สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject มุสลิมมลายู,ชุมชนชาวประมงพื้นบ้าน,ทรัพยากรทางทะเล,กฎหมายชายฝั่งทะเล,ปัตตานี
Author คณะนักวิจัยประกอบด้วยนักวิชาการ นักพัฒนาเอกชนและชาวประมง
Title บทบาทของชุมชนชาวประมงพื้นบ้านในการจัดการทรัพยากรชายฝั่งและการบังคับใช้กฏหมายในพื้นที่รอบอ่าวปัตตานี ศึกษากรณี : บ้านตันหยงเปาว์ หมู่ที่ 4 ต.ท่ากำซำ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเนเชี่ยน
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 193 Year 2543
Source สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
Abstract

งานเขียนกล่าวถึงบทบาทของชุมชนชาวประมงพื้นบ้านบ้านตันหยงเปาว์ หมู่ 4 ตำบลท่ากำชำ อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี ในการจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำในทะเลซึ่งชาวประมงในพื้นที่กรณีศึกษาได้ทำการประมงพื้นบ้านโดยอยู่บนพื้นฐานความเชื่อ ภูมิปัญญาและจารีตประเพณีท้องถิ่น ซึ่งกลุ่มชาวประมงในพื้นที่กรณีศึกษาเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากเรืออวนรุนที่ทำลายสภาพแวดล้อมทางทะเลให้ได้รับความเสียหายจนต้องยกเลิกการใช้เครื่องมือประมงพื้นบ้านหลายชนิด เนื่องจากไม่สามารถใช่ได้เพราะสิ่งแวดล้อมทางทะเลและสัตว์น้ำถูกทำลายเป็นจำนวนมาก

Focus

ศึกษาและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนาและบทบาทของชุมชนชาวประมงพื้นบ้าน, เพื่อหาเงื่อนไขภายในที่จะทำให้ชุมชนชาวประมงพื้นบ้านสามารถประสานงานและร่วมมือกับฝ่ายต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนเพื่อให้มีการบังคับใช้กฎหมายในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำชายฝั่ง และเพื่อหาข้อเสนอและนโยบายที่เป็นรูปธรรมเกี่ยวกับบทบาทของชุมชนชาวประมงพื้นบ้านในการจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำ เพื่อลดระดับความรุนแรงและ/หรือแก้ไขปัญหาความยากจนของชุมชนชาวประมงพื้นบ้านตามแนวชายฝั่งในภาคใต้และเพื่อเสนอตัวแบบการดำเนินการตามนโยบายและการบังคับใช้กฎหมาย (หน้า 7)

Theoretical Issues

กรอบแนวคิดในการศึกษา แนวคิดในการศึกษามุ่งที่จะแสดงให้เห็นว่าการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อมในประเทศไทยได้สะท้อนให้เห็นปัญหาซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนทัศน์ในการกำหนดนโยบายการบังคับใช้กฎหมายในเรื่องทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งแนวคิดเช่นนี้ ได้อิทธิพลมาจากหลักนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศที่มักจะให้ความสำคัญกับรัฐ และมุ่งให้รัฐเป็นศูนย์กลางบนพื้นฐานของการพัฒนาระบบทุนนิยมซึ่งเน้นการแข่งขันเพื่อแสวงหากำไร ซึ่งกระบวนการดังกล่าวดำเนินไปโดยละเลยความสำคัญของกฎเกณฑ์กติกาทางสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่นและจารีตประเพณีวัฒนธรรมของชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีเหตุผลการใช้ทรัพยากรธรรมชาติจนเกินเลยขอบเขตจนกลายเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อม ผลเสียหายที่เกิดขึ้น อาจก่อให้เกิดความล่มสลายของโครงสร้างสังคมและเศรษฐกิจของชุมชน ที่ต้องพึ่งพาอาศัยทรัพยากรธรรมชาติและทำให้เกิดผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศในวงกว้าง (หน้า 9)

Ethnic Group in the Focus

ชาวประมงพื้นบ้านที่อยู่หมู่บ้านตันหยงเปาว์ หมู่ 4 ตำบลท่ากำชำ อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี คนในหมู่บ้าน 99 % นับถือศาสนาอิสลามและครอบครัวคนจีนอีก 1 ครอบครัว (หน้า 21)

Language and Linguistic Affiliations

การติดต่อกับบุคคลภายนอกค่อนข้างมีปัญหาเพราะว่าชาวประมงไม่สามารถพูดภาษาไทย (หน้า 96)

Study Period (Data Collection)

มกราคม 2542-มีนาคม 2543 (หน้า 9)

History of the Group and Community

ประวัติศาสตร์ชุมชน หมู่บ้านตันหยงเปาว์มีอายุประมาณ 200 ปี เมื่อก่อนนี้เป็นหมู่บ้านที่มีความอุดมสมบูรณ์ สภาพป่าชายเลนยังมีต้นไม้ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น การทำประมง ส่วนมากจะทำอยู่ในคลองกับพื้นที่ป่าชายเลน เนื่องจากน้ำในคลองลึกจึงไม่จำเป็นต้องออกทะเล เครื่องมือประมงที่ใช้ประกอบด้วย แหกุ้ง อวนปลากระบอก โพงพาง รันกุ้ง ลอบ ยอและอื่นๆ (หน้า 31) ริมฝั่งทะเลมีพื้นที่ป่าชายเลนกว่า 400 ไร่ ในระยะหลังได้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อม เช่น พ.ศ.2521 เจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้มาจ้างชาวบ้านตัดไม้แสมในป่าชายเลนเพื่อปลูกไม้โกงกาง จากนั้นน้ำท่วม ป่าชายเลนริมฝั่งจึงไม่มี (หน้า 32,34) ในอดีตเมื่อ พ.ศ.2470 การตั้งหมู่บ้านจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มบ้านได้แก่บ้านกำปงปาตาหรือบ้านปาตา กับบ้านตังหยงเปาว์ สำหรับหมู่บ้านกำปงปาตานั้นเป็นชุมชนดั้งเดิมเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่มีคนอยู่มาตั้งแต่เมื่อครั้งปู่ย่าตายาย ระยะทางอยู่ห่างจากหมู่บ้านตันหยงเปาว์ ในระยะที่ตีกลองยังไม่ได้ยินบริเวณชายฝั่งก็เต็มไปด้วยต้นมะพร้าวและป่าชายเลน (หน้า 38) ต่อมา พ.ศ.2511-2512 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลังจากมีเรืออวนรุน มาทำการประมงบริเวณชายฝั่งหน้าหมู่บ้าน ทำให้เครื่องมือประมงพื้นบ้านหลายอย่างเช่น ซั้งและอวนปลาหลังเขียวและอื่นๆ ได้หายไป ต่อมา พ.ศ.2516-2517 ได้มีการสร้างเขื่อนปิดกั้นลำคลอง (หน้า 39,40) อีก 3 ปีต่อมาลำคลองจึงตื้นเขิน ป่าชายเลนเสื่อมโทรมจากนั้นเมื่อมีเรือนอวนรุนมากขึ้นสภาพแวดล้อมทางทะเลก็ถูกทำลายปลาก็ลดจำนวนลงหาได้ยากกว่าในอดีต (หน้า 41-45)

Settlement Pattern

ไม่มี

Demography

หมู่บ้านตันหยงเปาว์มีประชากร 1,154 คน 236 ครัวเรือน (หน้า 21) โดยแบ่งตามกลุ่มอายุได้ดังนี้ อายุ 1 ถึง 10 ปี มี 22.34% อันดับสองเป็นกลุ่มอายุ 11 ถึง 20 ปี มี 22.15 % กลุ่มอายุ 21 ถึง 30 ปี มี 21.21% อายุ 31 ถึง 40 ปี มี 17.8% อายุ 41 ถึง 50 ปีมี 7.9% และคนที่มีอายุมากกว่า 50 ปี มี 8.5% (หน้า 22)

Economy

เศรษฐกิจ คนในหมู่บ้าน 80 % ทำอาชีพประมง (หน้า 21) โดยมี รายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 1,264 บาท ต่อครอบครัวต่อเดือน เนื่องจากรายได้หลักไม่เพียงพอสำหรับใช้จ่ายในครัวเรือนเนื่องจากต้องเสียเงินส่วนหนึ่งเพื่อซ่อมแซมอุปกรณ์ประมงดังนั้นชาวประมงจึงทำอาชีพเสริมหลายอย่างเช่น ทำประมงในคลอง เมื่อคิดรายได้เฉลี่ยจะตกอยู่ที่ 2,462 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน ทำงานรับจ้างในประเทศเช่นรับจ้างถักอวนที่บ้าน รับจ้างถักอวนในตัวจังหวัดปัตตานี ทำงานก่อสร้าง เมื่อคิดรายได้เฉลี่ยจะอยู่ที่ 1,946 บาทต่อครอบครัวต่อเดือน ไปทำงานในประเทศมาเลเซียเช่นไปทำงานลูกเรือประมง ทำงานเป็นลูกจ้างในร้านอาหาร เป็นต้นจะมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 2,883 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน (หน้า 26-30,ตารางหน้า 27,28) หนี้สิน คนในหมู่บ้าน 78 %เป็นหนี้ ส่วนอีก 22 %ไม่เป็นหนี้ในจำนวนของคนที่เป็นหนี้นั้น 34 % เป็นหนี้น้อยกว่า 10,000 บาทส่วนอีก 33 % เป็นหนี้ 20,000-30,000บาท ส่วนใหญ่หากเป็นหนี้ก็จะกู้ยืมมาจากแพปลาในหมู่บ้าน มี 75 %บางส่วนจะเป็นหนี้กับเถ้าแก่ในเมืองส่วนอีก 8 % เป็นหนี้ธนาคาร (หน้า 23) การถือครองที่ดิน ในหมู่บ้านมีคน 39 %ที่มีที่ดินเป็นของตัวเองส่วนอีก 61 %ที่มีที่ดิน สำหรับคนที่มีที่ดินมีเพียง 13 คน (7 %)มีหลักฐานครอบครองที่ดินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ได้แก่ โฉนด น.ส.3 ก.กับ ส.ค.1 ส่วนคนที่ไม่มีที่ดินของตนเองจะอยู่ในเขตป่าสงวนหรืออยู่ในที่ดินของคนอื่น นอกจากนี้การมีที่ดินเป็นของตนเองก็ยังมีที่ดินไม่มากคือ 29 % เป็นเจ้าของที่ดินไม่เกิน 1 ไร่ สำหรับคนที่ทำสวนมะพร้าวมีเพียง 3 % สภาพเศรษฐกิจโดยทั่วไปของคนในหมู่บ้านไม่มีความมั่นคงเพราะทำอาชีพประมงต้องพึ่งพาสิ่งแวดล้อมทางทะเล (หน้า 22)

Social Organization

คนในหมู่บ้าน 99 % นับถือศาสนาอิสลาม มีครอบครัวคนจีนที่ทำอาชีพค้าขาย 1 ครอบครัว คนในหมู่บ้านกว่าครึ่งของจำนวนประชากรยังเป็นเด็กและเยาวชน สภาพสังคมเศรษฐกิจของคนในหมู่บ้านยังต้องพึ่งพาธรรมชาติสิ่งแวดล้อมทางทะเล ดังนั้นเมื่อเกิดการทำลายทรัพยากรทางทะเลจึงทำให้สภาพความเป็นอยู่ของคนในหมู่บ้านขาดความมั่นคงนอกจากนี้ยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและไม่ได้ทำอาชีพเกษตรกรรมอย่างอื่นเป็นอาชีพเสริมจึงทำให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่มีความแน่นอน (หน้า 23)

Political Organization

นโยบายและกฎหมายยกเลิกเรืออวนรุน งานเขียนระบุเรื่องนโยบายและกฎหมายยกเลิกเรืออวนรุนในเขตจังหวัดปัตตานีซึ่งมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ.2541และนโยบายส่งเสริมการทำการประมงเชิงพาณิชย์ซึ่งทำให้เกิดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติโดยมีความมุ่งหวังเฉพาะเรื่องรายได้ทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ (หน้า 101-138)

Belief System

ศาสนาและความเชื่อ คนในหมู่บ้าน 99 % นับถือศาสนาอิสลาม (หน้า 21) ซึ่งตามความเชื่อของศาสนาอิสลามได้ระบุถึงทรัพยากรในทะเลว่า ทะเลเป็นของอัลลอฮฺ (พระผู้เป็นเจ้า) กับผู้ที่ทำหน้าที่ปกป้องรักษาทะเลเรียกว่า “นบีค๊อยเดห์”การใช้ประโยชน์จากทะเลต้องเคารพผู้ปกป้องทะเลต้องเรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติของทะเล การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในทะเลต้องเป็นไปอย่างเท่าเทียมกันและคุ้มค่าเพราะมนุษย์ทุกคนมีสติปัญญามีความสามารถเหมือนกัน และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในท้องทะเลต้องไม่ทำให้คนอื่นทั้งที่นับถือศาสนาอิสลามและศาสนาอื่นเดือดร้อน เพราะมนุษย์ทุกคนต้องรับผิดชอบต่ออัลลอฮฺ และต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน (หน้า 47,55,140) พิธีกรรมเกี่ยวกับเรือ ชาวบ้านมีความเชื่อเกี่ยวกับเรือว่าหากได้เรือลำใหม่ หรือมีเรือเก่าซึ่งไม่ได้ลงน้ำเป็นเวลานาน หากจะนำเรือลงน้ำจะทำพิธีตามความความเชื่อของศาสนาอิสลามหรือการละหมาดอายัด โดยจะทำน้ำมนต์ใส่ในหม้อดิน สำหรับน้ำมนต์จะเป็นน้ำบ่อ โรยแป้งหอม ผ่ามะนาว 3 ลูกโรยด้วยเปลือกไม้บลูฆู โดยทุบจนเปื่อยแล้วใส่ลงในน้ำ การทำพิธีอิหม่ามจะเอาน้ำมนต์ไปล้างเรือ ซึ่งก่อนที่อิหม่ามจะล้างเรือนั้นคนที่เป็นเจ้าของเรือก็จะทำบุญบริจาคให้กับคนที่มาทำพิธีละหมาดอายัด ในการทำพิธีผู้จัดจะทำข้าวเหนียวเหลืองโดยเอาไข่เจียวมาตัดเป็นเส้นแล้วก็จะโรยประดับลงบนหน้าข้าวเหนียว จากนั้นก็จะเชิญผู้เข้าร่วมพิธีมากินข้าวเหนียวแต่ก่อนที่จะนำข้าวเหนียวมากินนั้นจะต้องแบ่งข้าวเหนียวเหลืองส่วนหนึ่งใส่จานแล้วเอาไปไว้ในเรือ และเมื่อจะนำเรือออกทะเลต้องถามฤกษ์ยามกับโต๊ะครู (หน้า 63) หากได้ฤกษ์ยามแล้วเมื่อจะขึ้นเรือก็จะก้าวด้วยเท้าขวาถือข้าวเหนียวเหลืองขึ้นไปบนลำเรือ ก่อนจะออกเรือก็จะนำหมากพลู เทียน บุหรี่อย่างละ 3 ชุดนำไปไว้ที่ท้ายเรือ หัวเรือและเสากระโดง ก่อนออกเรือก็จะนำไปทิ้งที่ปากคลอง 1 ชุดเพื่อบอก “นบีค๊อยเดห์” ซึ่งเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองทะเลให้ช่วยรักษาให้คลาดแคล้วจากจากไม่ดีทั้งปวง เจ้าของเรือจะบอกกับทะเลว่าจะมาประกอบพิธีทุกเดือน ส่วนความเชื่ออื่นๆ เกี่ยวกับเรือ อย่างเช่น ชาวบ้านเชื่อว่าไม่ให้ใส่รองเท้าขึ้นเรือเพราะจะทำให้เรือไม่สะอาด ส่วนผู้หญิงมีประจำเดือนขึ้นเรือไม่ได้เพราะจะทำให้โชคไม่ดี นอกจากนี้ชาวบ้านยังเชื่อว่าคนที่เป็นคนดีจะไม่ใช้วิชาอาคมเพื่อตักตวงทรัพยากรในการประมงเพราะคนที่ทำแบบนี้จะไม่เหลืออะไรสุดท้ายก็จะพบกับความทุกข์ยากลำบากในชีวิต (หน้า 64)

Education and Socialization

คนในหมู่บ้านส่วนมากสำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษา 93 % สำหรับคนที่จบการศึกษาระดับมัธยมต้นและมัธยมปลายมี 5 % ในหมู่บ้านไม่มีคนจบการศึกษาระดับปริญญาตรี ส่วนผู้ที่จบการศึกษาด้านศาสนาอิสลามมี 1.5 % (หน้า 22)

Health and Medicine

การรักษาพยาบาล ในอดีตหากคนในหมู่บ้านตันหยงเปาว์ไม่สบายเป็นไข้ตัวร้อนก็จะรักษาด้วยสมุนไพรที่หาได้ในท้องถิ่นโดยนำส่วนต่างๆ ของพืชมาใช้ในการรักษาเช่น ราก เปลือก ลูกไม้ ยอดและหญ้าหลากหลายชนิด ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้หมอชาวบ้านจะรู้ส่วนผสมและการรักษา (หน้า 31) ออ

Art and Crafts (including Clothing Costume)

เครื่องมือประมงพื้นบ้าน ในหมู่บ้านมีเครื่องมือประมงต่างๆ ดังนี้ อวนลอยกุ้งแบบกุ้งขาวและกุ้งแชบ๊วย มี 47.11 % ของเครื่องมือประมงทั้งหมด มีอวนจมปู 13.98 % โพงพาง 7.6 % แห 8.81 % ลอบปูดำ 5.17 % เรือ 145 ลำ โดยเป็นเรือนพายกับเรือแจว จำนวน 70 ลำ (48.28 %) เรือหางยาวติดเครื่องยนต์ 75 ลำ หรือ 51.72 % (หน้า 21) สำหรับเครื่องมือประมงพื้นบ้านนั้นเป็นเครื่องมือที่ชาวบ้านทำขึ้นโดยมีความสอดคล้องกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อมของทะเล ฤดูกาลและพฤติกรรมชองสัตว์น้ำ โดยเป็นเครื่องมือที่ไม่ทำลายแหล่งเพาะของสัตว์น้ำวัยอ่อน สำหรับข้อดีของเครื่องมือประมงพื้นบ้านก็คือสามารถแยกจับสัตว์น้ำเฉพาะชนิด ขนาดฤดูกาลและพฤติกรรมของสัตว์น้ำชนิดนั้นซึ่งในแต่ละฤดูจะมีจำนวนไม่เท่ากัน ดังนั้นการใช้เครื่องมือประมงพื้นบ้านก็จะช่วยอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำให้อยู่ขยายพันธุ์ต่อไปได้โดยเลือกจับเฉพาะขนาดที่ต้องการเท่านั้นส่วนสัตว์น้ำที่ยังเล็กก็ปล่อยให้เติบโตต่อไป (หน้า 52-54) เครื่องมือประมงที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ทุกวันนี้ในหมู่บ้านยังใช้เครื่องประมงอยู่ 16 ชนิด เพราะว่าการใช้ยังคงสอดคล้องกับสภาพธรรมชาติของสัตว์น้ำ ฤดูกาลเครื่องมือที่ใช้ได้แก่ อวนลอยกุ้ง 3 ชั้น ใช้ดักจับกุ้งหวาย กุ้งแชบ๊วยในบริเวณน้ำลึก 4-6 วาในช่วงเดือนตุลาคมและมากราคมถึงมีนาคม,อวนจมปู เป็นอุปกรณ์ดักจับปูม้าโดยจะใช้ในบริเวณน้ำลึก 2-7 วา อยู่ไกลจากฝั่ง1 ถึง 5 กิโลเมตร,โพงพางเป็นเครื่องมือจับกุ้งขาวเล็ก กุ้งแสม คนในหมู่บ้านจะใช้ในลำคลองตันหยงเปาว์ในช่วงเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์ โดยจะวางโพงพางในเวลากลางคืนนอกจากนี้ยังใช้อุปกรณ์อื่น เช่น แห เบ็ด ยอ เหล็กเกี่ยวปูดำ ฉมวกแทงกุ้ง ฯลฯ (หน้า 57,58 ตารางหน้า 59-61,174-183) เครื่องมือประมงที่เลิกใช้แล้ว มีดังนี้ อวนปลาหลังเขียว อวนทับตลิ่ง อวนช้อนกุ้งเคย โป๊ะ อวนปาแย แหหมึก ลอบปลา อวนปลาจะละเม็ด อวนปลาข้างเหลือง กูละและเรือผีหลอก อุปกรณ์ประมงเหล่านี้มีความสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของทะเลและสังคมของชาวประมงเพราะอุปกรณ์หลายอย่างคนต้องช่วยกันทำงานหลายคนเช่นอวนปลาหลังเขียวซึ่งใช้เรือกอและโดยต้องมีคนช่วยกันทำงาน 5-6 คน แต่ได้เลิกใช้ไปเมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้วเนื่องจากมีการใช้อวนรุน อวนลาก ซึ่งทำลายซั้งปลาหลังเขียวหรือแหล่งปะการังเทียมของชาวบ้าน (หน้า 53-55 ตารางหน้า 56) เรือประมงพื้นบ้าน เรือประมงที่ชาวบ้านใช้หาปลาจะมีหลายอย่าง ตามแต่ชนิดและการใช้สอย ในอดีตชาวบ้านจะชอบเรือลำใหญ่ๆเนื่องจากต้องขนสัตว์น้ำมากมายและไม่จำเป็นต้องแล่นด้วยความเร็วแต่ถ้าหากต้องเดินทางไกลก็จะใช้เรือที่เป็นลำขนาดเล็กเพราะต้องเดินทางด้วยความรวดเร็วเรือประมงพื้นบ้านมีหลายอย่างเช่น เรือกอและ จะตกแต่งวาดด้วยภาพที่ข้างลำเรืออย่างสวยงามส่วนใหญ่มักจะวาดลายยาวอหรือชวาเพราะได้รับแรงบันดาลใจจากหนังใหญ่อาทิเรื่องรามเกียรติ์ การวาดภาพประดับเรือมักไม่วาดรูปคนเพราะหากวาดรูปคนแล้วเมื่อคนวาดเสียชีวิตก็จะกลับมาร้องขอชีวิตนอกจากนี้ตามหลักบัญญัติของศาสนาอิสลามก็ห้ามวาดภาพคน เรือมะ ส่วนใหญ่จะใช้เป็นเรือพายในแม่น้ำลำคลอง เรือใบแบบเก่าหรือเรือฟาวกอ เรือบรายา เป็นเรือประมงหาปลาลำขนาดใหญ่สร้างจากไม้กายูจืองา(ไม้ตะเคียน) (หน้า 50) ลักษณะหัวเรือจะเป็นเหมือนเรือกอและเนื่องจากอยากเน้นเรื่องความสวยงามของเรือ เรือมีขนาดความกว้าง 4 เมตร ยาว 14 เมตรซึ่งอยู่ห่างจากฝั่งประมาณ 3 ชั่วโมงหรือ 8 ถึง 9 กิโลเมตรน้ำลึกประมาณ 24 เมตร (หน้า 51)

Folklore

ไม่มี

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มี

Social Cultural and Identity Change

การแก้ปัญหาเรืออวนรุนของชุมชนประมงพื้นบ้าน ผลกระทบของเรืออวนรุนทำให้เกิดความเสียหายกับเครื่องมือประมงพื้นบ้านเป็นจำนวนมากโดยคิดเฉลี่ยเป็นเงิน 900,000-1,35,000 บาทต่อหมู่บ้านต่อปี ทรัพยากรทางธรรมชาติทางทะเลถูกทำลายเป็นจำนวนมากทำให้ชาวประมงได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากหาปลาได้น้อย การแก้ปัญหาของชาวประมงในระยะแรกเป็นไปด้วยความรุนแรงเพื่อต้องการให้เรืออวนรุนเกิดความเกรงกลัวนอกจากนี้ยังประสานความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อแก้ไขปัญหาและสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับกลุ่มอื่นๆ เพื่อทำงานด้านข้อมูลที่เกี่ยวกับปัญหาและการประมงพื้นบ้านและระบบนิเวศน์ทางทะเล และอื่นๆ (หน้า 96,97,71-100)

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ภาพ ความสัมพันธ์ของปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาของชุมชนรอบอ่าวปัตตานี (หน้า 6) ดุลยภาพของเศรษฐกิจคุณธรรมและจุดเชื่อมต่อระหว่างระบบภายในและภายนอกชุมชน (หน้า14) ตัวแบบของการดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบาย(หน้า17) การประกอบอาชีพของชุมชนบ้านตันหยงเปาว์เมื่อ 50 ปีที่แล้ว (หน้า 33) การวิเคราะห์ผลกระทบจากการสร้างเขื่อน (หน้า 79) ภาพวาดการทำลายทรัพยากรของเรืออวนรุน,วิเคราะห์ผลกระทบของกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มคนหนุ่ม (หน้า 83,84,85) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกับสถาบันภายในและภายนอกชุมชนโดยกลุ่มผู้สูงอายุ,กลุ่มคนหนุ่ม (หน้า 88,89) ตัวแบบการกำหนดนโยบาย (หน้า 121) แบบแผนการดำเนินนโยบาย (หน้า 125) เรืออวนรุนในแม่น้ำปัตตานี อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี (ภาคผนวกหน้า 158) เครื่องมือประมง (หน้า 159) อวนปลาหลังเขียว (หน้า 166) อวนช้อนกุ้งเคย (หน้า 167) โป๊ะ (หน้า 168) อวนปลายัง (หน้า 169) อวนปลาจะระเม็ด (หน้า 170) อวนปลาข้างเหลือง (หน้า 171) “กูละ”แหล่งฟื้นฟูสัตว์น้ำ (หน้า 172) ลอบ (หน้า 173) แผนที่ จังหวัดปัตตานี (หน้า คำนำ) ชุมชนบ้านตันหยงเปาว์ ปี 2470, ปี 2509-2510, ปี2538-2542 (หน้า 35,36,37) เขื่อนและลำคลองที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อน(หน้า 78) ตาราง แสดงจำนวนประชากร ครัวเรือนและเครื่องมือประมง (หน้า 21) ผลผลิตจากทรัพยากรสัตว์น้ำของชุมชนปี 2541, 2542 (หน้า 24,25) รายได้หลัก (หน้า 27) รายได้เสริม (หน้า 28) เครื่องมือประมงพื้นบ้านที่เลิกใช้ไปแล้ว,ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน (หน้า 56,59) การจัดการกับการเปลี่ยนแปลงของชุมชนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน (หน้า 74) การแก้ปัญหาเรืออวนรุน (หน้า 97) จำนวนเรืออวนรุนของจังหวัดปัตตานี ปี 2539 (หน้า 106) การวิเคราะห์ของชุมชนในการปรับเปลี่ยนเครื่องมือประมงอวนรุนพื้นบ้าน (หน้า 109) สรุปข้อมูลการกระทำผิดกฎหมายของเรืออวนรุนและการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ (เมษายน 2541-พฤษภาคม 2542) (หน้า 112) เปรียบเทียบการกระทำผิดกฎหมายของเรืออวนรุนและจำนวนคดี ปี 2541,ปี 254, สรุปจำนวนคดีการกระทำผิดกฎหมายประมงของจังหวัดปัตตานี ปี 2530-2542 (หน้า 113,114,115) รายชื่อผู้เข้าร่วมกระบวนการวิจัย (ภาคผนวกหน้า 184 -193)

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 27 พ.ค. 2562
TAG มุสลิมมลายู, ชุมชนชาวประมงพื้นบ้าน, ทรัพยากรทางทะเล, กฎหมายชายฝั่งทะเล, ปัตตานี, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง