สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject อาข่า,ทัศนคติ,อำนาจการปกครอง,การเมือง,หน้าที่พลเมืองไทย,เชียงราย
Author วันเพ็ญ ชวรางกูร
Title ทัศนคติและการมีส่วนร่วมทางการเมืองของชาวเขาเผ่าอีก้อ หมู่บ้านผาหมี อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity อ่าข่า, Language and Linguistic Affiliations จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
(เอกสารฉบับ)
Total Pages 120 Year 2539
Source หลักสูตรปริญญารัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการเมืองการปกครอง บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

จากการศึกษาข้อมูล ผู้จัดทำได้นำข้อมูล 5 ด้าน ประกอบด้วย ด้านที่หนึ่ง ข้อมูลพื้นฐาน เช่น เพศ อายุ ครอบครัว      อาชีพรายได้ การศึกษา การนับถือศาสนา ด้านที่สอง ความรู้ความเข้าใจต่อสิทธิหน้าที่ของพลเมืองไทยตามกฎหมาย ด้านที่สาม ทัศนคติต่อผู้ที่มีอำนาจการปกครองและนักการเมือง ด้านที่สี่ ทัศนคติต่อระบบการเมืองไทย ด้านที่ห้า การมีส่วนร่วมทางการเมืองของชาวเขา นำมาประมวลข้อมูลเข้าด้วยกัน ชาวเขาเผ่าอีก้อ มีความเข้าใจเข้าถึงการเมอง หรือการมีส่วนร่วมทางเมืองอยู่มนระดับที่ดีพอสมควร แต่เพื่อให้เกิดการพัฒนาทางความคิด จิตสำนึกทางการเมือง เพิ่มขึ้น ภาครัฐต้องถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจ การมอบกรศึกษาในระบบรัฐให้แก่ชาวเขาอีก้อเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ชาวเขาเผ่าอีก้อ มีความรู้และเข้าใจถึงบทบาทของกลุ่มชนของตน ต่อการปฏิบัติตัวทางการเมือง ต่อสังคม และระดับประเทศต่อไป

Focus

การศึกษาเน้นใน 4 ประเด็น คือ ประเด็นแรก ศึกษาถึงความรู้ความเข้าใจที่มีต่อสิทธิหน้าที่ในทางกฎหมาย และระบบการเมือง การปกครองของไทย ประเด็นที่สอง ศึกษาถึงพฤติกรรมและการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเมือง ประเด็นที่สาม ศึกษาถึงอิทธิพลของปัจจัยส่วนบุคคลที่มีต่อทัศนคติทางการเมือง ประเด็นที่สี่ ศึกษาถึงทัศนคติที่มีต่อผู้มีอำนาจในการปกครองบริหารประเทศ (บทคัดย่อ)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มชาติพันธุ์อ่าข่า

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาอีก้อมาจากภาษาแขนงโล-โล (Lo-Lo) ของพม่า-โล-โล (Bermese-Lo-Lo) ซึ่งแยกออกมาจากกลุ่มธิเบต-พม่า (Tibeto-Burman) (หน้า 46)

Study Period (Data Collection)

เก็บข้อมูลภาคสนาม เป็นช่วงระยะเวลาออกเป็น 2 ช่วง คือ กลุ่มตัวอย่างที่เป็นคนหนุ่มสาวที่อ่านภาษาไทยได้จะทิ้งแบบสอบถามให้กรอก 1-2 วัน และกลุ่มพวกผู้ใหญ่ที่ส่วนมากจะอ่านหนังสือภาษาไทยได้น้อย จำให้ผู้ช่วยวิจัยสัมภาษณ์เป็นภาษาอีก้อ ใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูล ทั้งหมด 10 วัน

History of the Group and Community

ชาวเขาเผ่าอีก้อในประเทศไทยอพยพมาจากแคว้นเชียงตุงของพม่า บางส่วนมาจากลาวและบางกลุ่มอพยพมาจากแคว้นสิบสองปันนาในประเทศจีน กลุ่มแรกที่เข้ามาในประเทศไทย เรียกว่า “ลูโก้อักข่า” อพยพมาจากพม่าเข้ามาเมื่อกว่า 60 ปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มแรกตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้บ้านอีก้อสามแยก อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย อีก้อกลุ่มนี้เรียกว่า “อีก้อไทย” ต่อมาอีกประมาณ 20 ปี อีก้ออีกพวกหนึ่ง เรียกว่า “โลเมอักข่า” หรืออีก้อพม่า อพยพเข้ามาในประเทศไทยเริ่มตั้งถิ่นฐานที่หมู่บ้านอีก้อผาหมี อีก้อกลุ่มที่สาม เรียกว่า “อาย้ออักข่า” หรือ อีก้อจีน เพิ่งอพยพเข้ามาเมื่อ 10 ปีที่ผ่าน อาศัยอยู่ในหมู่บ้านปาสา และที่บ้านโป่งป่าแขม จังหวัดเชียงราย (หน้า 45)

Settlement Pattern

อีก้อ อาศัยอยู่ตามเทือกเขาสูงในระดับสูงเหนือน้ำทะเลประมาณ 3,000-4,000 ฟุต โดยเทือกเขาเหล่านี้เป็นเส้นกั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศพม่า การเลือกตั้งหมู่บ้านมักจะเลือกที่ที่สามารถเข้าถึงได้เพียงด้านเดียว ส่วนมากมักเป็นทางทิศตะวันออก ตั้งใกล้ลำธารที่มีน้ำตลอดปี ไม่นิยมตั้งบ้านเรือนเบียดเสียดกันเป็นหมู่บ้านใหญ่ๆ หนึ่งหมู่บ้านจะมีสมาชิกประมาณ10-15 หลังคาเรือนเท่านั้น และจะไม่เกิน 50 หลังคาเรือน แต่ละหมู่บ้านจะตั้งหมู่บ้านห่างกันประมาณ 3-5 กิโลเมตร (หน้า 8, 10, 47) การสร้างบ้านเรือนอาศัยไม้ไผ่เป็นส่วนประกอบสำคัญ ไม่นิยมสร้างบ้านแบบถาวร เพราะมักจะมีการโยกย้ายที่อยู่ อาศัยที่หนึ่งไม่เกิน 20 ปี เนื่องจากความเชื่อในโชคลางและความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่เพาะปลูก สภาพหมู่บ้านไม่มีการล้อมรั้วหมู่บ้าน บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านจะตั้งอยู่ตรงกลางหมู่บ้าน (หน้า 48)

Demography

ข้อมูลทำเนียบชุมชนบนพื้นที่สูงในประเทศไทยปี 2538 ของกรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงแรงงาน และสวัสดิการสังคม พบว่ามีชาวเผ่าอีก้อในประเทศไทยรวมทั้งสิ้น 49,903 คน (หน้า 46)

Economy

อาชีพสำคัญของอีก้อ คือ การเพาะปลูกแบบไร่เลื่อนลอย มีการล่าสัตว์ไม่ได้ทำเป็นอาชีพสำคัญแบบมูเซอ อีก้อในไทยหลายหมู่บ้านทำการค้าฝิ่นและการเอาเงินไปซื้ออาหารและสินค้าอื่นๆ เพาะปลูกพืชที่เป็นอาหาร ได้แก่ ข้าว ข้าวฟ่าง ข้าวเดือย อ้อย พริก ผัก ถั่ว มัน แตง และกล้วย ปลูกในสวนนอกหมู่บ้าน ผักสวนครัวทำกันน้อยจึงทำให้มักขาดผัก อีก้อยังปลูกยาสูบ ชา และฝ้าย รวมทั้งฝิ่น ไร่เลื่อนลอยกินเนื้อที่สามไร่ต่อครอบครัว ปลูกพืชผักรวมอยู่ในไร่เดียวกัน มีแต่ยาสูบและฝิ่นที่ปลูกแยกจากผักชนิดอื่น การถางป่าเพื่อทำไร่ทำเลือกทำเล ใกล้ลำธาร พื้นที่สูงชัน ดินร่วนดูดน้ำไว้ได้นาน และจะทำพิธีเซ่นสังเวยผีป่าเสียก่อน แล้วจึงลงมือแผ้วถางป่า โดยตัดไม้ใหญ่ลงก่อน แล้วตัดต้นไม้เล็กทีหลัง ไร่ๆหนึ่ง จะทำการเพาะปลูกประมาณ 3 ปี เมื่อดินจืดและได้ผลผลิตน้อยก็จะทิ้งไร่ พากันไปหาที่ใหม่ และทำการถางเผาป่าต่อไป สัตว์เลี้ยงได้แก่ หมูและไก่ เลี้ยงไว้เพื่อทำพิธีเซ่นสรวงโดยเฉพาะ ชาวเขาอีก้อมีช่างเหล็กและช่างเงินเพียงส่วนน้อย ซึ่งทำอุปกรณ์ได้คุณภาพไม่ดีนัก อีกทั้งทำข้าวด้วยมือเพราะไม่รู้จักวิธีการใช้โม่ ไม่รู้จักเลี้ยงวัว หมูเป็นสัตว์ที่สำคัญที่สุด พวกอีก้อไม่ค่อยลงมายังพื้นราบ จะซื้อสินค้าต่างๆ จากพ่อค้าฮ่อ ซึ่งนำไปขายถึงหมู่บ้าน (หน้า 49-50)

Social Organization

ถือการสืบเชื้อสายโลหิตทางบิดาเป็นสำคัญ เรียกว่า “อิจี” อีก้อทุกคนขึ้นอยู่กับอิจีของพวกตนมาแต่กำเนิด เคารพบรรพบุรุษ อีก้อมีระบบครอบครัวขยายทางบิดา ลูกชายอาจจะปลูกบ้านอยู่ต่างหาก แต่จะยังอยู่ในบริเวณบ้านบิดา การแต่งงาน หญิงชายมีสิทธิเลือกคู่ได้อย่างเท่าเทียม มีเพศสัมพันธ์ได้ก่อนแต่งงาน ณ ลานสาวกอด หรือเรียกว่า “กะลา ล่าเซอ” แล้วจึงทำการสู่ขอกันตามประเพณี ในปีหนึ่งมีพิธีแต่งงานได้เพียง 6 เดือน คือ นับจากการปลูกข้าวไร่แล้วหรือระหว่างฤดูฝนถึงฤดูหนาว หากชายหญิงได้เสียในระหว่างนี้ก็พักการแต่งงานไว้จนถึงฤดูกรีดฝิ่น ถือว่าเดือน 9 เป็นเดือนร้าย ห้ามแต่งงานในเดือนนี้เป็นต้นไป การแต่งงานไม่มีการหมั้นไว้ก่อน เมื่อพอใจ-ได้เสียกันก็ขอแต่งงานได้ทันที การเรียกเงินแต่งงานไม่ระบุตายตัว ขึ้นอยู่กับฐานะฝ่ายชายเป็นสำคัญ ชายที่มีภรรยาแล้วแต่ไม่มีลูกสืบตระกูล ชายคนนั้นสามารถหาภรรยาใหม่ได้ โดยเลือกหญิงสาวในลานสาวกอด หญิงที่มีสามีแล้ว ถ้านอกใจสามีจะแจ้งให้หัวหน้าหมู่บ้านทราบ ถามความสมัครใจให้ฝ่ายชายชู้รับเป็นภรรยา ฝ่ายชายชู้ต้องเสียเงินให้แก่ผู้ใหญ่ฝ่ายสามีเดิมของนาง แต่ถ้าหนีตาม ฝ่ายหญิงต้องจ่ายให้แก่สามีเดิม ถ้าฝ่ายชายต้องการเลิกกับภรรยาก็ทำได้ โดยต้องรับเลี้ยงดูลูกทั้งหมดและจ่ายเงินให้แก่ภรรยาจำนวนหนึ่ง ถ้าฝ่ายหญิงจะเลิกกับสามีก่อนต้องเสียเงินเป็นสองเท่าที่สามีจ่ายไปในการจัดพิธีแต่งงานทั้งหมด อีก้อรักลูกชายมากกว่าลูกหญิง (หน้า 51-52)

Political Organization

หมู่บ้านอีก้อทุกแห่งจะมีหัวหน้าอย่างน้อย 1 คน หมู่บ้านใดมีหัวหน้าคนเดียวจะเรียกหัวหน้าคนนั้นว่า เจอม่า (Djew Ma) หรือหัวหน้าคนที่หนึ่ง ถ้าหมู่บ้านใดมีหัวหน้าหลายคนหัวหน้าที่จะถูกเรียกว่าเจอม่า และรองๆลงไปจะเรียกว่าเจอย่า (Djew Ya) การเข้าดำรงตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านนั้นอาจจะได้มาโดยการเลือกตั้ง หรืออาจจะเป็นตำแหน่งที่ตกทอดเป็นมรดกก็ได้ ผู้อาวุโสในหมู่บ้านจะเป็นผู้เลือกตั้งหัวหน้าหมู่บ้าน ที่มีฐานะค่อนข้างดีและมีคนนับถือมาก เป็นหัวหน้าหมู่บ้านและรองหัวหน้าหมู่บ้าน (ถ้ามี) จะเป็นผู้ให้ความเห็นแนะนำในเรื่องต่างๆ รวมทั้งการตัดสินลงโทษด้วย การลักขโมยจะถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน คดีฆ่ากันตายผู้ฆ่าอาจจะถูกตัดสินใจให้ตายตกตามกันไป และการลงโทษรุนแรงของผู้ชายคือการตัดหางเปียออก ซึ่งจะทำให้ตายทั้งเป็นด้วยความกลัวและอาจทำให้คนที่ถูกลงโทษนั้นกลายเป็นบ้าไปได้จริงๆ ตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านจะสืบทอดทางสายโลหิต อีก้อมีกฎทางศีลธรรมอย่างชัดเจน หัวหน้าหมู่บ้าน หมอผี คนเฒ่าคนแก่ เป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับกฎของหมู่บ้าน การละเมิดกฎที่ต้องเสียค่าปรับมี 4 ระดับ ค่าปรับเรียกเป็นรูปีซึ่งไม่รวมถึงหมู ข้าว ข้าวโพด เหล้า ซึ่งจะต้องใช้ในการทำพิธี การประเมินค่าปรับบางครั้งอาจมีการต่อรองให้ลดลงได้ แต่ต้องมีจำนวนไม่ต่ำไปกว่าอัตราค่าปรับชั้นต่ำลงไป การขัดแย้งในครอบครัวหรือระหว่างครอบครัวจะถูกระงับโดยสมาชิกของครอบครัวแต่ละครอบครัว หากตกลงกันไม่ได้ผู้นำของหมู่บ้านเป็นผู้ไกล่เกลี่ย การละเมิดผีของหมู่บ้านและบรรพบุรุษ คนทั้งหมู่บ้าน จะมีการเรียกบุคคลหรือบุคคลจากหมู่บ้านอีก้ออื่นหรือบุคคลหรือครอบครัวจากหมู่บ้านมูเซอ หมู่บ้านลีซอ หรือหมู่บ้านเย้า มาร่วมกันตัดสิน หากตกลงกันไม่ได้จะขอความช่วยเหลือการ ตชด.(หน้า 48-49) นอกจากนี้อีก้อ ยังมีความเข้าใจต่อสิทธิหน้าที่พลเมืองไทย ตามกฎหมาย เรียนรู้เกี่ยวกับการเลือกผู้แทนทางการเมือง เช่น การเลือกกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มีส่วนร่วมทางการเมืองในการแสดงออก ตามหลักประชาธิปไตย การใช้สิทธิเลือกตั้งส.ส. ส.จ. โดยคนหนุ่มสาวของเผ่าจะมีความรู้ความเข้าใจและการมีส่วนร่วมทางการเมืองมากกว่าผู้สูงอายุ(หน้า93-94)

Belief System

อีก้อนับถือผีอย่างเป็นอย่างมาก และไม่นิยมนับถือศาสนาอื่นๆ พวกเขาเชื่อว่ามีผีดีและผีชั่วร้ายสิงสู่อยู่ตามสิ่งต่างๆ เช่น ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ ลำธาร นอกจากนี้ยังมีผีประจำหมู่บ้าน และผีเรือน ซึ่งเป็นวิญญาณของบรรพบุรุษที่คอยให้การคุ้มครองลูกหลานของตน ผีเรือนเรียกว่า “มิดสา” (Mitsa) ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพบูชาของครอบครัวอีก้อ อีก้อเชื่อว่าผีดีจะคอยคุ้มครองรักษาชาวบ้านและครอบครัวให้อยู่เย็นเป็นสุข ส่วนผีร้ายจะทำร้ายชาวบ้าน เป็นผีอดอยาก ชอบสิงสู่อยู่ตามต้นไม้ ห้วยลำธาร แอ่งน้ำ สัตว์ป่า หรืออาจเข้าสิงบุคคลทำให้เจ็บป่วยล้มตายได้ อีก้อกลัวน้ำมากจึงไม่นิยมการอาบน้ำ ทำให้อีก้อเป็นพวกที่สกปรกมาก นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมการบูชาวิญญาณ จะมีผู้นำพิธีกรรมทางศาสนา อาจเป็นชายหรือหญิงหรือหัวหน้าหมู่บ้านก็ได้ อาจะมีถึง 2 คน อีกคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย เรียกว่า “ปิมา” (Pi ma) และ “ปิยา” ตามลำดับ บางหมู่บ้านจะมีหัวหน้าอาวุโสซึ่งเป็นสืบทอดกันมา เรียกว่า ตูโม่ (Tu Mo) ทำหน้าที่ร่ายเวทมนต์ คาถาต่างๆ เป็นผู้ทำนายและบอกเหตุการณ์ล่วงหน้าของหมู่บ้าน (หน้า 52)

Education and Socialization

ระดับการศึกษากว่าร้อยละ 64.4 เป็นผู้ไม่ผ่านระบบการศึกษาของรัฐ (หน้า 84) ยังคงยึดถือวิธีการปฏิบัติตามบรรพบุรุษ ยึดขนบธรรมเนียมตามชนเผ่า

Health and Medicine

ไม่ระบุ

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกายผู้หญิงอีก้อไว้ผมยาวหวีผมแสกกลางปรกใบหูทั้งสองข้างรวบไว้ตรงต้นคอหลัง ตวัดปลายผมม้วนขึ้นเป็นก้อนกลมๆ เล็กบนศีรษะ และสวมหมวกทับอีกชั้นหนึ่ง หมวกเป็นเครื่องแต่งกายที่สวยที่สุดของอีก้อ หมวกด้านล่างกว้างกลม ข้างบนเล็กแหลมสูงขึ้นไป หมวกประดับด้วยกระดุมเปลือกหอยเบี้ย กระดุมเงิน ลูกเดือย ลูกปัด แซมด้วยขนนก ขนไก่ ขนกระรอก ขนชะนีทำเป็นปุยย้อมสีแดงสีเหลือง ผูกห้อยโยงมาข้างหู ที่คอสวมแผ่นเงินเป็นรูปดอกจันทร์ 2-3 อัน บ้างก็สวมห่วงคอโลหะเงินกลมๆ ส่วนหญิงที่แต่งงานแล้วจะใส่เครื่องประดับน้อยกว่าหญิงสาว การสวมใส่กระโปรง เป็นกระโปรงสั้นสีดำเหนือเข่า มีจีบรอบเอว หญิงอีก้อนิยมนุ่งกระโปรงเอวต่ำ ปล่อยหย่อนลงมาใต้ท้อง เสื้อชั้นในใช้ผ้ากว้างขนาด 1 คืบพันรอบอก สวมเสื้อสีดำสั้นแค่เอว ผ่าอกตลอดทับอีกชั้นหนึ่ง แขนยาวถึงข้อมือ ด้านหน้าไม่กลัดกระดุม เสื้อทุกเม็ดมักปล่อยว่างให้เห็นท้อง หญิงบางคนมีผ้าคาดเอว ปล่อยปลายผ้าซึ่งมีลวดลายห้อยลงมาปิดข้างหน้า ผู้ชายอีก้อนิยมโกนผมรอบศีรษะ และไว้ผมเป็นกระจุกตรงกลางศีรษะปล่อยผมห้อยลงมาคล้ายหางเปีย แต่ไม่ถักเป็นเปีย แต่ใช้เชือกผูกเอาไว้ มีความเชื่อว่าถ้าไม่ไว้ผมจุกจะถูกผีทำให้ให้กลายเป็นคนบ้า โพกศีรษะด้วยผ้าสีดำแคบๆ แต่ยาวพันไว้เป็นวงกลม ตรงกลางกลวงยกขึ้นสวมศีรษะ มองเห็นจุกผม สวมเสื้อแขนยาวรูปทรงกระบอก คอกลมผ่าอก มีดอกจันทร์โลหะเล็กๆ แขวนเชือกผูกที่ต้นคอ และประดับเหรียญเงิน กระดุมเงินตามขอบเสื้อและด้านหลัง และนุ่งกางเกงขายาวสีดำ (หน้า 47)

Folklore

ไม่ระบุ

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่ระบุ

Social Cultural and Identity Change

จากการที่หมู่บ้านอีก้อตั้งอยู่บนที่สูง อีกทั้งไม่นิยมลงมายังพื้นราบ ทำให้การติดต่อกับโลกภายนอกเป็นไปอย่างจำกัด

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ผู้เขียนได้ใช้ตารางเพื่ออธิบายข้อมูลเชิงปริมาณเห็นชัดเจน โดยเฉพาะข้อมูลในบทที่ 5 เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติตามหัวข้อดังต่อไปนี้ 1.ข้อมูลพื้นฐานของประชากรผู้ตอบแบบสอบถาม (หน้า 58-62) 2. ความรู้ความเข้าต่อสิทธิหน้าที่ที่พลเมืองไทยตามกฎหมาย (หน้า 63-65) 3. ทัศนคติต่อผู้มีอำนาจการปกครอง นักการเมือง (หน้า 66) 4. ทัศนคติต่อระบบการเมืองไทย (หน้า 68) 5. การมีส่วนร่วมทางการเมืองของชาวเขา (หน้า 69-88)

Text Analyst เมธีรา ฤกษดายุทธ์ Date of Report 30 มิ.ย 2560
TAG อาข่า, ทัศนคติ, อำนาจการปกครอง, การเมือง, หน้าที่พลเมืองไทย, เชียงราย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง