สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลื้อ,การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ,อัตลักษณ์,การปรับตัว,เชียงใหม่
Author เสกสรร สรรสรพิสุทธิ์
Title อัตลักษณ์ของไทลื้อและการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดภายใต้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม : กรณีศึกษาบ้านแม่สาบ ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text -
Ethnic Identity ไทลื้อ ลื้อ ไตลื้อ, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) Total Pages 131 Year 2546
Source หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทาลัยเชียงใหม่
Abstract

ไทลื้อบ้านแม่สาบมีการตั้งถิ่นฐานในอาณาจักรล้านนามาเป็นระยะเวลายาวนาน โดยยึดถือการปลูกข้าวในการดำรงชีพ ดังนั้น “ข้าวและควาย” จึงเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ไทลื้อมีความเชื่อเกี่ยวกับผีเป็นสิ่งสูงสุดที่สถิตอยู่กับทุกสิ่งในชีวิตและธรรมชาติ ดังนั้นความเชื่อ พิธีกรรมและค่านิยมในชุมชนเป็นการแสดงออกของคุณธรรมสูงสุด และมีผลกระทบต่อพฤติกรรมการผลิตทางเศรษฐกิจ การจำหน่ายผลผลิต และการจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เป็นไปอย่างสมดุล แต่ผลจากการสนับสนุนการลงทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ได้ส่งผลกระทบต่อระบบการผลิตและการบริโภคของชาวไทลื้อเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังส่งผลต่ออัตลักษณ์ทางสังคม วัฒนธรรมด้วย แต่ไทลื้อบ้านแม่สาบก็ยังคงสามารถปรับอัตลักษณ์ ประเพณี วัฒนธรรมเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้

Focus

มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเกี่ยวกับการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของระบบการผลิต ความสัมพันธ์ทางสังคมในการผลิต และการบริโภคภายใต้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม ซึ่งมีผลกระทบต่อระบบความเชื่อ พิธีกรรม ระบบคุณค่า นอกจากนี้ยังรวมถึงผลกระทบต่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในชุมชนไทลื้อ

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อหรือไตลื้อ บ้านแม่สาย ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ (หน้า 8)

Language and Linguistic Affiliations

กลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อ พูดภาษาในตระกูลไท มีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเอง (หน้า 1) ภาษาไทลื้อคล้ายภาษาพื้นเมืองภาคเหนือ แต่มีสำเนียงและศัพท์บางคำต่างกัน (หน้า 47)

Study Period (Data Collection)

เดือนพฤษภาคม 2543 จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2544

History of the Group and Community

ประวัติการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชุมชนไทลื้อบ้านแม่สาบยังไม่ชัดเจนนัก โดยมีข้อคิดเห็นที่แตกต่างกัน คือ 1. อพยพมาจากเมืองลวง เมืองแช่ เมืองเชียงรุ่ง โดยถูกกวาดต้อนมาในสมัย พันตรีถวิล อยู่เย็น เดินทางไปราบเชียงตุง หรือกวาดต้อนมาจากสิบสองปันนา ในสมัยเจ้าน้อยกาวิละ (อุปราชน้อย ธรรมลังกา) มาตั้งรกรากที่วัดเชียงรุ่ง ตำบลหายยา และต่อมาถูกส่งไปเลี้ยงช้างที่บ้านแม่สาบ จนถูกตัดขาดจากคนภายนอก ช่วงระยะเวลาในการตั้งถิ่นฐานชุมชนสันนิษฐานว่าอยู่ในราว จ.ศ.1174 (พ.ศ.2355) 2. ปู่เทิ่มเจ้าราชได้อพยพผู้คน ช้างมา วัวควาย มาจากสิบสองปันนา มาจนถึงสถานที่แห่งหนึ่งได้ตั้งที่หยุดพักชั่วคราว สร้างคอกสัตว์ จนเกิดเป็นหมู่บ้านห้วยคอก แล้วได้อพยพชาวไทลื้อมาอยู่แงใหม่ที่หมู่บ้านแม่สาบ 3. เจ้านายฝายเหนือนำกำลังไปรบกับพม่าตีได้เมืองเชียงรุ่ง เมืองยอง เมืองสิบสองปันนา และได้อพยพผู้คนจากสิบสองปันนามาอยู่ที่เชียงตุง พวกเมืองยอง เมืองเชียงรุ่ง และเขิน ได้เดินทางไปจนถึงสะพานแม่สาย แล้วแยกกันไปตั้งถิ่นฐานยังหมู่บ้านต่างๆ ในจังหวัดเชียงราย ลำพูน ลำปาง และเชียงใหม่ เขินอยู่ที่แม่วาง ลื้อบางส่วนอยู่ที่หมู่บ้านลวงเหนือ บ้านลวงใต้ อำเภอสะเก็ด ส่วนที่นำโดยปู่เทิ่ม พระยาราช หนานปั้นญา ปู่เสาร์ ปู่ก้อนอพยพมาตั้งรกรากที่หมู่บ้านแม่สาบ อำเภอสะเมิง จากข้อคิดเห็นทั้งหมดพอที่จะสรุปได้ว่าไทลื้อบ้านแม่สาบสืบเชื้อสายมาจากไทลื้อในแคว้นสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ประเทศจีน อพยพเข้ามาในสมัยกรุงธนบุรีถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งขณะนั้นไทยทำสงครามขับไล่พม่าออกจากล้านนา พระเจ้ากาวิละเจ้าผู้ครองเชียงใหม่จึงอพยพผู้คนจากสิบสองปันนามายังล้านนา รวมถึงไทลื้อกลุ่มที่นำโดยปู่เทิ่มได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านแม่สาย ซึ่งเป็นที่ราบลุ่มระหว่างหุบเขาในอำเภอสะเมิง (หน้า 37-41)

Settlement Pattern

ลักษณะการตั้งบ้านเรือน หมู่บ้านตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบเชิงเขาด้านตะวันตก แบ่งบ้านออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มบ้านแม่สาบเหนือประกอบด้วย 148 หลังคาเรือน และกลุ่มบ้านแม่สาบใต้ประกอบด้วย 164 หลังคาเรือน ทั้งสองกลุ่มถูกแบ่งออกด้วยลำห้อยก๋องงอง การตั้งบ้านเรือนจะสร้างบ้านตามเส้นทางคมนาคม บ้านทุกหลังจะมีถนนตัดผ่าน โดยบ้านแต่ละหลังจะสร้างรั้วเป็นแนวกั้นเขตบริเวณบ้านและปลูกต้นไม้เป็นแนวเสริมอย่างเป็นระเบียบ (หน้า 42) ลักษณะของบ้านเรือน รูปแบบการสร้างบ้านเรือน ในอดีตนิยมสร้างด้วยไม่ไผ่ทั้งหลัง ไม่ว่าจะเป็นตัวบ้าน ฝาผนัง พื้นบ้าน มีเพียงเสาตัวบ้านที่จะใช้ต้นไม้ใหญ่ โดยการใช้ไม้ไผ่สับกางแผ่ออกเป็นแผ่นที่เรียกว่า สับฟาก มุงหลังคาด้วยใบตองตึง (ใบต้นพลวง) โดยนำมาสานเป็นไพ (สานเป็นตับ) บางบ้านอาจจะใช้หญ้าคาเรียงเป็นหลังคา ลักษณะบ้านเป็นบ้านยกพื้น แต่ไม่สูงจากพื้นดินมากนัก ประมาณ 1.5-2 เมตร การสร้างบ้านใช้วิธีขัดเข้าลิ่มหรือเจาะสอด และใช้ตอกหรือหวานคาดทับ ลักษณะภายในบ้านเป็นห้องโถงใหญ่โล่งตลอด แบ่งสอยเป็นห้องเล็กๆ แบ่งสัดส่วนเพื่อใช้ทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ห้องครัว หัวเติ๋น (ห้องรับแขก) และห้องนอน (หน้า 56)

Demography

ชุมชนบ้านแม่สาบเป็นไทลื้อชุมชนใหญ่ มีประชากร 1,073 คน ชาย 527 หญิง 546 คน จำนวนครัวเรือนตามทะเบียนราษฎร์ 279 ครัวเรือน อายุเฉลี่ย ร้อยละ 65 เป็นวัยแรงงาน 14-60 ปี ปัจจุบันประชากรในหมู่บ้านร้อยละ 95 เป็นไทลื้อ ส่วนที่เหลือเป็นคนนอกพื้นที่ที่เข้ามาตั้งถิ่นบานหรือแต่งงานอยู่ภายในหมู่บ้าน ระดับการศึกษาอยู่ในเกณฑ์ดี อ่านออกเขียนได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ลักษณะของครอบครัวเป็นครอบครัวเดี่ยว (หน้า 46)

Economy

1) ระบบการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ มีระบบการเกษตรเพื่อยังชีพ โดยมีปัจจัยทางฤดูกาลและทรัพยากรทางธรรมชาติเป็นตัวกำหนดชนิดของพืชและกิจกรรมในการผลิต พืชที่สำคัญในการเพาะปลูกคือ ข้าว ยาสูบ พริก กระเทียม หอมแดง ผักกาด ผักชี ถั่วชนิดต่างๆ ฝ้ายและอ้อย ปลูกตามความต้องการในการบริโภคของแต่ละครัวเรือน โดยปลูกในลักษณะหมุนเวียนซึ่งจะทำให้ดินมีสภาพสมบูรณ์ โดยในช่วงเดือนพฤษภาคม-ธันวาคมจะเป็นฤดูกาลทำนา เดือนธันวาคม- มีนาคม เป็นช่วงการดูแลสวนหอมกระเทียม สวนยาสูบ ผักสวนครัวอื่นๆ และการหาเชื้อเพลิง เดือนมีนาคม-พฤษภาคม เก็บใบยาสูบมาบ่มเพื่อมาซอยและตากให้แห้ง ถอนกระเทียมไปตากให้แห้ง ซึ่งในกระบวนการต่างๆ ของการเพาะปลูกจะมีการแบ่งงานในครอบครัว และการช่วยเหลือกันในชุมชน ส่วนการเลี้ยงสัตว์นั้นมักจะเลี้ยงไว้เพื่อใช้แรงงานและไว้เป็นอาหารในช่วงที่มีพิธีสำคัญต่างๆ ได้แก่ ควาย วัว หมู ไก่ (หน้า 60-66) 2) การจัดสรรทรัพยากรน้ำ ไทลื้อใช้ระบบเหมืองฝายในการจัดสรรน้ำในชุมชนมาตั้งแต่อดีตโดยใช้ไม้เนื้อแข็งท่อนใหญ่ตอกปักลงไปเป็นแนวบริเวณที่ต้องการกั้นน้ำประมาณ 3-5 แถว โดยหลักจะสูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามลำน้ำ จากนั้นใช้ท่อนไม้ไผ่หรือแผ่นไม้ขัดแตะวางกั้นเป็นคอกลงในระหว่างช่องของหลักไม้ แล้วใช้ก้อนหินวางทับลงไปในคอกไม้ระหว่างแนวหลักแต่ละแถว ในฤดูที่น้ำน้อยจะมีการใส่กระสอบทรายหรือกระสอบดินวางทับลงไปด้วย ความกว้างของฝายจะขึ้นอยู่กับความกว้างของลำน้ำ และป้องกันการระบายน้ำที่เร็วเกินไปก็จะมีการขุดลำเหมืองบริเวณหัวฝายไปยังที่นาที่สวน โดยในแต่ละเหมืองจะมีลำเหมืองหลักเรียกว่า “เหมืองหลวง” ลำเมืองที่ขุดแยกจากลำเหมืองหลวงเรียกว่า “เหมืองซอย” ปัจจุบันหมู่บ้านแม่สาบมีเหมืองฝายทั้งหมด 9 แห่ง ซึ่งแต่ละฝายจะมีลำเหมืองหลัก 9 สาย ฝายแต่ละแห่งจะมี “แก่ฝาย”ซึ่งสมาชิกจะเลือกจากผู้ที่มีความสามารถ ทำหน้าที่ควบคุมดูแลสมาชิกผู้ใช้น้ำในเหมืองฝาย “ล่าม” แก่ฝายจะเป็นผู้เลือก ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยแก่ฝาย ดูแลสภาพเหมืองฝาย ตรวจสอบปริมาณน้ำ การจัดสรรแบ่งปันน้ำจึงเป็นหน้าที่ของแก่ฝ่ายและล่ามในการตัดสินใจ และคอยไกล่เกลี่ยปัญหาที่เกิดจากการใช้น้ำในฝาย (หน้า 93-95) 3) การเปลี่ยนแปลงสภาพเศรษฐกิจ วิถีชีวิตของไทลื้อบ้านสาบเป็นการประกอบอาชีพเกษตรกรรมเพื่อการยังชีพ ผลิตพืชผลที่พอกินพอใช้ในครอบครัว วิถีการผลิตอาศัยแรงงานละปัจจัยทางธรรมชาติเป็นหลัก สิ่งของเครื่องใช้และสินค้าได้จากธรรมชาติ ใช้เพื่อให้ชีวิตอยู่ได้เท่านั้น ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น “ระบบเศรษฐกิจแบบธรรมชาติ” ผลจากนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของรัฐบาลทำให้วิถีชีวิตของไทลื้อบ้านสาบเริ่มเปลี่ยนไปเป็นการทำการเกษตรที่มุ้งเน้นปริมาณของผลผลิตและรายได้ มีความสัมพันธ์ในแบบของการค้ามากขึ้น เครื่องจักรเครื่องยนต์และเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ในการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด มีการจับจ่ายสิ่งของที่เป็นเครื่องอำนวยความสะดวกและเครื่องใช้ซึ่งเป็นรูปแบบ “ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม” มากขึ้น โดยระบบเกษตรกรรมไทยลื้อบ้านแม่สาบมีการเปลี่ยนแปลง 2 ช่วงคือ 1. ช่วงปี 2492-2530 โดยการตั้งโรงบ่มยาสูบที่อำเภอสะเมิง และการให้บริการไฟฟ้า 2. ช่วงหลัง พ.ศ.2530 จนถึงปัจจุบัน เป็นการปรับปรุงถนนสายแม่ริม-สะเมิงโดยการลาดยางตลอดสาย และผลจากการก่อตั้งสหกรณ์การเกษตร ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรอำเภอสะเมิง ทำให้มีการกู้เงินมาทำการเกษตรจึงต้องผลิตสินค้าให้มากขึ้นเพื่อให้เพียงพอต่อต้นทุนที่สูงขึ้น (หน้า 99-115) 4) การหันกลับมาปลูกข้าว ช่วงปี พ.ศ.2539-3542 ไทลื้อบ้านสาบหยุดปลูกข้าวเพื่อเตรียมดินไว้ปลูกกระเทียม โดยซื้อข้าวจากอำเภออื่นมาบริโภค แต่ผลจากการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี พ.ศ.2540-2541 ราคากระเทียมตกต่ำ รายได้จากการขายกระเทียมลดลง จึงเริ่มให้ความสำคัญต่อการลดรายจ่ายของครอบครัวโดยหันมาปลูกข้าวไว้กินเอง จนกระทั้งปี พ.ศ.2543 เป็นต้นมาชาวบ้านส่วนใหญ่จึงหันกลับมาปลูกข้าวในที่นาของตนเองอีกครั้ง โดยการปลูก “ข้าวไร่” แทน “ข้าวน้ำ” เพราะเป็นข้าวที่ไม่ต้องการน้ำมากและทนต่อความแห้งแล้ง แต่ก็อย่างไรก็ตามก็ยังคงให้ความสำคัญกับการปลูกกระเทียมซึ่งเป็นรายได้หลักควบคู่กันไปด้วย (หน้า 119-121)

Social Organization

การควบคุมทางสังคม “ขึด” คือความเชื่อเกี่ยวกับพฤติกรรมปฏิบัติในสิ่งที่ไม่ดี ขัดกับศีลธรรม ส่งผลกระทบต่อตนเองและครอบครัว ขึด จึงเป็นเครื่องมือในการควบคุมพฤติกรรมของไทลื้อ ซึ่งสามารถแบ่งออก 2 ประเภท คือ ขึดน้อย เป็นการทำผิดที่สามารถแก้ไขได้ เช่น การปัสสาวะรดจอมปลวก ซึ่งเป็นที่สถิตของผี แก้ไขโดยการนำกรวยข้าวตอกดอกไม้ไปขอขมา และขึดหลวง เป็นการทำผิดร้ายแรง แก้ไขได้ยาก เช่น การสร้างบ้านบริเวณทางผีผ่าน การถมบ่อน้ำ การเข้าไปสร้างบ้านหรือทำสวนบริเวณวัดห่าง (วัดร้าง) ซึ่งจะทำให้ตนเองหรือครอบครัวล้มป่วยหรือเสียชีวิตได้ (หน้า 78)

Political Organization

1. ผู้นำชุมชน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ซึ่งจะร่วมมือในการบริหารงานปกครอง แก้ปัญหาและพัฒนาด้านต่างๆ 1.1 ผู้นำอย่างเป็นทางการ ได้รับการแต่งตั้งจากทางราชการ อยู่ในรูปของคณะกรรมการหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านจะเป็นประธานคณะกรรมการ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน 2 คนและคณะกรรมการอีก 7- 10 คน ช่วยดูแลงานฝ่ายต่างๆ 1.2 ผู้นำอย่างไม่เป็นทางการ คือผู้อาวุโสภายในชุมชน ซึ่งเป็นผู้ที่คนในชุมชนให้ความเคารพนับถือ เป็นผู้นำชุมชนในการจัดประชุมประจำเดือนของหมู่บ้าน การร่วมชุมชนในโอกาสสำคัญ การทำบุญร่วมกันที่วัด หรือการประชุมกลุ่มองค์กรต่างๆ ในชุมชน (หน้า 51-52) 2. การแบ่งกลุ่มบ้าน หมู่บ้านแม่สาบมีบริเวณกว้างและมีครอบครัวอยู่หนาแน่น จึงแบ่งพื้นที่เป็น 2 กลุ่มบ้านได้แก่ กลุ่มแม่สาบเหนือและกลุ่มแม่สาบใต้ โดยมีลำห้วยก๋องงองเป็นเส้นแบ่ง และทั้งกลุ่มแม่สาบเหนือและกลุ่มแม่สาบใต้ยังมีการแบ่งกลุ่มบ้านย่อยลงไปอีก โดยเรียกชื่อตามลักษณะภูมิประเทศหรือช่วงเวลาการเกิดของกลุ่มบ้านซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีสมาชิกประมาณ 10-40 ครัวเรือน (หน้า 52-53)

Belief System

1. ผี การได้อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิดจึงทำให้มีความเชื่อหรือวัฒนธรรมกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ การนับถือผี ไม่ว่าจะเป็นผีเสื้อบ้าน ผีต้นไม้ ผีเสื้อนา ผีปู่ย่า โดยเชื่อว่า ผีเป็นผู้คุ้มครองให้ชาวบ้านอยู่ในหมู่บ้านอย่างมีความสุขและสามารถประกอบอาชีพ ทำไร่ ทำสวน ได้ผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์ (หน้า 3) อีกทั้งมีการประสมประสานเข้ากับการนับถือศาสนาพุทธอีกด้วย (หน้า 34,75) 2. ความเชื่อโชคลาง ไทลื้อมีความเชื่อเรื่อง โชคลาง ฤกษ์ยาม เครื่องรางของขลังและคาถาอาคม ผสมผสานคู่กับวิถีชีวิตของไทลื้อ ไทลื้อถือในเรื่องของฤกษ์ยามเป็นอย่างมาก ในการทำกิจกรรมต่างๆในชีวิต เช่น การออกเดินทาง การเพราะปลูก ตลอดไปจนถึงกิจกรรมสำคัญต่างๆ เช่น การขึ้นเฮือนใหม่ (ขึ้นบ้านใหม่) การแต่งงาน ในการประกอบพิธีจะกระทำโดยพระหรือผู้เฒ่าที่ผ่านการบวชเรียนจะเป็นผู้ดูฤกษ์ยามให้ ความเชื่อในเครื่องรางของขลัง ผู้ชายไทลื้อในอดีตนิยมการสักตามตัว เพื่อให้อยู่ยงคงกระพัน มีความกล้าหาญและช่วยให้รอดพ้นภัยอันตรายต่างๆ (หน้า 77) 3. พิธีกรรม 3.1 พิธีกรรมในครอบครัว 1) การขึ้นเฮือนใหม่ เป็นประเพณีแสดงความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติกับไทลื้อในการสร้างความกลมกลืนระหว่างกัน การขึ้นบ้านใหม่จะทำการดูฤกษ์ยามที่ดี วางเสาเข็ม ในวัน “ป๊กเฮิน” และสร้างตัวบ้านตามลำดับ และก่อนจะเข้าอยู่จะประกอบพิธี 2 วัน คือ วันแรก “วันดา” เป็นวันที่ญาติพี่น้องจะมาช่วยกันจัดเตรียมสถานที่และสิ่งของที่จะใช้ในการประกอบพิธี และวันที่สอง “วันขึ้น” เป็นวันประกอบพิธีกรรม โดยกิจกรรมดังกล่าวทำเพื่อเป็นสิริมงคลแก่คนที่อยู่อาศัย 2) การเลี้ยงผีปู่ย่า เป็นพิธีกรรมที่แสดงถึงความเคารพ รำลึกถึงพระคุณของบรรพบุรุษ 3) การฮ้องขวัญ หรือเรียกขวัญ มีลักษณะคล้ายคลึงกับประเพณีการเรียกขวัญของคนไทย 32 ขวัญ หากขวัญใดขวัญหนึ่งหายไป จะทำให้ไม่สบาย จุดมุ่งหมายเพื่อเรียกขวัญที่หายไปของคนไข้กลับมาอยู่กับตัว ให้มีขวัญและกำลังใจดี 4) การลืบชะตา มีความเชื่อคล้ายกับชุมชนชาวไทยเหนือทั่วไป ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกจากตัวครอบครัวหรอสถานที่ 5) การส่งเคราะห์ส่งจน เป็นอีกพิธีกรรมหนึ่งที่ใช้ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายต่างๆให้ออกไปจากผู้ประสบเคราะห์กรรม เป็นการเสริมสร้างกำลังใจ 5) ประเพณีตานก๋วยสลากหรือการทำบุญสลากภัตร เป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลครั้งใหญ่ให้แก่บิดามารดา ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว นิยมทำในเดือน 12 (หน้า 79-90) 3.2 พิธีกรรมชุมชน 1) การสืบชะตาบ้าน เป็นพิธีกรรมที่มีจุดมุ่งหมายคล้ายกับการสืบชะตาคน เป็นการทำเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่หมู่บ้านและขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายที่มีอยู่ในชุมชนในหมดไป 2) การไหว้ผี ผีเสื้อบ้านผีเสื้อเมือง ชุมชนไทลื้อมีความเชื่อว่ามีผีบ้านผีเมืองสิงสถิตอยู่ เพื่อเป็นการระลึกถึงบุญคุณและแสดงถึงความเคารพ จึงต้องจัดให้มีการเซ่นไหวผีประจำปี 3) การเลี้ยงผีฝายและผีน้ำบ่อ ชาวไทลื้อเชื่อว่าผีฝายและผีน้ำบ่อเป็นผู้ที่ดูแลรักษาปริมาณน้ำจากลำน้ำไม่ให้เหือดแห้ง จัดบูชาเช่นเดียวกับผีบ้านผีเมืองเป็นประจำทุกปี (หน้า 84-86) 3.3 พิธีกรรมที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา 1) ประเพณีการตานก๋องโหล๋วพระเจ้า เป็นการจุดฟืนเพื่อถวายแก่พระพุทธเจ้า ทำในเดือนเป็ง 2) ประเพณีถวายตานต้อด (ถวายทานทอด) 3) ประเพณีเดือนยี่เป็ง ชาวไทลื้อมีความเชื่อว่า วันขึ้น 15 ค่ำของเดือนยี่เป็นวันที่พระเวชสันตระซึ่งเป็นพระชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้า เสด็จออกไปบำเพ็ญกุศลกรรมในป่า เมื่อถึงวันเป็งเดือนยี่ทรงเสด็จกลับเข้าเมือง จึงทำพิธีต้อนรับ โดยการจัดซุ้มประตูป่าบริเวณหน้าบ้านของตนเอง และประดับดวงไฟเป็นพุทธบูชา อีกทั้งมีการลอยกระทงเพื่อสะเดาะเคราะห์ไปกับน้ำ และมีการตานขันข้าวเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ 3) ประเพณีปอยลูกแก้ว (การบวชเรียน) ไทลื้อมักนิยมให้ลูกหลานที่เป็นผู้ชายได้บวชเรียนโดยทำการบวชเรียนรวมกันเป็นหมู่ (หน้า 79-84) 3.4 พิธีกรรมที่เกี่ยวกับการเพาะปลูก 1) การแฮกนา เป็นพิธีกรรมที่ใช้บอกกล่าวและขออนุญาตพระแม่ธรณีก่อนที่จะทำนา จะกระทำ 2 ครั้ง การหว่านกล้าและการปลูกข้าว 2) การฮ้องขวัญข้าว เป็นพิธีกรรมเก็บเกี่ยวข้าวที่เคยแฮกนาไว้ และการฮ้องขวัญควาย ควายเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับการทำนาของไทลื้อ ก่อนที่จะปล่อยให้ควายเข้าป่า ในช่วงพักการทำนา จะมีการประกอบพิธี (ฮ้องขวัญควาย” เพื่อเป็นการขอขมา ที่ใช้งานและดุด่าเฆี่ยนตีในระหว่างที่ทำนา 3) การตานข้าวใหม่หรือการตานข้าวล้นบาตร เป็นประเพณีหลังการเก็บเกี่ยวข้าว ไทลื้อจะต้องนำข้าวใหม่ที่ได้จากการเก็บเกี่ยวมาทำบุญถวายทานเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (หน้า 79-84) 3.5 พิธีตามเทศกาล ไทลื้อจะมีการทำกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อและศาสนาตลอดทั้งปี ได้แก่ เดือนยี่-3 พิธีสำคัญคือ วันลอยกระทง (วันยี่เป็ง) ชาวบ้านร่วมกันทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ฟังธรรม จุดดวงไฟที่เรียกว่า ผางป๋ะตี้บ เพื่อช่วยลอยเคราะห์เอาโรคภัยไข้เจ็บและสิ่งไม่ดีต่างๆ ไปกับสายน้ำ เดือน 4 หลังจากฤดูเก็บเกี่ยว ชาวไทลื้อนิยมการตานข้าวล้นบาตร คือการร่วมกันนำข้าวไปใส่บาตรที่วัด และถวายผีเสื้อบ้านผีเสื้อเมือง ซึ่งเป็นเจ้าบ้านที่หอศาลประจำหมู่บ้านด้วย และในคืนก่อนวันขึ้น 15 ค่ำ จะมีพิธีเผาก๋องโหล๋วพระเจ้า เป็นการถวายฟืนเพื่อจุดให้พระพุทธรูปผิงไฟเพื่อเป็นพุทธบูชา เดือน 7 พิธีกรรมฉลองสงกรานต์ ฉลองวันขึ้นปีใหม่ มีกิจกรรมรดน้ำดำหัว ขนทรายเข้าวัด และนิยมจัดการแข่งขัน บอกไฟขึ้น” หรือบั้งไฟคล้ายกับการแข่งขันในภาคอีสาน แต่จะมีขนาดเล็กกว่า ในวันปากปี วันสุดท้ายของเทศกาลสงกรานต์ ในวันที่ 16 เมษายน จะมีการจัดพิธีสืบชะตาบ้าน เป็นการส่งเคราะห์ของหมู่บ้าน เพื่อปัดเป่าอันตรายต่างๆออกไปจากหมู่บ้าน เดือน 8-10 พิธีกรรมการปลูกข้าว ทำพิธีเลี้ยงผีปู่ย่า เพื่อให้ช่วยปกปักษ์รักษาคนในครอบครัวและไร่นาในอุดมสมบูรณ์ ในเดือน 10 ร่วมกันทำบุญในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา โดยการ “ตานขันข้าว” เป็นการถวานทานอาหารเพื่อเป็นกุศลแก่ตนเองและทำบุญเพื่อญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้ว ฟังเทศน์ ฟังธรรมและถือศีล ในวันเข้าพรรษที่การประกอบพิธี “พ่อตั้งข้าว” เพื่ออัญเชิญผีเสื้อบ้าน ผีเสื้อเมืองเข้าพรรษาด้วย เดือน 12 ประกอบพิธีกรรมเป็ง (วันเพ็ญเดือน 12 หรือวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12) คือการนำอาหารขนมหวานต่างๆ พร้อมข้าวตอกดอกไม้ไปตานข้าวให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว โดยเชื่อว่าในวันดังกล่าวจะมีการปล่อยวิญญาณกลับมายังโลกเพื่อรับส่วนบุญส่วนกุศล อีกทั้งมีประเพณีตานก๋วยสลากหรือประเพณีสลากภัทร เป็นงานที่ชาวบ้านร่วมกันถวายจตุปัจจัยต่างๆแก่พระสงฆ์ 1) ประเพณีปีใหม่เมือง ไทลื้อหมู่บ้านแม่สาบที่ความเชื่อเช่นเดียวกับ “คนเมือง” ในภาคเหนือ โดยเชื่อว่าศักราชใหม่จะเริ่มในเดือน 7 ช่วง 13-15 เมษายน โดยวันที่ 13 เป็นวันสังขารล่อง หรือวันส่งท้ายปีเก่า จะมีการทำความสะอาดบ้านเรือนและเครื่องใช้สอยต่างๆ ตลอดจนการชำระร่างกายให้สะอาด มีการทรงน้ำพระพุทธรูปทั้งที่บ้านและที่วัด ในตอนเย็นมีการยิงปืนที่ริมแม่น้ำเพื่อไล่สังขาร วันที่14 เป็นวันเน่าหรือวันเนาว์ เป็นวันเริ่มตนปีใหม่ จะมีการทำบุญตักบาตร ขนทรายเข้าวัด และวันที่ 15 เป็นวันพญาวันหรือวันเถลิงศก ช่วงเช้าชาวบ้านจะทำบุญตานขันข้าว ถวายตานตุงศรีเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณบรรพบุรุษ (หน้า 69-73)

Education and Socialization

ผู้ชายไทลื้อในอดีตมักจะทำการบวชเรียนที่วัดในชุมชน แต่ในปัจจุบันเมื่อมีการจัดตั้งโรงเรียนขึ้น ทั้งชายและหญิงจึงได้รับการศึกษาที่เท่าเทียมกัน (หน้า 47)

Health and Medicine

ไม่มีรายละเอียด กล่าวเพียงว่ายังมีการรักษาด้วยสมุนไพรและการรักษาโรคด้วยคาถาอาคม โดยวิธีการ”เป่า” (หน้า 77-78)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกายผู้ชายสวมใส่กางเกงสะดอ สวมเสื้อที่ย้อมจากต้นฮ่อม สีที่ใช้คือสีกรมท่าหรือสีดำ ผู้หญิงนิยมการนุ่งผ้าซิ่นที่ทอเป็นลายก่าน หัวซิ่นและตีนซิ่นเป็นแถบสีดำ หรือบางครั้งเป็นลวดลายขิด เสื้อผ้าที่นิยม คือ เสื้อผ่าขาป้ายกลัดกระดุมด้านข้างหรอด้านหน้า เสื้อมีทั้งสีดำแลละขาว นิยมเกล้าผมกลางศีรษะและโพกหัวด้วยผ้าสีขาว (หน้า 48)

Folklore

ไม่มี

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไทลื้อบ้านแม่สายยังคงดำรงอัตลักษณ์ที่สำคัญได้แก่ การใช้ภาษาไทลื้อในการสื่อสาร แม้ว่าเด็กและหนุ่มสาวหันไปพูดภาษาเหนือแต่เมื่ออยู่ในชุมชนและการปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ในชุมชนก็ยังคงใช้ภาษาไทลื้อในการสื่อสาร และการดำรงความเชื่อให้คุณค่าต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และพิธีกรรมสำคัญที่มีผลต่อการดำรงชีวิต เป็นอัตลักษณ์สำคัญที่ยังคงดำรงรักษาผ่านการถ่ายทอดไปสู่ผู้คนรุ่นอื่นๆ ต่อไป (หน้า 117- 118)

Social Cultural and Identity Change

ผู้เขียนเห็นว่าไทลื้อบ้านแม่สาบมีการเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ ดังนี้ 1. การปรับใช้อัตลักษณ์ แม้ว่าวัฒนธรรม ความเชื่อ พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับข้าวและควายที่ได้เปลี่ยนแปลงไป แต่ไทลื้อได้นำฐานความเชื่อเกี่ยวกับพิธีกรรมเหล่านั้นมาปรับใช้กับกิจกรรมที่เข้ามาแทนที่การปลูกข้าวและการใช้ควาย เช่น พิธีแฮกนาใช้ในการแฮกปลูกกระเทียม พิธีฮ้องขวัญรถไถ ด้านความสัมพันธ์ในชุมชนมีการปรับความสัมพันธ์เดิมมาใช้ในกลุ่มทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น กลุ่มประปา หรือกลุ่มผู้ปลูกพืชไร่ (หน้า 118) 2. การสร้างใหม่ทางอัตลักษณ์ เนื่องจากมีอัตลักษณ์บางอย่างที่ได้สูญหายไป จากชุมชน จึงมีความพยายามสร้างอัตลักษณ์ใหม่ที่น่าสนใจให้แก่ชุมชน เช่น ศิลปะการฟ้อนลื้อ จัดตั้งกลุ่มเยาวชนบ้านแม่สาบ ใช้ต้นขนุนหน้าวัดแม่สาบเหนือแทนความเก่าแก่ของชุมชน โดยการใช้พลังหนุ่มสาวในการสืบทอดแนวคิด ทั้งนี้เพื่อสร้างสำนึกความเป็นชุมชนไทลื้อให้เกิดขึ้นกับคนในชุมชน (หน้า 118-119) ปัจจุบันชุมชนไทลื้อ เปลี่ยนแปลงไปทั้งทางด้านสังคมและวัฒนธรรม เนื่องจากการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว ตามนโยบายของภาครัฐ ที่กำหนดไว้ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยและกระทบต่อการใช้ชีวิตของไทลื้อด้วย (หน้า 2) ปรับเปลี่ยนจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่การสะสมทุน เกิดการทำการค้าและประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมขนาดเล็ก เทคโนโลยีเข้าสู่ชุมชน ความสะดวกสบาย จากเส้นทาง รถยนต์ ทำให้วิถีชีวิตของคนในชุมชนเปลี่ยนไป ระบบการผลิตมุ่งเน้นการสร้างรายได้ พึ่งพิงการใช้เครื่องจักร และแรงงาน เกิดการแข่งขัน มาตรฐานการครองชีพสูงขึ้น เป็นสังคมที่อิงกับวัตถุนิยมมากขึ้น (หน้า 3) อีกทั้งการได้รับความเจริญเข้าสู่ชุมชน ทำให้ประเพณีวัฒนธรรมไม่เป็นที่นิยมในการปฏิบัติอีก เช่น ความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ในต้นไม่ใหญ่ ประเพณีลงแขก หรือที่เรียกว่า “การเอามื้อ” หรือการฮ้องขวัญควาย ก็ไม่มีการปฏิบัติกันอีกในปัจจุบัน (หน้า 111) แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ชุมชนไทลื้อก็ยังคงรักษาอัตลักษณ์ความเป็นไทลื้ออยู่ได้ แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมภายนอกและด้วยลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของไทลื้อยังคงหยั่งรากในคนรุ่นใหม่ของไทลื้ออยู่ ยังคงมีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนในหมู่บ้าน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และยังมีการประกอบพิธีกรรมที่สำคัญๆต่างๆร่วมกันมาจนถึงปัจจุบัน (หน้า 115-121)

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ผู้เขียนได้แสดงภูมิประเทศของหมู่บ้านแม่สาบ อำเภอสะเมิง (หน้า 44,45,137) วิถีการประกอบอาชีพการทำนา วัฒนธรรม ประเพณี กิจกรรมทางศาสนา และความเชื่อผี การจุกบุญบั้งไฟ ลักษณะการแต่งกายพื้นเมือง (หน้า 139-144)

Text Analyst เมธีรา ฤกษดายุทธ์ Date of Report 27 พ.ค. 2562
TAG ลื้อ, การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ, อัตลักษณ์, การปรับตัว, เชียงใหม่, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง