สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),การผลิต,บทบาทหญิงชาย,เชียงใหม่
Author ศรินทิพย์ หมั้นทรัพย์
Title กระบวนการผลิตเชิงพาณิชย์และการปรับเปลี่ยนบทบาทหญิงชายในชุมชนปกาเกอะญอ
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text -
Ethnic Identity ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน)
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 156 Year 2543
Source บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

กล่าวถึงการศึกษาเรื่องบทบาทหญิงชายของชุมชนปกาเกอะญอ ที่นับถือศาสนาคริสต์ บ้านเฌอท่า อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ที่เคยทำการเกษตรแบบยังชีพกระทั่งเปลี่ยนมาทำการเกษตรแบบพาณิชย์รวมทั้งผลกระทบที่เกิดขึ้นในชุมชน ในการศึกษาได้กล่าวถึงความเป็นมาของปกาเกอะญอในหมู่บ้านเฌอท่า ซึ่งแต่เดิมมีรกรากอยู่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งในภายหลังได้ย้ายมาทำงานในบริษัททำไม้ในจังหวัดเชียงใหม่ กระทั่งตั้งรกรากและมีคนย้ายมาอยู่เพิ่มเติมจนกลายเป็นหมู่บ้าน ต่อมาปกาเกอะญอได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์เนื่องจากสาเหตุว่าความเชื่อและพิธีกรรมเดิมต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมากและถ้าหากทำไม่ถูกขั้นตอนก็จะมำให้ได้รับเคราะห์ต่างๆ ดังนั้นจึงเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์แล้วย้ายมาตั้งหมู่บ้านใหม่ชื่อว่าเฌอท่าซึ่งเป็นหมู่บ้านปกาเกอะญอที่นับถือศาสนาคริสต์ทั้งหมด

Focus

ศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทหญิงชาย (Gender Roles) ในครัวเรือนของชุมชนปกาเกอะญอ ภายใต้ระบบการผลิตเพื่อยังชีพ และศึกษาเงื่อนไขของการเปลี่ยนแปลงระบบการผลิตภายในชุมชน การปรับเปลี่ยนบทบาทหญิงชาย และผลกระทบตามระบบการผลิตที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อชุมชนก้าวเข้าสู่กระบวนการผลิตเชิงพาณิชย์ ในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม (หน้า 4)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กะเหรี่ยง อยู่ในตระกูลธิเบต-พม่า (Tibeto –Burma Ethnological ) แบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยดังนี้ 1) กะเหรี่ยงสะกอ (Sgaw) 2) กะเหรี่ยงโปว์ (Pwo) 3) ตองสู (Taungthu) กลุ่มนี้จะเรียกตนเองว่า “พาโอ” (Pa-O) 4) คะยา (Kayah) กลุ่มนี้พม่าเรียกว่า Karenni หมายถึง “กะเหรี่ยงแดง” กะเหรี่ยงตั้งรกรากอยู่บริเวณภูเขาทิศตะวันออกของพม่ากับตามเทือกเขาในทิศตะวันตกของไทย มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ทุกวันนี้กะเหรี่ยงอยู่ในจังหวัดต่างๆ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ ฯลฯ (หน้า 26) กลุ่มที่เป็นกรณีศึกษาเป็นกะเหรี่ยงสะกอ คนในภาคเหนือเรียกว่า ”ยางขาว” ส่วนพวกเขาเรียกตนเองว่า “ปกาเกอะญอ” (Pgaz K‘ Nyau) หมายถึง “คน” ทั้งนี้คำว่า “ปกา” หมายถึงกลุ่มคนจำนวนมาก ”เกอะญอ” หมายถึง “ความเรียบง่าย” (หน้า 27)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษากะเหรี่ยง (Karenic) อยู่กลุ่มธิเบต - กะเหรี่ยง (Tibeto - Karen) ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของชิโน – ธิเบต (Sino - Tibetan) หนึ่งในสามของกลุ่มภาษาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (หน้า 26)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุเวลา

History of the Group and Community

ความเป็นมาและพัฒนาการความสัมพันธ์ทางการผลิตระหว่างหญิงชายในหมู่บ้านเฌอท่า แบ่งออกเป็นยุคต่างๆ ดังนี้ (หน้า 27) 1) ยุคก่อตั้งหมู่บ้าน (พ.ศ. 2400-2480) เริ่มตั้งแต่ได้ย้ายเข้ามาสร้างบ้านเรือนบริเวณลุ่มน้ำ (หน้า 27) จากพื้นเพดั้งเดิมที่หมู่บ้าน อุ ค่อ คี อำเภอขุนยวม จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยเริ่มแรกได้เดินทางมาทำงานรับจ้างที่บริษัทตัดไม้ในจังหวัดเชียงใหม่ จึงตั้งรกรากอยู่บ้านเฌอท่าในภายหลังคนในหมู่บ้านอุ ค่อ คี จึงย้ายตามมาอยู่เป็นจำนวนมาก (หน้า 28) 2) ยุครับคริสตศาสนา (พ.ศ.2481-2520) เป็นช่วงเวลาหลังจากที่มีการเผยแพร่ศาสนาคริสต์รวมทั้งมีการพัฒนาต่างๆ เข้ามาภายในหมู่บ้าน (หน้า 27) บาทหลวงของศาสนาคริสต์ได้เข้ามาที่บริเวณลุ่มน้ำเฌอโกล๊ะ ซึ่งประกอบด้วยหมู่บ้านเฌอคี หมู่บ้านวะเบ่อโข่ หมู่บ้านเขล่ะข่อที และหมู่บ้านหน่อกะโกล๊ะ (หน้า 39) เพื่อให้ความช่วยเหลือและเยี่ยมปกาเกอะญอ จากนั้นมีครอบครัวปกาเกอะญอละทิ้งความเชื่อเดิมเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ระหว่าง พ.ศ.2498-2499 ซึ่งถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้านความเชื่อ เพราะว่า “ฮีโข่” หรือหัวหน้าหมู่บ้านวะเบ่อโข่ หนึ่งในหมู่บ้านลุ่มน้ำเฌอโกล๊ะ เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งสาเหตุเนื่องมาจากความเชื่อและพิธีกรรมเดิมนั้นมีขั้นตอนการปฏิบัติเป็นจำนวนมากหากจัดไม่ถูกต้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่พอใจก็ต้องจัดใหม่จึงทำให้เสียค่าใช้จ่ายเยอะ (หน้า 41) จนกระทั่ง พ.ศ.2500 บาทหลวงกับปกาเกอะญอที่นับถือศาสนาคริสต์ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณลุ่มน้ำเฌอโกล๊ะได้แยกออกจากหมู่บ้านเดิมมารวมกันตั้งหมู่บ้านใหม่ ชื่อ ”หมู่บ้านเฌอท่า” เพื่อให้เกิดความสะดวกในการประกอบพิธีทางศาสนาคริสต์ ในพื้นที่ด้านทิศตะวันออกของหมู่บ้านวะเบ่อโข่ ซึ่งเรียกว่า “ปก่า ต่า แด โด “ คือ ป่ากิ่วลมใหญ่บริเวณช่องเขา อันเป็นป่าอนุรักษ์ตามประเพณี หรือเรียกว่า “ดู ตะ” ซึ่งความเชื่อของ ปกาเกอะญอแต่เดิมจะห้ามไม่ให้เข้าไปตัดต้นไม้หรือปลูกบ้าน เนื่องจากเชื่อว่าเป็นที่อยู่ของผีบรรพบุรุษและผีอื่นๆ เพราะถ้าไม่เชื่อก็จะทำให้พืชที่ปลูกเกิดความเสียหายบางครั้งอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต (หน้า 43) ต่อมาบาทหลวงและหัวหน้าหมู่บ้านได้ประกอบพิธีตามความเชื่อศาสนาคริสต์คือพิธี ”ไหว้เจ้าที่เจ้าทาง” หรือ“ พิธีไล่ผีและไล่ดอสะก๊ะ” การประกอบพิธีจะใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์กับไม้กางเขนเพื่อขอพรและขอความคุ้มครองจากพระเจ้าให้ปกป้องปกาเกอะญอทุกคน ในหมู่บ้าน (หน้า 43 แผนที่หน้า 40) 3) ยุคการผลิตเชิงพาณิชย์ (พ.ศ. 2521-ปัจจุบัน) กล่าวถึงการปรับตัวของปกาเกอะญอเมื่อเข้าสู่ยุคการผลิตเชิงพาณิชย์ที่ทำให้การผลิตแบบเดิมได้สูญหาย (หน้า 27) พ.ศ.2522 ศูนย์พัฒนาโครงการหลวง อันเป็นโครงการส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อช่วยเหลือชาวเขาให้ปลูกพืชที่มีคุณค่าและปรับปรุงความเป็นอยู่ให้ดีกว่าเดิม สำหรับการตั้งศูนย์นั้นอยู่ในพื้นที่บ้านเฌอท่า ตั้งอยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของหมู่บ้าน มีเนื้อที่ 250 ไร่ การทำงานครอบคลุม 11 หมู่บ้านในตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง ได้แก่ หมู่บ้าน ปกาเกอะญอ 9 หมู่บ้าน และม้ง 2 หมู่บ้าน สำหรับเป้าหมายของการทำงานก็เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านการเกษตรสมัยใหม่และรณรงค์ให้ลดการปลูกฝิ่นด้วยการปลูกพืชพาณิชย์ (หน้า 50) และปลุกจิตสำนึกเรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการเป็นคนไทยเหมือนกับคนพื้นราบ (หน้า 51) สำหรับพืชที่ทางศูนย์สนับสนุนให้ชาวบ้านปลูก เช่น ผักสลัด แครอท ต้นหอมญี่ปุ่น และอื่นๆ ไม้ดอกเมืองหนาว เช่น แกลดิโอรัส ผลไม้เมืองหนาว เช่น แอปเปิล สาลี่ ท้อ พลับ ฯลฯ ส่วนพืชไร่ ได้แก่ กาแฟ ถั่วเหลือง มันฝรั่ง ฯลฯ สำหรับการส่งเสริมนั้นจะให้ชาวบ้านสมัครเป็นสมาชิกในโครงการส่งเสริมการเกษตร คนที่เป็นสมาชิกจะมีสิทธิ์ เบิกเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง และอบรมความรู้ด้านการเกษตร นอกจากนี้ทางศูนย์ก็จะรับซื้อผลผลิตหลังจากหักค่าใช้จ่ายด้านการเพาะปลูกและดูแลพืชแล้ว (หน้า 51)

Settlement Pattern

บ้านปกาเกอะญอ สร้างด้วยไม้ไผ่ยกพื้นสูงประมาณเมตรกว่า โดยจะใช้พื้นที่ใต้ถุนบ้านเป็นที่เลี้ยงสัตว์เลี้ยง เช่น หมู ไก่ วัว ควายและเก็บฟืนเอาไว้ใช้ในครัวเรือน (หน้า 29) และนั่งพักผ่อนหรือทำงานในช่วงกลางวัน มุงหลังคาด้วยหญ้าคาหรือใบตองตึง(หน้า 30)

Demography

หมู่บ้านปกาเกอะญอที่เป็นกรณีศึกษา มี 88 หลังคาเรือน มีประชากรทั้งหมด 413 คน แบ่งเป็นผู้หญิง 208 คน ผู้ชาย 205 คน (หน้า 52) ในประเทศไทยปกาเกอะญอจะตั้งที่อยู่ตามเทือกเขาในทิศตะวันตกของประเทศ ในจังหวัดต่างๆ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ สุโขทัย กำแพงเพชร แม่ฮ่องสอน ตก กาญจนบุรี เพชรบุรี ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สุพรรณบุรี และอุทัยธานี มีประชากรทั้งหมด 392,295 คน หรือคิดเป็น 46.80 %ของประชากรชาวเขาที่อยู่ในไทย (หน้า 26)

Economy

เศรษฐกิจ ยุคก่อตั้งหมู่บ้านเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ ปกาเกอะญอยังมีการแลกเปลี่ยนสิ่งของในหมู่บ้าน ในอดีตคนในหมู่บ้านจะเก็บสมุนไพรมาทำยาและหาของป่า อาทิเช่น ลูกก่อกับเปลือกไก๋ ซึ่งใช้ทำธูปเอาไปแลกน้ำตาล เกลือ ยาสูบที่หมู่บ้านคนเมืองที่อยู่ใกล้เคียงกัน (หน้า 32) การเพาะปลูกจะทำไร่แบบหมุนเวียนบริเวณไหล่ดอย ในการเพาะปลูกแบบดั้งเดิมของ ปกาเกอะญอ ได้แก่ การทำไร่ข้าวและพืชล้มลุกชนิดอื่นการทำไร่จะใช้วิธีโค่นและเผา (slash and burn) (หน้า 32) เมื่อปลูกพืชเสร็จแล้วเมื่อครบหนึ่งฤดูกาลผลิต ปีต่อไปก็จะย้ายไปปลูกที่ใหม่ เพื่อให้ดินฟื้นตัวเกิดความอุดมสมบูรณ์ เป็นเวลา 6-7 ปี ก็จะกลับมาปลูกพืชบนที่ดินเดิมอีกครั้ง (หน้า 33) สำหรับการใช้แรงงานคนในหมู่บ้าน เช่น กลุ่มเครือญาติก็จะช่วยเหลือกันทำงานเรียกว่า “เอามื้อเอาวัน” เช่น การถางไร่ ฟันไร่ (หน้า 33) การปลูกพืชในเชิงพาณิชย์ ซึ่งอยู่ในยุคปัจจุบันงานเขียนระบุว่า มีการประยุกต์ด้านการใช้แรงงานในการปลูกพืชเชิงพาณิชย์ด้วยในแต่ละครอบครัวจะปลูกพืชหรือทำงานช่วยกันซึ่งเรียกว่า “เอามื้อ เอาวัน” (มาเด๊าะ มากะ) แต่ถ้าแรงงานไม่พอก็จะจ้างเพิ่มเติม (หน้า 128,136) กลุ่มปกาเกอะญอที่ยากจน ที่ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเองจะไปทำงานรับจ้างในเมืองเพื่อหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว ส่วนในกลุ่มที่พอมีที่ดินก็จะปลูกพืชเลี้ยงชีพ (หน้า 128) กลุ่มที่มีฐานะปานกลางจะมีการปลูกพืชเชิงพาณิชย์เป็นจำนวนมาก โดยจะมีการช่วยเหลือกันทำงานโดยใช้ แรงงานในครัวเรือนกับแรงงานรับจ้าง (หน้า 138) ส่วนกลุ่มที่มีฐานะร่ำรวยก็จะจ้างแรงงานในกลุ่มเครือญาติที่มีฐานะยากจน ซึ่งเป็นการช่วยเหลือญาติพี่น้องที่ยากจนให้มีรายได้เลี้ยงดูครอบครัว (หน้า 131)

Social Organization

สังคมปกาเกอะญอบ้านเฌอท่า เป็นลักษณะแบบครอบครัวที่นับเครือญาติตามสายฝ่ายแม่ คือเมื่อแต่งงานแล้วจะย้ายไปอยู่บ้านเจ้าสาว (หน้า 64,69) ในสังคมปกาเกอะญอ บทบาทหญิงชายมีความแตกต่างกัน คือผู้หญิงจะมีบทบาททางเศรษฐกิจได้แก่เป็นศูนย์กลางของการแลกเปลี่ยน บริการ และการผลิต ส่วนผู้ชายก็จะมีบทบาทในด้านพิธีกรรม (หน้า 64) ในสังคมได้มีการ อบรมสั่งสอนลูกผู้หญิงโดยยกเป็นคำเปรียบเทียบ แบ่งผู้หญิงออกเป็น 3 แบบด้วยกันคือ (หน้า 65) “เผาะหมื่อ” หมายถึง ผู้หญิงที่มีความรับผิดชอบ ขยันทำงาน เป็นคนดี ได้รับคำยกย่องจากคนในสังคม (หน้า 65) “เผาะเมอ” หมายถึง ผู้หญิงที่ปล่อยปละละเลยไม่สนใจทำงานในครอบครัว ชอบความสบาย ชอบเที่ยวเตร่ (หน้า 65) “ เผาะ ลอ เนอ เกรอ” หมายถึงผู้หญิงขี้เกียจสติไม่สมประกอบ (หน้า 65) ดังนั้นการสอนลูกผู้หญิงจึงมักเปรียบเทียบว่าผู้ที่ดีกับผู้ที่ไม่ดีควรเป็นอย่างไรเพื่อให้เห็นความแตกต่างกัน ฉะนั้นจึงชอบพูดถึง “เผาะหมื่อ” กับ “เผาะเมอ” ที่มีลักษณะแตกต่างกันนั่นเอง (หน้า 65) สำหรับการอบรมเลี้ยงดูลูกผู้หญิงก็จะสั่งสอนให้รู้จักช่วยงานบ้าน เช่น หุงข้าว ทำอาหาร เลี้ยงน้อง (หน้า 67) การแต่งงาน (ทอ ปก่า) ปกาเกอะญอ เรียกพิธีแต่งงานว่า “ทอ ปก่า“ หมายถึง “ขึ้นแก่” คนที่แต่งงานกันนั้นหากเป็นญาติพี่น้องที่สนิทกันจะห้ามไม่ให้แต่งงานกันเพราะเชื่อว่าถ้าแต่งงานกันแล้วจะทำให้เป็นหมัน เจ็บไข้ไม่สบายอยู่ตลอดเวลา ทำให้คนในครอบครัวป่วยหรือเสียชีวิต นอกจากนี้ก็ยังห้ามไม่ให้มีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงาน (หน้า 70) ถ้าหากทำผิดก็จะถูกลงโทษ เช่นการถูกเนื้อต้องตัวก็จะปรับไหม หรือถ้าหากได้เสียกันก็จะต้องทำพิธีขอขมาผู้หลักผู้ใหญ่จากนั้นก็ต้องจัดงานแต่งงาน (หน้า 71) สำหรับการแต่งงานนั้น หากหนุ่มสาวมีความชอบพอกันถ้าตกลงใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน ฝ่ายหญิงก็จะให้ญาติผู้ใหญ่ไปสู่ขอกับญาติผู้ใหญ่ทางฝ่ายชาย ตอนไปจะนำเหล้าไปด้วยหนึ่งขวดถ้าตกลงกันเรียบร้อยแล้วก็จะดื่มเหล้าเพื่อเป็นเครื่องหมายของการแสดงความยินดีที่ฝ่ายชายตกลงยกลูกชายให้กับฝ่ายหญิง (หน้า 72,97) เมื่อแต่งงานกันแล้วก็จะย้ายไปอยู่กับครอบครัวของฝ่ายหญิงเป็นเวลา 1 ถึง 3 ปี (หน้า 73) การแต่งงานของปกาเกอะญอได้ประสมประสานกับประเพณีเก่ากับพิธีทางศาสนาคริสต์ หลังจากที่กำหนดวันแต่งงานแล้ว ในวันก่อนวันแต่งงานหรือวันสุกดิบ บ้านเจ้าสาวก็จะเตรียมอาหาร เช่นฆ่าวัว ควาย หมูหรือไก่ นำเนื้อมาปรุงอาหาร สำหรับคนที่ไปร่วมงานก็จะนำข้าวไปด้วยเพื่อเป็นการร่วมแสดงความยินดีและช่วยเหลืองานในวันนี้ก็จะมีการเลี้ยงอาหารแขกที่มาช่วยงานด้วย (หน้า 97) ในวันต่อมาก็จะจัดพิธีที่โบสถ์คริสต์โดยมีแขกเหรื่อในหมู่บ้านร่วมกันมาเป็นพยานในการจัดพิธี และฟังการอ่านคัมภีร์ไบเบิ้ลให้พรแก่คู่บ่าวสาว (หน้า 98) บทบาทของผู้หญิงท่ามกลางวัฒนธรรมดั้งเดิม (หน้า 64-87) การเลี้ยงดูเด็กผู้หญิงตามวัฒนธรรมปกาเกอะญอ ปกาเกอะญอบ้านเฌอท่าจะเลี้ยงดูลูกโดยแยกให้เห็นความแตกต่างทางเพศตั้งแต่วัยเด็กด้วยการแต่งกายคือ เด็กหญิงกับหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานจะสวมเสื้อผ้าที่เรียกว่า “เชวา” ทอด้วยฝ้ายสีขาว ทรงกระบอกยาวกรมข้อเท้า(กล่าวแล้วอยู่ในเรื่องการแต่งกายหน้า 65,68) หญิงสมรสแล้วสวมเสื้อที่เรียกว่า “เชซู” ลักษณะเสื้อจะยาวครึ่งท่อนถึงระดับเอว สีดำหรือน้ำเงิน (หน้า 65, 68) ส่วนผู้ชาย เด็กกับผู้ใหญ่จะสวมเสื้อ “เชกอ” เป็นผ้าฝ้ายครึ่งท่อน สีแดง กางเกงเป็นแบบทรงจีน (เรื่องการแต่งกาย หน้า 65,68) ในการเลี้ยงดูลูก ปกาเกอะญอจะเลี้ยงลูกโดยให้โตท่ามกลางความรู้ที่ได้จากการใช้ชีวิตและละเล่นตามธรรมชาติสิ่งแวดล้อมรอบตัวโดยมีพ่อแม่และญาติพี่น้องคอยช่วยสอน สำหรับผู้ชายก็จะได้ความรู้จากการละเล่นในป่าเช่นการบดใบสาบเสือมาประคบแผลเพื่อห้ามเลือด และการใช้สมุนไพรอื่นๆ รวมทั้งซ่อมแซมสิ่งของเครื่องใช้ที่ชำรุดในครัวเรือนผ่าฟืน (หน้า 66) สำหรับเด็กผู้หญิงแม่ก็จะสอนให้ทำงานบ้าน เช่น หุงข้าว ทำกับข้าวเลี้ยงดูน้องและการเพาะปลูกพืชหาฟืน เก็บของป่า เช่นเก็บหน่อไม้ เก็บเห็ด ผักป่าเพื่อนำมาทำอาหาร (หน้า 67) เกี่ยวหญ้าคามาไพมุงหลังคา และทอผ้าเพื่อใช้ในครอบครัว (หน้า 68) การจัดความสัมพันธ์ทางสังคมและการจัดการแรงงาน ปกาเกอะญอจะจัดโครงสร้างทางสังคมกับระบบครอบครัวทางสายตระกูลผู้หญิงและการย้ายเข้ามาอยู่บ้านผู้หญิงหลังจากแต่งงาน การจัดความสัมพันธ์ทางสังคมได้ผ่านพิธีสำคัญ 2 อย่างคือ (หน้า 69) พิธีแต่งงานหรือทอ ปก่า (กล่าวแล้วอยู่เรื่องการแต่งงานหน้า 70 -75) และพิธี “ออ บก๊ะ “คือ“ พิธีไหว้วิญญาณบรรพชน” (หน้า 69) พิธีนี้จะจัดขึ้นเมื่อสมาชิกในบ้านเจ็บไข้ได้ป่วย (หน้า 75) หรือสัตว์เลี้ยงในบ้านมีพฤติกรรมที่ผิดไปจากธรรมชาติ อาทิเช่น แม่ไก่ขัน วัวควายเพศเดียวกันขึ้นทับกันเอง หมู สุนัขคลอดลูกเป็นเพศเดียวกันทั้งหมดและอื่นๆ เหตุการณ์เช่นนี้ปกาเกอะญอเชื่อว่าจะทำให้ผู้เป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงมีเคราะห์ดังนั้นจึงฆ่าสัตว์ที่มีพฤติกรรมขัดกับธรรมชาติเหล่านั้น การประกอบพิธีจะเริ่มจากทำการเสี่ยงทายกระดูกไก่เพื่อกำหนดวัน จากนั้นก็จะบอกสมาชิกที่อยู่ในสายตระกูลผู้หญิงเดียวกันมาเข้าร่วมพิธี การทำพิธีผ็ชายที่นำการประกอบพิธีจะสวดมนต์แล้วก็จะฆ่าไก่หรือหมู่เพื่อเซ่นไหว้”วิญญาณผู้ดูแลมนุษย์และโลก หรือ”หมื่อคา” จากนั้นก็จะขอให้วิญญาณของพ่อ แม่ที่ล่วงลับไปแล้ว (โหม่เซะ ป่าเซะ) มารับเครื่องเซ่นไหว้ เมื่อประกอบพิธีแล้วก็จะห่อเนื้อไก่กับเนื้อหมูด้วยใบตอง และข้าวสุกนำมาหย่อนทิ้งลงใต้ถุนบ้าน ส่วนเนื้ออีกส่วนหนึ่งที่เหลือก็จะนำมาทำอาหารเลี้ยงคนที่เข้าร่วมพิธี (หน้า 75,76 แผนภาพผู้เข้าร่วมพิธีหน้า 77,78) สำหรับคนที่อยู่ในสายตระกูลฝ่ายแม่จะต้องเข้าร่วมพิธีทุกคน สำหรับข้อห้ามในพิธีได้แก่ ขณะอยู่ในพิธีไม่ให้ทำอาหารตกหล่น ไม่ให้บ่นว่าอาหารไม่พอกิน ถ้าอิ่มแล้วจะต้องนั่งรอคนอื่นด้วยแล้วค่อยลุกไปพร้อมกัน พูดแต่ภาษาปกาเกอะญอห้ามพูดภาษาอื่นเด็ดขาด สิ่งของประกอบพิธีและชุดแต่งกายต้องเป็นของปกาเกอะญอ ทั้งนี้เนื่องจากเชื่อว่าถ้าทำให้ข้อห้ามที่กำหนดไว้ผิดพลาดวิญญาณบรรพชนจะไม่พอใจ ทำให้ต้องจัดพิธีอีกครั้ง สำหรับการจัดพิธีนี้ก็เพื่อเป็นการควบคุมพฤติกรรมทางเพศของผู้หญิงในเรื่องการแต่งงานคือเพื่อให้รู้ว่าคนที่เข้าร่วมประกอบพิธีนั้นเป็นญาติพี่น้องกันจะแต่งงานกันไม่ได้ (หน้า 79) ด้านการผลิต ในอดีตผู้หญิงจะมีหน้าที่สำคัญในขึ้นตอนการผลิตตั้งแต่หว่านเมล็ด ดูแลพืชที่ปลูก กำจัดวัชพืชและอื่นๆ (หน้า 81-86) สำหรับสังคมดั้งเดิมนั้นแม้ว่าหญิงกับชายปกาเกอะญอจะมีบทบาทไม่เหมือนกันแต่ความสัมพันธ์ทางสังคมก็ยังมีความเท่าเทียมกันเนื่องจากระบบครอบครัวและความสัมพันธ์ทางเครือญาตินั้นได้ช่วยควบคุมความแตกต่างระหว่างชายหญิงจึงทำให้ผู้หญิงมีอำนาจต่อรองทางสังคมกับผู้ชาย (หน้า 86) บทบาทของผู้หญิง ในวัฒนธรรมปกาเกอะญอแบ่งผู้หญิงออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ “เผาะ หมื่อ” แปลว่า ผู้หญิงที่มีลักษณะของความเป็นผู้หญิงเพียบพร้อมสมบูรณ์รับผิดชอบรู้การรู้งานและขยันขันแข็ง “เผาะเมอ” หมายถึง ผู้หญิงที่มีลักษณะนิสัยชอบความสะดวกสบายไม่เอาการเอางานใดในครัวเรือนเลยชอบเที่ยวเตร่ “เผาะลอเนอเกรอ” หมายถึง ผู้หญิงที่เกียจคร้านไม่สนใจสิ่งต่างๆ รอบตัว อาจรวมหมายถึงผู้หญิงที่ไม่สมประกอบหรือสติไม่ดีด้วยก็ได้ (หน้า 65) เมื่อเด็กผู้หญิงเติบโตจนพอจะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้บ้างแล้วมักจะถูกคาดหวังจากครอบครัวให้ช่วยเหลือภาระในบ้าน เด็กผู้หญิงจะตื่นแต่เช้าช่วยแม่ตำข้าวและทำอาหารช่วยเลี้ยงน้องที่ยังเล็ก ช่วยแม่ทำงานในไร่นากำจัดวัชพืช เก็บหาพืชผักในป่ารวมทั้งเรียนรู้การทอผ้าในวันที่แม่อยู่บ้าน (หน้า 67-68) ในวิถีการผลิตแบบดั้งเดิมของปกาเกอะญอผู้หญิงมีบทบาทสำคัญในการผลิต ทั้งในแง่การเข้าไปมีส่วนในการใช้ความรู้ในการผลิตและในการเข้าไป”จัดการ”การผลิตไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการระดมแรงงานหรือการใช้ที่ดิน โดยมีฐานอำนาจจากเครือข่ายความสัมพันธ์ของเครือญาติในสายตระกูล (หน้า 83-86) ต่อมาเพื่อสภาพสังคมเศรษฐกิจเปลี่ยนไป ชุมชนปกาเกอะญอเปลี่ยนมาเพาะปลูกผักและดอกไม้เชิงเดี่ยวเพื่อการค้าแทนการปลูกข้าวไร่และพืชผักเพื่อยังชีพ ส่วนต่างๆ ของชุมชนที่ขยายเชื่อมโยงสัมพันธ์กับความเชื่อและวิถีการผลิตแบบเดิมก็ได้ปรับเปลี่ยนตามไปด้วย(หน้า 89) โครงสร้างทางสังคมที่ปรับเปลี่ยนไปทำให้ผู้หญิงมีโอกาสด้านต่างๆ มากขึ้นทั้งโอกาสทางการศึกษา การเดินทางออกจากหมู่บ้านหรือการแสดงบทบาทหน้าที่ต่อชุมชนส่งผลให้ชุมชนยอมรับสภาพของผู้หญิงมากขึ้นโอกาสในการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ทำให้โลกของผู้หญิงกว้างขึ้น ซึ่งเนื่องมาจากสาเหตุที่สำคัญ 2 ประการคือการได้รับการศึกษาและเวทีการทำงานกิจกรรมของโครงการพัฒนาต่างๆ ทั้งของรัฐและเอกชนทำให้เกิดกลุ่มทางสังคมรูปแบบใหม่ๆ เช่น กลุ่มพ่อบ้าน กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มเยาวชน กิจกรรมเหล่านั้นทำให้กลุ่มแม่บ้านกลายเป็นองค์กรทางสังคมของผู้หญิงที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานของรัฐและเอกชน(หน้า 102-103) ความสัมพันธ์ของผู้หญิงจากต่างฐานะภายใต้การเป็นสมาชิกของกลุ่มแม่บ้านเป็น “ เครือข่ายความสัมพันธ์ทางสังคมแบบใหม่ที่ไม่ได้มีพื้นฐานอยู่ที่สายเลือดหรือการแต่งงานเป็นการรวมกลุ่มของผู้ที่มีปัญหาเศรษฐกิจเหมือนกันเพื่อระดมเงินทุนมาช่วยเหลือเป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือนในยามประสบปัญหาการเงิน (หน้า 104-106) แม้ชุมชนจะเปลี่ยนระบบการเพาะปลูกเพื่อยังชีพมาเป็นการเพาะปลูกเชิงพาณิชย์ ผู้หญิงก็ยังมีบทบาทในการผลิตอยู่เครือข่ายสมาชิกกลุ่มแม่บ้านกลายเป็นช่องทางในการเข้าถึงเงินทุนและผสมผสานความรู้ระหว่างความรู้พื้นฐานด้านการผลิตตามภูมิปัญญาดั้งเดิมของผู้หญิงกับความรู้สมัยใหม่ในการผลิตของผู้ชาย(หน้า 107-108) ในสถานการณ์ปัจจุบันผู้หญิงจึงยังคงรักษาบทบาทและสถานภาพทางสังคมไว้ได้ด้วยกลไกทางสังคมใหม่ (หน้า 116)

Political Organization

ฮี่โข่ (หัวหน้าหมู่บ้าน) ในหมู่บ้านจะมีผู้นำเรียกว่า “ฮีโข่” คือผู้ที่มีความอาวุโสที่สุดของสายตระกูลของตนเอง และเป็นผู้ที่มีความสามารถติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือธรรมชาติ นอกจากนี้จะเป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมเช่น การทำพิธีไหว้เจ้าที่และพิธีอื่นๆ สำหรับการดำรงตำแหน่งผู้นำหมู่บ้านนั้นถ้าผู้นำคนเดิมเสียชีวิต ลูกชายจะเป็นผู้นำคนต่อไปหรือไม่ก็เป็นหลานหรือญาติของอดีตผู้นำหมู่บ้าน (หน้า 31)

Belief System

ศาสนา ปกาเกอะญอบ้านเฌอท่านับถือศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิก (หน้า 21,43) โดยได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ในระหว่าง พ.ศ.2498 - 2499 คนที่เปลี่ยนมานับถือเป็นคนแรกคือ ”ฮีโข่” หรือหัวหน้าหมู่บ้านต่อมาจึงมีผู้เปลี่ยนมานับถือด้วยเป็นจำนวนมาก สำหรับสามเหตุที่เปลี่ยนศาสนานั้นก็เพราะว่า ความเชื่อเก่านั้นมีข้อปฏิบัติและข้อห้ามจำนวนมาก หากประกอบพิธีแล้วถ้าหากมีขั้นตอนที่ไม่ถูกต้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่พอใจก็ต้องจัดใหม่จึงทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมากหรืออาจเคราะห์ร้ายกระทั่งเสียชีวิต (หน้า 41)

Education and Socialization

การศึกษา ในหมู่บ้านมีโรงเรียนหนึ่งแห่งชื่อ โรงเรียนบ้านเฌอท่า เปิดทำการสอนตั้งแต่ พ.ศ.2523 เปิดสอนจนถึงระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 (หน้า 21,91) สำหรับเด็กเล็กถ้าอายุครบ 3 ขวบก็จะนำมาฝากเลี้ยงที่ศูนย์เด็กเล็กประจำหมู่บ้านโดยจะเสียค่าใช้จ่าย 20 บาทต่อเดือน ในศูนย์แห่งนี้มีครูประจำอยู่ 2 คน และมีเด็กเล็กจำนวน 22 คน (หน้า 90) สำหรับเด็กนักเรียนในหมู่บ้านถ้าเด็กเรียนจบระดับชั้นประถมศึกษาแล้ว หากเป็นครอบครัวที่มีฐานะก็จะส่งเสริมลูกหลายให้ได้รับการศึกษาที่สูงๆ บางครั้งบาทหลวงกับเจ้าหน้าที่ของศูนย์สังคมพัฒนาสังฆมณฑลเชียงใหม่อาจให้การสนับสนุน (หน้า 91,92) ทั้งนี้จากการศึกษาพบว่าในหมู่บ้านได้มีเด็กนักเรียนที่มีฐานะยากจน ปานกลางและร่ำรวยอายุ 15-25 ปี จำนวน 84 คน แบ่งออกเป็นหญิง 45 คนและชาย 39 คนที่ได้เรียนหนังสือในระดับต่างๆ มีดังนี้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หญิง 21 คน ชาย 8 คน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หญิง 12 คน ชาย 9 คน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หญิง 7 คน ชาย 5 คน ระดับ ปวช.หญิง 2 คน ชาย 12 คน ระดับ ปวส.หญิง 2 คน ชาย 4 คน และระดับปริญญาตรีหญิง 1 คน และชาย 1 คน (ตารางหน้า 92)

Health and Medicine

ในงานเขียนได้กล่าวถึงการสอนลูกชายของปกาเกอะญอในการใช้ชีวิต เช่น ความรู้เรื่องสมุนไพรที่หาได้ในป่าใกล้บ้าน อาทิ กินมะกอกป่าแก้อาการเจ็บคอ ว่านใบลายแก้ฟกช้ำ เหง้าหญ้าถอดปล้องต้มดื่มแก้อาการปวดหลัง ใบสาบเสือนำมาบดประคบแผลสามารถหยุดเลือดได้ และอื่นๆ (หน้า 66)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกาย หญิงสาว หากยังไม่แต่งงานเด็กผู้หญิงและหญิงสาวจะสวมเสื้อผ้าที่เรียกว่า “เชวา” ซึ่งทอด้วยฝ้ายสีขาว ทรงกระบอกยาวกรมข้อเท้า บริเวณชายเสื้อและน้าอกเสื้อจะประดับลวดลายไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น (หน้า 65,68) หญิงสมรสแล้ว สวมเสื้อที่เรียกว่า “เชซู” ลักษณะเสื้อจะยาวครึ่งท่อนถึงระดับเอว สีดำหรือน้ำเงิน ประดับด้วยด้ายหลากสีสันที่บริเวณคอ แต่ถ้าตรงชายเสื้อประดับด้วยลูกเดือย ก็จะเรียกว่า “เชเบอะ” โดยเรียกตามลูกเดือยที่นำมาประดับ ส่วนซิ่นจะสวมซิ่นผ้าฝ้าย ยาวกรอมข้อเท้า มีสีแดง บางครั้งก็สีชมพู มีลายมัดหมี่ทั้งผืนเรียกว่า “หนี่” (หน้า 65, 68) ผู้ชาย เด็กกับผู้ใหญ่จะสวมเสื้อ “เชกอ” เป็นผ้าฝ้ายครึ่งท่อน สีแดง กางเกงเป็นแบบทรงจีนทรงหลวมๆ เมื่อสวมจะมัดที่เอวให้แน่น (หน้า 65,68)

Folklore

นิทานการกำเนิดปกาเกอะญอ ปกาเกอะญอเชื่อว่ากลุ่มของตนเกิดจาก “ยวา” ซึ่งเป็นพระเจ้าอันเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดที่อยู่เหนือธรรมชาติเป็นผู้สร้างคนขึ้นมาบนโลก ซึ่งเนื้อเรื่องที่กล่าวไว้ในงานเขียนมีดังนี้ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในยุคนั้นยังไม่มีปกาเกอะญออยู่บนโลก ต่อมา “ยวา” ได้ตั้งครรภ์ที่บริเวณน่อง ดังนั้น ”ยวา” จึงตัดน่องของตนเองแล้วสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็โปรยลงมาที่โลก การโปรยครั้งที่หนึ่งได้เกิดเป็นปกาเกอะญอ “ยวา” โปรยลงมาเพียงหนึ่งครั้งปกาเกอะญอก็เริ่มพูดคุย ก็เลยหยุดโปรยแค่นั้น ต่อมา ”ยวา” ได้โปรยชิ้นส่วนร่างกายลงมาอีกคราวนี้เกิดเป็น จีน อินเดีย ไทย และฝรั่ง สำหรับชาติพันธุ์อื่นๆ “ยวา” ต้องโปรยจำนวน 3 ครั้ง ชาติพันธุ์เหล่านี้จึงเริ่มพูดเป็นดังนั้นจึงทำให้มีประชากรมากกว่าปกาเกอะญอ ในจำนวนลูกของ “ยวา” ปกาเกอะญอ เป็นพี่คนโต ตามมาด้วย จีน อินเดีย ไทยส่วนลูกคนเล็กสุดคือ ฝรั่ง (หน้า 42) ภายหลัง”ยวา” จะจากไปเลยเรียกลูกมารับมรดก แต่ในวันนั้นลูกทุกคนมาหมดยกเว้นแต่ปกาเกอะญอที่ไม่ได้มาเพราะไปถางหญ้าในไร่ ดังนั้นยวาจึงให้หนังสือเงินหนังสือทองให้กับปกาเกอะญอ โดยฝากไว้กับฝรั่งที่ได้รับหนังสือใบตาล แต่ฝรั่งได้เปลี่ยนหนังสือโดยเอาหนังสือเงินหนังสือทองไป แล้วนำหนังสือใบตาล ให้กับปกาเกอะญอโดยนำไปวางไว้ที่ตอไม้ เมื่อวางเอาไว้นานกว่าจะกลับมาจากไร่ไก่ก็เลยมาคุ้ยเขี่ยหนังสือกระจุยกระจายจนอ่านไม่ออก (หน้า 42)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มี

Social Cultural and Identity Change

ไม่มี

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ตาราง ครัวเรือนและขนาดการถือครองที่ดิน ,รายได้รายจ่ายและหนี้สินที่เป็นตัวเงินเฉลี่ยต่อปีต่อครัวเรือนจำแนกประเภทครัวเรือนตามฐานะทางเศรษฐกิจ (หน้า 58) แสดงบทบาทหญิงชายและการจัดการแรงงานในแต่ละกิจกรรมของการผลิตในไร่หมุนเวียน (หน้า 84) ระดับการศึกษาของเยาวชนหญิง-ชาย อายุ 15-25 ปี ในบ้านเฌอท่า (หน้า 92) บทบาทชายหญิงในการปลูกดอกแก็ด, กระหล่ำปลีแดง (หน้า 109,110) แผนที่ หมู่บ้านปกาเกอะญอในบริเวณลุ่มน้ำเฌอ โกล๊ะ ในอดีต (หน้า 40) บริเวณที่ตั้งพื้นที่ศึกษาและหมู่บ้านใกล้เคียง (หน้า 53) หมู่บ้านเฌอ ท่า ในปัจจุบัน (หน้า 54) แผนภาพ สมาชิกผู้เข้าร่วมพิธี ออ บก๊ะ ของครอบครัวโหม่=ป่า จำนวน 14 คน,ของครอบครัวขนาดเล็ก จำนวน 5 คน ,ของครอบครัวขนาดใหญ่ จำนวน 45 คน (หน้า 77,78)

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 30 มิ.ย 2560
TAG ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), การผลิต, บทบาทหญิงชาย, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง