|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลื้อ,การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ,อัตลักษณ์,การปรับตัว,เชียงใหม่ |
Author |
เสกสรร สรรสรพิสุทธิ์ |
Title |
อัตลักษณ์ของไทลื้อและการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดภายใต้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม : กรณีศึกษาบ้านแม่สาบ ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ไทลื้อ ลื้อ ไตลื้อ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) |
Total Pages |
131 |
Year |
2546 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
ไทลื้อบ้านแม่สาบมีการตั้งถิ่นฐานในอาณาจักรล้านนามาเป็นระยะเวลายาวนาน โดยยึดถือการปลูกข้าวในการดำรงชีพ ดังนั้น “ข้าวและควาย” จึงเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ไทลื้อมีความเชื่อเกี่ยวกับผีเป็นสิ่งสูงสุดที่สถิตอยู่กับทุกสิ่งในชีวิตและธรรมชาติ ดังนั้นความเชื่อ พิธีกรรมและค่านิยมในชุมชนเป็นการแสดงออกของคุณธรรมสูงสุด และมีผลกระทบต่อพฤติกรรมการผลิตทางเศรษฐกิจ การจำหน่ายผลผลิต และการจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เป็นไปอย่างสมดุล แต่ผลจากการสนับสนุนการลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ได้ส่งผลกระทบต่อระบบการผลิตและการบริโภคของชาวไทลื้อเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังส่งผลต่ออัตลักษณ์ทางสังคม วัฒนธรรมด้วย แต่ไทลื้อบ้านแม่สาบก็ยังคงสามารถปรับอัตลักษณ์ ประเพณี วัฒนธรรมเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ |
|
Focus |
มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเกี่ยวกับการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของระบบการผลิต ความสัมพันธ์ทางสังคมในการผลิต และการบริโภคภายใต้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม ซึ่งมีผลกระทบต่อระบบความเชื่อ พิธีกรรม ระบบคุณค่า นอกจากนี้ยังรวมถึงผลกระทบต่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในชุมชนไทลื้อ |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อหรือไตลื้อ บ้านแม่สาย ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 8) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
กลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อ พูดภาษาในตระกูลไท มีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเอง (หน้า 1) ภาษาไทลื้อคล้ายภาษาพื้นเมืองภาคเหนือ แต่มีสำเนียงและศัพท์บางคำต่างกัน (หน้า 47) |
|
Study Period (Data Collection) |
เดือนพฤษภาคม 2543 จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2544 |
|
History of the Group and Community |
ประวัติการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชุมชนไทลื้อบ้านแม่สาบยังไม่ชัดเจนนัก โดยมีข้อคิดเห็นที่แตกต่างกัน คือ 1. อพยพมาจากเมืองลวง เมืองแช่ เมืองเชียงรุ่ง โดยถูกกวาดต้อนมาในสมัย พันตรีถวิล อยู่เย็น เดินทางไปราบเชียงตุง หรือกวาดต้อนมาจากสิบสองปันนา ในสมัยเจ้าน้อยกาวิละ (อุปราชน้อย ธรรมลังกา) มาตั้งรกรากที่วัดเชียงรุ่ง ตำบลหายยา และต่อมาถูกส่งไปเลี้ยงช้างที่บ้านแม่สาบ จนถูกตัดขาดจากคนภายนอก ช่วงระยะเวลาในการตั้งถิ่นฐานชุมชนสันนิษฐานว่าอยู่ในราว จ.ศ.1174 (พ.ศ.2355) 2. ปู่เทิ่มเจ้าราชได้อพยพผู้คน ช้างมา วัวควาย มาจากสิบสองปันนา มาจนถึงสถานที่แห่งหนึ่งได้ตั้งที่หยุดพักชั่วคราว สร้างคอกสัตว์ จนเกิดเป็นหมู่บ้านห้วยคอก แล้วได้อพยพชาวไทลื้อมาอยู่แงใหม่ที่หมู่บ้านแม่สาบ 3. เจ้านายฝายเหนือนำกำลังไปรบกับพม่าตีได้เมืองเชียงรุ่ง เมืองยอง เมืองสิบสองปันนา และได้อพยพผู้คนจากสิบสองปันนามาอยู่ที่เชียงตุง พวกเมืองยอง เมืองเชียงรุ่ง และเขิน ได้เดินทางไปจนถึงสะพานแม่สาย แล้วแยกกันไปตั้งถิ่นฐานยังหมู่บ้านต่างๆ ในจังหวัดเชียงราย ลำพูน ลำปาง และเชียงใหม่ เขินอยู่ที่แม่วาง ลื้อบางส่วนอยู่ที่หมู่บ้านลวงเหนือ บ้านลวงใต้ อำเภอสะเก็ด ส่วนที่นำโดยปู่เทิ่ม พระยาราช หนานปั้นญา ปู่เสาร์ ปู่ก้อนอพยพมาตั้งรกรากที่หมู่บ้านแม่สาบ อำเภอสะเมิง จากข้อคิดเห็นทั้งหมดพอที่จะสรุปได้ว่าไทลื้อบ้านแม่สาบสืบเชื้อสายมาจากไทลื้อในแคว้นสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ประเทศจีน อพยพเข้ามาในสมัยกรุงธนบุรีถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งขณะนั้นไทยทำสงครามขับไล่พม่าออกจากล้านนา พระเจ้ากาวิละเจ้าผู้ครองเชียงใหม่จึงอพยพผู้คนจากสิบสองปันนามายังล้านนา รวมถึงไทลื้อกลุ่มที่นำโดยปู่เทิ่มได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านแม่สาย ซึ่งเป็นที่ราบลุ่มระหว่างหุบเขาในอำเภอสะเมิง (หน้า 37-41) |
|
Settlement Pattern |
ลักษณะการตั้งบ้านเรือน หมู่บ้านตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบเชิงเขาด้านตะวันตก แบ่งบ้านออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มบ้านแม่สาบเหนือประกอบด้วย 148 หลังคาเรือน และกลุ่มบ้านแม่สาบใต้ประกอบด้วย 164 หลังคาเรือน ทั้งสองกลุ่มถูกแบ่งออกด้วยลำห้อยก๋องงอง การตั้งบ้านเรือนจะสร้างบ้านตามเส้นทางคมนาคม บ้านทุกหลังจะมีถนนตัดผ่าน โดยบ้านแต่ละหลังจะสร้างรั้วเป็นแนวกั้นเขตบริเวณบ้านและปลูกต้นไม้เป็นแนวเสริมอย่างเป็นระเบียบ (หน้า 42) ลักษณะของบ้านเรือน รูปแบบการสร้างบ้านเรือน ในอดีตนิยมสร้างด้วยไม่ไผ่ทั้งหลัง ไม่ว่าจะเป็นตัวบ้าน ฝาผนัง พื้นบ้าน มีเพียงเสาตัวบ้านที่จะใช้ต้นไม้ใหญ่ โดยการใช้ไม้ไผ่สับกางแผ่ออกเป็นแผ่นที่เรียกว่า สับฟาก มุงหลังคาด้วยใบตองตึง (ใบต้นพลวง) โดยนำมาสานเป็นไพ (สานเป็นตับ) บางบ้านอาจจะใช้หญ้าคาเรียงเป็นหลังคา ลักษณะบ้านเป็นบ้านยกพื้น แต่ไม่สูงจากพื้นดินมากนัก ประมาณ 1.5-2 เมตร การสร้างบ้านใช้วิธีขัดเข้าลิ่มหรือเจาะสอด และใช้ตอกหรือหวานคาดทับ ลักษณะภายในบ้านเป็นห้องโถงใหญ่โล่งตลอด แบ่งสอยเป็นห้องเล็กๆ แบ่งสัดส่วนเพื่อใช้ทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ห้องครัว หัวเติ๋น (ห้องรับแขก) และห้องนอน (หน้า 56) |
|
Demography |
ชุมชนบ้านแม่สาบเป็นไทลื้อชุมชนใหญ่ มีประชากร 1,073 คน ชาย 527 หญิง 546 คน จำนวนครัวเรือนตามทะเบียนราษฎร์ 279 ครัวเรือน อายุเฉลี่ย ร้อยละ 65 เป็นวัยแรงงาน 14-60 ปี ปัจจุบันประชากรในหมู่บ้านร้อยละ 95 เป็นไทลื้อ ส่วนที่เหลือเป็นคนนอกพื้นที่ที่เข้ามาตั้งถิ่นบานหรือแต่งงานอยู่ภายในหมู่บ้าน ระดับการศึกษาอยู่ในเกณฑ์ดี อ่านออกเขียนได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ลักษณะของครอบครัวเป็นครอบครัวเดี่ยว (หน้า 46) |
|
Economy |
1) ระบบการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ มีระบบการเกษตรเพื่อยังชีพ โดยมีปัจจัยทางฤดูกาลและทรัพยากรทางธรรมชาติเป็นตัวกำหนดชนิดของพืชและกิจกรรมในการผลิต พืชที่สำคัญในการเพาะปลูกคือ ข้าว ยาสูบ พริก กระเทียม หอมแดง ผักกาด ผักชี ถั่วชนิดต่างๆ ฝ้ายและอ้อย ปลูกตามความต้องการในการบริโภคของแต่ละครัวเรือน โดยปลูกในลักษณะหมุนเวียนซึ่งจะทำให้ดินมีสภาพสมบูรณ์ โดยในช่วงเดือนพฤษภาคม-ธันวาคมจะเป็นฤดูกาลทำนา เดือนธันวาคม- มีนาคม เป็นช่วงการดูแลสวนหอมกระเทียม สวนยาสูบ ผักสวนครัวอื่นๆ และการหาเชื้อเพลิง เดือนมีนาคม-พฤษภาคม เก็บใบยาสูบมาบ่มเพื่อมาซอยและตากให้แห้ง ถอนกระเทียมไปตากให้แห้ง ซึ่งในกระบวนการต่างๆ ของการเพาะปลูกจะมีการแบ่งงานในครอบครัว และการช่วยเหลือกันในชุมชน ส่วนการเลี้ยงสัตว์นั้นมักจะเลี้ยงไว้เพื่อใช้แรงงานและไว้เป็นอาหารในช่วงที่มีพิธีสำคัญต่างๆ ได้แก่ ควาย วัว หมู ไก่ (หน้า 60-66) 2) การจัดสรรทรัพยากรน้ำ ไทลื้อใช้ระบบเหมืองฝายในการจัดสรรน้ำในชุมชนมาตั้งแต่อดีตโดยใช้ไม้เนื้อแข็งท่อนใหญ่ตอกปักลงไปเป็นแนวบริเวณที่ต้องการกั้นน้ำประมาณ 3-5 แถว โดยหลักจะสูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามลำน้ำ จากนั้นใช้ท่อนไม้ไผ่หรือแผ่นไม้ขัดแตะวางกั้นเป็นคอกลงในระหว่างช่องของหลักไม้ แล้วใช้ก้อนหินวางทับลงไปในคอกไม้ระหว่างแนวหลักแต่ละแถว ในฤดูที่น้ำน้อยจะมีการใส่กระสอบทรายหรือกระสอบดินวางทับลงไปด้วย ความกว้างของฝายจะขึ้นอยู่กับความกว้างของลำน้ำ และป้องกันการระบายน้ำที่เร็วเกินไปก็จะมีการขุดลำเหมืองบริเวณหัวฝายไปยังที่นาที่สวน โดยในแต่ละเหมืองจะมีลำเหมืองหลักเรียกว่า “เหมืองหลวง” ลำเมืองที่ขุดแยกจากลำเหมืองหลวงเรียกว่า “เหมืองซอย” ปัจจุบันหมู่บ้านแม่สาบมีเหมืองฝายทั้งหมด 9 แห่ง ซึ่งแต่ละฝายจะมีลำเหมืองหลัก 9 สาย ฝายแต่ละแห่งจะมี “แก่ฝาย”ซึ่งสมาชิกจะเลือกจากผู้ที่มีความสามารถ ทำหน้าที่ควบคุมดูแลสมาชิกผู้ใช้น้ำในเหมืองฝาย “ล่าม” แก่ฝายจะเป็นผู้เลือก ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยแก่ฝาย ดูแลสภาพเหมืองฝาย ตรวจสอบปริมาณน้ำ การจัดสรรแบ่งปันน้ำจึงเป็นหน้าที่ของแก่ฝ่ายและล่ามในการตัดสินใจ และคอยไกล่เกลี่ยปัญหาที่เกิดจากการใช้น้ำในฝาย (หน้า 93-95) 3) การเปลี่ยนแปลงสภาพเศรษฐกิจ วิถีชีวิตของไทลื้อบ้านสาบเป็นการประกอบอาชีพเกษตรกรรมเพื่อการยังชีพ ผลิตพืชผลที่พอกินพอใช้ในครอบครัว วิถีการผลิตอาศัยแรงงานละปัจจัยทางธรรมชาติเป็นหลัก สิ่งของเครื่องใช้และสินค้าได้จากธรรมชาติ ใช้เพื่อให้ชีวิตอยู่ได้เท่านั้น ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น “ระบบเศรษฐกิจแบบธรรมชาติ” ผลจากนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของรัฐบาลทำให้วิถีชีวิตของไทลื้อบ้านสาบเริ่มเปลี่ยนไปเป็นการทำการเกษตรที่มุ้งเน้นปริมาณของผลผลิตและรายได้ มีความสัมพันธ์ในแบบของการค้ามากขึ้น เครื่องจักรเครื่องยนต์และเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ในการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด มีการจับจ่ายสิ่งของที่เป็นเครื่องอำนวยความสะดวกและเครื่องใช้ซึ่งเป็นรูปแบบ “ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม” มากขึ้น โดยระบบเกษตรกรรมไทยลื้อบ้านแม่สาบมีการเปลี่ยนแปลง 2 ช่วงคือ 1. ช่วงปี 2492-2530 โดยการตั้งโรงบ่มยาสูบที่อำเภอสะเมิง และการให้บริการไฟฟ้า 2. ช่วงหลัง พ.ศ.2530 จนถึงปัจจุบัน เป็นการปรับปรุงถนนสายแม่ริม-สะเมิงโดยการลาดยางตลอดสาย และผลจากการก่อตั้งสหกรณ์การเกษตร ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรอำเภอสะเมิง ทำให้มีการกู้เงินมาทำการเกษตรจึงต้องผลิตสินค้าให้มากขึ้นเพื่อให้เพียงพอต่อต้นทุนที่สูงขึ้น (หน้า 99-115) 4) การหันกลับมาปลูกข้าว ช่วงปี พ.ศ.2539-3542 ไทลื้อบ้านสาบหยุดปลูกข้าวเพื่อเตรียมดินไว้ปลูกกระเทียม โดยซื้อข้าวจากอำเภออื่นมาบริโภค แต่ผลจากการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี พ.ศ.2540-2541 ราคากระเทียมตกต่ำ รายได้จากการขายกระเทียมลดลง จึงเริ่มให้ความสำคัญต่อการลดรายจ่ายของครอบครัวโดยหันมาปลูกข้าวไว้กินเอง จนกระทั้งปี พ.ศ.2543 เป็นต้นมาชาวบ้านส่วนใหญ่จึงหันกลับมาปลูกข้าวในที่นาของตนเองอีกครั้ง โดยการปลูก “ข้าวไร่” แทน “ข้าวน้ำ” เพราะเป็นข้าวที่ไม่ต้องการน้ำมากและทนต่อความแห้งแล้ง แต่ก็อย่างไรก็ตามก็ยังคงให้ความสำคัญกับการปลูกกระเทียมซึ่งเป็นรายได้หลักควบคู่กันไปด้วย (หน้า 119-121) |
|
Social Organization |
การควบคุมทางสังคม “ขึด” คือความเชื่อเกี่ยวกับพฤติกรรมปฏิบัติในสิ่งที่ไม่ดี ขัดกับศีลธรรม ส่งผลกระทบต่อตนเองและครอบครัว ขึด จึงเป็นเครื่องมือในการควบคุมพฤติกรรมของไทลื้อ ซึ่งสามารถแบ่งออก 2 ประเภท คือ ขึดน้อย เป็นการทำผิดที่สามารถแก้ไขได้ เช่น การปัสสาวะรดจอมปลวก ซึ่งเป็นที่สถิตของผี แก้ไขโดยการนำกรวยข้าวตอกดอกไม้ไปขอขมา และขึดหลวง เป็นการทำผิดร้ายแรง แก้ไขได้ยาก เช่น การสร้างบ้านบริเวณทางผีผ่าน การถมบ่อน้ำ การเข้าไปสร้างบ้านหรือทำสวนบริเวณวัดห่าง (วัดร้าง) ซึ่งจะทำให้ตนเองหรือครอบครัวล้มป่วยหรือเสียชีวิตได้ (หน้า 78) |
|
Political Organization |
1. ผู้นำชุมชน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ซึ่งจะร่วมมือในการบริหารงานปกครอง แก้ปัญหาและพัฒนาด้านต่างๆ 1.1 ผู้นำอย่างเป็นทางการ ได้รับการแต่งตั้งจากทางราชการ อยู่ในรูปของคณะกรรมการหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านจะเป็นประธานคณะกรรมการ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 2 คนและคณะกรรมการอีก 7- 10 คน ช่วยดูแลงานฝ่ายต่างๆ 1.2 ผู้นำอย่างไม่เป็นทางการ คือผู้อาวุโสภายในชุมชน ซึ่งเป็นผู้ที่คนในชุมชนให้ความเคารพนับถือ เป็นผู้นำชุมชนในการจัดประชุมประจำเดือนของหมู่บ้าน การร่วมชุมชนในโอกาสสำคัญ การทำบุญร่วมกันที่วัด หรือการประชุมกลุ่มองค์กรต่างๆ ในชุมชน (หน้า 51-52) 2. การแบ่งกลุ่มบ้าน หมู่บ้านแม่สาบมีบริเวณกว้างและมีครอบครัวอยู่หนาแน่น จึงแบ่งพื้นที่เป็น 2 กลุ่มบ้านได้แก่ กลุ่มแม่สาบเหนือและกลุ่มแม่สาบใต้ โดยมีลำห้วยก๋องงองเป็นเส้นแบ่ง และทั้งกลุ่มแม่สาบเหนือและกลุ่มแม่สาบใต้ยังมีการแบ่งกลุ่มบ้านย่อยลงไปอีก โดยเรียกชื่อตามลักษณะภูมิประเทศหรือช่วงเวลาการเกิดของกลุ่มบ้านซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีสมาชิกประมาณ 10-40 ครัวเรือน (หน้า 52-53) |
|
Belief System |
1. ผี การได้อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิดจึงทำให้มีความเชื่อหรือวัฒนธรรมกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ การนับถือผี ไม่ว่าจะเป็นผีเสื้อบ้าน ผีต้นไม้ ผีเสื้อนา ผีปู่ย่า โดยเชื่อว่า ผีเป็นผู้คุ้มครองให้ชาวบ้านอยู่ในหมู่บ้านอย่างมีความสุขและสามารถประกอบอาชีพ ทำไร่ ทำสวน ได้ผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์ (หน้า 3) อีกทั้งมีการประสมประสานเข้ากับการนับถือศาสนาพุทธอีกด้วย (หน้า 34,75) 2. ความเชื่อโชคลาง ไทลื้อมีความเชื่อเรื่อง โชคลาง ฤกษ์ยาม เครื่องรางของขลังและคาถาอาคม ผสมผสานคู่กับวิถีชีวิตของไทลื้อ ไทลื้อถือในเรื่องของฤกษ์ยามเป็นอย่างมาก ในการทำกิจกรรมต่างๆในชีวิต เช่น การออกเดินทาง การเพราะปลูก ตลอดไปจนถึงกิจกรรมสำคัญต่างๆ เช่น การขึ้นเฮือนใหม่ (ขึ้นบ้านใหม่) การแต่งงาน ในการประกอบพิธีจะกระทำโดยพระหรือผู้เฒ่าที่ผ่านการบวชเรียนจะเป็นผู้ดูฤกษ์ยามให้ ความเชื่อในเครื่องรางของขลัง ผู้ชายไทลื้อในอดีตนิยมการสักตามตัว เพื่อให้อยู่ยงคงกระพัน มีความกล้าหาญและช่วยให้รอดพ้นภัยอันตรายต่างๆ (หน้า 77) 3. พิธีกรรม 3.1 พิธีกรรมในครอบครัว 1) การขึ้นเฮือนใหม่ เป็นประเพณีแสดงความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติกับไทลื้อในการสร้างความกลมกลืนระหว่างกัน การขึ้นบ้านใหม่จะทำการดูฤกษ์ยามที่ดี วางเสาเข็ม ในวัน “ป๊กเฮิน” และสร้างตัวบ้านตามลำดับ และก่อนจะเข้าอยู่จะประกอบพิธี 2 วัน คือ วันแรก “วันดา” เป็นวันที่ญาติพี่น้องจะมาช่วยกันจัดเตรียมสถานที่และสิ่งของที่จะใช้ในการประกอบพิธี และวันที่สอง “วันขึ้น” เป็นวันประกอบพิธีกรรม โดยกิจกรรมดังกล่าวทำเพื่อเป็นสิริมงคลแก่คนที่อยู่อาศัย 2) การเลี้ยงผีปู่ย่า เป็นพิธีกรรมที่แสดงถึงความเคารพ รำลึกถึงพระคุณของบรรพบุรุษ 3) การฮ้องขวัญ หรือเรียกขวัญ มีลักษณะคล้ายคลึงกับประเพณีการเรียกขวัญของคนไทย 32 ขวัญ หากขวัญใดขวัญหนึ่งหายไป จะทำให้ไม่สบาย จุดมุ่งหมายเพื่อเรียกขวัญที่หายไปของคนไข้กลับมาอยู่กับตัว ให้มีขวัญและกำลังใจดี 4) การลืบชะตา มีความเชื่อคล้ายกับชุมชนชาวไทยเหนือทั่วไป ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกจากตัวครอบครัวหรอสถานที่ 5) การส่งเคราะห์ส่งจน เป็นอีกพิธีกรรมหนึ่งที่ใช้ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายต่างๆให้ออกไปจากผู้ประสบเคราะห์กรรม เป็นการเสริมสร้างกำลังใจ 5) ประเพณีตานก๋วยสลากหรือการทำบุญสลากภัตร เป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลครั้งใหญ่ให้แก่บิดามารดา ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว นิยมทำในเดือน 12 (หน้า 79-90) 3.2 พิธีกรรมชุมชน 1) การสืบชะตาบ้าน เป็นพิธีกรรมที่มีจุดมุ่งหมายคล้ายกับการสืบชะตาคน เป็นการทำเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่หมู่บ้านและขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายที่มีอยู่ในชุมชนในหมดไป 2) การไหว้ผี ผีเสื้อบ้านผีเสื้อเมือง ชุมชนไทลื้อมีความเชื่อว่ามีผีบ้านผีเมืองสิงสถิตอยู่ เพื่อเป็นการระลึกถึงบุญคุณและแสดงถึงความเคารพ จึงต้องจัดให้มีการเซ่นไหวผีประจำปี 3) การเลี้ยงผีฝายและผีน้ำบ่อ ชาวไทลื้อเชื่อว่าผีฝายและผีน้ำบ่อเป็นผู้ที่ดูแลรักษาปริมาณน้ำจากลำน้ำไม่ให้เหือดแห้ง จัดบูชาเช่นเดียวกับผีบ้านผีเมืองเป็นประจำทุกปี (หน้า 84-86) 3.3 พิธีกรรมที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา 1) ประเพณีการตานก๋องโหล๋วพระเจ้า เป็นการจุดฟืนเพื่อถวายแก่พระพุทธเจ้า ทำในเดือนเป็ง 2) ประเพณีถวายตานต้อด (ถวายทานทอด) 3) ประเพณีเดือนยี่เป็ง ชาวไทลื้อมีความเชื่อว่า วันขึ้น 15 ค่ำของเดือนยี่เป็นวันที่พระเวชสันตระซึ่งเป็นพระชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้า เสด็จออกไปบำเพ็ญกุศลกรรมในป่า เมื่อถึงวันเป็งเดือนยี่ทรงเสด็จกลับเข้าเมือง จึงทำพิธีต้อนรับ โดยการจัดซุ้มประตูป่าบริเวณหน้าบ้านของตนเอง และประดับดวงไฟเป็นพุทธบูชา อีกทั้งมีการลอยกระทงเพื่อสะเดาะเคราะห์ไปกับน้ำ และมีการตานขันข้าวเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ 3) ประเพณีปอยลูกแก้ว (การบวชเรียน) ไทลื้อมักนิยมให้ลูกหลานที่เป็นผู้ชายได้บวชเรียนโดยทำการบวชเรียนรวมกันเป็นหมู่ (หน้า 79-84) 3.4 พิธีกรรมที่เกี่ยวกับการเพาะปลูก 1) การแฮกนา เป็นพิธีกรรมที่ใช้บอกกล่าวและขออนุญาตพระแม่ธรณีก่อนที่จะทำนา จะกระทำ 2 ครั้ง การหว่านกล้าและการปลูกข้าว 2) การฮ้องขวัญข้าว เป็นพิธีกรรมเก็บเกี่ยวข้าวที่เคยแฮกนาไว้ และการฮ้องขวัญควาย ควายเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับการทำนาของไทลื้อ ก่อนที่จะปล่อยให้ควายเข้าป่า ในช่วงพักการทำนา จะมีการประกอบพิธี (ฮ้องขวัญควาย” เพื่อเป็นการขอขมา ที่ใช้งานและดุด่าเฆี่ยนตีในระหว่างที่ทำนา 3) การตานข้าวใหม่หรือการตานข้าวล้นบาตร เป็นประเพณีหลังการเก็บเกี่ยวข้าว ไทลื้อจะต้องนำข้าวใหม่ที่ได้จากการเก็บเกี่ยวมาทำบุญถวายทานเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (หน้า 79-84) 3.5 พิธีตามเทศกาล ไทลื้อจะมีการทำกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อและศาสนาตลอดทั้งปี ได้แก่ เดือนยี่-3 พิธีสำคัญคือ วันลอยกระทง (วันยี่เป็ง) ชาวบ้านร่วมกันทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ฟังธรรม จุดดวงไฟที่เรียกว่า ผางป๋ะตี้บ เพื่อช่วยลอยเคราะห์เอาโรคภัยไข้เจ็บและสิ่งไม่ดีต่างๆ ไปกับสายน้ำ เดือน 4 หลังจากฤดูเก็บเกี่ยว ชาวไทลื้อนิยมการตานข้าวล้นบาตร คือการร่วมกันนำข้าวไปใส่บาตรที่วัด และถวายผีเสื้อบ้านผีเสื้อเมือง ซึ่งเป็นเจ้าบ้านที่หอศาลประจำหมู่บ้านด้วย และในคืนก่อนวันขึ้น 15 ค่ำ จะมีพิธีเผาก๋องโหล๋วพระเจ้า เป็นการถวายฟืนเพื่อจุดให้พระพุทธรูปผิงไฟเพื่อเป็นพุทธบูชา เดือน 7 พิธีกรรมฉลองสงกรานต์ ฉลองวันขึ้นปีใหม่ มีกิจกรรมรดน้ำดำหัว ขนทรายเข้าวัด และนิยมจัดการแข่งขัน บอกไฟขึ้น” หรือบั้งไฟคล้ายกับการแข่งขันในภาคอีสาน แต่จะมีขนาดเล็กกว่า ในวันปากปี วันสุดท้ายของเทศกาลสงกรานต์ ในวันที่ 16 เมษายน จะมีการจัดพิธีสืบชะตาบ้าน เป็นการส่งเคราะห์ของหมู่บ้าน เพื่อปัดเป่าอันตรายต่างๆออกไปจากหมู่บ้าน เดือน 8-10 พิธีกรรมการปลูกข้าว ทำพิธีเลี้ยงผีปู่ย่า เพื่อให้ช่วยปกปักษ์รักษาคนในครอบครัวและไร่นาในอุดมสมบูรณ์ ในเดือน 10 ร่วมกันทำบุญในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา โดยการ “ตานขันข้าว” เป็นการถวานทานอาหารเพื่อเป็นกุศลแก่ตนเองและทำบุญเพื่อญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้ว ฟังเทศน์ ฟังธรรมและถือศีล ในวันเข้าพรรษที่การประกอบพิธี “พ่อตั้งข้าว” เพื่ออัญเชิญผีเสื้อบ้าน ผีเสื้อเมืองเข้าพรรษาด้วย เดือน 12 ประกอบพิธีกรรมเป็ง (วันเพ็ญเดือน 12 หรือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12) คือการนำอาหารขนมหวานต่างๆ พร้อมข้าวตอกดอกไม้ไปตานข้าวให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว โดยเชื่อว่าในวันดังกล่าวจะมีการปล่อยวิญญาณกลับมายังโลกเพื่อรับส่วนบุญส่วนกุศล อีกทั้งมีประเพณีตานก๋วยสลากหรือประเพณีสลากภัทร เป็นงานที่ชาวบ้านร่วมกันถวายจตุปัจจัยต่างๆแก่พระสงฆ์ 1) ประเพณีปีใหม่เมือง ไทลื้อหมู่บ้านแม่สาบที่ความเชื่อเช่นเดียวกับ “คนเมือง” ในภาคเหนือ โดยเชื่อว่าศักราชใหม่จะเริ่มในเดือน 7 ช่วง 13-15 เมษายน โดยวันที่ 13 เป็นวันสังขารล่อง หรือวันส่งท้ายปีเก่า จะมีการทำความสะอาดบ้านเรือนและเครื่องใช้สอยต่างๆ ตลอดจนการชำระร่างกายให้สะอาด มีการทรงน้ำพระพุทธรูปทั้งที่บ้านและที่วัด ในตอนเย็นมีการยิงปืนที่ริมแม่น้ำเพื่อไล่สังขาร วันที่14 เป็นวันเน่าหรือวันเนาว์ เป็นวันเริ่มตนปีใหม่ จะมีการทำบุญตักบาตร ขนทรายเข้าวัด และวันที่ 15 เป็นวันพญาวันหรือวันเถลิงศก ช่วงเช้าชาวบ้านจะทำบุญตานขันข้าว ถวายตานตุงศรีเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณบรรพบุรุษ (หน้า 69-73) |
|
Education and Socialization |
ผู้ชายไทลื้อในอดีตมักจะทำการบวชเรียนที่วัดในชุมชน แต่ในปัจจุบันเมื่อมีการจัดตั้งโรงเรียนขึ้น ทั้งชายและหญิงจึงได้รับการศึกษาที่เท่าเทียมกัน (หน้า 47) |
|
Health and Medicine |
ไม่มีรายละเอียด กล่าวเพียงว่ายังมีการรักษาด้วยสมุนไพรและการรักษาโรคด้วยคาถาอาคม โดยวิธีการ”เป่า” (หน้า 77-78) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายผู้ชายสวมใส่กางเกงสะดอ สวมเสื้อที่ย้อมจากต้นฮ่อม สีที่ใช้คือสีกรมท่าหรือสีดำ ผู้หญิงนิยมการนุ่งผ้าซิ่นที่ทอเป็นลายก่าน หัวซิ่นและตีนซิ่นเป็นแถบสีดำ หรือบางครั้งเป็นลวดลายขิด เสื้อผ้าที่นิยม คือ เสื้อผ่าขาป้ายกลัดกระดุมด้านข้างหรอด้านหน้า เสื้อมีทั้งสีดำแลละขาว นิยมเกล้าผมกลางศีรษะและโพกหัวด้วยผ้าสีขาว (หน้า 48) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ไทลื้อบ้านแม่สายยังคงดำรงอัตลักษณ์ที่สำคัญได้แก่ การใช้ภาษาไทลื้อในการสื่อสาร แม้ว่าเด็กและหนุ่มสาวหันไปพูดภาษาเหนือแต่เมื่ออยู่ในชุมชนและการปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ในชุมชนก็ยังคงใช้ภาษาไทลื้อในการสื่อสาร และการดำรงความเชื่อให้คุณค่าต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และพิธีกรรมสำคัญที่มีผลต่อการดำรงชีวิต เป็นอัตลักษณ์สำคัญที่ยังคงดำรงรักษาผ่านการถ่ายทอดไปสู่ผู้คนรุ่นอื่นๆ ต่อไป (หน้า 117- 118) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ผู้เขียนเห็นว่าไทลื้อบ้านแม่สาบมีการเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ ดังนี้ 1. การปรับใช้อัตลักษณ์ แม้ว่าวัฒนธรรม ความเชื่อ พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับข้าวและควายที่ได้เปลี่ยนแปลงไป แต่ไทลื้อได้นำฐานความเชื่อเกี่ยวกับพิธีกรรมเหล่านั้นมาปรับใช้กับกิจกรรมที่เข้ามาแทนที่การปลูกข้าวและการใช้ควาย เช่น พิธีแฮกนาใช้ในการแฮกปลูกกระเทียม พิธีฮ้องขวัญรถไถ ด้านความสัมพันธ์ในชุมชนมีการปรับความสัมพันธ์เดิมมาใช้ในกลุ่มทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น กลุ่มประปา หรือกลุ่มผู้ปลูกพืชไร่ (หน้า 118) 2. การสร้างใหม่ทางอัตลักษณ์ เนื่องจากมีอัตลักษณ์บางอย่างที่ได้สูญหายไป จากชุมชน จึงมีความพยายามสร้างอัตลักษณ์ใหม่ที่น่าสนใจให้แก่ชุมชน เช่น ศิลปะการฟ้อนลื้อ จัดตั้งกลุ่มเยาวชนบ้านแม่สาบ ใช้ต้นขนุนหน้าวัดแม่สาบเหนือแทนความเก่าแก่ของชุมชน โดยการใช้พลังหนุ่มสาวในการสืบทอดแนวคิด ทั้งนี้เพื่อสร้างสำนึกความเป็นชุมชนไทลื้อให้เกิดขึ้นกับคนในชุมชน (หน้า 118-119) ปัจจุบันชุมชนไทลื้อ เปลี่ยนแปลงไปทั้งทางด้านสังคมและวัฒนธรรม เนื่องจากการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว ตามนโยบายของภาครัฐ ที่กำหนดไว้ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยและกระทบต่อการใช้ชีวิตของไทลื้อด้วย (หน้า 2) ปรับเปลี่ยนจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่การสะสมทุน เกิดการทำการค้าและประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมขนาดเล็ก เทคโนโลยีเข้าสู่ชุมชน ความสะดวกสบาย จากเส้นทาง รถยนต์ ทำให้วิถีชีวิตของคนในชุมชนเปลี่ยนไป ระบบการผลิตมุ่งเน้นการสร้างรายได้ พึ่งพิงการใช้เครื่องจักร และแรงงาน เกิดการแข่งขัน มาตรฐานการครองชีพสูงขึ้น เป็นสังคมที่อิงกับวัตถุนิยมมากขึ้น (หน้า 3) อีกทั้งการได้รับความเจริญเข้าสู่ชุมชน ทำให้ประเพณีวัฒนธรรมไม่เป็นที่นิยมในการปฏิบัติอีก เช่น ความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ในต้นไม่ใหญ่ ประเพณีลงแขก หรือที่เรียกว่า “การเอามื้อ” หรือการฮ้องขวัญควาย ก็ไม่มีการปฏิบัติกันอีกในปัจจุบัน (หน้า 111) แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ชุมชนไทลื้อก็ยังคงรักษาอัตลักษณ์ความเป็นไทลื้ออยู่ได้ แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมภายนอกและด้วยลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของไทลื้อยังคงหยั่งรากในคนรุ่นใหม่ของไทลื้ออยู่ ยังคงมีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนในหมู่บ้าน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และยังมีการประกอบพิธีกรรมที่สำคัญๆต่างๆร่วมกันมาจนถึงปัจจุบัน (หน้า 115-121) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้แสดงภูมิประเทศของหมู่บ้านแม่สาบ อำเภอสะเมิง (หน้า 44,45,137) วิถีการประกอบอาชีพการทำนา วัฒนธรรม ประเพณี กิจกรรมทางศาสนา และความเชื่อผี การจุกบุญบั้งไฟ ลักษณะการแต่งกายพื้นเมือง (หน้า 139-144) |
|
|