สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลีซู,ผู้หญิง,วิถีชีวิต,ผู้นำ,การเมือง,สังคม,เชียงใหม่
Author มาลียา วงศ์รัตนมัจฉา
Title การยอมรับบทบาททางการเมืองของผู้นำสตรีลีซอในหมู่บ้านลีซอแม่แตะ ตำบลเมืองแหง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ลีซู, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
หอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ Total Pages 134 Year 2547
Source หลักสูตรปริญญารัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการเมืองการปกครอง บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับบทบาททางการเมือง ปัญหาและอุปสรรคในการทำงานพัฒนา เพื่อเสนอแนวทางในการพัฒนาบทบาททางการเมืองของสตรีลีซอในหมู่บ้านลีซอแม่แตะ หมู่ 12 ตำบลเมืองแหง อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ โดยสัมภาษณ์ผู้นำสตรีลีซู 4 คน และรวบรวมข้อมูลจากสมาชิกในหมู่บ้านที่เป็นกรณีศึกษาจำนวน 50 คน จากการศึกษาพบว่าลีซูยังไม่ให้การยอมรับผู้นำสตรีลีซูเท่ากับผู้นำชาย เนื่องจากมีปัญหาที่สำคัญ ได้แก่ ในสังคมระบบความคิดของผู้ชายยังเป็นใหญ่ครอบคลุมทั้งความเชื่อและการดำรงชีวิต ตำแหน่งที่สำคัญในหมู่บ้านยังกำหนดให้เป็นหน้าที่ของผู้ชาย ผู้นำสตรียังไม่เรียนในระดับที่สูงจึงทำให้ขาดความมั่นใจในตนเองและเพื่อนร่วมงานไม่ให้ความไว้วางใจ นอกจากนี้ยังเห็นว่าผู้นำสตรีไม่น่าเชื่อถือ เกิดจากบุคลิกภาพ เช่น การนินทาผู้อื่น จู้จี้ขี้บ่น

Focus

ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับบทบาททางการเมือง,ปัญหาและอุปสรรคในการทำงานและพัฒนาและเพื่อเสนอแนวทางในการพัฒนาบทบาททางการเมืองของสตรีลีซูในชุมชน (บทคัดย่อ หน้า จ,หน้า 5)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ลีซู เรียกตนเองว่า ลีซู (Lisu) ที่มาจากคำว่า “ลี” หมายถึง “ม้วน หรือพัน” กับ ”ซู”หมายถึง “กลุ่มหรือพวก” เมื่อรวมกัน “ลีซู” หมายความว่า กลุ่มหรือพวกที่เอาผ้ามาพัน หรือม้วนเพื่อเป็นเครื่องแต่งกาย เนื่องจากว่าในอดีต ลีซูได้นำผ้ามาพันหรือม้วนตามร่างกายตั้งแต่หัวจนถึงข้อเท้า อาทิ ผ้าพันหัว ผ้าพันเอว และเอาผ้าพันน่อง ส่วนรองเท้าเมื่อในอดีตก็พันด้วยผ้า คนจีนเรียกลีซู ออกเสียงแตกต่างกันไป อาทิเช่น Liso,Lisaw,Li-hsaw ส่วนคนไทยเรียกเหมือนคนจีนยูนนานหรือจีนฮ่อ ว่า ”ลีซู” ในอดีตชาวล้านนาเรียกลีซอว่า “แข่” หรือ “แข่รีซอ” สำหรับภาษาจีนกลางเรียกลีซอว่า “ลีซู” (หน้า 5) ลีซูที่อยู่ในไทยเป็นกลุ่มธิเบต-พม่า(Tibeto-Burman) มีเชื้อสายมาจากชนชาติโล-โล (Lo-Lo) เมื่อก่อนตั้งรกรากอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของยูนนาน หรือบริเวณสิบสองปันนา กลุ่มนี้มีเชื้อสายของกลุ่มคนผิวเหลือง หรือมองโกลอยด์ ซึ่งสืบเชื้อสายเรื่อยมาในทวีปเอเชียกระทั่งถึงทุกวันนี้ (หน้า 5)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาอยู่ในกลุ่มธิเบต-พม่า (Tibeto-Burman) ลีซอมีแต่ภาษาพูด สำหรับภาษาเขียนนั้นกลุ่มมิชชันนารีที่มาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ได้คิดค้นโดยนำตัวอักษรโรมัน มาประยุกต์ประดิษฐ์เป็นภาษาเขียนของลีซอ สำหรับภาษาที่คิดค้นขึ้นลีซอชอบนำไปเขียนเพลง จดหมาย และอื่นๆ สำหรับความสามารถทางภาษาในกลุ่มผู้ชายลีซอโดยมากจะพูดได้หลายภาษา อาทิเช่น ภาษาจีนฮ่อ อีก้อ มูเซอ ไทยใหญ่ ภาษาคำเมืองและไทยภาคกลาง (หน้า 6)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุอย่างชัดเจน

History of the Group and Community

เดิมลีซูอยู่ในพื้นที่ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลยูนนาน (yunnan) ที่ติดกับธิเบต และตั้งถิ่นฐานหนาแน่บริเวณลุ่มน้ำสาละวิน (แม่น้ำหนู้) กับแม่น้ำโขง (แม่น้ำหลานฉาง) โดยได้อาศัยอยู่บริเวณนี้และพื้นที่อื่นๆ เช่น มณฆลเสฉวน(ซีฉวน) และไกวเจามาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 3 ทุกวันนี้ยังมีลีซูสร้างบ้านเรือนอยู่ในบริเวณภูเขาของมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ด้านทิศตะวันออกแคว้นเบงกอล ประเทศอินเดีย ภาคเหนือของประเทศพม่า และภาคเหนือของไทย (หน้า 6) สำหรับลีซูที่เข้ามาอยู่ในไทยอพยพมาจากบริเวณทางทิศใต้ของจีน โดยมีสาเหตุการย้ายมาจากย้ายเพื่อหาพื้นที่ทำกินที่มีความอุดมสมบูรณ์ ย้ายตามผู้นำครอบครัว (หน้า 6) และเกิดความขัดแย้งกันระหว่างตระกูล กลุ่มที่มีจำนวนน้อยกว่าจะย้ายออกนอกหมู่บ้าน เพื่อยุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้น (หน้า 7) ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ 16-20 ลีซูได้อพยพเข้ามาอยู่ทางภาคเหนือของพม่า แต่ในพม่าได้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองและที่ดินทำกินไม่พอเพียง ดังนั้นจึงย้ายที่อยู่จากด้านใต้ของเมืองเชียงตุงมาอยู่ในพื้นที่ดอยผาลั้ง อ.เมือง จ.เชียงราย ในช่วง พ.ศ.2462-2464 กระทั่ง พ.ศ.2467 จึงย้ายมาอยู่ที่บ้านดอยช้าง อ.แม่สรวย จ.เชียงราย อีกกลุ่มย้ายไปอยู่ที่ดอยอ่างขาง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ในช่วงแรกจะย้ายมาอยู่บนที่สูงเป็นพื้นที่เหมาะกับการปลูกฝิ่นมีความสูงตั้งแต่ 1,000 เมตรขึ้นไป (หน้า 7) ต่อมากลุ่มที่อยู่ดอยช้างได้ย้ายไปอยู่บ้านแม่มอญ ดอยล้านกับห้วยล้านสำหรับลีซูที่อยู่ดอยอ่างขาง ส่วนหนึ่งได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านถ้ำง๊อบ อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่ พ.ศ.2490 ได้ย้ายที่อยู่ไปบ้านนาเลา ซึ่งทุกวันนี้คือบ้านห้วยแห้ง ต.เชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ และส่วนหนึ่งย้ายไปอยู่ดอยหลังเมือง อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่และไปที่ขุนคอง ที่ตั้งบ้านเก่าเลาวู ต.เวียงแหง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ และดอยสามหมื่น ต.เมืองแหง อ.เวียงแหงกับบ้านจอมหก และขุนแจ๋ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ พ.ศ.2500 ลีซอบ้านหลังเมือง อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่บางส่วนได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านนาเลา อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่และอีกส่วนย้ายไปอยู่ อ.แม่สอด จ.ตาก (หน้า 7)

Settlement Pattern

การปลูกบ้านหรือตั้งหมู่บ้าน ลีซูชอบปลูกบ้านอยู่ใกล้บ้านของญาติพี่น้อง หรือมีแซ่สกุลเหมือนกันซึ่งมีอยู่กว่า 20 แซ่สกุล (หน้า 15)

Demography

ประชากรลีซอ (พ.ศ.2545) มีประชากรในประเทศไทยทั้งหมด 155 หมู่บ้าน 6,553 หลังคาเรือน 7,338 ครอบครัว รวมประชากรทั้งหมด 38,299 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีประชากร 1 ใน 3 ส่วนของประชากรลีซูยังไม่มีสัญชาติไทย จำนวนประชากรแบ่งเป็นชาย 12,345 คน เพศหญิง 12,505 คน เป็นเด็กผู้ชาย 6,737 คน และเด็กหญิง 6,712 คน ประชากรลีซูคิดเป็น 4 % ของจำนวนประชากรชาวเขาในประเทศไทยที่มีประชากรรวม 923,257 คน ลีซูมีประชากรมากเป็นอันดับ 7 จากจำนวนชาวเขาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งนับจำนวนประชากรจากมากไปหาน้อยได้แก่ กะเหรี่ยง แม้ว อีก้อ เย้า ถิ่น ลีซู การตั้งที่อยู่อาศัยลีซอจะอยู่ใน 10 จังหวัดภาคเหนือของไทย โดยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่มากที่สุดมีจำนวนประชากร รวม 17,946 คน (หน้า 9) ประชากรกรณีศึกษา สัมภาษณ์ผู้นำสตรีลีซอจำนวน 4 คนและสมาชิกภายในหมู่บ้าน 50 คน (บทคัดย่อ หน้า จ) เป็นผู้ชาย 29 คนหรือ 58% และผู้หญิง 21 คน หรือ 42% (หน้า 80) โดยแบ่งเป็นอายุอายุต่างๆ ดังนี้ อายุ 18-20 ปี 7 คนหรือ 14% อายุ 21-30 ปี 11 คนหรือ 22% อายุ 31-40 ปี 7 คนหรือ 14 % อายุ 41-50 ปี 13 รายหรือ 26 % อายุ 51 ปีขึ้นไป 12 คนหรือ 24 % (หน้า 81)

Economy

เศรษฐกิจ ลีซูทำอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักส่วนมากยังมีฐานะยากจน พื้นที่หมู่บ้านส่วนมากอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติของกรมอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมและเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาวกับอุทยานแห่งชาติเชียงดาว (หน้า 13,22,28) สำหรับพืชที่ปลูก ได้แก่ ข้าวไร่ ข้าวโพด กระหล่ำปลี ถั่ว ฯลฯ นอกจากนี้ก็ยังหาของป่าเช่น เก็บเห็ดมาขาย เลี้ยงไก่กับหมูและทำงานรับจ้าง เมื่อก่อนนี้ลีซูจะปลูกฝิ่น (หน้า 22) ในภายหลังทางการได้ทำการปราบปรามลีซอจึงยุติการปลูกฝิ่นภายในหมู่บ้าน (หน้า 23) ส่วนประชากรกรณีศึกษา 50 คน แบ่งเป็นอาชีพต่างๆ ดังนี้ เกษตรกรรม 42 คน (84 %) รับจ้าง 5 คน (10%) ค้าขาย 1 คน (2%) และอื่นๆ 2 คน(4 %) (ตารางหน้า 83)

Social Organization

สังคมบ้านลีซอแม่แตะ ครอบครัวเป็นแบบครอบครัวเดี่ยว ได้แก่ พ่อ แม่ ลูกในส่วนที่เป็นครอบครัวขยายจะเกิดขึ้นหลังจากการแต่งงงาน คือผู้หญิงจะย้ายไปอยู่บ้านของฝ่ายชายหรือบางครั้งผู้ชายจะไปอยู่บ้านของฝ่ายหญิง เพื่อช่วยทำงานในไร่นาและเป็นค่าสินสอด ครั้นอยู่บ้านของฝ่ายหญิงได้สักระยะหนึ่งก็จะย้ายออกมาเพื่อสร้างบ้านของตนเอง (หน้า 14) สำหรับครอบครัวของลีซูนั้นผู้ชายจะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัว เลือกที่อยู่และพื้นที่ปลูกพืช สำหรับบทบาทของผู้หญิงนั้น ลีซูถือว่าผู้หญิงไม่ควรทำตัวเหนือกว่าผู้ชาย ลีซูจะชื่นชมลูกชายมากกว่าลูกผู้หญิง เนื่องจากลูกชายเป็นคนสืบสกุล ผู้หญิงเมื่อแต่งงานแล้วต้องใช้นามสกุลของสามี (หน้า1) การเลือกคู่ครองและแต่งงาน การเลือกคู่ครอง หนุ่มสาวลีซูจะไม่เกี้ยวพาราสีกันในพื้นที่หมู่บ้าน แต่จะเกี้ยวพาราสีกันตอนไปทำงานที่ไร่ในช่วงที่เห็นว่าไม่มีญาติผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ชายของทางฝ่ายหญิงอยู่ในบริเวณนั้น ส่วนการเกี้ยวพาราสีในช่วงตำข้าวทุกวันนี้ไม่มีแล้ว เพราะลีซอจะสีข้าวที่โรงสี การรู้จักกันอีกช่วงหนึ่งคือจะนัดร้องเพลงในตอนค่ำ หลังอาหารมื้อเย็น หนุ่มสาวก็จะมาร้องเพลงโต้ตอบกันหรือเรียกว่า “แบแฮ” หรือ “เพลงเล็ก” และอีกช่วงหนึ่งคือตอนเทศกาลวันปีใหม่ หนุ่มสาวจะมาจับมือล้อมวงเต้นรำ หากชอบพอกันผู้ชายก็จะให้ของที่ระลึกหรือเงินทอง จากนั้นก็จะให้ญาติผู้ใหญ่มาสู่ขอในวาระต่อไป (หน้า 15) การแต่งงาน เมื่อหมั้นด้วยสิ่งของไว้แล้ว ผู้ชายก็จะมอบหมายให้แม่สื่อที่สนิทสนมทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง เพื่อให้ไปนัดผู้หญิงให้ไปทำงานที่ไร่ แล้วก็จะออกอุบายหนีตามกันไป เมื่อหนีไปได้สักระยะ พ่อกับแม่ของผู้ชาย ก็จะมอบหมายให้ผู้ใหญ่ 2 คนไปสู่ขอผู้หญิงกับพ่อแม่ สำหรับการตกลงค่าสินสอด ถ้าเงินสินสอดไม่พอก็ต้องอยู่บ้านฝ่ายหญิง หรือเรียกว่า”ขึ้นเขย”เพื่อทำงานชดเชยแล้วแต่จะตกลงกันว่าจะอยู่นานแค่ไหน (หน้า 16,19) และผู้ชายต้องจ่า “ค่าฉุด” เป็นค่าตัวให้ฝ่ายหญิงขึ้นเป็น 2 เท่า เพราะทำให้พ่อแม่ของผู้หญิงเสียเกียรติหรือเรียกว่า” มี โด่ ผิ” (หน้า 19 ลีซูถือว่า การแต่งงานนั้นคือผู้ชายซื้อผู้หญิงจากพ่อแม่ไปเป็นภรรยา กรณีที่หนุ่มสาวหมั้นกันแล้ว ถ้าผู้ชายขอยกเลิกการหมั้น ก็ต้องมอบของหมั้นให้กับผู้หญิง แต่ถ้าฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายยกเลิกการหมั้น ก็จะปรับ 2 เท่าของมูลค่าของหมั้น (หน้า 1) ภายหลังจากที่แต่งงงาน พ่อแม่ของฝ่ายหญิงก็จะขอให้ลูกสาวและลูกเขยสร้างบ้านอยู่ภายในหมู่บ้าน ไม่ให้ไปอยู่หมู่บ้านอื่นเพื่อช่วยทำงานในไร่และคอยดูแลเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยและเป็นที่ภาคภูมิใจว่ามีญาติพี่น้องมากมีคนนับหน้าถือตา (หน้า 2) ในสังคมลีซูถือว่าการแต่งงานนั้นคือการเปลี่ยนสถานภาพจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ ถึงจะอายุไม่มากแต่ถ้าแต่งงานสังคมก็จะยอมนับว่าเป็นคนมีวุฒิวาระ ส่วนคนที่ร่ำรวยมีความรู้มากแต่ถ้ายังเป็นโสด ผู้หลักผู้ใหญ่ก็จะไม่ค่อยฟังความคิดเห็น (หน้า 80) การแต่งงานแบบศาสนาคริสต์ ในหมู่บ้านลีซอแม่แตะ ศิษยาภิบาลจะเป็นผู้ดำเนินพิธีการแต่งงานตามพิธีของศาสนาคริสต์ หญิงสาวที่ไม่เคยได้เสียกับผู้ชายก่อนแต่งงานจะได้รับเกียรติหรือ”มีโด่” หมายถึง “เกียรติยศ มีเกียรติ ได้รับเกียรติ” (หน้า 20, อภิธานศัพท์ภาคผนวก ก หน้า 114) เข้าพิธีแต่งงานซางมีชื่อว่า “จับมือแต่งงาน” แต่พิธีนี้จะจัดก็ต่อเมื่อคู่บ่าวสาวนับถือศาสนาคริสต์ หากเจ้าบ่าวหรือเจ้าสาวไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ การจัดพิธีจะทำตามประเพณีดั้งเดิมของลีซู (หน้า 20) บทบาทชายหญิงลีซอ ในสังคมลีซูได้เปรียบเทียบบทบาทชายหญิงดังนี้ “ผู้ชายเปรียบเหมือนสุนัข”คือ สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างอิสระไม่รู้สึกอับอาย สามารถทำหรือไปไหนก็ได้ตามใจชอบ (หน้า 43,100) “ผู้หญิงเปรียบเหมือนช้าง”คือ มีความสุภาพเรียบร้อยเดินช้า ต้องรับผิดชอบทำงานบ้านเลี้ยงลูก ดูแลสามีและทำงานในไร่ (หน้า 43,100)

Political Organization

ผู้นำชุมชนลีซอ บ้านแม่แตะ การปกครองหมู่บ้านตั้งแต่ยุคบุกเบิกนั้น ผู้นำหมู่บ้านโดยมากเป็นคนตระกูล ”งว้า” หรือปลา คือ ตระกูล ”เลายี่ปา” ซึ่งต่อมามีลีซอในตระกูลได้เปลี่ยนนามสกุลมาเป็น “วงศ์รัตนมัจฉา” กับ “ไชยมัสยาอานนท์” ส่วนสาเหตุที่ตระกูลเลายี่ปา ค่อนข้างมีอำนาจในบ้านลีซอแม่แตะ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่เข้ามาก่อตั้งหมู่บ้านเป็นกลุ่มแรก โดยได้ครอบครองที่ดินทำกินเป็นจำนวนหลายร้อยไร่ ครั้นหัวหน้าครอบครัวเสียชีวิตแล้ว คนในครอบครัวจึงชักชวนลีซอเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านด้วยโดยจะแบ่งที่ทำกินให้ และมีสิทธิ์ทำกินไปจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน แต่ถ้าจะย้ายออกนอกหมู่บ้านไปอยู่ที่อื่นก็ต้องคืนสิทธิ์การใช้ที่ดินเพื่อมอบให้กับครอบครัวอื่นได้เข้าไปทำกินแทน นอกจากนี้คนในตระกูลเลายี่ปายังส่งเสริมให้ลูกหลานเล่าเรียนในโรงเรียนของรัฐบาลไทย จึงนำความรู้มาพัฒนาความเป็นอยู่ด้านการเพาะปลูกและอื่นๆ จึงทำให้เกิดความเชื่อถือในสังคม (หน้า 29) นอกจากนี้ยังมีลูกหลานในหมู่บ้านเป็นจำนวนมาก เมื่อมีการลงคะแนนในการประชุมต่างๆ จึงได้รับชัยชนะสามารถสนับสนุนโครงการต่างๆ ในหมู่บ้านได้ ประกอบกับหัวหน้าครอบครัวเลายี่ปามีความรู้เรื่องประเพณีของลีซอและดูแลความเป็นอยู่ของคนในหมู่บ้านเป็นอย่างดีจึงทำให้คนในหมู่บ้านอยู่กันอย่างสงบสุข (หน้า 30) สำหรับการปกครองหมู่บ้านจะมีผู้ใหญ่บ้านหรือ “ขว่าทูว์” ทำหน้าที่ปกครอง(หน้า 23) และตัดสินหากคนในหมู่บ้านมีเรื่องทะเลาะกัน นอกจากนี้คณะกรรมการหมู่บ้านยังประกอบด้วย ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 2 คนและคณะกรรมการหมู่บ้านทำหน้าที่ดูแลในด้านต่างๆ สำหรับผู้นำประเพณีลีซูเรียกว่า “คนเฒ่าคนแก่” หรือ “ชูโหม่ว ชูตี” จะทำหน้าที่ให้คำปรึกษาเรื่องประเพณีต่างๆ ภายในหมู่บ้าน (หน้า 24-26,36-37,114) บทบาททางการเมืองของผู้นำสตรีลีซู จากการศึกษาพบว่าสังคมลีซูไม่ค่อยให้โอกาสผู้หญิงเรื่องบทบาททางการเมืองเพราะเห็นว่าผู้หญิงควรทำงานอยู่บ้านเรื่องการเมืองควรเป็นหน้าที่ของผู้ชาย ดังนั้นจึงทำให้กลุ่มผู้นำสตรีไม่ได้รับการยอมรับ เพราะมองว่าผู้หญิงไม่เด็ดขาดเท่าผู้ชาย ทำงานขาดประสิทธิภาพ จนทำให้เกิดการกีดกันทางเพศ เนื่องจากมีระบบคิดที่ว่าผู้ชายเป็นใหญ่ (หน้า 99-100) นอกจากนี้สตรีลีซูยังไม่ได้เรียนในระดับที่สูง จึงทำให้ทำงานไม่ค่อยไม่ใจและเพื่อนร่วมงานไม่ให้ความร่วมมือในการทำงาน (หน้า101,106) เพราะเห็นว่าผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอจึงทำให้เกิดการไม่ยอมรับว่าผู้หญิงเก่งกว่าผู้ชายแม้จะยอมรับว่าผู้หญิงมีความสามารถก็ตาม (หน้า 103,104)

Belief System

ความเชื่อและศาสนา ลีซูบ้านลีซอแม่แตะมีผู้ที่นับถือศาสนาพุทธกับผีบรรพบุรุษมีจำนวน 52 % และนับถือศาสนาคริสต์ นิกายโปรแตสแต้นท์มีจำนวน 48 % ของประชากรในหมู่บ้าน (หน้า 16) กลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธและผีบรรพบุรุษ มีสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาคือ ศาลปู่เจ้าหรืออาปาโหม่วฮี (แนะฝ่าจือ) ที่อยู่ของ ”ผีประจำหมู่บ้าน” หรือ ”อาปาโหม่ว” (ความหมายศัพท์หน้า 114) ศาลเจ้าปู่เป็นที่ประกอบพิธีของคนที่นับถือผีตั้งอยู่บนเนินเขาทางทิศใต้ของหมู่บ้าน โดยมีหมอเมือง(เหมอเมอผ่า) เป็นคนดูแลศาลเจ้าปู่ (เรื่องและภาพหน้า 16) หน้าที่ของหมอเมืองจะเป็นผู้นำด้านการประกอบพิธีกรรมต่างๆ เช่นประเพณีวันปีใหม่ พิธีกินข้าวใหม่ พิธีกินข้าวโพดใหม่ พิธี ”คู่สั่ว” หรือ พิธีส่งเคราะห์ส่งกรรมพิธี ”ฉะลู้ว”หรือ”ไล่ผีร้าย” กำหนดวันศีล(วันกรรม)คือวันหยุดตามประเพณีที่มีเมื่อถึง 15 วัน ซึ่งเป็นวันให้คนหยุดทำงานพักผ่อนอยู่ที่บ้านทำความสะอาดหิ้งบูชารวมทั้งไหว้ผีบรรพบุรุษ นอกจากนี้หมอเมืองจะต้องทำหน้าที่ตัดสินคดีความหากคนในหมู่บ้านทะเลาะกัน ผิดผัวผิดเมีย ขโมยของ โดยจะว่ากล่าวตักเตือน ตัดสินความผิดและปรับเงินลงโทษ สำหรับคนที่จะมาทำหน้าที่นี้จะต้องเป็นหัวหน้าครอบครัวและมีความรู้เรื่องจารีตประเพณีลีซอ ตำแหน่งนี้จะไม่สืบทอดถึงลูกหลาน เมื่อตั้งชุมชนใหม่ หมอเมืองคนเดิมตาย กรณีมีการเปลี่ยนการนับถือศาสนา ย้ายออกจากชุมชน ถึงจะทำการคัดเลือกคนมาดำรงตำแหน่ง ในหมู่บ้านแต่ละแห่งจะมีหมอเมือง 1 คนและหมอเมืองต้องทำหน้าที่นี้ไปตลอดชีวิต (หน้า 17) สำหรับหมู่บ้านลีซอแม่แตะผู้ที่จะมาเป็นหมอเมือง คนในหมู่บ้านได้คัดเลือกจากหมอผี หรือ ”หนี่ผ่า” โดยได้เชิญหมอผีที่นับถือในหมู่บ้านมา 2 คน เพื่อทำพิธีโยนไม้เสี่ยงทายที่ศาลปู่เจ้า ขั้นตอนการเสี่ยงทายได้นำไม้ที่มีลักษณะโค้งเป็นรูปจันทร์เสี้ยวจำนวนสองอัน คนที่จะได้เป็นหมอเมืองคือคือคนที่เสียงทายโดยโยนได้โค้งรูปจันทร์เสี้ยว โดยโยนให้ไม้คว่ำ 1 อันและหงาย 1 อัน ได้ 3 ครั้งติดกัน หากทำได้ก็ถือว่า ”อาปาโหม่ว” (ผีประจำหมู่บ้าน) ได้เลือกแล้วสำหรับคนที่โยนไม้เสี่ยงทายได้ก็จะมารับหน้าที่เป็นหมอเมืองประจำหมู่บ้านต่อไป (หน้า 17) กลุ่มที่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายโปรแตสแต้นท์ ในหมู่บ้านมีโบสถ์คริสต์ชื่อ ” คริสต์จักรลีซอ” บ้านแม่แตะ โบสถ์สร้างอยู่ด้านทิศเหนือของหมู่บ้าน ลีซูที่นับถือศาสนาคริสต์จะมาร่วมประกอบพิธีกรรมในวันอาทิตย์ ที่นี่จะมีศาสนาจารย์ 1 ท่านหรือลีซอเรียกว่า ”มะผ่า” มีหน้าที่ประจำคือดูแลโบสถ์และเทศนาในวันอาทิตย์และศิษยาภิบาล (เรื่องและภาพหน้า 18) ทำหน้าที่การแต่งงานตามศาสนาคริสต์ (หน้า 20)

Education and Socialization

ในหมู่บ้านไม่มีโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษา มีเพียงศูนย์เด็กเล็กในสังกัดองค์การบริหารส่วนตำบลเมืองแหง 1 แห่ง เปิดมาราว 10 ปี (หน้า 20 ภาพหน้า 21) เด็กในหมู่บ้านจะไปเรียนที่โรงเรียนเวียงแหงวิทยาคม กระทั่งถึงระดับชั้นประถมศึกษาสำหรับเด็กที่จะเล่าเรียนในชั้นที่สูงขึ้นไปก็จะเรียนต่อที่ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนอำเภอเวียงแหงวิทยาคม (กศน.) สำหรับครอบครัวที่มีฐานะก็จะส่งลูกหลานไปเรียนที่โรงเรียนในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่ (หน้า 21) ส่วนประชากรกรณีศึกษา 50 คน แยกออกตามระดับการศึกษาได้ดังนี้ ไม่สำเร็จการศึกษา 32 คน หรือ 64 % จบระดับประถมศึกษา 9 คน หรือ 18 % จบระดับมัธยมศึกษาหรืออาชีวะ 7 คน หรือ 14% จบระดับปริญญาตรี 2 คน หรือ 4 %(ตารางหน้า 82)

Health and Medicine

ด้านการสาธารณสุข ในหมู่บ้านมีเจ้าหน้าที่อาสาสมัครพัฒนาหมู่บ้านหรือ อสม.โดยมีหน้าที่ให้ความรู้ขั้นพื้นฐานด้านสุขภาพอนามัยกับคนในหมู่บ้าน โดยกลุ่ม อสม.ได้แบ่งเป็นฝ่ายต่างๆ และตำแหน่งการทำงานดังนี้ ประธาน,เหรัญญิก ฝ่ายบัญชี ดูแลเรื่องบัตรทอง (หน้า 21) แผนกยา,ฝ่ายตรวจมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก,สุขภาพเด็กและการบำบัดยาเสพติด (หน้า 22)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ท่อลำเลียงน้ำไม้ไผ่เพื่อนำไปใช้ในหมู่บ้าน หมู่บ้านของลีซูมักสร้างอยู่ใกล้กับน้ำตก การนำน้ำจากน้ำตกมาใช้ก็จะเอาไม้ไผ่หรือไม้ซางนำมาเจาะกลางปล้องจนทะลุจากนั้นก็นำมาต่อกัน เป็นท่อลำเลียงน้ำจากภูเขามาใช้ในแต่ละครัวเรือนภายในหมู่บ้าน การต่อท่อน้ำจะต่อจนครบบ้านทุกหลัง (เรื่องและภาพหน้า 20) เครื่องดนตรีลีซู ในวันปีใหม่ลีซอในเดือนกุมภาพันธ์ กับวันปีใหม่ผู้ชายหรือ “เอ้อ ยี ปา” ในเดือนมีนาคมซึ่งเป็นช่วงที่หนุ่มสาวจะพบกันเพื่อทำความรู้จักกันอันจะนำไปสู่การแต่งงานต่อไป หากชอบพอกัน ในวันนี้จะมีการเต้นรำโดยจับมือกันเป็นวงกลม ผู้ชายก็จะจีบผู้หญิงถ้าชอบพอกัน ฝ่ายชายก็จะหมั้นด้วยของที่ระลึกหรือเงินทอง (หยา หยิ) (ของหมั้น,หน้า 114) และให้ผู้หลักผู้ใหญ่มาตกลงเรื่องค่าสินสอดต่อไป สำหรับการเต้นรำนั้นนักดนตรีจะอยู่กลางวง โดยจะเล่นดนตรีซึ่งประกอบด้วย “ฝู่หลู” มีรูปร่างคล้ายกับแคน “ชือบือ” มีรูปร่างเหมือนซอสามสาย “จู่หลี่” รูปร่างเหมือนกับขลุ่ย (หน้า 16, อภิธานศัพท์หน้า114)

Folklore

ไม่มี

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ความขัดแย้งในหมู่บ้านลีซู กล่าวถึงสาเหตุการย้ายหมู่บ้านของลีซอในช่วงเวลาต่างๆ เช่น ระหว่าง พ.ศ. 2504 ลีซูที่บ้านนาเลา ต.เชียงดาว อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างตระกูล “งว้า” หรือ”เลายี่ปา หรือ “ปลา” กับตระกูล “เบียะ” หรือตระกูลตามีหรือ “ผึ้ง” ความขัดแย้งมีมากขึ้นจนฆ่ากันตาย จนต้องย้ายไปอยู่อีกหลายหมู่บ้าน อาทิเช่น บ้านหนองกระแตะ และหมู่บ้านอื่นๆ (หน้า 7) ลีซูกับทางการไทย พ.ศ.2506 ลีซูได้ขยายหมู่บ้านออกไปอยู่ที่หมู่บ้านอื่นอีกหลายครั้ง เช่น กลุ่มลีซอบ้านขุนคองย้ายไปอยู่บ้านผีรู อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน, ดอยแม่แลบ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน,ดอยกึ๊ดสามสิบ ต.สบป่อง อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน,ดอยห้วยน้ำดัง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ,ดอยแม่น้ำขุนหรือผาแดง อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ สาเหตุการย้ายมาจากลีซอไม่พอใจที่ตำรวจตระเวณชายแดน มาสร้างโรงเรียน ตชด. เพื่อให้เด็กได้เล่าเรียนในโรงเรียน ในช่วงนั้นลีซอนับถือผีจึงเชื่อว่าทางการอาจจะนำเด็กไปให้ยักษ์กินเพื่อให้ขับถ่ายออกเป็นเป็นธนบัตรไทย หรือเอาเด็กไปทำปลากระป๋องดังนั้นจึงมีแนวคิดว่าถ้าไม่อยู่ใกล้กับทางการเด็กลีซอก็จะไม่ได้รับอันตรายใดๆ (หน้า 2,3,8,30)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มี

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ตาราง ประชากรลีซอจำแนกตามพื้นที่จังหวัด (หน้า 9) รายชื่อ,ตำแหน่งหน้าที่ของบุคคลในกลุ่มตัวอย่าง (หน้า 62) เกณฑ์การวัดทัศนคติ (หน้า 64) เพศ(หน้า 80) อายุ ,ศาสนา(หน้า 81) สถานภาพ,การศึกษา (หน้า 82) อาชีพ (หน้า 83) ระยะเวลาการอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน (หน้า 84) ความคิดเห็นต่อบทบาทผู้นำสตรีในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ของหมู่บ้าน,ความคิดเห็นต่อการทำงานของผู้นำสตรีเมื่อเทียบกับผู้นำชาย (หน้า 85) ความคิดเห็นต่อการพูดต่อหน้าชุมชนของผู้นำสตรี,ความคิดเห็นว่าสตรีสามารถทำทุกอย่างได้เท่าเทียมกับชาย (หน้า 86) ความพึงพอใจต่อผลการปฏิบัติงานของผู้นำสตรีลีซอ,การได้รับความช่วยเหลือจากผู้นำสตรี (หน้า 87) ความคิดเห็นต่อบทบาทของผู้นำสตรีในการทำงานว่าเป็นตัวแทนของใคร ,ความรู้สึกเมื่อมีผู้กล่าวถึงผู้นำที่เป็นสตรี (หน้า 88) ความคิดเห็นต่อผลการทำงานของผู้นำสตรี ,ผู้นำสตรีได้รับการยอมรับจากทางราชการมากน้อยเพียงใด (หน้า 89) ความคิดเห็นว่าสตรีที่มีการศึกษาสูงมีโอกาสได้เป็นผู้นำหมู่บ้านมากกว่าสตรีที่มีการศึกษาน้อย ,ฐานะทางเศรษฐกิจของสตรีมีผลต่อการได้เป็นผู้นำหมู่บ้าน (หน้า 90) ความคิดเห็นกับคำที่กล่าวว่า ”ที่ของสตรีคือที่บ้าน” ,”สตรีไม่นิยมความมีอำนาจ”,”สังคมลีซอไม่นิยมยกย่องสตรีให้เป็นผู้นำ (หน้า 91,92) ปัญหาในการทำงานของผู้นำสตรี (หน้า 92) ความคิดเห็นในการเลือกเพศผู้ใหญ่บ้านคนใหม่ (หน้า 93) ภาพ การตั้งบ้านเรือนของลีซอ (หน้า 10) ตำบลในอำเภอเวียงแหง (หน้า 11) หมู่บ้านในตำบลเมืองแหง (หน้า 12) ป้ายหมู่บ้านลีซอแม่แตะ (หน้า 13) แม่น้ำแตะ (หน้า 14) ศาลปู่เจ้าประจำหมู่บ้าน (หน้า 16) คริสตจักรหมู่บ้านลีซอแม่แตะ (หน้า 18) การลำเลียงน้ำเพื่อใช้ในหมู่บ้าน (หน้า 20) ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านแม่แตะ (หน้า 21) การทำการเกษตรบนพื้นที่สูง (หน้า 23) ต้นฝิ่นที่ลักลอบปลูก (หน้า 28) แผนภาพ กรอบคิดในการวิจัย (หน้า 59)

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 04 เม.ย 2556
TAG ลีซู, ผู้หญิง, วิถีชีวิต, ผู้นำ, การเมือง, สังคม, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง