|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาวครั่ง,ลายผ้ามัดหมี่,ภาคกลาง |
Author |
พัชราณี วัฒนชัย |
Title |
การศึกษาวิเคราะห์ลวดลายผ้ามัดหมี่ของกลุ่มคนไทยเชื้อสายลาวครั่งในจังหวัดภาคกลางของประเทศไทย |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ลาวครั่ง ลาวขี้คั่ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
361 |
Year |
2545 |
Source |
หลักสูตรปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาเอกศิลปศึกษา บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ |
Abstract |
ผ้าทอของกลุ่มคนไทยเชื้อสายลาวครั่ง เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยเชื้อสายลาวครั่ง แสดงออกถึงภูมิปัญญาที่สืบเนื่องกันมาจากบรรพบุรุษและยังเป็นเครื่องสะท้อนวัฒนธรรม วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของคนในชุมชน นอกจากนั้นแล้วยังเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติพันธุ์อีกด้วย เช่น ลาวครั่งอพยพจากเทือเขาภูคัง หลวงพระบางในสมัยธนบุรี มีวัฒนธรรมการทอผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ โดยสีซึ่งใช้ย้อมผ้านั้นจะใช้สีจากครั่งเป็นสีหลัก จึงทำให้ถูกเรียกว่า ลาวครั่ง กระบวนการมัดหมี่จะเป็นการย้อมสีเพียงครั้งเดียว จากนั้นจึงจะทอด้วยกี่ ไม่ว่าจะเป็นกี่มือแบบพื้นบ้านหรือกี่กระตุก จึงจะได้เป็นเนื้อผ้าออกมา ประกอบกับมีกระบวนการออกแบบและผลิตลวดลายต่างๆ มาเป็นระยะเวลาอย่างยาวนาน จึงทำให้ผ้าที่ได้มีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ตน แต่ปัจจุบันกระแสความนิยมในสังคมเปลี่ยนแปลงไป ทำให้สิ่งที่ใช้ในการย้อมผ้าเปลี่ยนแปลงไปด้วย ช่างทอจะนิยมใช้สีสังเคราะห์มากกว่าครั่ง เพราะหาซื้อได้ง่ายและสีไม่ตก ะนอกจากนี้ลวดลายดั้งเดิมอันเป็นเอกลักษณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปและสูญหายเป็นจำนวนมากเนื่องจากกระแสนิยมทางสังคมที่เน้นการทอผ้าเชิงพาณิชย์เป็นหลัก (หน้า 329-330) |
|
Focus |
การจำแนกความแตกต่างของลวดลายผ้าและการใช้สีที่ทอโดยกลุ่มคนไทยเชื้อสายลาวครั่งที่อาศัยอยู่ในภาคกลาง 5 จังหวัด คือ อุทัยธานี ชัยนาท สุพรรณบุรี นครปฐม และกาญจนบุรี |
|
Ethnic Group in the Focus |
คนไทยเชื้อสายลาวครั่งในภาคกลาง สืบเชื้อสายมาจากชาวลาวที่เคยตั้งถิ่นฐานอยู่แถบเทือกเขาภูคังในหลวงพระบาง และได้ถูกอพยพมาอยู่ที่เวียงจันทร์ และต่อมาได้ถูกอพยพเข้ามาอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย อาศัยอยู่ในแถบจังหวัดนครปฐม สุพรรณบุรี ชัยนาท อุทัยธานี กาญจนบุรี เชื่อกันว่าคนไทยเชื้อสายลาวครั่งมีอุปนิสัยที่ชอบอยู่เป็นอิสระและมีความอดทนต่อสภาพภูมิประเทศ ถูกเรียกชื่อตามถิ่นฐานที่พวกเขาตั้งหลักแหล่ง เช่น “ลาวด่าน” ซึ่งเป็นกลุ่มลาวครั่งที่อยู่ในอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย หรือ “ลาวโนนปอแดง” อยู่ในเขตอำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ และ ลาวหนองเหมือด เป็นต้น (หน้า ๘) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
กลุ่มคนไทยเชื้อสายลาวครั่งมีภาษาประจำท้องถิ่นเป็นของตนเอง และมีขนบธรรมเนียมประเพณีความเชื่อและศิลปะที่เป็นรูปแบบเดียวกัน รวมถึงระบบเทคโนโลยี ระบบสังคม ระบบความรู้สึก ระบบความเชื่อ ซึ่งสืบทอดผ่านภาษาประจำท้องถิ่นเฉพาะของชาวไทยเชื้อสายลาวครั่ง (หน้า๙) |
|
Study Period (Data Collection) |
เก็บข้อมูลภาคสนามในช่วง เมษายน 2543 – เมษายน 2544 |
|
History of the Group and Community |
กลุ่มคนไทยเชื้อสายลาวครั่ง มีประวัติการย้ายถิ่นฐานด้วยเหตุผลทางการเมือง และสงครามตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ชาวลาวได้อาศัยอยู่กันเป็นชุมชนตามเชื้อสายแยกจากชุมชนชาวไทย และมีการขยายตัวของประชากร เกิดการขยายชุมชนออกไป ส่วนวิถีการดำเนินชีวิตมีทั้งสิ่งที่ยังคงอยู่ และเปลี่ยนแปลงไป คนไทยเชื้อสายลาวครั่งก็เป็นหนึ่งในชาวลาวที่อพยพมาจากเวียงจันทน์ ลาวได้อพยพเข้ามาภายหลังการปราบกบฏ ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะช่วงกรุงธนบุรีและในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นและความเป็นมาในอดีตนั้น การที่ลาวถูกกวาดต้อนเข้ามาจึงส่งผลให้หันมาเลี้ยงครั่งตามความถนัดคนไทยจึงเรียกลาวกลุ่มนี้ว่า ลาวครั่ง หรือลาวขี้ครั่ง (หน้า 6-8) |
|
Settlement Pattern |
ในอดีตนั้นกลุ่มคนไทยเชื้อสายลาวครั่งได้อพยพมาจากเวียงจันทร์ บริเวณเทือกเขาภูคังหลังการปราบกบฏ ดำรงชีวิตด้วยการหาของป่าล่าสัตว์ทำไร่เลื่อนลอย เมื่อต้องเผชิญภัยพิบัติ ก็จะอพยพหาแห่งที่อยู่ใหม่ โดยอพยพมายังประเทศไทยในจังหวัดต่างๆ ของประเทศ เช่น กาญจนบุรี พิษณุโลก สุโขทัย กำแพงเพชร นครสวรรค์ อุทัยธานี เป็นต้น (หน้า 8) |
|
Belief System |
คนไทยเชื้อสายลาวครั่ง ส่วนใหญ่แล้วนับถือศาสนาพุทธ และพราหมณ์ นอกจากนั้นแล้วยังมีความเชื่อในเรื่องภูตผี โดยเฉพาะภูตผีที่เกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษ และสิ่งลี้ลับในธรรมชาติ และยังเชื่ออีกว่าภูตผีนั้นมีอิทธิพลต่อการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และการทำมาหากินของกลุ่มตนด้วย โดยจะมีพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับภูตผีมากมาย และบางพิธีกรรมยังสืบเนื่องเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธ เช่น การทอดกฐินหรือผ้าป่า ซึ่งหญิงลาวครั่งที่มีความสามารถในการทอผ้าไหม ผ้าฝ้าย มักจะทอผ้าเพื่อถวายวัดในช่วงดังกล่าว
นอกจากนั้นแล้วยังได้มีพิธีกรรมซึ่งเกิดการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมการทอผ้าและวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิม จนกลายเป็นรูปแบบของประเพณีซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มคนไทยเชื้อสายลาวครั่งเองเช่น ประเพณีแห่ธงสงกรานต์ (หน้า 9-10) ประเพณีแห่ธงสงกรานต์ – มีการทำพิธีช่วงก่อนสุดท้ายสงกรานต์ โดยการแห่ธงที่สมมุติขึ้นมา ทำจากเสื่อ สบงพระ ผ้าเช็ดตัว พรม ฯลฯ เสาธงเป็นไม่ไผ่เกลาอย่างดี ทาด้วยขมิ้นเหลือง โดยวัดจะกำหนดวันแห่งธง หมู่บ้านต่างๆ ก็จะรวมตัวกันเพื่อทำการประดับธงโดย ต้นอ้อย ด้ายสำลีย้อมสีต่างๆ ตกแต่งอย่างสวยงาม เพื่อประชันกับหมู่บ้านอื่น ขบวนธงทุกหมู่บ้านจะทยอยเข้าวัดโดยมีมโหรีนำขบวน มีการฟ้อนรำกันอย่างสนุกสนาน เมื่อถึงวัดก็จะแห่ธงรอบศาลาการเปรียญ เมื่อแห่รอบโบสถ์แล้วก็นำเสาธงไปปักตั้งเป็นแถว หางธงของหมู่บ้านใดทำได้สวยงามที่สุด และพุ่มหางธงด้ายที่ทำด้วยธนบัตร กรรมการวัดจะนับว่าพุ่มธงของหมู่บ้านใดจะได้เงินมากก็จะได้รางวัล วันรุ่งขึ้นชาวบ้านก็จะนำอาหารมาที่วัดเพื่อฉลองธงสงกรานต์ (หน้า 9-10) ประเพณีใต้น้ำมัน วันออกพรรษา – ประเพณีออกพรรษาตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ โดยมีการทำบุญตักบาตรเทโวหรือตักบาตรดาวดึงส์ หรือเรียกอีกอย่าง “ใต้น้ำมัน” ซึ่งจัดขึ้นตอนกลางคืนออกพรรษา ๑ วัน บริเวณลานวัดเป็นที่จัดเตรียมงานโดยการปักเสา ๔ เสา นำทางมะพร้อมและดอกไม้มาประคับตกแต่งให้สวยงาม กลางซุ่มประมาณ ๕๐ เซนติเมตร จะนำกระดานซึ่งมีชาวเล็กๆ หรือจานขนมวางตรงกลาง ในจานมีด้านหรือสายสิญจน์ที่พันกันเป็น ๔ แฉก เรียกว่า “ตีนกา” มาวางไว้ กลางคืนชาวบ้านจะนำน้ำมันมะพร้อม พร้อมด้ายหรือสายสิญจน์ที่เตรียมไว้มารวมกัน เมื่อถึงเวลาพระสงฆ์จะเอาน้ำมันมะพร้าวเทใส่จานทุกจานแล้วจุดไฟ หลังจากนั้นชาวบ้านก็เอาตีนกาใส่ลงไปในจานที่มีน้ำมันติดไฟ (หน้า 10) |
|
Education and Socialization |
การสืบทอดความรู้ของคนไทยเชื้อสายลาวครั่งนั้นใช้วิธีการเรียนรู้ผ่านวิถีชีวิตความเป็นอยู่ดั้งเดิม เช่น การประกอบอาชีพ การเข้าร่วมกิจกรรมประเพณีทางสังคม แต่อย่างไรก็ดีวัฒนธรรมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของคนไทยเชื้อสายลาวครั่งก็ได้ผสมกลมกลืนกับกลุ่มคนไทยเชื้อสายไทยในถิ่นที่อยู่อาศัยใกล้เคียงอย่างแยกไม่ออก คนไทยเชื้อสายลาวครั่งจึงมีการรวมกลุ่มกันเพื่อตั้งกลุ่มชุมชนผู้เฒ่าเชื้อสายลาวครั่งให้เป็นสถาบันทางสังคมที่คอยอบรมลูกหลาน สั่งสอนวัฒนธรรม อนุรักษ์ประเพณีเฉพาะของท้องถิ่นที่ยังคงมีอยู่ให้ได้รับการสืบสานต่อไปเช่น ประเพณีแห่ธงสงกรานต์ ประเพณีใต้น้ำมันวันออกพรรษา ประเพณีทำบุญกลางบ้าน ประเพณีเลี้ยงพ่อเฒ่า (หน้า 8-10) หรือแม้กระทั้งการทอผ้าซึ่งกลุ่มคนไทยเชื้อสายลาวครั่งส่วนใหญ่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของตน (หน้า12) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ผู้เขียนได้กล่าวถึงลวดลายของผ้าที่พบในกลุ่มคนไทยเชื้อสายลาวครั่งว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และยังเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิถีชีวิตกับชุมชน ผ้าทอของกลุ่มคนไทยเชื้อสายลาวครั่งจึงมิใช่แค่เครื่องนุ่งห่มเท่านั้นแต่ยังเป็นสิ่งที่แสดงถึง สถานะ บทบาท สัญลักษณ์ และความเชื่อในท้องถิ่นหรือสังคมของลาวครั่งที่สะท้อนผ่านลวดลายผ้าเป็นสื่อสัญลักษณ์ในการแสดงออกและถ่ายทอดความคิดจากรุ่นสู่รุ่น (หน้า 13) โดยกลุ่มคนไทยเชื้อสายลาวครั่งเรียกผ้าของตนว่า “ผ้าลาว“ ซึ่งรูปแบบของผ้าลาวนี้ได้เข้าไปมีอิทธิพลกับผ้าพื้นบ้านบริเวณภาคเหนือหรือล้านนาและบริเวณภาคอีสานด้วย (หน้า 2) ผ้าทอของกลุ่มคนไทยเชื้อสายลาวครั่งมีวัฒนธรรมอยู่ ๒ กลุ่มหลัก กลุ่มหนึ่งเรียกตัวเองว่า ลาวครั่ง ,ลาวกา อีกกลุ่มหนึ่งเป็นลาวเวียงหรือลาวเวียงจันทน์ ส่วนลาวครั่งมาจากภูคังแถวๆ หลวงพระบาง เป็นการอพยพลงมายังจังหวัดอุทัยธานี ชัยนาท สุพรรณบุรี พิจิตร นครสวรรค์ พิษณุโลก และกำแพงเพชร กลุ่มคนไทยเชื้อสายลาวครั่งและลาวเวียงมีวัฒนธรรมการทอผ้าคล้ายกัน ต่างกันแค่ลวดลายจำเพาะ อย่างมัดหมี่ลายหงส์หลังหักสลับขิด มัดหมี่ลายขอโคมเหลือง ลายนาคก้นป่องสลับนาคเป็นลายผ้าทอมัดหมี่ของลาวเวียง แต่หากเป็นผ้าทอมัดหมี่ของลาวครั่งลวดลายเด่นชัด คือมัดหมี่สะเภา หมี่รวด หมี่รวงใหญ่ ส่วนตีนตกจะมีลายขออีโง้ง ลายกาบขอขื่น ลายอีป้าลืมผัว ผ้าทอของกลุ่มคนไทยเชื้อสายลาวครั่ง นิยมใช้สีแดงย้อมจากครั่งเป็นโครงสีหลักเติมแต่ลวดลาดที่มองคล้ายเคลื่อนไหมอย่างอิสระด้วยสีส้มหมากสุกและสีเหลืองดอกคูนเจิดจ้า เอกลักษณ์ที่ถือเป็นส่วนต่างจากที่อื่นอยู่ที่สีสันอันร้อนแรง และกระบวนการมัดหมี่จะเน้นการย้อมสีเพียงครั้งเดียวแล้ว “แจะ” สีด้วยไม่จุ่มตกแต่งลวดลายเส้นใยให้มีสีสันซับซ้อนยิ่งขึ้น จากการค้นคว้าของผู้เขียน ทำให้ทราบข้อมูลได้ว่าเอกลักษณ์ของผ้าซิ่นของกลุ่มคนไทยเชื้อสายลาวครั่งมีความโดดเด่น แบ่งตามลักษณะการทอเป็น ๒ ลักษณะ คือการทอซิ่นหมี่รวด และการทอผ้าซิ่นหมี่คั่น ซึ่งลักษณะของผ้าซิ่นมีความแตกต่างกันจากกรรมวิธีการทอผ้าที่เห็นได้ชัด ดังนั้นลวดลายที่ปรากฏจึงเป็นวัฒนธรรมที่เกิดจากวิถีชีวิตมนุษย์ ได้กำหนดแบบแผนที่สืบทอดกันมาแต่บรรพชนตั้งแต่ลักษณะนิสัย แนวความคิด ค่านิยม และภูมิปัญญาที่ได้สั่งสมกันมา การทอผ้าซิ่นมัดหมี่จึงมีลวดลายสีสันอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ แม้ว่าวัฒนธรรมจากสังคมสมัยใหม่จะเปลี่ยนไปตามกระแสของความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคม แต่ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านก็ยังคมมีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมในการดำเนินชีวิต เป็นเสมือนการบันทึกเรื่องราวถ่ายทอดแต่ชนรุ่นหลังให้ได้เล็กเห็นคุณค่าของงานศิลปหัตถกรรมที่แท้จริง (หน้า 23 ) มัดหมี่ หมายถึง ลวดลายที่ปรากฏบนผืนผ้าหลังจากการมัดลายที่ด้ายด้วยเชือกก่อนนำไปย้อมสี จึงเป็นเสมือนเป็นเทคนิคการทอผ้าชนิดหนึ่งที่รู้จักกันทั่วไปว่า “มัด-ย้อม” ซึ่งเป็นวิธีการมัดย้อมเส้นไหมให้เกิดลวดลาย ด้วยหลักการที่ว่าส่วนที่ไม่ต้องการให้ติดสีย้อมใช้เชือกมัดเป็นข้อๆ ให้แน่น ถ้าลวดลายซับซ้อนช่วงมัดจะถี่ ถ้ามีหลายสีจะต้องใดและย้อมหลายครั้ง การกำหนดตำแหน่งที่มัดขึ้นอยู่กับลวดลายที่ออกแบบไว้ แล้วนำเส้นไหมที่มัดแล้วไปย้อมสี แล้วนำมามัดแล้วย้อมอีก เพื่อให้เกิดลวดลายและสีสันที่ต้องการบนผืนผ้า เมื่อย้อมเสร็จแก้เชือกที่มัดอยู่ออก นำไหมมากรอเข้าหลอดเวลาทอก็เอาหลอกที่กรอไว้พุ่งไปก็จะได้ลายไปในตัว มัดหมี่มีสามชนิดคือ ๑. มัดหมีเส้นยืนจะกำหนดความยาวของผ้าบนหลักหมีด้ายเส้นยืน พบเฉพาะลายที่ไม่ซับซ้อน ๒. ๒. มัดหมีด้ายเส้นพุ่ง กำหนดความยาวของผ้าบนหลักหมี่ด้ายเส้นพุ่ง สำหรับการมัดหมีเส้นพุ่งสามารถทำซ้ำๆ หลายครั้ง จึงสามารถทอผ้าได้ไม่จำกัดความยาว เหมาะสำหรับการทอผ้าฝ้ายหรือเส้นใยจากพืชอื่นๆ ดังนั้นสีที่ย้อมมักเป็นสีธรรมชาติ ๓. ผ้ามัดหมี่เส้นพุ่งและเส้นยืน เป็นเทคนิคการผสมผสานมัดหมี่ด้ายเส้นพุ่งและด้ายเส้นยืนบนผ่าผืนเดียวกัน ลักษณะเฉพาะของผ้ามัดหมี่ คือ รอยซึมของสีที่วิ่งไปตามลวดลายที่ถูกมัดโดยเชือกที่ไม่ติดสี การเลื่อมล้าในตำแหน่งของเส้นด้าย (หน้า 23-25) กระบวนการทอผ้าซิ่นและผ้ามัดหมี่ของกลุ่มคนไทยเชื้อสายลาวครั่ง ในอดีตมีขั้นที่ซับซ้อนกว่าปัจจุบัน เพราะวัตถุดิบทุกอย่างต้องผ่านมือผู้ทอทุกขั้นตอน แต่ในปัจจุบันผู้ทอใช้วิธีซื้อฝ้ายสำเร็จ เพื่อลดขั้นตอนที่ยุ่งยากเป็นการทอเพื่อการค้ามากขึ้น อุปกรณ์สำคัญประกอบด้วย กง หลา หลักด้าย และกี่กระตุก การทอหรือขิดของคนไทยเชื้อสายลาวครั่งมีจุดเด่นอยู่ ๓ ลักษณะคือ การทอแบบยกดอก เป็นการทอฝ้ายธรรมดาใช้เส้นพุ่งกับเส้นยืนคนละที ลักษณะกี่ทอจะเน้นไปที่ตะกอหากต้องการดอกเล็กก็ใช้ตะกอน้อย และหากต้องการดอกใหญ่ก็ใช้ตะกอมาจากการทอผ้าจก หากต้องการตั้งแต่ ๘ ตะกอขึ้นไปผู้ทอจะใช้วิธีจกแทน การทอไหมมัดหมี่โดยการซื้อเส้นไหมสำเร็จนำมามัดและย้อมสีการมัดและย้อมส่วนใหญ่เป็นลายเรขาคณิต การะบวนการทอโดยการนำด้ายที่ผ่านการจัดเป็นไจมาใส่ในหลา แล้วดึงปลายด้ายม้วนเข้าที่กงปล่อยให้ผ่านไปยังหลอดด้าย หมุนแกนเหล็กให้ด้ายวิ่งไปพันรวมอยู่ที่หลอด จนได้จำนวนตามต้องการแล้วนำไปปักในแกนหลักด้ายเป็นแถว ก่อนจะขมวดปลายด้ายจากทุกหลอดมารวมกันแล้วใช้มือเกี่ยวเส้นด้ายสลับกันไป เมื่อครบแล้วนำไปยึดไว้ที่หลักด้านล่างก่อนจะเดินได้ จนได้ความยาวที่ต้องการ นำด้ายไปหวีม้วนเรียงใส่ที่ใบพัดหรือโม่เล่ก่อนเรียงเส้นด้ายใส่ในฟืมที่ละเส้นคนครบ เมื่อเตรียมการเสร็จแล้ว จึงเริ่มกระบวนการทอโดยการประสานระหว่างเท้าและมือที่สัมพันธ์กัน โดยใช้เท้าเหยียบแผ่นไม้ด้านล่างและใช้มือซ้ายกระตุกกระสวยให้วิ่งตามรางพร้อมๆ กับใช้มือดึงฟืม (หน้า 26-27) โครงสร้างของผ้าซิ่นของกลุ่มคนไทยเชื้อสายลาวครั่งประกอบด้วย ส่วนหัวซิ่น ส่วนตัวซิ่นและส่วนชายซิ่น เป็นการต่อด้วยผ้าตีนจกสีแดงเป็นหลัก ผ้าซิ่นบ้านทัพหลวงมีการแบ่งผ้ามัดหมี่ออกเป็น ๓ ชนิดคือ ซิ่นหมีรวด ซิ่นหมี่คั่น และซิ่นหมีตา การทอผ้าในปัจจุบันใช้กี่มือแบบพื้นเมืองและกี่มือแบบกระตุก ตัวซิ่นที่พบนิยมใช้วัสดุจากเส้นใยฝ้ายโดยการย้อมสีสังเคราะห์ เทคนิคในการมัดย้อมสีผ้ามัดหมี่ชีวิธี “แจะ” คือการย้อมสีหลักเพียงสีเดียว ส่วนอื่นใช้ไม้จุ่มสีมาแต้มตามตำแหน่งลวดลาย ลักษณะลวดลายจำแนกออกเป็น ๕ แบบคือ ลักษณะลวดลายสัตว์พบมากที่สุด รองลงไปตามลำดับได้แก่ ลักษณะลวดลายเรขาคณิต ลักษณะลวดลายเบ็ดเตล็ด ลักษณะลวดลายที่ประยุกต์ขึ้นมาใหม่ ลักษณะลวดลายพันธุ์ไม้ ลักษณะลวดลายเรขาคณิต (หน้า 308 -328) |
|
Folklore |
ชาวไทยเชื้อสายลาวครั่งมีประเพณีใต้น้ำมันวันออกพรรษา ซึ่งมาจากตำนานความเชื่อที่ว่าในอดีตกาลพระพุทธเจ้าได้เกิดเป็นลูกของกาเผือกคู่หนึ่ง พระพุทธเจ้าและพี่ชาย ๓ คนน้องชาย ๑ คนได้มาอาศัยอยู่ในไข่ของกาเผือกคู่ กาเผือกได้ทำรังอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ วันหนึ่งขณะที่แม่กาเผือกกำลังกกไข่อยู่ ได้เกิดพายุจนรังถูกลมพัดรังพังตกลงแม่น้ำ ไข่ ๕ ฟองของกาเผือกก็ลอยลงแม่น้ำไปติดอยู่ที่ชายตลิ่งต่างที่กัน ได้มีแม่ไก่ วัว เต่า ราชสีห์ งู นำเอาไข่ไปฟักและเลี้ยงดูจนโตเป็นหนุ่มทั้ง ๕ จึงออกเดินทางหาความสัจจริงบำเพ็ญเพียรในป่าและพี่น้องมาพบกันโดยบังเอิญต่างร่วมกันแสวงหาสัจธรรม เมื่อพระพุทธเจ้าระลึกชาติเก่าๆ ที่เคยเกิดมา นึกถึงพ่อแม่กาเผือก พระองค์จึงทำพิธีเอาด้ายมาปั่นเป็นรูปตีนกา แล้วเอาลอยในน้ำมันมะพร้าว จุดไฟสว่างไสวเป็นสัญลักษณ์ที่ระลึกถึงพ่อแม่ผู้มีพระคุณ (หน้า10) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
กลุ่มคนไทยเชื้อสายลาวครั่งแต่งงานกับทั้งคนเชื้อสายลาวครั่งด้วยกันเองและแต่งงานกับคนไทยแต่สิ่งสำคัญก็คือลูกหลานคนไทยเชื้อสายลาวครั่งยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์เฉพาะของชนชาติลาวครั่งผ่านวัฒนธรรมการทอผ้าที่มีลวดลายเป็นของตนเอง (หน้า 23) |
|
Social Cultural and Identity Change |
แม้ว่าผ้าทอของลาวครั่งจะเป็นสิ่งซึ่งบ่งบอกความเป็นเอกลักษณ์ของลาวครั่ง อันสะท้อนถึงวัฒนธรรม วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ หรือแม้กระทั่งความเชื่อและค่านิยมก็ตาม แต่ด้วยเงื่อนไขทางสังคมซึ่งเปลี่ยนแปลงไป ทำให้อุดมคติและวิถีชีวิตชุมชนที่เกี่ยวกับการทอผ้าจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงไปด้วย ชุมชนหลายชุมชนได้เลิกการผลิตผ้าไป คงเหลือแต่บางชุมชนเท่านั้นที่สามารถแข่งขันและยืนอยู่ในระบบธุรกิจได้ (หน้า 43) โดยมีปัจจัยต่างๆ หลายประการด้วยกันซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ขึ้น เช่น ปัจจัยในทางเศรษฐกิจที่ชาวลาวครั่งหันมาทอผ้าเพื่อการค้ามากขึ้น โดยมิได้ให้ความสำคัญกับลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มตนมากนัก ประกอบกับการทอผ้าเป็นอาชีพที่มีรายได้ต่ำจึงทำให้ลาวครั่งบางส่วนหันไปประกอบอาชีพอื่นๆ และนอกจากนั้นการที่ลวดลายผ้าเป็นไปตามกระแสกลุ่มชนและเศรษฐกิจ ทำให้ลวดลายดั้งเดิมถูกละเลย หรือสูญหายไปในที่สุด (หน้า 329-330) |
|
Other Issues |
การอนุรักษ์ผ้าทอ ผ้าทอเป็นศิลปะ หัตถกรรม และวัฒนธรรมพื้นบ้านอันเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และสิ่งบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ ของอารยะธรรมในชุมชนของสังคมนั้นๆ เป็นสิ่งซึ่งเกิดขึ้นจากภูมิปัญญาบรรพบุรุษที่สืบต่อเนื่องกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งหากปล่อยประละเลย หรือขาดการอนุรักษ์เอาใจใส่แล้ว ก็ย่อมจะเสื่อมสลายหรือเปลี่ยนแปลงไปในที่สุด โดยมีปัจจัยทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นตัวกำหนด อันทำให้รูปแบบทางวัฒนธรรมของผ้าทอนี้สูญหายหรือเปลี่ยนแปลงไปด้วย (หน้า 1-2) ประเด็นในเรื่องปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นเอกลักษณ์ วัฒนธรรมงานทอผ้าของคนไทยเชื้อสายลาวครั่งได้แก่ การที่กระแสความนิยมของสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปทำให้ความเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มคนไทยเชื้อสายลาวครั่งลดน้อยลง โดยกลุ่มคนไทยเชื้อสายลาวครั่งหันมาทอผ้าเชิงพาณิชย์มากขึ้น โดยไม่ได้มีการอนุรักษ์ลวดลายแบบดั้งเดิมเอาไว้เป็นการทอผ้าตามกระแสตลาด ประกอบกับชาวบ้านบางกลุ่มได้หันไปประกอบอาชีพอื่นๆ จึงทำให้ลวดลายดั้งเดิมสูญหายหรือเปลี่ยนแปลงไป และการที่ยังไม่ได้รับการเอาใจใส่แก้ไขปัญหาจากองค์กรทางภาครัฐหรือเอกชนอย่างแท้จริง ทำให้วัฒนธรรมการทอผ้าของกลุ่มคนเชื้อสายลาวครั่งเปลี่ยนแปลงไปในที่สุด (หน้า 329-330) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้ใช้รูปภาพ เพื่อแสดงตัวอย่างลายผ้าที่ได้มาจากการสำรวจเพื่อรวบรวมบันทึกไว้ในงานศึกษาชิ้นนี้ และได้ใช้ตารางเพื่อแสดงจำนวนลายผ้าที่นำมาศึกษาเพื่อให้ชัดเจนต่อการจำแนกประเภท (หน้า ๕๑ - ๓๖๐) และนอกจากนี้ผู้เขียนได้ใช้ภาพวาดประกอบ แสดงลักษณะการต่อลวดลายผ้า (หน้า๑๖) |
|
|