|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
สตรี ม้ง การเกษตร เชียงใหม่ |
Author |
พงษ์พันธ์ พนาสันติกุล |
Title |
การมีส่วนร่วมในการเกษตรบนที่สูงของสตรีเผ่าม้ง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ม้ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ม้ง-เมี่ยน |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
120 |
Year |
2539 |
Source |
หลักสูตรปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต(เกษตรศาสตร์) สาขาส่งเสริมการเกษตร บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
งานเขียนกล่าวถึงการมีส่วนร่วมในการเกษตรบนที่สูงของผู้หญิงม้ง ประชากรศึกษามี 135 คน อายุเฉลี่ย 34.3 ปี ส่วนใหญ่สมรสแล้ว อยู่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ จากการศึกษาพบว่า ผู้หญิงม้งมีส่วนร่วมอย่างมากต่อการวางแผนทำการเกษตรกับคู่สมรส เช่นการวางแผนเลือกพันธุ์สัตว์ เลี้ยงสัตว์ เลือกพื้นที่เพาะปลูก จำหน่ายผลผลิต การใช้แรงงานมีส่วนร่วมอย่างมากในการถางพื้นที่ การเตรียมดิน เตรียมแปลง การเพาะกล้าการกำจัดวัชพืช การเลี้ยงสัตว์ผู้หญิงม้งมีส่วนร่วมอย่างมากในการเตรียมอาหาร การให้อาหาร และจำนวนแรงงานในครัวเรือนมีความสัมพันธ์ต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แหล่งงานทุนมีความสัมพันธ์กับการใช้แรงงานด้านการเกษตร และการได้รับข้อมูลด้านการเกษตรสัมพันธ์กับการใช้แรงงานและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการมีส่วนร่วมในการเกษตรบนที่สูง ส่วนสถานภาพสมรส การศึกษารายได้ของครอบครัว ขนาดพื้นที่ทำการเกษตร การติดต่อเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรและการฝึกอบรมการเกษตรนั้นไม่มีความสัมพันธ์ต่อการวางแผนการใช้แรงงานและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (บทคัดย่อ หน้า ง,จ) |
|
Focus |
ศึกษาปัจจัยพื้นฐาน เศรษฐกิจ สังคม สภาพปัญหา ความต้องการและข้อเสนอแนะของสตรีม้งที่มีส่วนร่วมในการเกษตรบนที่สูง (หน้า 2) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ม้ง(Hmong) ในประเทศไทยแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยได้แก่ 1 ) ม้งน้ำเงิน (ม้งจั้ว,Blue Hmong) ในภาษาไทยจะมีชื่อเรียกหลายชื่อ อาทิ แม้วดำ แม้วลาย แม้วน้ำเงิน 2 ) ม้งขาว (ม้งเด๊อ,White Hmong ) 3 ) ม้งกั่วป๊า หมายถึง ม้งแขนปล้องหรือแขนลาย (หน้า 1,107,108) คำว่าม้งหมายถึงกลุ่มหรือชนชาติ ม้งมักเรียกตนเองว่า “เป๊ะม้ง” ซึ่งคำว่า “เป๊ะ” ในภาษาม้งหมายถึง “สาม” ที่เรียกเช่นนั้นก็เพื่อเป็นการให้เกียรติกับกษัตริย์ม้งพระองค์หนึ่งซึ่งตามนิยายปรัมปราบอกว่าพระองค์มี 3 ศีรษะ กับเรียกตามสายสกุลของตนเองได้แก่ “เป๊ยม้งย่าง”คือสายสกุลแซ่ย่าง ส่วนชนชาติอื่นจะเรียกม้งในชื่อที่แตกต่างกันออกไปเช่น “แม้ว” “เมียว” และ “เมี้ยวเจซือ” ซึ่งคำนี้ภาษาจีนหมายถึง “หนูตาบอด” ซึ่งมาจากการทำสงครามระหว่างจีนและม้งซึ่งการสู้รบส่วนมากจีนจะรบชนะ สำหรับการแพ้ของม้งโดยมากมาจากการความไม่สามัคคี แตกแยกกันเหมือนหนูตาบอดซึ่งไม่เห็นความสำคัญและความเป็นชาติของตนเอง ดังนั้นม้งจึงไม่ชอบให้ใครเรียกตนเองว่า “แม้ว” เมี้ยว”หรือ” เมี้ยวเจซือ” เป็นต้น (ภาคผนวกหน้า 102) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ทุกวันนี้ม้งไม่มีภาษาเขียน สำหรับตัวหนังสือภาษาอังกฤษที่นำมาประยุกต์เพื่อเขียนเป็นภาษาม้งยังไม่ใช้กันอย่างกว้างขวาง จะใช้เฉพาะในกลุ่มที่ได้เรียนเรื่องการเขียนภาษาม้งเท่านั้น (ภาคผนวกหน้า 109) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
|
Settlement Pattern |
บ้านม้ง เป็นบ้านชั้นเดียวปลูกบ้านกับพื้นดินโดยใช้ดินเป็นพื้น สร้างตามวัสดุที่หาได้ตามท้องถิ่น ฝาบ้านจะสานด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยหญ้าคาหรือกะเบื้องไม้ ลักษณะบ้านของม้งจะมีความแตกต่างกันแล้วแต่จำนวนของสมาชิกในตระกูล สำหรับการสร้างบ้านของม้งในทุกวันนี้ได้มีการปรับเปลี่ยนมาใช้วัสดุสมัยใหม่ได้แก่ กระเบื้อง ซีเมนต์ แต่ถ้ามีการสร้างบ้านที่ใช้วัสดุถาวรก็จะสร้างบ้านอีกหลังเพื่อประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อโดยจะสร้างเป็นแบบดังเดิม (หน้า 113) ลักษณะบ้านและโครงสร้างบ้านมีดังนี้บ้านม้งจั๊วะ(ม้งน้ำเงิน) บ้านเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสแบ่งสัดส่วนการใช้สอยดังนี้ เมื่อเดินเข้าประตูบ้านส่วนที่เป็นห้องนอนก็จะแบ่งไว้ทางซ้ายมือ 2 ห้อง ด้านขวามือจะเป็นเตาไฟและหิ้งเก็บของใกล้กับเตาไฟก็จะยกพื้นขึ้นเพื่อเป็นที่นั่งรับแขก เลยเสากลางบ้าน ประตูอีกบานจะอยู่ด้านซ้ายมือ มุมบ้านด้านในจะเป็นที่วางอุปกรณ์ทำครัว โต๊ะอาหาร ฝาผนังตรงกลางเป็นหิ้งผีเรือนและมุมด้านขวามือจะเป็นที่ตั้งของครกกะระเดื่องตำข้าวและใกล้กันเป็นห้องเก็บข้าวโพดและข้าว (แผนผังหน้า 112) บ้านม้งเด๊อะ(ม้งขาว) ลักษณะบ้านจะมีรูปแบบเหมือนกันจะต่างกันก็เพียงส่วนที่เป็นห้องนอนจะยื่นออกมาจากผังบ้าน ตัวบ้านเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสและจะมีสี่เหลี่ยมอีก2อันยื่นออกมาทางด้านซ้ายของประตูก่อนจะเข้าบ้าน (ดูแผนผังหน้า 112) |
|
Demography |
ประชากรกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้หญิงม้งที่อยู่ในพื้นที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 135 คน (บทคัดย่อ หน้า ง) สำหรับประชากรม้งในไทยจากการสำรวจเมื่อปี พ.ศ.2538 มีประชากรทั้งหมด 125,035 คน มี 16.276 หลังคาเรือน 243 หมู่บ้าน โดยสร้างบ้านเรือนอยู่ในภาคเหนือและภาคกลาง เช่น เชียงราย เชียงใหม่ กำแพงเพชร ตาก เป็นต้น (หน้า 118) สำหรับม้งที่อยู่ในประเทศต่างๆ อยู่ในประเทศจีนมากที่สุดจากการสำรวจเมื่อ พ.ศ.2536 ระบุว่า มีจำนวน 7,398,035 คน อันดับสองอยู่ในเวียดนามมีจำนวน 558,053 คนและลาวเป็นอันดับสามมีจำนวน 231,168 คน (หน้า 119) |
|
Economy |
เศรษฐกิจของสตรีม้ง จากการศึกษาพบว่า สตรีม้ง 48.9 % มีแรงงานในครัวเรือน 4-6 คน กลุ่มที่มีแรงงานมากกว่า 11 คน มี 1.4 %มี รายได้ครัวเรือนเฉลี่ยต่อปี 75,484.63 บาท ต่อปี ครัวที่มีรายได้สูงสุดมีรายได้ 500,000 บาทต่อปี และน้อยที่สุด 10,000 บาทต่อปี ที่ดินทำกิน 39.3 % มีที่ดิน 1-5 ไร่ และ 4.4 %มีที่ดินมากกว่า 20 ไร่ สำหรับ แหล่งทุน 93.3 % ใช้ทุนตนเอง 3.7 %เป็นทุนกู้ยืมและ 0.74 %ยืมจากญาติพี่น้อง (บทคัดย่อ หน้า ง,77) การมีส่วนร่วมในการเกษตรบนที่สูงของสตรีม้ง 1) การมีส่วนร่วมในการวางแผนปฏิบัติการเกษตรของผู้หญิงม้ง การวางแผนเลือกพันธุ์สัตว์และการวางแผนเลี้ยงสัตว์ล่วงหน้าอยู่ในระดับมาก (หน้า 78) 2) การมีส่วนร่วมการใช้แรงงานในกิจกรรมการเกษตรพบว่า กิจกรรมการเลี้ยงสัตว์ ผู้หญิงม้งมีส่วนร่วมในระดับมากเรื่องการจัดอาหารกับให้อาหารสัตว์,แรงงานในกิจกรรมพืชผัก ผู้หญิงม้งมีส่วนร่วมในระดับมากในเรื่องการกำจัดวัชพืช การปลูก การเตรียมแปลงพืช เพาะกล้าพันธุ์พืช เตรียมพื้นที่เพาะปลูกการใส่ปุ๋ยและอื่นๆ,กิจกรรมไม้ดอกและไม้ประดับ ผู้หญิงม้งอยู่ในระดับมากเรื่องการดูแลและการกำจัดวัชพืช ส่วนการปลูก การเตรียมแปลงเพาะปลูกไม้ตัดดอกอยู่ในระดับปานกลาง 3) การมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พบว่าผู้หญิงม้งอยู่ในระดับมากเรื่องการฝังกลบวัชพืชทำปุ๋ยพืชสด การกำจัดการใช้สารเคมี การลดพื้นที่ต่อการทำไร่เลื่อนลอย ระดับปานกลางในเรื่องการเกษตรแบบขั้นบันได ปลูกพืชหลายชนิดแบบผสมผสานในพื้นที่เดียวกัน ส่วนการปลูกป่าเสริมกับการป้องกันไปป่ามีส่วนร่วมในระดับน้อย เป็นต้น 4) การมีส่วนร่วมในการเกษตรบนที่สูงของผู้หญิงม้งที่อยู่ในระดับปานกลางเช่น การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม อยู่ในระดับน้อยเรื่องการมีส่วนร่วมเช่นการวางแผนปฏิบัติการเกษตร ส่วนการใช้แรงงานในกิจกรรมการเกษตรนั้นอยู่ในระดับมาก (หน้า78 ,29-87) |
|
Social Organization |
สังคมม้ง ได้แบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆ ได้แก่ 1) กลุ่มที่มีบรรพบุรุษเดียวกัน ม้งจะยึดถือเชื้อสายทางพ่อ คนที่มีบรรพบุรุษเหมือนกันนั้นถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกันการจัดกลุ่มแบบนี้จะมีประโยชน์ก็คือจะได้ช่วยเหลือกันในการทำงานมีความไว้เนื้อเชื่อใจเคารพนับถือต่อกัน ช่วยเหลือกันเมื่อเป็นไข้ไม่สบาย เป็นต้น (หน้า 113,114) 2) กลุ่มนับถือผีเดียวกัน โดยจะให้ความช่วยเหลือแม้ว่าไม่ใช่ญาติของตนเองเช่นเมื่อป่วยไข้ไม่สบาย หรือเมื่อเสียชีวิตแล้วหากไม่มีญาติพี่น้องก็จะจัดพิธีศพให้ 3) กลุ่มตระกูลเดียวกันหรือแซ่เหมือนกันจะห้ามแต่งงานกันเพราะถือว่ามีบรรพบุรุษเดียวกัน นอกจากนี้ก็เพื่อเป็นการช่วยเหลือกันในด้านต่างๆ 4) กลุ่มเครือญาติต่างตระกูล คือจะนับญาติฝ่ายแม่หรือทางภรรยาซึ่งเป็นการนับญาติที่เกิดขึ้นหลังจากที่แต่งงานกับคนตระกูลอื่น คือผู้หญิงเมื่อแต่งงานแล้วก็จะตัดขาดจากการนับถือผี กลุ่มบรรพบุรุษเดิมของโดยจะไปจัดพิธีกรรมต่างๆที่ฝ่ายบ้านสามี 5) กลุ่มอื่นๆ ที่ไม่เป็นทางการ คือกลุ่มที่เกิดขึ้นเองในชุมชน ได้แก่ กลุ่มที่มาร่วมกันแลกเปลี่ยนแรงงาน กลุ่มอาชีพ กลุ่มหมอผี กลุ่มหมอสมุนไพร เป็นต้น (หน้า 113-115) |
|
Belief System |
ศาสนาและความเชื่อ ม้งนับถือสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติโดยแบ่งออกเป็น 1 ) ความเชื่อเรื่องผี แบ่งออกเป็น 4 ชนิดคือ ผีบรรพบุรุษคือผีที่ทำหน้าที่คุ้มครองและจะติดตามคนไปทุกหนทุกแห่ง, ผีเรือนทำหน้าที่ปกปักรักษาคนที่อยู่ในบ้านให้อยู่ดีมีสุข ,เจ้าที่ หรือ ” เซ้งเต๊เซ้งเชอ ” ม้งจะเซ่นไหว้และขอพรเมื่อเปลี่ยนถิ่นที่อยู่รวมทั้งบุกเบิกพื้นที่เพาะปลูกแห่งใหม่กับการทำพิธีฝังศพ ,ผีป่า คือผีที่เป็นอันตรายคอยรังคราญทำให้เจ็บไจ้ไม่สบาย เป็นต้น (หน้า 110,111) 2) ความเชื่อเรื่องขวัญหรือวิญญาณ ม้งเรียกว่า”ปลี่ฮ์”(Plig)ม้งเชื่อว่าในร่างกายของคนจะมีขวัญอาศัยหากตกใจขวัญก็จะออกจากร่างกาย หากเป็นเช่นนั้นก็จะทำให้เจ็บไข้ไม่สบายการรักษาจต้องให้หมอผีหรือจื้อเน้ง ทำพิธีเรียกขวัญกลับมาที่ร่างของผู้ป่วยเหมือนเดิมจึงจะหายจากการเจ็บป่วยสำหรับของเซ่นไหว้ถ้าฆ่าสัตว์ก็มักจะใช้ ไก่ แพะ หรือหมู เป็นต้น (หน้า 111) |
|
Education and Socialization |
ทุกวันนี้ม้งส่งลูกหลานเข้าเรียนในโรงเรียนของรัฐมากกว่าเมื่อก่อน ส่วนมากจะเข้าเรียนในโรงเรียนสังกัดสำนักงานประถมศึกษาแห่งชาติ (สปช.) ส่วนในหมู่บ้านที่มีนักเรียนไม่มากก็จะมีโรงเรียนประชาสงเคราะห์ บางแห่งก็จะเรียนที่โรงเรียนตำรวจตระเวณชายแดน เป็นต้น (หน้า 116) |
|
Health and Medicine |
การรักษาพยาบาล แบ่งออกเป็นการรักษาแบบพื้นบ้าน ได้แก่การใช้สมุนไพรสามัญประจำบ้านเมื่อเป็นไข้หรือเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยซึ่งสมุนไพรประจำบ้านม้งจะรู้จักการใช้ทุกครอบครัวส่วนการรักษาโรคเฉพาะทางก็จะใช้สมุนไพรแบบพิเศษ คนที่รักษาจะเป็นหมอยา ผู้ป่วยต้องเสียค่ายกครูเพื่อเป็นค่ารักษาโดยใช้ ธูป 3 ดอก กระดาษเงินกับไก้อีก 1 ตัวโดยมอบให้กับหมอยา การรักษาหมอจะถามอาการเจ็บป่วยจึงจะจัดยาสมุนไพรให้คนป่วย (หน้า 116,117) และการรักษาแบบการแพทย์แผนปัจจุบันได้แก่การซื้อยามากินเองซึ่งจากข้อมูลการสำรวจเมื่อ พ.ศ.2529 ระบุว่า ม้ง 77.7 % ในจังหวัดเชียงใหม่ซื้อยากินเองเมื่อเจ็บป่วย นอกจากนี้ก็รักษาที่สถานีอนามัยประจำหมู่บ้าน (หน้า 117) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย 1 ) ม้งน้ำเงิน (ม้งจั้ว,Blue Hmong) ผู้ชาย สวมกางเกงที่มีลักษณะเป้ายาว ผู้หญิง สวมกระโปรงลายดอก (หน้า 107) สำหรับลวดลายที่ประดับที่กระโปรงนั้นคาดว่าเป็นตัวอักษรของม้ง เมื่อครั้งที่ม้งแพ้สงครามต่อจีนที่มองโกเลีย มีคนบาดเจ็บล้มตาย เป็นจำนวนมาก หนังสือต่างๆ เสียหายและถูกเผาทำลายเป็นจำนวนมากเนื่องจากอยู่ในระหว่างสงครามจึงไม่มีเวลาสอนหนังสือให้กับลูกหลานดังนั้นม้งจึงตกลงกันว่าจะปักตัวอักษรของตนไว้ที่บริเวณชายกระโปรงหากสงครามยุติลงก็ค่อยมารื้อฟื้นความรู้กันอีกครั้ง กระทั่งเวลาได้ผ่านไปพร้อมกับการรบและหลบหนีจึงทำให้ม้งลืมเลือนตัวอักษร ดังนั้นนับจากนั้นเป็นต้นมาจึงเหลือเฉพาะลวดลายที่เห็นบนพื้นกระโปรง (หน้า 109) 2 ) ม้งขาว (ม้งเด๊อ,White Hmong ) ผู้ชาย สวมกางเกงขนาดเป้าสั้น ขาทรงกระบอกหรือกางเกงขาก๊วยแบบจีน ผู้หญิง สวมกางเกงเหมือนผู้ชาย ในอดีตผู้หญิงจะสวมกระโปรงสีขาว ในทุกวันนี้จะสวมกระโปรงเมื่อมีงานประเพณีสำคัญ เช่น วันปีใหม่ งานแต่งงาน และแต่งให้กับศพผู้หญิงในงานศพ ฯลฯ สำหรับการแต่งกายนั้นตามประวัติศาสตร์ระบุว่าม้งน้ำเงินกับม้งขาวเมื่อก่อนเคยอยู่กลุ่มเดียวกัน เมื่อแพ้สงครามต่อจีนเมื่ออยู่ในดินแดน”ป้างเตอหล่าง”หรือจีนเรียกว่า “ม้งเจซือไดฟั่ว” หรือ “มองโกเลีย” กลุ่มนี้ได้เปลี่ยนรูปแบบการแต่งตัวเพื่อไม่ให้เหมือนกลุ่มเดิม ในกลุ่มผู้หญิงได้ตัดกระโปรงด้วยผ้าใยกัญชาซึ่งฟอกจนขาว (หน้า 107,108) 3 ) ม้งกั่วป๊า ม้งแขนปล้องหรือแขนลาย (อพยพมาจากลาวหลัง พ.ศ.2519) ผู้ชาย แต่งกายเหมือนกลุ่มม้งขาวคือ สวมกางเกงขนาดเป้าสั้น ขาทรงกระบอกหรือกางเกงขาก๊วยแบบจีน ผู้หญิง สวมเสื้อที่แขนจากบ่าถึงปลายเสื้อทั้งสองข้างเป็นลายปล้องตัดขวาง (หน้า 108) |
|
Folklore |
นิทานความเป็นมาของม้ง กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ขณะนั้นยังมีกษัตริย์ม้งเป็นเจ้าเมืองเมืองหนึ่ง ซึ่งไม่ได้ระบุปีและชื่อเมืองที่แน่ชัด กษัตริย์พระองค์นี้มีพระมเหสี 7 องค์ ในขณะนั้นกษัตริย์ม้งได้แค้นเคืองพระธิดาพระองค์หนึ่งดังนั้นจึงขับไล่ออกจากเมือง ระหว่างการเดินทางพระธิดาได้รับความทุกข์ยากเป็นอย่างมากจึงขอความช่วยเหลือจากเทวดา ดังนั้นเทวดาจึงมอบผลไม้ให้ เมื่อพระธิดาเสวยผลไม้จึงทรงตั้งพระครรภ์และได้คลอดบุตรที่มี 3 ศีรษะในร่างกายเดียว ครั้นพระธิดาจะเสียชีวิต (ภาคผนวกหน้า 102) จึงบอกทางกับพระโอรสเพื่อให้กลับมายังบ้านเมืองเดิม เมื่อมาถึงพระโอรสที่มี 3 ศีรษะจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ปู่ฟัง เมื่อกลับมาใช้ชีวิตในเมื่อพระโอรสได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนประกอบกับเป็นผู้มีสติปัญญาเรีบนหนังสือเก่ง กษัตริย์ซึ่งเป็นปู่จึงตั้งใจไว้ว่าจะให้ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป เมื่อพระมเหสีทั้ง 7 ทราบข่าวจึงพากันขุ่นเคือง ต่อมาพระโอรสที่มี 3 ศีรษะจึงหนีออกนอกเมือง โดยไปศึกษาความรู้กับอาจารย์เป็นเวลา 3 ปี ซึ่งขณะนั้นก็เรียนพร้อมกับพระโอรสของกษัตริย์จีน อีก 1 องค์ เมื่อสำเร็จการศึกษาจึงออกเดินทางต่อไป (หน้า 103) ครั้นเกิดสงครามระหว่างชนชาติม้งและชนชาติจีน การสู้รบได้ดำเนินต่อไปโดยมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก โดยไม่มีทีท่าว่าผลของสงครามจะเป็นเช่นไร กษัตริย์ม้งจึงให้คนไปตามหลานที่มี 3 ศีรษะเพื่อมาร่วมสู้กับชนชาติจีน ในภายหลังเมื่อหลานที่มี 3 ศีรษะได้ขึ้นเป็นกษัตริย์สงครามก็ยังไม่ยุติโดยไม่มีผู้ใดได้รับชัยชนะดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงทำสัญญาสงบศึกเพื่อแบ่งเขตแดน จากข้อตกลงนั้นม้งได้ปกครองเมืองป้าง เตอหล่าง หรือ มองโกเลีย ส่วนจีนได้ปกครองเมืองปี่เจิ้ง หลังจากที่กษัตริย์ของทั้งสองฝ่ายสวรรคต กษัตริย์ที่มาเป็นคนต่อมาก็ได้อ้างสิทธิ์ในเขตแดนดังนั้นจึงมีพิสูจน์เขตแดน ซึ่งจากการแบ่งพื้นที่ปกครองในอดีตฝ่ายจีนได้กั้นเขตแดนด้วยเสาดิน ส่วนม้งได้ใช้กอหญ้ามัดไว้เพื่อเป็นหลักฐาน หลังจากตรวจสอบคงเหลือเพียงหลักฐานปักปันเขตแดนของจีนเนื่องจากหลักฐานของม้งถูกไฟไหม้ ดังนั้นจึงทำให้เกิดสงครามระหว่างม้งกับจีนขึ้นอีกครั้งซึ่งระหว่างนั้นม้งได้แตกเป็น 3 กลุ่มโดยมี 2 กลุ่มได้เข้ากับฝ่ายจีนหลังจากสู้กันม้งพ่ายแพ้แล้วอพยพเข้าไปอยู่ในเวียดนามกับตอนใต้ของมณฑลยูนนาน (หน้า 103) เมื่อม้งย้ายลงมาทางใต้ของมณฑลยูนนานก็ได้มีผู้นำเพื่อสู้รบกับจีนอีกครั้ง (หน้า 103) ทั้งสองฝ่ายได้สู้รบกันมาเนิ่นนานโดยมารู้ผลแพ้ชนะจึงตกลงทำสัญญาสงบศึก สำหรับสาเหตุที่จีนที่อาจรบชนะม้งได้นั้น ฝ่ายจีนเชื่อว่าเป็นเพราะม้งมีเต่าหินอยู่ 1 ตัวซึ่งเต่าตัวนี้ในระยะเวลา 9 ปีจะออกไข่ 9 ฟองซึ่งจะเว้นช่วงอยู่อย่างนี้ตลอด 9 ปี ดังนั้นฝ่ายจีนจึงวางแผนยืมเต่าหินเมื่อได้มาก็นำไปต้มเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน เมื่อนำมาส่งคืนให้ม้งเต่าตัวนั้นก็ไม่ไข่อีกเลย เมื่อเกิดสงครามขึ้นอีกครั้งจีนจึงมีชัยชนะเหนือฝ่ายม้งคนที่รอดชีวิตจึงอพยพไปอยู่ในเขตประเทศลาวซึ่งอยู่ในระหว่าง พ.ศ. 2200 (หน้า 104) จากสงครามที่เกิดขึ้นทำให้ม้งแค้นจีนมากจึงสาปแช่งว่าหากตายไปก็ขอให้เกิดใเป็นเสือเพื่อฆ่าคนจีน ส่วนคนจีนก็แช่งว่าถ้าม้งลงมายังพื้นราบก็ขอให้เจ็บป่วยจนตายซึ่งนับจากนั้นเรื่อยมาม้งก็ไม่ลงมายังพื้นราบ ดังนั้นผู้นำม้งในสมัยนั้นจึงถามคนจีนว่าหากจะต้องซื้อสินค่าที่จำเป็นในการดำรงชีวิตจะให้ทำเช่นไร ผู้นำจีนจึงบอกว่าคนจีนจะนำไปขายให้ม้งเอง จากนั้นจึงเป็นที่มาของการค้าที่คนจีนเดินทางไปขายของให้ม้งที่อยู่ในหุบเขาห่างไกล กระทั่งวันเวลาผ่านไปคำสาบแช่งนั้นก็คลายความขลังลงในภายหลังม้งจึงสามารถลงมายังพื้นราบได้ตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป (หน้า 104) นิทานการเกิดของแซ่ม้งตระกูลต่างๆ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วภายหลังเหตุการณ์น้ำท่วมโลกคนบนโลกได้ตายทั้งหมด เหลือเพียงพี่น้องชายหญิง 2 คน หากจะแต่งงานกันทั้งสองก็รู้สึกผิดเนื่องจากเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดดังนั้นทั้งสองจึงปรึกษากันโดยใช้การเสี่ยงทายเป็นเครื่องตัดสินใจ พวกเขาจึงนำแผ่นหินทรงกลมมากลิ้งลงภูเขาโดยอธิษฐานว่าถ้าแผ่นหินที่น้องกลิ้งนั้นหงายส่วนแผ่นของพี่ถ้าคว่ำก็สามารถแต่งงานกันได้ ครั้นกลิ้งหินลงภูเขาผลก็เป็นไปตามที่ได้อธิษฐานไว้คือแผ่นหินของผู้น้องนั้นหงาย ส่วนแผ่นของพี่คว่ำ เมื่อทั้งสองแต่งงานกันก็ตั้งครรภ์เมื่อคลอดลูกออกมาก็พบว่าเป็นเพียงก้อนเนื้อทรงกลมไม่มีแขนขา ทั้งสองจึงไปปรึกษากับพระอินทร์ พระอินทร์จึงแนะนำให้สับชิ้นเนื้อนั้นแล้วก็นำชิ้นส่วนนั้นไปแขวนตามต้นไม้ก็เกิดแซ่ต่างๆ ขึ้นมาเช่น เมื่อแขวนบนยอดต้นย่างก็กลายเป็นแซ่ย่าง เมื่อแขวนบนยอดต้นพร้าก็เป็นแซ่โซ้ง เมื่อนำไปแขวนบนต้นม้าก็กลายเป็นแซ่มัว เมื่อนำไปแขวนบนยอดว่าง ก็กลายเป็นแซ่ว่าง เมื่อนำไปแขวนบนยอดเล่อก็กลายเป็นแซกือ และอื่นๆ เมื่อทำตามคำแนะนำของพระอินทร์ในรุ่งเช้าของวันใหม่ ณ ท้องทุ่งกว้างแห่งนั้นก็คละคลุ้งไปด้วยควันไฟ เกิดครอบครัวเป็นม้งแซ่ต่างๆ จากก้อนเนื้อที่สับเป็นจำนวนมาก (ภาคผนวกหน้า 108) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
ตาราง ลักษณะพื้นฐานทั่วไป (หน้า 30) สถานภาพทางเศรษฐกิจ (หน้า 32) ข้อมูลทางด้านการมีส่วนร่วมในการวางแผนปฏิบัติการเกษตร (หน้า 36) ข้อมูลทางด้านการมีส่วนร่วมการใช้แรงงานในกิจกรรมสัตว์เลี้ยง,ด้านพืชผัก ,ไม้ผลและไม้ตัดดอก (หน้า 38,42,46) การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (หน้า 48) ข้อมูลทางด้านการมีส่วนร่วมในการเกษตรบนที่สูงโดยรวม (หน้า 50) ความสัมพันธ์ระหว่างอายุกับการมีส่วนร่วมในการวางแผนปฏิบัติการเกษตร (หน้า 51) การใช้แรงงาน (หน้า 52) อายุการการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ (หน้า 53) อายุกับการมีส่วนร่วมในการเกษตรบนที่สูงโดยรวม (หน้า 54) ความสัมพันธ์ระหว่างสถานภาพสมรสกับการมีส่วนร่วมในการวางแผนปฏิบัติการเกษตร,การใช้แรงงาน (หน้า 55) สถานภาพสมรสกับการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์,การเกษตรบนที่สูง (หน้า 57,58) การศึกษากับการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ (หน้า 59,60,61,62) แหล่งทุนทรัพย์กับการมีส่วนร่วมในการวางแผนปฏิบัติการเกษตร,การใช้แรงงาน,การอนุรักษ์,การเกษตรโดยรวม (หน้า 63,64,65,66)ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตาม (หน้า 74) |
|
|