมื่อปี พ.ศ.2530 โดยเปิดสอนครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2530 ปัจจุบันมีครูผู้ชาย 3 คน และครูผู้หญิงตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราว การเรียนการสอนเปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (หน้า 94) มีจำนวนนักเรียนทั้งหมด 142 คน (หน้า 98 ภาพหน้า99) |
|
Health and Medicine |
การรักษาและสุขภาพอนามัย บ้านป่าตึงมีสถานีอนามัยตั้งอยู่บริเวณทางเข้าหมู่บ้าน ที่สถานีอนามัยจะมีเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการอบรมความรู้จากวิทยาลัยสิรินธร เป็นเวลา 6 เดือน ทำหน้าที่จ่ายยา แต่ไม่สามารถฉีดยาหรือตรวจโรคที่รักษาหายยากนอกจากนี้ก็จะให้ความรู้เรื่องสุขภาพอนามัยกับชาวบ้านไปรับยาจากโรงพยาบาลเวียงป่าเป้าและประสานงานกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลหากจะจัดการประชุมกับชาวบ้าน สำหรับการรักษาหากป่วยหนักหรือตรวจครรภ์หรือทำคลอดก็จะไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล (หน้า 132) โดยเจ้าหน้าที่ประจำสถานีอนามัยจะเป็นผู้ออกใบสำคัญที่จะไปแสดงกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษา (หน้า 133) วิธีป้องกันโรคตาแดง ลีซูบ้านป่าตึงมีวิธีป้องกันคือหากเห็นคนที่อยู่ใกล้บ้านกำลังเป็นโรคตาแดง ก็จะติดผ้าสีแดงที่ประตูหน้าบ้าน เรื่องจากเชื่อว่าวิธีนี้จะช่วยป้องกันโรคตาแดงจากคนที่กำลังเป็นโรคนี้อยู่ (หน้า 106) การรักษาด้วยการเซ่นไหว้ผี เมื่อเจ็บไข้ลีซูจะรักษาด้วยการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ ถ้ารักษาแล้วมีอาการดีขึ้น เมื่อถึงก่อนวันปีใหม่หนึ่งวันคนป่วยก็นำของไปเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษเพื่อขอบคุณที่ช่วยให้หายป่วย สำหรับเครื่องเซ่นไหว้ประกอบด้วย ข้าวปุก เหล้าข้าวโพดหรือเหล้าข้าวเปลือก เนื้อหมู และธูปจำนวนคู่ คนที่ทำพิธีจะดูแลไม่ให้ธูปที่จุดไว้ดับจนกระทั่งถึงวันขึ้นปีใหม่ (หน้า 116) การเรียกขวัญ เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยลีซูที่นับถือศาสนาพุทธ(ผี) จะทำพิธีเรียกขวัญ เนื่องจากเชื่อว่าสาเหตุที่ป่วยเพราะว่าขวัญออกจากร่างกาย สำหรับการประกอบพิธีจะให้อาจารย์บ้านเป็นผู้ทำพิธีเรียกขวัญ หากขวัญหายไปอยู่ในลำห้วยก็จะทำพิธีเรียกขวัญขึ้นจากน้ำ หากคนป่วยยังเป็นโสดจะใช้ไม้ไผ่ 1 อัน ถ้าแต่งงานแล้วจะใช้ไม้ไผ่ 1 คู่ สาเหตุที่ใช้ไม้ก็เพื่อเป็นเครื่องหมายเหมือนกับที่มนุษย์ในยุคแรกได้เคยช่วยชีวิตมดที่อยู่ในห้วย ซึ่งเป็นเครื่องหมายของการต่ออายุ ให้อยู่บนโลกได้ยาวนาน (หน้า 103) การเรียกขวัญจากน้ำนั้นอีกวิธีจะให้อาจารย์บ้านเป็นคนประกอบพิธีคือ เมื่อไปถึงลำห้วยแล้วก็จะจุดธูปเทียนที่ริมฝั่ง จากนั้นก็จะนำเชือกมาผูกก้อนหินแล้วโยนลงน้ำ ซึ่งก้อนหินนี้ก็เปรียบเหมือนกับเป็นตนป่วย ต่อมาก็จะโยนกระดาษเงิน กระดาษทอง หรือสังกะสีลงในน้ำ เพื่อขอให้ผีลำห้วยคืนขวัญกลับคืนให้คน ขณะที่พูดนั้นก็จะโยนกระดาษเงิน กระดาษทอง และสังกะสีลงน้ำจนกว่าผีลำห้วยจะพึงพอใจ เมื่อผียอมคืนขวัญให้แล้วอาจารย์บ้านก็จะดึงเชือกที่ผูกก้อนหินขึ้นจากน้ำซึ่งหมายความว่าผีลำห้วยได้คืนขวัญแก่ผู้ป่วยแล้ว (หน้า 104) หากขวัญอยู่ในดินคนที่ประกอบพิธีจะเป็นคนสูงอายุ หมอผี หรืออาจารย์บ้านก็สามารถประกอบพิธีได้ สำหรับของที่นำมาประกอบพิธีได้แก่ ดอกไม้ทำด้วยกระดาษสา 1 คู่ เหรียญบาท ไข่ เทียน ใส่ในขันโตก บริเวณด้านหน้าของขันโตกจะวางไม้ไผ่เอาไว้ หากเป็นคนที่แต่งงานแล้วจะวางไม้ไผ่ 1 คู่ ถ้าเป็นโสด จะใช้ไม้ไผ่ 1 อัน จากนั้นหมอผีจะขุดดินลึก 1 ฟุต เจาะรูแล้วสอดเชือกลงในดินให้เชือกมาโผล่อีกด้าน เมื่อเตรียมอุปกรณ์จนครบผู้ป่วย คนป่วยก็จะให้เงินค่าประกอบพิธีกับหมอผี จำนวน 1 บาท เพื่อเป็นค่าไหว้ครู ตอนทำพิธีหมอผีจะบอกให้ผีดินมาช่วยชีวิตผู้ป่วย เมื่อผีดินคืนขวัญแก่ผู้ป่วยแล้วหมอผีเมื่อรู้ก็จะดินเชือกขึ้นจากดิน ดึงเชือกมาแล้วพันคล้องคอคนป่วย (หน้า 104)เพื่อเป็นเครื่องหมายว่าขวัญได้คืนร่างของผู้ป่วยและจะหายจากป่วยไข้แล้ว (แผนภาพหน้า 105) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายของลีซู ผู้หญิง ชอบไว้ผมแสกกลางแล้วมวยผมไว้ทางด้านหลังแล้วโพกหัวด้วยผ้าสีดำ สวมกางเกงขากว้างหลวมๆ ยาวถึงระดับหัวเขา สวมเสื้อคลุมยาวลงมาถึงน่องหรือระดับใต้หัวเข่า เสื้อผ่าอก (หน้า 4) ไขว้มาทางรักแร้โดยให้ชายผ้าทางซ้ายทับชายเสื้อทางด้านขวา บริเวณรอบคอประมาณหนึ่งคืบจะติดผ้าสีดำแล้วก็จะสลับด้วยผ้าสีกว้างประมาณหนึ่งฝ่ามือ หน้าอกเสื้อด้านล่างมักจะใช้สีฟ้า บริเวณเอวคาดด้วยผ้าสีดำ แขนเสื้อประดับด้วยผ้าหลากสีสัน (หน้า 5) ผู้ชาย สวมกางเกงขาสั้นกว้างยาวถึงหัวเข่า เสื้อแขนยาว เอวสั้น ผ่าอกทางด้านข้าง บริเวณจากคอเสื้อจนมาถึงบริเวณเอวด้านซ้ายและส่วนด้านหลังเสื้อ ประดับด้วยกระดุมเงิน กางเกงส่วนมากจะเป็นสีฟ้า สีเขียว สีดำ ตัดผมสั้นแล้วโพกหัวด้วยผ้าผืนใหญ่ คนสูงออายุจะสวมหมวกกลมสีดำ (หน้า 5) การแต่งกายของลีซูบ้านป่าตึง ผู้หญิง หากเป็นเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 1 ปีจะสวมเสื้อผ้าที่ซื้อที่ตลาดเวียงป่าเป้าจะสวมชุดประจำเผ่าในบางครั้งแต่พออายุตั้งแต่ 11 ปีถึงก่อนแต่งงานจะชอบสวมชุดประจำเผ่า และสวมเสื้อหลากสียาวถึงครึ่งน่อง กางเกงชอบสวมสีดำลักษณะเหมือนกางเกงชาวเลเป็นแบบเอวรูด เป้ากางเกงยาวประมาณเศษสามส่วนสี่ ขนาดความยาวของกางเกงมี 2 แบบ คือ ยาวถึงครึ่งน่อง กับแบบยาวถึงตาตุ่ม (เรื่องและภาพหน้า 83) สำหรับผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ชอบสวมชุดประจำเผ่า เสื้อและกางเกงไม่มีเครื่องประดับ (หน้า 84) ผู้ชาย ในวัยแรกเกิดจนถึงอายุ 10 ขวบจะใส่เสื้อผ้าแบบคนพื้นราบที่ซื้อตามตลาด (หน้า 83) พออายุ 11 ปีถึงวัยก่อนแต่งงาน กางเกงจะสวมแบบหลากสีสัน ได้แก่สีเขียว สีน้ำเงิน สีฟ้า เสื้อจะเป็นเสื้อตามสมัยนิยมที่ซื้อที่ตลาด ชุดประจำเผ่าจะสวมเฉพาะวันปีใหม่ สำหรับผู้ชายที่แต่งงงานแล้วจะสวมกางเกงประจำเผ่าโดยเปลี่ยนจากสีอื่นมาสวมสีดำ ส่วนเสื้อยังคงชอบสวมเสื้อยืดตามสมัยนิยม (หน้า 84) |
|
Folklore |
นิทานเรื่องข้าวของลีซู กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วในยุคนั้นลีซูไม่ต้องปลูกข้าวไว้กินเอง เพราะว่าเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ได้มอบข้าวให้คนเอาไว้กิน ต้นข้าวในอดีตจะขึ้นเองตามธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีเมล็ดที่ใหญ่ แม้แต่เปลือกข้าวก็สามารถนำมาเช็ดทำความสะอาดสิ่งต่างๆได้ แต่ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่นำไปเช็ดอุจจาระให้ลูก เทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์จึงแค้นเคืองที่มนุษย์มองไม่เห็นคุณค่าหรือนับถือข้าวที่มอบให้ ดังนั้นจึงเสกให้ข้าวหมดไปจากโลก (หน้า 107) ดังนั้นเมื่อไม่มีข้าวก็ก่อให้เกิดความอดอยากขึ้น ต่อมาจึงรู้ว่าเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์โกรธแค้นต่อการกระทำของคน จึงพากันไปขอขมาลาโทษ และขอให้มีข้าวเช่นเดิมแต่เทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ก็ไม่ยอมยกโทษให้ แต่คนก็ไม่ยอมแพ้ดังนั้นจึงออกอุบายให้สุนัขไปขอข้าวจากเทพเจ้าแต่ก็พบความล้มเหลว แต่สุนัขตัวนั้นได้เดินผ่านบริเวณที่เทพเจ้าได้ตากข้าวไว้จึงมีเมล็ดข้าวติดมา 3 เมล็ด เมื่อคนได้ข้าวมาจึงนำมาปลูก (หน้า 107) ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของพิธีกินข้าวใหม่ในกลุ่มลีซูที่นับถือศาสนาพุทธ(ผี) ซึ่งเมื่อประกอบพิธีแล้วก็จะให้ข้าวที่นำมาประกอบพิธีนั้นให้สุนัขกินจนอิ่มหนำสำราญ เพื่อตอบแทนสุนัขที่นำข้าวมาให้คนได้มีอยู่มีกินจวบจนทุกวันนี้ (หน้า 107) ความเป็นมาของพิธีไหว้ผีฟ้า(ผีปีใหม่) ในอดีตขณะที่อยู่ในภาวะสงคราม ในวันหนึ่งได้มีทหารนายหนึ่งได้เข้ามายังหมู่บ้านลีซูก็พบกับหญิงลีซูสูงอายุที่มีฐานะยากจนก็เลยสงสาร จึงบอกว่ากองทัพทหารจะยกมาที่หมู่บ้าน ให้หญิงสูงอายุติดธงไว้ที่หน้าบ้าน เพื่อเป็นเครื่องหมายว่าถ้าบ้านใดมีธงปักอยู่หน้าบ้าน ก็ไม่ให้ฆ่าเพราะถือว่าเป็นฝ่ายเดียวกัน (หน้า113 ) ซึ่งทหารคนนั้นก็กำชับว่าไม่ให้บอกคนอื่น (หน้า 114) กระทั่งถึงตอนเช้ากองทัพทหารก็ยกกำลังมาถึง ทหารก็พบว่าบ้านทุกหลังล้วนแต่ติดธงเอาไว้หน้าบ้านทั้งสิ้น ทหารคนนั้นเมื่อพบหญิงลีซูสูงอายุจึงถามว่า ทำไมบอกชาวบ้านคนอื่น หญิงสูงอายุคนนั้นจึงตอบว่าถ้าคนอื่นในหมู่บ้านตายหมดตนจะไปพึ่งพาอาศัยผู้ใด เมื่อทราบคำตอบทหารคนนั้นจึงรู้ว่าหญิงสูงอายุคนนี้เป็นผู้ที่มีความคิดที่ก้าวหน้าและมองการไกลไม่เห็นแก่ตัว ดังนั้นจึงแต่งตั้งให้หญิงสูงอายุคนนี้เป็นผู้นำหมู่บ้าน นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ลีซูก็ถือปฏิบัติมาจนเป็นประเพณีเพื่อไม่ให้คนในครอบครัวของตนถูกฆ่า ภายหลังก็ได้มีการปรับเปลี่ยนโดยได้นำธงมาปักไว้ที่ยอดไม้หน้าบ้าน เพื่อต้องการให้ผีฟ้ามองเห็นธงนั้นอย่างชัดเจนคนในบ้านหลังนั้นจะได้ไม่มีอันตราย (หน้า 114) นิทานการต่อชีวิตและการเรียกขวัญของลีซู นานมาแล้วพระเจ้าได้ให้มนุษย์อยู่บนโลกโดยมีอายุยืนถึง 180 ปี เมื่อครบตามกำหนดพระเจ้าได้สั่งให้มนุษย์กลับสวรรค์ แต่มนุษย์ไม่ยอมและได้ขอให้พระเจ้าอนุญาตให้อยู่บนโลกได้อีกต่อไป ดังนั้นพระเจ้าจึงบอกว่าถ้าอยากอยู่บนโลกต่อไปก็ให้ทำบุญโดยการช่วยเหลือชีวิตซึ่งก็เหมือนกับเป็นการต่อชีวิตของมนุษย์ด้วยเช่นกัน เมื่อมนุษย์เห็นมดตกน้ำอยู่ในห้วยจึงนำกิ่งไม้ยื่นลงไปให้มดไต่ขึ้นจากห้วยก็สามารถช่วยมดให้รอดตายได้ร้อยกว่าตัว ดังนั้นพระเจ้าจึงยอมให้มนุษย์อยู่บนโลกได้อีกต่อไป (หน้า 103) การกระทำดังกล่าวจึงเป็นที่มาของเรียกขวัญของลีซู ซึ่งจะทำเหมือนกับมนุษย์ในยุคแรกที่เคยทำมา หากคนป่วยยังเป็นโสดจะใช้ไม้ไผ่ 1 อัน ถ้าแต่งงานแล้วจะใช้ไม้ไผ่ 1 คู่ เพื่อช่วยชีวิตมดที่อยู่ในห้วย (หน้า 103) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์และจากแซ่มาใช้นามสกุล การเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์นั้น ส่วนมากลีซูบ้านป่าตึงจะเปลี่ยนตามคนในครอบครัวถ้ามีคนในครอบครัวเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ คนที่เป็นสมาชิกในครอบครัวก็จะเปลี่ยนตาม (หน้า 86) ส่วนการเปลี่ยนจากแซ่มาใช้นามสกุลนั้นมาจากคนในครอบครัวไปศึกษาด้านศาสนาคริสต์ในจังหวัดเชียงใหม่ก็ได้รับความเชื่อจากคนวัฒนธรรมอื่น เนื่องจากเชื่อว่าถ้าเปลี่ยนมาใช้นามสกุลก็จะทำให้ชีวิตเจริญก้าวหน้า ดังนั้นเมื่อกลับมายังหมู่บ้านคนในครอบครัวก็เปลี่ยนไปใช้นามสกุลด้วย เนื่องจากเชื่อคนที่ไปเรียนศาสนาว่าน่าจะพูดความจริงว่าจะทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้น เป็นต้น (หน้า 86) |
|
Other Issues |
วิธีการเก็บข้อมูล ผู้เขียนได้สัมภาษณ์ลีซอในหมู่บ้านป่าตึง 23 คนโดยผู้เขียนได้บันทึกข้อมูลของแต่ละคน เช่น บุคลิกภาพ ลักษณะการแต่งกาย การย้ายถิ่น ครอบครัวและเครือญาติ การปกครอง อาชีพ การศึกษา ศาสนาและความเชื่อและข้อมูลเกี่ยวกับสมมุติฐาน เช่น 1.การผสมผสานทางวัฒนธรรม 2. ความต้องการทางวัตถุ 3.บทบาทของผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์ 4.ความคาดหวังที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้น 5.ความคาดหวังที่จะมีการศึกษาสูง 6.ความคาดหวังที่จะมีโอกาสเลื่อนฐานะทางสังคม 7.ความคาดหวังในอาชีพ เป็นต้น ซึ่งการสัมภาษณ์นั้นจะบอกให้รู้ว่าผู้ให้ข่าวสำคัญนั้นมีความเป็นอยู่และมีประวัติอย่างไรและด้วยเหตุใดจึงเปลี่ยนจากการนับถือศาสนาพุทธ(ผี)มานับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 149-281) |
|
Map/Illustration |
ตาราง การจัดชั้นเรียนปีการศึกษา 2546 (หน้า 97) การนับถือศาสนาต่างๆของชาวเขาเผ่าลีซอ บ้านป่าตึง (หน้า 100) อายุของผู้ให้ข่าวสำคัญ (หน้า 287) ระดับการศึกษาของผู้ให้ข่าวสำคัญ (หน้า 288) อาชีพ (หน้า 289) การผสมผสานทางวัฒนธรรม (หน้า 295) แสดงความต้องการทางวัตถุมีผลต่อการนับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 300) บทบาทของผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์ (หน้า 305) ความคาดหวังที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้น (หน้า 310) ความคาดหวังที่จะมีการศึกษาสูง (หน้า 315) ความคาดหวังที่จะมีโอกาสเลื่อนฐานะทางสังคม (หน้า 320)ความคาดหวังในอาชีพมีผลต่อการนับถือศาสนาคริสต์ (หน้า 325) แสดงการสรุปผลการพิสูจน์สมมุติฐาน (หน้า 326) ภาพ เครื่องกระจายเสียงของหมู่บ้านป่าตึง (หน้า 76) บริเวณกักเก็บน้ำของชาวบ้าน (หน้า 77) ลักษณะบ้านเรือนแบบสร้างค่อมบนดิน (หน้า 78) บ้านเรือนคล้ายคนพื้นเมือง (หน้า 79) การสร้างถนนหนทางภายในหมู่บ้าน (หน้า 80) ชุดประจำเผ่าลีซอของผู้หญิง (หน้า 83) การสีข้าวของพ่อค้าในเมืองเพื่อรับซื้อจากชาวลีซอ (หน้า 91) การเรียนร่วมกันของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-6 (หน้า 99) โบสถ์สภา (หน้า 101) ภาพแสดงอาปาหมู่ฮี (หน้า 109) การผลิตเหล้าข้าวโพด (หน้า 113)พิธีอัญเชิญผีฟ้าเข้าบ้าน (หน้า 116) หิ้งบูชาต่างๆภายในบ้านของอาจารย์บ้าน (หน้า 119) การเต้นรำเพื่อร่วมฉลองวันขึ้นปีใหม่ (หน้า 120) การร่วมพิธีดำหัวอาจารย์บ้านของลีซอ (หน้า 120) พิธีส่งผีปีใหม่ (หน้า 122) พิธีดำหัวผีหลวง (หน้า 123) เครื่องเซ่นผีหลวง (หน้า 123) ภาพแสดงอี้หลี่ (หน้า 124) พิธีแต่งงานของคู่บ่าวสาวที่มิได้นับถือศาสนาคริสต์ทั้งคู่ (หน้า 127) โรงพยาบาลเวียงป่าเป้า (หน้า 133) แสดงการทำโต๊ะรับประทานในพิธีกินข้าวใหม่ (หน้า 139) การร่วมฉลองในโบสถ์ของอาข่ากับลีซอ (หน้า 139) การสอนคัมภีร์ของชาวต่างประเทศ (หน้า 139) การปัดเศษผงออกจากข้าวเปลือก (หน้า 349) การสร้างบ้านแบบดั้งเดิม (หน้า 349) การตั้งร้านของชาวพื้นเมืองบริเวณหน้าหมู่บ้านป่าตึง (หน้า 349) รถประจำทาง (หน้า 350) ตลาดหัวเวียง (หน้า 350) เครื่องเซ่นไหว้พระเจ้า (หน้า 351) |
|
|