|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,สถาปัตยกรรม,ศาสนาอิสลาม,ชุมชน,ปัตตานี |
Author |
วสันต์ ชีวะสาธน์ |
Title |
สถาปัตยกรรมทางศาสนาของชุมชนชาวไทยมุสลิมในจังหวัดปัตตานี |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) |
Total Pages |
142 |
Year |
2544 |
Source |
กองทุนวิจัยและพัฒนาของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ |
Abstract |
ศึกษาวิวัฒนาการของสถาปัตกรรมศาสนาอิสลามของชุมชนมุสลิมในจังหวัดปัตตานี ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่กว่า 79.58 % นับถือศาสนาอิสลาม จากการศึกษาระบุว่าสถาปัตยกรรมทางศาสนาอิสลามในปัตตานีมีวิวัฒนาการเนื่องจากได้รับอิทธิพลจากภายนอก เช่น ชวา บาหลี ตะวันออกกลาง อินเดียและอิทธิพลภายในจังหวัด การก่อสร้างอาคาร เช่น บาลาเซาฮฺ สุเหร่า มัสยิด สิ่งก่อสร้างในระยะเริ่มแรกเช่นบาลาเซาะฮฺ ซึ่งมีรูปแบบเหมือนบ้านพักอาศัยจะสร้างด้วยไม้ ต่อมาเมื่อชุมชนใหญ่ขึ้นจึงสร้างสุเหร่าและมัสยิดซึ่งก่อสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กและมีการสร้างหออะซานติดตั้งเครื่องขยายเสียงแทนกลองตีให้สัญญาณที่เคยใช้ในอดีต |
|
Focus |
ศึกษาลักษณะทางสังคม สิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับการประกอบพิธีทางศาสนาของชุมชนมุสลิมและศึกษาวิวัฒนาการสถาปัตยกรรมทางศาสนาอิสลามในจังหวัดปัตตานี (หน้า 2) |
|
Ethnic Group in the Focus |
มุสลิม คือคนที่นับถือศาสนาอิสลาม คำว่า “มุสลิม” หมายถึง ผู้ที่ยอมมอบกายและจิตใจให้แก่พระอัลลอฮฺ “มุสลิม” มาจากคำว่า “ อัส-ละ-มะ” คำนี้เป็นคำกริยาของคำนาม “อิสลาม” หมายถึง เข้ายอมน้อมกาย คำว่ามุสลิมมีหลายความหมายเช่น ”ผู้ใฝ่ในความสันติ” ในภาษาอังกฤษเรียกมุสลิมว่า “acceptors” แปลว่า ผู้ยอมรับคำสั่งสอนของพระอัลลอฮฺ บางครั้งก็เรียก “submitters”หมายถึง ผู้นอบน้อมยอมมอบตนแก่ประประสงค์ของพระอัลฮอฮฺ (หน้า 7) ประชากรมุสลิมในพื้นที่กรณีศึกษามีจำนวน 79.58 %ในจังหวัดปัตตานี (หน้าบทคัดย่อ, 41) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
การสื่อสารในชีวิตประจำวัน มุสลิมเมื่ออยู่ด้วยกันจะพูดภาษามาเลย์แต่ถ้าหากพูดกับคนอื่นก็จะพูดภาษาไทย ภาษาเขียนจะเขียนด้วยตัวหนังสือยาวี(หน้าบทคัดย่อ,26,41,137) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติศาสนาอิสลาม ศาสนาอิสลามถือกำเนิดที่เมืองมักกะฮฺ ประเทศซาอุดิอาระเบีย เมื่อ พ.ศ.1153 คำว่าอิสลามเป็นภาษาอาหรับหมายถึง การมอบกายและจิตใจให้กับพระเจ้า(อัลลอฮฺ) “อิสลาม” มาจากคำว่า “อัสะมะ” ที่มีรากศัพท์ว่า “ซะลิมะ” หมายความว่า สันติ การนอบน้อม การยอมจำนนอย่างสิ้นเชิง (หน้า 5) พระเจ้าอัลลอฮฺได้ประประทานศาสนาอิสลามให้แก่มนุษย์ ผ่านท่านศาสดานบีมุหัมมัด ซึ่งเป็นชาวอาหรับ สำหรับคำสอนของพระอัลลอฮฺ เรียกว่า คัมภีร์อัล-กุรอาน อันถือว่าเป็นธรรมนูญแห่งชีวิต โดยได้รับ 13 ปีก่อนฮิจญเราะฮฺศักราช (ฮ.ศ.) ซึ่งคำว่าฮิจญเราะฮฺเป็นชื่อศักราของศาสนาอิสลาม โดยเริ่มนับศักราชจากปีที่ท่านบีมุหัมมัด อพยพจากเมืองมักกฮฺ ภายหลังที่ประกาศศาสนาไปแล้ว 13 ปี จึงย้ายไปอยู่เมืองมะดีนะฮฺ ฮิจญเราะฮฺศักราชที่ 1 ตรงกับช่วง ค.ศ.580 หรือ พ.ศ.1123 (หน้า 6) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พ่อค้าอาหรับได้นำศาสนาอิสลามมาเผยแพร่ครั้งแรกพร้อมกับมาติดต่อค้าขายด้วยเรือสินค้า ใน พ.ศ. 1389 โดยเทียบเรือที่เมืองท่าอาเจ๊ะหรือปันดาอาเจ๊ะ ภายหลังจึงตั้งศูนย์ค้าขายพร้อมทั้งเผยแพร่ศาสนาอิสลามเป็นครั้งแรกที่เกาะสุมาตราเหนือ (หน้า 22) และคาดว่าคงแพร่ขยายมาถึงคาบสมุทรมลายูในช่วงเวลาประมาณ พ.ศ.1846 และ 1930 (หน้า 24) ศาสนาอิสลามในจังหวัดปัตตานี เมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 15 (พ.ศ.2000) ราชาแห่งปัตตานีได้เข้านับนับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งจากพงศาวดารได้ระบุว่า ขณะนั้นราชาปัตตานีได้ป่วย หมอในเมืองไม่สามารถรักษาให้หาย ต่อมาได้มีชาวป่าคนหนึ่งชื่อ ชัยคฺ สะอีด ได้มารับอาสาเพื่อรักษาราชา แต่ได้ตั้งข้อแม้ว่า ถ้าเขารักษาราชาจนหายจากการเจ็บป่วยก็จะขอให้ราชาเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม หลังจากที่ราชาได้เข้ารีบศาสนาอิสลามเรียบร้อยแล้วจึงเปลี่ยนพระนามใหม่ว่า อิสมาอีล ชาห์ (หน้า 24) ประกอบกับคริสต์ศตวรรษที่ 16 -18 เมืองปัตตานีเป็นเมืองท่าที่สำคัญจึงมีความเจิรญทางการเมืองและวัฒนธรรม ทำให้เป็นแหล่งวัฒนธรรมอิสลามและมาเลย์ รวมทั้งเป็นศูนย์กลางในการศึกษาศาสนาอิสลาม (หน้า 25) |
|
Demography |
ประชากร จากการสำรวจเมื่อปี 2544 ระบุว่า จังหวัดปัตตานีมีประชากรทั้งหมด 613,352 คน แบ่งเป็นผู้ชายจำนวน 302,673 คนและเพศหญิง 310,679 คน ประชากรอยู่หนาแน่นที่สุดในอำเภอเมือง จำนวน 114,611 คน โดยแบ่งจำนวนประชากรตามการนับถือศาสนาได้ดังนี้ ประชาชน 79.58 % นับถือศาสนาอิสลาม ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธมี 19.63 % และศาสนาอื่นๆ เช่น คริสต์ พราหมณ์ ฮินดู ซิกซ์ ฯลฯ มี 0.79 % (หน้า 41) |
|
Economy |
เศรษฐกิจ มุสลิมในจังหวัดปัตตานี ประกอบอาชีพต่างๆ เช่น ทำการเกษตร ได้แก่ปลูกยางพารา ทำนา ทำสวนผลไม้ ประมง ค้าขาย และรับจ้าง (หน้าบทคัดย่อ,41,139) การบริจาคซะกาต ในหนึ่งปี คนมุสลิมที่มีฐานะจะบริจาคซะกาต ช่วยเหลือคนยากจนอันเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในกลุ่มคนที่มีฐานะร่ำรวยกับคนยากจน (หน้า 1) |
|
Social Organization |
ศาสนาอิสลาม นอกจากเป็นศาสนาแล้วยังเป็น วิถีชีวิตของมุสลิมคือในแต่ละวันจะละหมาด 5 เวลา สถานที่ประกอบพิธีละหมาดจะเป็นที่รับความรู้ต่างๆจากผู้นำทางศาสนาหากหมู่บ้านใดไม่มีมัสยิดก็จะละหมาดที่สุเหร่า แต่เมื่อถึงวันศุกร์จะต้องไปทำพิธีละหมาดที่มัสยิด (หน้า 41)ในสังคมมุสลิมมักเลือกคู่ครองที่เป็นมุสลิมเหมือนกัน นอกจากนี้ยังไม่ชอบคุมกำเนิดจึงทำให้มีประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (หน้า 139) |
|
Political Organization |
จังหวัดปัตตานีแบ่งการปกครองเป็น 12 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง ยะรัง มายอ ทุ่งยางแดง กะพ้อ ยะหริ่ง ปะนาเระ สายบุรี ไม้แก่น หนองจิก โคกโพธิ์และอำเภอแม่ลาน (หน้า 3) 115 ตำบล 631 หมู่บ้าน จำนวน 12 เทศบาล 1 อบจ.และ 99 อบต. (หน้า 41) |
|
Belief System |
ในจังหวัดปัตตานีนับถือศาสนาอิสลาม 79.58 % ของจำนวนประชากร สำหรับสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่กล่าวถึงได้แก่ บาลาเซาะฮฺ สุเหร่า และมัสยิด (หน้า บทคัดย่อ,คำนำ,138,141) ฮัจญ์ คือหลักปฏิบัติสุดท้ายใน 5 ประการโดยกำหนดไว้สำหรับคนที่สามารถปฏิบัติได้ซึ่งในชีวิตจะต้องทำ 1 ครั้ง คำว่า “ฮัจญ์” หมายถึง “การมุ่งไปสู่,การเยือน “ คือการเดินทางมุ่งไปสู่บัยตุลลอฮฺ หรืออัล-กะอฺบะฮฺ ณ นครมักกะฮฺ เพื่อไปทำพิธีทางศาสนาในระยะเวลาที่ระบุไว้ (หน้า 18) สำหรับมุสลิมที่ไปทำพิธีฮัจญ์จะต้องมีความพร้อมด้านสุขภาพและมีความมั่นคงด้านฐานะไม่เป็นหนี้หรือทำให้สมาชิกครอบครัวลำบาก เป็นผู้บรรลุศาสนภาวะ คือเป็นหนุ่ม สาว ไม่ใช่เด็ก ถ้าหากคนที่เดินทางเป็นผู้หญิงคนที่ไปด้วยจะต้องเป็นสามี หรือเป็นพ่อหรือญาติพี่น้องซึ่งเป็นคนที่ไม่อาจแต่งงาน อาทิ พ่อ ลูก พี่ น้อง เป็นต้น เพื่อไปเป็นผู้คุ้มครอง(มะหรอมฮฺ) เดินทางไปด้วยกัน สำหรับคนที่จะไปประกอบพิธีฮัจญ์ต้องประกอบพิธีทางศาสนาอื่นๆครบถ้วยเช่น การละหมาด การถือศีลอด และบริจาคซะกาต (หน้า 19 ) ระยะเวลาในการทำฮัจญ์ปีหนึ่งจะมี 1 ครั้งคือต้นเดือนซุ้ลฮิจญธฮฺ เดือน 12 ศักราชอิสลาม โดยสามารถประกอบพิธีส่วนหนึ่งก่อนเดือน ซุ้ลฮิจญธฮฺ นับตั้งแต่เดือน 10 สำหรับมุสลิมที่ไปทำฮัจญ์ มีชื่อเรียกดังนี้“ฮุจญาต” (เป็นคำพหูพจน์) “ฮัจญี” (ผู้ชายหนึ่งคน) “ฮัจญะฮฺ” (ผู้หญิงหนึ่งคน) คนที่เคยไปทำฮัจญ์มาแล้วมุสลิมจะเรียก“ฮัจญี” หรือ“ฮัจญะฮฺ” นำหน้าชื่อเพื่อเป็นการชื่นชมและให้เกียรติ (หน้า 20,21) อุมเราะฮฺ หมายถึง ” การไปเยี่ยมเยียน” คือการเดินทางไปเยี่ยมเยียน บัยตุลลฮฺ การประกอบพิธีนั้นเหมือนกับการทำพิธีฮัจญ์ ส่วนขั้นตอนการทำพิธีจะน้อยกว่า การประกอบพิธีไม่กำหนดแน่นอนจะทำเวลาไหนก็ได้ การทำอุมเราะฮฺ มีขั้นตอนต่างๆ เหมือนกับฮัจญ์ จึงมีชื่อเรียก ”ฮัจญ์เล็ก ” อีกชื่อหนึ่ง (หน้า 18,19) |
|
Education and Socialization |
คัมภีร์อัล-กุรอาน หมายถึง “การอ่าน” ที่พระอัลลอฮฺ ทรงประทานให้กับผู้ที่ไม่รู้จักการอ่านหนังสือ (หน้า 9) อัล-กุนอานเป็นคัมภีร์ที่รวบรวมคำตรัสของพระอัลลอฮฺที่ประทานแก่นนบีมุหัมมัด โดยมอบทีละนิดทีละน้อยกว่า 2,000 ครั้ง เป็นเวลา 22 ปี 2 เดือน 22 วัน ในคัมภีร์ประกอบด้วยเนื้อความ 6,666 โองการ 114 บท แบ่งเป็น 30 ภาค (หน้า 8) คัมภีร์อัล-กุรอาน ประกอบด้วยภาคทฤษฎี 6 ประการ คือ 1) เชื่อมั่นในองค์อัลลอฮฺ 2) เชื่อมั่นในเทวทูต 3) เชื่อมั่นในคัมภีร์ของศาสดา 4) เชื่อมั่นในบรรดาศาสนทูตขององค์อัลลอฮฺ 5) เชื่อมั่นในวันสิ้นสุดของโลก 6) เชื่อมั่นในการกำหนดแห่งความดีความชั่วการกำหนดนี้มาจากองค์อัลลอฮฺ ภาคปฏิบัติ 5 ประการได้แก่ 1) ปฏิญาณต่อพระอัลลอฮฺว่า เป็นพระเจ้าองค์เดียวและศาสนทูตของพระองค์คือนบีมุหัมมัด 2) ละหมาด 5 เวลา ต่อ 1 วัน 3) บริจาคทาน 4) ถือศีลอด 5) ประกอบพิธีฮัจญ์ ที่นครมักกะฮฺ (หน้า 9) คัมภีร์อัล-กุรอาน นั้นมีความสำคัญต่อมุสลิมเพราะจะต้องอ่านกันทุกคนตั้งแต่วัยเด็ก ผู้ใหญ่และอ่านไปทั้งชีวิต (หน้า 10) คัมภีร์อัล-กุรอ่าน ประกอบด้วยความรู้ในด้านต่างๆ เช่น การแพทย์ การปกครอง การเกษตร ดาราศาสตร์ กฎหมาย (หน้า 12) ส่วนการเรียนการสอนตามหลักสูตรในปัจจุบันในจังหวัดปัตตานี โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามการเรียนการสอนจะสอนศาสนาอิสลามพร้อมกับการสอบในระดับประถมศึกษาชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ในโรงเรียนแต่ละแห่งจะมีที่ประกอบพิธีละหมาดสำหรับนักเรียนและครู เช่น บาลาเซาะฮฺ สุเหร่า และมัสยิดหากเป็นโรงเรียนใหญ่ (หน้า 41) |
|
Health and Medicine |
การละหมาด (นมาซ) มาจากคำว่า “อัศ-เศาะ-ลาต” เป็นภาษาอาหรับ หมายถึง ดุอา หรือ การขอพรเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อพระอัลลอฮฺ มีความสำคัญต่อร่างกายเพราะการละหมาดจะต้องทำความสะอาดร่างกายให้สะอาดจึงจะละหมาดได้ ได้แก่ ล้างมือ ปาก หน้า แขน ศีรษะ หู เท้า ให้สะอาด ในหนึ่งวันจะละหมาด 5 เวลา คือ ซุโบะห์ (เวลาย่ำรุ่ง) เวลา 04.00น.-06.00 น. ดุโฮร์ (เวลาบ่าย)เวลา 12.30 น.-14.30 น. อาซาร์ (ตอนเย็น)15.30 น.-18.30 น. มัฆริบ ( เวลาค่ำ )18.30 น.-18.45 น. อีซา (กลางคืน )19.00 น.- 03.30 น. (หน้า 1,12-15) การถือศีลอด มุสลิมจะถือศีลอดเป็นเวลา 1 เดือน ในเดือน 9 ของฮิจญเราะฮฺศักราช ซึ่งเรียกว่า เดือนรอมฎอน ในช่วงเวลากลางวันคือตั้งแต่เช้าจนตะวันตกดินมุสลิมจะงดอาหารและน้ำ จุดมุ่งหมายของการถือศีลอดก็เพื่อให้รู้ซึ้งถึงความยากลำบากอันจะทำให้เกิดความเมตตากรุณาเห็นอกเห็นใจผู้อื่น สำหรับการถือศีลอดนี้คนมุสลิมไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดก็ต้องปฏิบัติเช่นกัน (หน้า 1,16-18) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
สถาปัตยกรรมศาสนาอิสลาม อาคารทางศาสนา เช่น บาลาเซาะฮฺ สุเหร่า และมัสยิด มีข้อกำหนดคืออาคารต้องหันหน้าไปทางด้านทิศตะวันออก หลังอาคารหันไปเมืองมักกะฮฺที่อยู่ด้านทิศตะวันตก ผนังด้านทิศตะวันตกจะสร้างผนังโค้งยื่นออกมาเรียกว่า “Mihrab” ในส่วนนี้จะทำแท่น “ มิมบัร”(Mimbar)(ภาพหน้า 90,126) เพื่อให้อิหม่ามนำสวดเมื่อทำพิธีละหมาดหรืออบรมความรู้ทางศาสนา เมื่อจะเข้าทำพิธีละหมาดก็จะทำความสะอาดร่างกายที่บ่อน้ำหรือที่ทำความสะอาดอื่นๆที่สร้างไว้ที่ลานโล่งหน้าอาคาร(หน้าบทคัดย่อ,138,141) สำหรับสถาปัตยกรรมศาสนาอิสลามได้แบ่งออกเป็นแบบต่างๆ ดังนี้ บาลาเซาะฮฺ ลักษณะเหมือนบ้านมุสลิม เป็นอาคารไม้มีหนึ่งชั้น ใต้ถุนโล่ง หลังคาเป็นรูปทรงจั่ว แบบปั้นหยา และแบบบลานอ โดยมีทั้งแบบชั้นเดียวกับแบบสองชั้น มุงกระเบื้องดินเผาปลายแหลม ด้านหน้าอาคารก็จะขุดบ่อน้ำไว้เพื่อเป็นที่ชำระล้างร่างกายก่อนที่จะเข้าไปทำพิธีละหมาด (หน้า 138,ภาพหน้า 45-48,59-66) สุเหร่า (Surao) เป็นภาษามาเลย์ หมายถึง” ห้องสวดมนต์” ลักษณะไม่เหมือนบ้าน ทำด้วยไม้เป็นอาคารแบบถาวร หลังคาจะมีรูปแบบเหมือนกับบาลาเซาฮฺ เช่นหลังคาแบบจั่ว ปั้นหยา แบบบลานอ ทั้งแบบชั้นเดียวและสองชั้น หลังคามุงกระเบื้องปลายแหลม ส่วนด้านทิศตะวันตกจะสร้าง Mihrab ยื่นออกจากฝาสุเหร่า เมื่อจะประกาศเรียกมุสลิมมาทำพิธีละหมาด ก็จะประกาศผ่านเครื่องขยายเสียง ซึ่งเมื่อก่อนนี้จะตีกลองเรียก ตัวอย่างสุเหร่า ในจังหวัดปัตตานี เช่น สุเหร่าอาโฮ บ้านตันหยง ตำบลมะนังยอ อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี รูปแบบสุเหร่าเป็นแบบไม้ชั้นเดียวใต้ถุนโล่งไม่สูง การใช้สอยพื้นที่ พื้นที่ด้านทิศตะวันออกเป็นทำพิธีละหมาด มีเนื้อที่กว้าง ส่วนด้านทิศตะวันตกจะสร้างเป็นห้องเล็กๆ โดยยื่นออกมาจากอาคาร ส่วนนี้เป็นที่ตั้งของมิมบัร บันไดทางขึ้นเป็นคอนกรีตอยู่ทางด้านขวามีสองด้าน ส่วนบ่อน้ำอยู่ตรงทางขึ้นบันได ฝาเป็นแผ่นไม้ขนาดใหญ่วางในแนวนอน ตรงรอยต่อของแผ่นไม้จะตีด้วยแผ่นไม้เล็กๆ ประตูอยู่ทางด้านขวา หน้าต่างทางด้านข้างจะสูงถึงพื้น หลังคาเป็นทรงจั่วสามชั้น มุงกระเบื้องดินเผาปลายแหลม ลักษณะการสร้างอาคารเหมือนอาคารในชวากับบาหลี (หน้า 67 ภาพหน้า 68-70) มัสยิด (Masjid) มีความหมายเหมือนกับสุเหร่าแต่แตกต่างกันที่เป็นอาคาร ที่ใหญ่กว่า มัสยิดจะเป็นสถานที่ทำพิธีละหมาดในช่วงวันศุกร์ ตัวอาคารเป็นคอนกรีต เสริมเหล็ก ได้รับอิทธิพลจากตะวันออกกลาง อินเดียและเปอร์เซีย เช่นหลังคาเป็นรูปโดม และสร้างหออะซาน สำหรับตัวอย่างมัสยิดในจังหวัดปัตตานี ได้แก่ มัสยิดกรือเซะ เป็นมัสยิดร้างสร้างยังไม่แล้วเสร็จ อยู่ที่หมู่ 2 บ้านกรือเซะ ตำบลตันหยงลูโละ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี จากหลักฐานเชื่อว่าสร้างในช่วงสมัยสุลต่าน อิสมาแอล ชาห์ กับสุลต่านก็อฟฟาร์ ชาห์ พ.ศ.2043-2107 (หน้า 31,32,71 ภาพหน้า 72-77) มัสยิดดาโต๊ะ หรือมัสยิดดารุลนาอีม อยู่ที่หมู่ 4 ตำบลแหลมโพธิ์ อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี เชื่อว่าสร้างในช่วงสมัยเดียวกับมัสยิดกรือเซะ (หน้า 79 ภาพหน้า 80-86) และมัสยิดจะบังติกอ หรือมัสยิดรายาปัตตานี ตั้งอยู่ตำบลจะบังติกอ เทศบาลเมืองจังหวัดปัตตานี สร้างเมื่อ พ.ศ.2388 (หน้า 87 ภาพหน้า 88,89) หออะซาน คือ อาคารหรือหอคอยสูงที่ตั้งอยู่ทางด้านหน้าของมัสยิด เพื่อเรียกมุสลิมให้มาทำพิธีนมาซ คำว่าหออะซาน มาจากคำว่า “มินาเรต” (Minarets)หรือ “มินาร” หมายถึง “หอคอย” สำหรับคำว่ามินาเรต มาจากคำว่า “มานาร” ซึ่งแปลว่า “สถานที่มีแสงสว่าง” เป็นภาษาอาหรับ ในระยะเริ่มแรกที่จะมีการเรียกคนมาทำนมาซ (อะซาน) จะเรียกที่หลังคามัสยิดหรือบ้านเรือนที่อยู่ใกล้มัสยิด การทำหออะซานได้ค้นพบครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.637 จากข้อมูลฟูสตาท (Fustat) ประเทศอียิปต์ ภายหลังจึงแพร่หลายไปยังประเทศต่างๆโดยได้สร้างหออะซานหลายแบบด้วยกันอาทิ รูปวงกลม สี่เหลี่ยมและอื่นๆ (หน้า 34,35) และติดตะเกียงหรือโคมไฟเพื่อบอกเวลาของการมาทำนมาซ (หน้า 36) ศิลปะมุสลิม ศิลปะมุสลิมเกิดขึ้นเมื่อประมาณต้นปีฮิจญเราะฮฺ ในดินแดนที่เรียกว่าพระจันทร์เสี้ยว(The Fertile Crescent) อันเป็นอาณาจักรของปาเลสไตน์ ซีเรียและอิรัค ศิลปะมุสลิมมาจากอิทธิพลทางศิลปะแบบต่างๆ ที่รับมาตั้งแต่ต้น คริสต์ศตวรรษที่ 7 กระทั่งพัฒนาเป็นรูปแบบของตนเองในช่วงคริสต์ศตวรรษ (หน้า 27) ที่ 10 -16 ศิลปะมุสลิมเป็นศิลปะแห่งลวดลายตกแต่ง (Art of Ornament) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 อย่างคือ 1) อาราเบสค์ (Arabesgugs) หมายถึงลวดลายแบบอาหรับ เนื่องจากศาสนาอิสลามไม่ให้สร้างรูปเคารพหรือรูปคนเหมือนดังนั้นจึงสร้างเป็นลวดลายตกแต่ง แบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ 1.1 ลวดลายเครือเถา( Floral Ornament ) คือนำมาจากลวดลายของพืชเช่น ช่อดอก ผล ดอก กิ่งก้าน พืชที่ชอบใช้มากที่สุดเป็นเถาองุ่น 1.2 ลวดลายเรขาคณิต ( Geometrical Ornament ) ได้แก่ เส้นตรง วงกลม สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม เป็นต้น (หน้า 28) 1.3 ลวดลายแบบผสม คือลายที่รวมกันระหว่างลายเถากับลายเรขาคณิต (หน้า 29) 2) อักษรประดิษฐ์ (Calligraphy ) เป็นภาษาอาหรับที่คัดลอกมาจากคัมภีร์อัล-กุรอาน แบ่งออกเป็น 4 ชนิดคือ 2.1 แบบอักษรเหลี่ยม (Angular Styles) คือจะใช้เส้นตั้งที่หักมุมกับแนวนอน อักษรประเภทนี้เช่น แบบมาส์ค(Mashq) และแบบคูฟิค (Kufic) 2.2 แบบอักษรเส้นโค้ง(Cursive Styles ) แบ่งออกเป็นแบบต่างๆเช่น แบบนัสคี แบบรัยฮานี แบบเทาคี 2.3 แบบจัดองค์ประกอบ (Composite Styles ) โดยนำแบบต่างๆมาผสมเข้าด้วยกัน ส่วนมากจะตกแต่งในส่วนเสา ผนังเป็นต้น (หน้า 29) 2.4 แบบอักษรประดิษฐ์ภาพ (Calligraphic Styles ) โดยนำข้อความในคัมภีร์มาแปลนามธรรมเป็นรูปธรรม (หน้า 30) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
วิวัฒนาการสถาปัตยกรรมศาสนาอิสลามในจังหวัดปัตตานี สถาปัตยกรรมทางศาสนาอิสลามมีวิวัฒนาการทั้งจากภายนอกเช่น ชวา บาหลี ตะวันออกกลาง อินเดีย เป็นต้นและจากภายในจังหวัด ในการก่อสร้างอาคารในช่วงแรกจะสร้างด้วยไม้อาคารมีขนาดเล็ก(หน้าบทคัดย่อ 1,2 ) ในเวลาต่อมาหลังจากที่ชุมชนมีการขยายตัวมากขึ้น ก็มีการเปลี่ยนแปลงโดยสร้างอาคารเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ใช้อิฐและปูนเป็นวัสดุในการก่อสร้าง (หน้า 42-43,139) ในช่วงแรกสุเหร่า และมัสยิด ในจังหวัดปัตตานี ยังไม่สร้างหออะซาน แต่จะตีกลองขนาดใหญ่เพื่อเป็นสัญญาณเมื่อจะบอกมุสลิมมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ในภายหลังจึงมีการสร้างหออะซานและติดตั้งเครื่องขยายเสียง (หน้า 140) |
|
Map/Illustration |
ภาพ จังหวัดปัตตานี (หน้า 40) หมู่บ้านควนลางา อำเภอโคกโพธิ์ (หน้า 44) บาลาเซาะฮฺ สุเหร่า และมัสยิดบ้านควนลางา (หน้า 45-55) บาลาเซาะฮฺ บ้านตลาดนัดต้นมะขาม อำเภอยะรัง (หน้า 58-59) บาลาเซาะฮฺ บ้านกะมิยอ อำเภอเมือง (หน้า 59-60) บาลาเซาะฮฺ บ้านแม่ลาน ,บ้านท่าแรดอำเภอแม่ลาน (หน้า 61-64) บาลาเซาะฮฺ บ้านปาแดปาลัส อำเภอทุ่งยางแดง (หน้า 65-66) สุเหร่าอาโฮ บ้านตันหยง อำเภอยะหริ่ง (หน้า 68-70) มัสยิดดาโต๊ะ อำเภอเมือง (หน้า 73-77) มัสยิดดาโต๊ะ อำเภอยะหริ่ง (หน้า 80-86) มัสยิดจะบังติกอ อำเภอเมือง (หน้า 88-91) มัสยิดสลินดงบายู อำเภอสายบุรี (หน้า 92-99) มัสยิดซาฟัน อำเภอปะนะเระ (หน้า 100-103) มัสยิดสะบารัง ตำบลสะบารังอำเภอเมือง (หน้า 104-105) มัสยิดเกาะตา ตำบลทุ่งพลา อำเภอโคกโพธิ์ (หน้า 106-107) มัสยิดบูรฮานุดิน บ้านบาตู อำเภอบาเจาะ (หน้า 108-111) มัสยิดตะลุบัน ตำบลสะบารัง อำเภอเมือง (หน้า 112-114) มัสยิดนูรูลอิสลาม ตำบลบาโง อำเภอกะพ้อ (หน้า 115) มัสยิดดะวะติดดีน ตำบลปาแดปาลัส อำเภอทุ่งยางแดง (หน้า 116) มัสยิดตอรีย์กุลยันนะห์ ตำบลตะบิงติงงี อำเภอมายอ (หน้า 117-118) มัสยิดยามู ตำบลยามู อำเภอยะหริ่ง (หน้า 119) มัสยิดนูรูลอิสลาม บ้านตลาดนัดต้นมะขาม อำเภอยะรัง(หน้า120-122) มัสยิดดารูสซาลาม บ้านท่าแรด อำเภอแม่ลาน (หน้า 123) มัสยิดดารูสซาลาม บ้านไลดูวอ อำเภอปะนาเระ (หน้า 124-127) มัสยิดดารูลอามาน ตำบลปะนาเระ อำเภอปะนาเระ (หน้า 128-129)มัสยิด นูรตตักวาปาตา ตำบลปะนาเระ อำเภอปะนาเระ (หน้า 130) มัสยิดยาแมะฮ์ บ้านแสแวงตำบลตุยง อำเภอหนองจิก (หน้า 130)มัสยิดขนาดเล็กหรือศาลาละหมาด อำเภอหนองจิก(หน้า 132) ห้องละหมาดในสถานีบริการน้ำมัน ปตท.(หน้า 133) มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี อำเภอเมืองปัตตานี (หน้า 134-136) แผนผัง วังเมืองปัตตานีที่กรือเซะ (หน้า 72) แผนที่ เมืองปัตตานีที่กรือเซะ (หน้า 78) |
|
|