สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิมมลายู,เศรษฐกิจ,วิถีชีวิต,ชุมชนชาวประมง,ปัตตานี
Author ระวีวรรณ ชอุ่มพฤษ์
Title การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของบ้านทิวสน ระหว่างปี 1950 -1990
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเนเชี่ยน
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 32 Year 2538
Source วารสาร (รูสมิและ ปีที่ 16 ฉบับที่1-2มกราคม-สิงหาคม 2538, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี)
Abstract

เนื้อหาของงานเขียนกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของบ้านทิวสน จังหวัดปัตตานีในระหว่างปี 1950-1990 ซึ่งจากการศึกษาพบว่าคนในหมู่บ้านเป็น “นายู” หรือชุมชนมาเลย์คนในหมู่บ้านนับถือศาสนาอิสลามแต่เดิมไช้ชีวิตแบบระบบเศรษฐกิจพึ่งตัวเองคือปลูกข้าวและทำการประมง ในเวลาต่อมาเมื่อมีการปรับเปลี่ยนมาใช้เครื่องมีประมงที่ทันสมัยเช่นใช้อวนรุนหรือเรือติดเครื่องยนต์จึงทำให้วิถีชีวิตและเศรษฐกิจเปลี่ยนไป ชาวบ้านทำการประมงเพื่อการค้าและเลิกทำนาเช่นในอดีต คนที่สามารถจับปลาได้มากคือคนที่มีฐานะเนื่องจากมีเครื่องมือประมงที่ทันสมัย ขณะที่คนจนมีแนวโน้มที่จะเลิกทำการประมงเนื่องจากใช้เครื่องมือไม่ทันสมัย บางส่วนได้ไปขายแรงงานต่างถิ่น เนื่องจากท้องทะเลขาดความอุดมสมบูรณ์หากินฝืนเคือง

Focus

ศึกษาสภาพและลักษณะทั่วไป พัฒนาการของการประมงและเศรษฐกิจ โครงสร้างและการจัดระเบียบสังคมภายในชุมชนบ้านทิวสนและการเปลี่ยนแปลงความเชื่อและค่านิยม (หน้า 10)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ประชาชนในหมู่บ้านกรณีศึกษาเรียกตัวเองว่า ”นายู” หมายถึงว่าเป็นมลายูมุสลิม (หน้า 10,12)

Language and Linguistic Affiliations

ใช้ภาษามลายูถิ่น (หน้า 10)

Study Period (Data Collection)

พฤศจิกายน 1991 - พฤษภาคม 1992 (หน้า 10)

History of the Group and Community

ประวัติหมู่บ้าน นานมาแล้วมีกลุ่มคนจีนอพยพซึ่งมีพี่น้องชายหญิงคู่หนึ่งเป็นหัวหน้าเดินทางโดยเรือมาจากประเทศจีน เมื่อมาถึงปัตตานี ครั้นมาอยู่ได้ไม่นานน้องชายจึงเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม (หน้า 10) คนที่เป็นพี่สาวจึงกล่อมให้น้องชายเปลี่ยนความตั้งใจแล้วกลับไปอยู่ประเทศจีนแต่สุดท้ายก็ล้มเหลว พี่สาวน้อยใจมากจึงฆ่าตัวตาย เมื่อจัดงานศพเสร็จสิ้นลง คนจีนที่เหลือจึงเดินทางกลับบ้านเกิด ขณะเดินทางได้เกิดอุบัติเหตุเรือแตกที่บริเวณทะเลหน้าหมู่บ้านทิวสน ดังนั้นเพื่อเป็นอนุสรณ์คนจีนที่อยู่ในจังหวัดปัตตานีจึงปลูกต้นสนเพื่อระลึกถึงคนจีนที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนั้น (หน้า 11) ครั้นถึงสมัยราชาอับดุลกาเดร์ (สันนิษฐานว่าเป็นช่วงก่อนปี 1860) ได้มีครอบครัวหนึ่งซึ่งประกอบด้วยพ่อและลูกชายได้อพยพมาอยู่ปัตตานี โดยมาบุกเบิกที่อยู่บริเวณบ้านทิวสน ในเวลาต่อมาจึงมีคนย้ายครอบครัวเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านมากขึ้นตามลำดับ สำหรับชายที่มาอยู่เป็นคนแรกนั้นต่อมาราชาได้ทรงแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เป็นนายบ้านหรือหัวหน้าหมู่บ้าน ในการตั้งบ้านเรือนในระยะแรกคาดว่ายังไม่ได้อยู่ใกล้ชายหาด แต่น่าจะเป็นกลุ่มบ้านที่เรียกว่ากัมปงซูรา ในปัจจุบัน (หน้า 11)

Settlement Pattern

บ้านเรือนในหมู่บ้านทิวสน ส่วนใหญ่เป็นบ้านใต้ถุนสูงเพราะพื้นที่หมู่บ้านเป็นที่ลุ่ม บางบ้านจึงถมพื้นให้สูงขึ้น หรือวางแคร่ไว้ใต้ถุนบ้านเพื่อเป็นที่นั่งพักผ่อน พื้นปูด้วยไม้กระดาน แต่ทำเป็นแบบพื้นห่างไม่ติดกัน ฝากั้นด้วยสังกะสี ไม้กระดาน หรือก่ออิฐฉาบปูน บ้านโดยมากมุงกระเบื้อง (หน้า 11) ส่วนคนที่ไม่ร่ำรวยก็จะมุงจาก บ้านที่ขายของจะทำเป็นห้องแถวหรือไม่ก็พื้นบ้านติดดิน บางครั้งก็สร้างร้านไม้ไว้ที่บริเวณหน้าบ้าน ด้านหลังหรือชั้นบนใช้เป็นที่อยู่ บ้านแต่ละหลังโดยมากจะไม่ทำรั้ว หรือหากทำก็จะเป็นรั้วไม่ทึบมองเห็นบริเวณบ้าน บางครั้งก็ปลูกต้นไม้เป็นแนวรั้วบอกอาณาเขต (หน้า 12)

Demography

ตำบลทิวสนมีประชากร 7,963 คนแบ่งเป็นผู้ชาย 4,009 คน และผู้หญิง 3,954 คน (ข้อมูลปี 1988 สำนักงานจังหวัดปัตตานี สำรวจ , หน้า 10)

Economy

พัฒนาการของการประมงและเศรษฐกิจชองบ้านทิวสน แต่เดิมคนในหมู่บ้านจะมีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย แต่ได้มีการพัฒนาเครื่องมือประมงที่ทันสมัยมากขึ้นจึงทำให้สภาพแวดล้อมทางทะเลถูกทำลาย (หน้า 23) ทำให้เกิดความแตกต่างทางเศรษฐกิจเนื่องจากคนที่มีฐานะนั้นสามารถมีกำลังซื้อเครื่องมือประมงราคาแพงจับปลาได้มากกว่าส่วนคนที่ยากจนจะจับปลาได้น้อยลงเนื่องจากใช้อุปกรณ์ประมงแบบเดิมที่ล้าหลังและมีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นเพื่อความอยู่รอด (หน้า 24) สำหรับการพัฒนาการประมงแบ่งออกเป็นช่วงเวลาต่างๆ ดังนี้ 1) บ้านทิวสนก่อนปี 1950 คนในหมู่บ้านจะทำนาและทำการประมงชายฝั่งเป็นอาชีพหลัก การผลิตข้าวจะปลูกไว้กินในครัวเรือนในบางปีหากมีข้าวเหลือก็จะขายเพื่อเป็นรายได้เลี้ยงครอบครัว ส่วนแรงงานก็จะเป็นคนในครอบครัวและญาติพี่น้อง (หน้า12) สำหรับการทำประมงยังคงใช้อุปกรณ์พื้นบ้านได้แก่ เบ็ด แห และอื่นๆ กระทั่งในระหว่างปี 1925–1930 คนในหมู่บ้านเริ่มมาใช้เรือกอและซึ่งใช้ฝีพายกับใบเรือ การออกไปหาปลาจะต้องมีลูกเรือประมาณ 20 คน แต่ในระยะหลังลูกเรือในแต่ละลำเหลือเพียง 12 คนจึงเปลี่ยนจากการพายมาเป็นแจวซึ่งการแจวเรือนี้จะยืนส่วนใบแจวจะอยู่ข้างเรือ (หน้า 13) 2) การประมงในช่วงปี 1950 เป็นระยะที่คนในหมู่บ้านเริ่มทำนาน้อยลงกระทั่งหมดไปในที่สุดแล้วหันมาทำการประมงเพื่อขายแล้วซื้อข้าวบริโภคในครัวเรือน ซึ่งจากข้อมูลของการทำนาระบุว่ามีจำนวนลดลงเรื่อยๆ คือ ปี 1956 มีหัวหน้าครัวเรือนที่ทำนาจำนวน 44.83 % จนปี 1981 เหลือ 10.7 % และเลิกทำนาในหมู่บ้าน( 0%) เมื่อปี 1992 (หน้า 13,14) ในช่วงก่อน ปี 1960 คนในหมู่บ้านได้ซื้อเครื่องยนต์มาติดท้ายเรือ เริ่มใช้อุปกรณ์การประมงสมัยใหม่ในระยะนี้ทรัพยากรทางทะเลเริ่มขาดความอุดมสมบูรณ์ การทำการประมงเข้าสู่ยุคการผลิตเพื่อจำหน่ายในตลาดมากกว่าในอดีต (หน้า 18) 3) การประมงระหว่างปี 1960 -1975 เป็นช่วงที่ในหมู่บ้านใช้เครื่องมือประมงสมัยใหม่เช่น นำอวนรุนมาจับปลาซึ่งอวนชนิดนี้เป็นเครื่องมือจับปลาหน้าดินจึงทำให้มีปลาในทะเลลดน้อยลงกว่าเมื่อก่อน จนทำให้เกิดความแตกต่างกันทางเศรษฐกิจเนื่องจากคนที่ร่ำรวยก็จะสามารถจับปลาได้มากกว่าคนจนเนื่องจากมีเครื่องมือประมงที่ทันสมัยกว่า ในกลุ่มคนยากจนเมื่อจับปลาได้น้อยก็หันไปทำอาชีพอื่นเช่นรับจ้างกรีดยาง ทำงานรับจ้าง ปั่นสามล้อและอื่นๆ (หน้า 18-22) 4) การประมงระหว่างปี 1976 -1991 เกิดความขัดแย้งในการทำประมงเนื่องจากมีเรือประมงต่างถิ่นเข้ามาจับปลาบริเวณน่านน้ำอ่าวปัตตานี ทั้งนี้อุปกรณ์ของคนในชุมชนยังไม่ทันสมัยเท่ากับเรือประมงต่างถิ่นจึงทำให้มีความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุให้ชาวบ้านออกไปทำงานนอกหมู่บ้านเช่น รับจ้าง ทำงานโรงงาน บางส่วนไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย ทำนากุ้ง เป็นต้น (หน้า 22-23)

Social Organization

โครงสร้างสังคมในชุมชนบ้านทิวสน ก่อนปี 1950คนในหมู่บ้านยังมีความเป็นอยู่ด้วยระบบเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเองมีการช่วยเหลือแผ่ต่อกัน (หน้า 12,13) ในระหว่างปี 1950-1960 ลักษณะครอบครัวเป็นแบบครอบครัวเดี่ยว ประกอบด้วย พ่อ แม่และลูกในกลุ่มเครือญาติและคนในหมู่บ้านมีความสนิทสนมกัน (หน้า 24) นับจากปี 1960 เรื่อยมาครอบครัวในหมู่บ้านทิวสนได้เปลี่ยนจากครอบครัวเดี่ยวเปลี่ยนเป็นครอบครัวร่วม (joint family) คือประกอบด้วยสามี ภรรยาอยู่ในครอบครัวเดียวกันมากกว่า 1 คู่ขึ้นไป สภาพในครอบครัวค่อนข้างเหินห่าง โดยจะอยู่แบบครอบครัวใครครอบครัวมัน เช่นการทำครัวก็จะแยกกันต่างห่าง การอยู่แบบนี้ทำให้เกิดปัญหาตามมาเช่น ปัญหาเรื่องการแบ่งมรดกไม่ลงตัวหลังจากพ่อแม่เสียชีวิต เป็นต้น (หน้า 25,30 -32)

Political Organization

ในชุมชนมีผู้นำอย่างเป็นทางการคือกำนันและผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งในงานเขียนได้ระบุถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำท้องถิ่นกับชาวบ้านว่า ชาวบ้านมักมองกำนันกับผู้ใหญ่บ้านว่าเป็นคนของอำเภอเนื่องจากตั้งแต่ ปี 1950-1991นั้นเจ้าหน้าที่อำเภอมีบทบาทอย่างมากต่อการเลือกผู้นำท้องถิ่นและผู้นำท้องถิ่นก็จะทำงานตามนโยบายของรัฐ และในหลายโครงการในชุมชนผู้นำท้องถิ่นและคนใกล้ชิดมักจะได้รับผลประโยชน์มากกว่าชาวบ้าน (หน้า 26) ส่วนผู้นำอย่างไม่เป็นทางการคือผู้นำศาสนาอันประกอบด้วย โต๊ะอิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น คนในชุมชนจะให้เคารพความนับถือ ใครที่คนในชุมชนเรียกคำว่า “โต๊ะ”นำหน้าชื่อนั้นเป็นเครื่องแสดงถึงความเคารพของคนในท้องถิ่นต่อบุคคลผู้นั้น (หน้า 26) เนื่องจากพิธีกรรมตามความเชื่อ ได้แก่ งานแต่งงาน งานศพ และพิธีกรรมที่สำคัญของศาสนาอิสลามอื่นๆ โต๊ะอิหม่ามจะเป็นผู้ประกอบพิธี(หน้า 27)

Belief System

ศาสนาและความเชื่อ คนในหมู่บ้านนับถือศาสนาอิสลามแต่มาภายภายได้มีหลักปฏิบัติทางศาสนาบางส่วนแตกต่างกัน นับจาก ปี 1970ได้มีกลุ่ม “ดะวะห์” ซึ่งเป็นกลุ่มที่เดินทางไปศึกษาด้านศาสนาอิสลามในประเทศแถบตะวันออกกลาง ได้แก่ อียิปต์ ซาอุดิอารเบีย ได้นำความรู้ด้านศาสนาอิสลามกลับมาเผยแพร่ตามมัสยิดหลายแห่งซึ่งคำสอนของกลุ่ม “ดะวะห์” นั้นมีความแตกต่างกับความเชื่อเดิมที่เคยปฏิบัติกันมาในหมู่บ้าน (หน้า 27,32)ส่วนสถานที่สำคัญทางศาสนา หมู่บ้านทิวสนมีมัสยิด 1 แห่งและมีบาลาเซาะฮ์ ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาแต่มีขนาดเล็กไม่ใหญ่เหมือนมัสยิด อีก 1 แห่ง (หน้า 12)

Education and Socialization

ในหมู่บ้านทิวสน มีโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม 2 แห่งได้แก่ โรงเรียนตาดีกาทิวสน โดยตั้งอยู่หน้าหาด กับบริเวณบ้านบาบออาวุโส เด็กนักเรียนส่วนหนึ่งก็จะไปเรียนศาสนาที่บ้านโต๊ะอิหม่ามและบ้านของโต๊ะบิหลั่น (หน้า 12)

Health and Medicine

สุขภาพอนามัยและการรักษาพยาบาล ในระหว่างปี 1950 ในยามเจ็บไข้คนในหมู่บ้านจะรักษาด้วยการรักษาแบบพื้นบ้านเช่นหากมีเด็กเกิดใหม่ก็จะผูกฝ้ายที่แขนและข้อมือซึ่งเรียกว่า “ตาลี จีจิง” เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กร้องไห้กระจองอแงหรือป่วยไม่สบาย ต่อมาในภายหลังมีสถานีอนามัยในหมู่บ้าน ชาวบ้านได้เปลี่ยนมารักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบันมากขึ้น ส่วนการวางแผนครอบครัวพบว่าหญิงมุสลิมได้นิยมคุมการกำเนิดด้วยการวางแผนครอบครัวมากกว่าเมื่อก่อนคือ ปี1986 มี 77 คน และในปี 1990 มีหญิงวางแผนคุมกำเนิดเพิ่มขึ้นเป็น 100 คน (หน้า 32)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

เรือ ในช่วงปี 1950 คนในหมู่บ้านทิวสนยังทำประมงแบบพื้นบ้านในระยะเวลานั้นมีเรือที่ใช้แบ่งเป็นชนิดได้ดังนี้ 1) โยกัง ขุดจากไม้ซุงมีความยาว 10 -12 ฟุต เป็นเรือขนาดเล็ก ราคา 700 บาทใช้จับปลาบริเวณชายฝั่ง ทุกวันนี้ไม่มีเรือชนิดนี้ในอดีตจะมีเรือโยกังเกือบทุกหลัง (หน้า 14) 2) ปราวฮู ปูก๊ะ ซินเยาะห์ คือ เรืออวนกุ้งสามารถนำออกจับปลาได้ด้วยเช่นกัน ขนาดเรือยาว 20-30 ฟุต การออกไปทำงานจะต้องมีลูกเรือ 3 ถึง 4 คน เรือชนิดนี้เป็นเรือขุดที่ใช้งานได้สะดวกดังนั้นจึงใช้ในการเดินทางสัญจรระหว่างหมู่บ้านที่อยู่ริมทะเลด้วย (หน้า 14) 3) ปราวฮู กอและ(เรือกอและ) ในหมู่บ้านทิวสนทุกวันนี้ไม่มีเรือกอและแล้ว ลักษณะของเรือหัวและท้ายเรือจะงอน เรือมีรูปร่างใหญ่ มีความยาวของลำ 35-50 ฟุตสามารถออกหาปลาในเขตน้ำลึกประมาณ 10-12 วา (หน้า 14) เรือกอและจะใช้ลูกเรือเป็นจำนวนมาก 12-18 คน การตกแต่งประดับเรือจะเขียนด้วยตัวอักษรอารบิคกับภาษามาเลย์ (หน้า 15) อวน แบ่งออกเป็นแบบต่างๆเช่น 1) ปูก๊ะ เกอมบง(อวนปลาทู) หรือ ปูก๊ะ ดาแล (อวนลึก) เป็นอวนที่ใช้จับปลาในทะเลน้ำลึก 2) ปูก๊ะ เกอแต อวนจับปูม้า 3) ปูก๊ะ เซินเยาะห์ ใช้จับปลาในเขตน้ำตื้นปลายอวนทั้งสองข้างจะผูกไม้ไผ่ 4) ปูก๊ะ อันไน หมายถึงอวนปลากระบอก 5) งาวอ ดึนงัน กากี อวนรุน ใช้จับกุ้งตัวขนาดเล็กๆเพื่อทำกะปิ 6) จาริง อวนปลาหลังเขียว (ทุกวันนี้อวนที่เลือกใช้ในหมู่บ้านได้แก่ อวนปลาทู อวนน้ำลึก อวนปลาหลังเขียว เนื่องจากว่าทะเลขาดแคลนสัตว์น้ำ (หน้า 15)

Folklore

ไม่มี

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มี

Social Cultural and Identity Change

ไม่มี

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ตาราง จำนวนเรือในบ้านทิวสน ปี 1956,1957,1981,1991(หน้า 19)

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 27 พ.ค. 2562
TAG ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู, มุสลิมมลายู, เศรษฐกิจ, วิถีชีวิต, ชุมชนชาวประมง, ปัตตานี, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง