สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิมมลายู,ภูมิปัญญาพื้นบ้าน,สุขภาพ,สตรีมีครรภ์,ภาคใต้
Author จินตนา หาญวัฒนกุล
Title การใช้ภูมิปัญญาพื้นบ้านเพื่อสร้างเสริมสุขภาพในระยะตั้งครรภ์กรณีศึกษาสตรีไทยมุสลิมในภาคใต้
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text -
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเนเชี่ยน
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 159 Year 2548
Source พยาบาลศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
Abstract

กล่าวถึงการใช้ภูมิปัญญาพื้นบ้านเพื่อดูแลหญิงมุสลิมมีครรภ์ให้มีสุขภาพแข็งแรงและคลอดลูกง่าย ซึ่งการปฏิบัติของประชากรศึกษาที่อยู่ในภาคใต้ตอนล่างซึ่งเป็นพื้นที่ศึกษาได้นำมาใช้เพื่อดูแลสุขภาพระหว่างการตั้งครรภ์ประกอบด้วยการฝากครรภ์กับสถานพยาบาลและหมอตำแยไปด้วยพร้อมกัน กินอาหารจากพืชผักสมุนไพร และปฏิบัติตามหลักศาสนาอิสลามและความเชื่อของท้องถิ่นที่เคยปฏิบัติกันมาตั้งแค่สมัยปู่ย่าตายาย

Focus

ศึกษาการใช้ภูมิปัญญาพื้นบ้านเพื่อสร้างเสริมสุขภาพของสตรีมุสลิมในระยะตั้งครรภ์ (หน้า 4)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ประชากรกรณีศึกษาเป็นสตรีมุสลิมที่อยู่ในภาคใต้ตอนล่าง (หน้า 44)

Language and Linguistic Affiliations

ในงานเขียนระบุถึงภาษายาวีที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการดูแลหญิงมีครรภ์ของหมอตำแยว่า ขั้นตอนที่หมอตำแยนำน้ำดุอาหรือน้ำดุอายาซีนซึ่งเป็นนำที่ขอพรจากอัลลอฮฺ มาอาบให้ผู้หญิงมุสลิมที่ตั้งครรภ์กินและอาบ ต่อมาหมอตำแยก็จะทำการสะเดาะเคราะห์ แล้วก็จะนำมีดโกนมาโกนอวัยวะของหญิงมีครรภ์ ก่อนที่จะลงมือโกนหมอตำแยก็ก็จะท่องภาษายาวี ซึ่งมีเนื้อความว่าขอให้สิ่งอัปมงคลทั้งหลายจงจากไปจากหญิงมีครรภ์ (หน้า 73)

Study Period (Data Collection)

เมษายน 2546-กรกฎาคม 2547 (หน้า 5,48,111)

History of the Group and Community

ประวัติชุมชน ชุมชนกรณีศึกษามีอายุประมาณ 100 ปี บริเวณนี้เป็นศูนย์กลางของชุมชนที่อยู่ใกล้กันเพราะอยู่ติดแม่น้ำ กระทั่ง พ.ศ.2437 ชุมชุนได้รับการเลือกให้เป็นที่ตั้งที่ว่าการอำเภอ แต่ต่อมาได้ถูกน้ำท่วม คนในชุมชนจึงย้ายที่ว่าการอำเภอที่ชุมชนอื่นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ เมื่อ พ.ศ. 2457 การเดินทางข้ามฟากเพื่อไปที่ว่าการอำเภอเป็นไปด้วยความลำบาก กระทั่งเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมาจึงมีการสร้างสะพานแขวนข้ามแม่น้ำ (หน้า 55 ภาพหน้า 56) และเปลี่ยนเป็นสะพานคอนกรีตเมื่อ 10 ปีที่แล้ว จึงทำให้การเดินทางสะดวกสบายมากกว่าในอดีต (หน้า 57)

Settlement Pattern

บ้าน บ้านเรือนในหมู่บ้านแต่เดิมจะเป็นบ้านแบบยกพื้นสูง ต่อมาได้เปลี่ยนแปลงรูปทรงบ้านตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ในภายหลังบ้านสร้างด้วยปูนหรือเป็นบ้านกึ่งตึกกึ่งไม้ บ้านเป็นแบบพื้นปูนชั้นเดียวและแบบสองชั้น (หน้า 57, ภาพหน้า 141)

Demography

พื้นที่กรณีศึกษา จากข้อมูลปี 2545 ระบุว่า มีสตรีตั้งครรภ์ 90 คน มีประชากรทั้งหมด 3,206 คน เป็นผู้หญิง 1,587 คน ในจำนวนครึ่งหนึ่งเป็นวัยเจริญพันธุ์มีจำนวน 788 คน ซึ่งส่วนมากแต่งงานแล้ว มีบ้านเรือนทั้งหมด 529 หลังคาเรือน แบ่งเป็น 10 กลุ่มบ้าน (หน้า 44,111) สำหรับผู้ให้ข้อมูลมีทั้งหมด 21 คน เป็นสตรีมีครรภ์ 16 คน และเป็นชาวบ้านทั่วไปที่ไม่หญิงมีครรภ์อีก 5 คน ได้แก่ หมอตำแย 3 คน ญาติผู้ใหญ่ของหญิงที่ตั้งครรภ์ 1 คน โต๊ะครู 1 คน (หน้า 44,111)

Economy

เศรษฐกิจ คนในชุมชนส่วนมากทำสวนเป็นอาชีพ โดยจะปลูกยางพาราและปลูกผลไม้อื่นๆ ได้แก่ ทุเรียน ลองกอง กล้วย มังคุด เป็นต้น (หน้า 57) เมื่อได้ผลผลิตเช่นขี้ยาง ยางแผ่นชาวบ้านก็จะนำไปขายที่ร้านที่มีในชุมชน 4 ร้าน ส่วนผลไม้ก็จะขายให้กับพ่อค้าที่มาซื้อที่สวนหรือไม่ก็นำไปขายที่ร้าน ซึ่งมี 4 ร้านด้วยกัน (หน้า 58) สำหรับรายได้ของสตรีมุสลิมกรณีศึกษาส่วนใหญ่มีรายได้ของครอบครัวอยู่ระหว่าง 3,000-6,000 บาท และผู้ให้ข้อมูลทั่วไปมีรายได้อยู่ระหว่าง 1,500 - 4,000 บาท (หน้า 61, 113 ตารางหน้า 63)

Social Organization

สังคมในหมู่บ้านจะอยู่แบบเครือญาติ ผู้คนส่วนใหญ่จะรู้จักมักคุ้นกันมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน ญาติพี่น้องส่วนใหญ่มักจะไปมาหาสู่กัน มักมาพบปะพูดคุยที่บ้านของญาติที่มีความอาวุโส (หน้า 57) ในชุมชนมักมีงานแต่งงานอยู่เป็นประจำเมื่อมีการจัดงานคนในชุมชนก็จะมาช่วยเหลือเพื่อเตรียมงาน ประกอบอาหารและในวันประกอบพิธี (หน้า 59) ในครอบครัวหญิงมุสลิมจะช่วยเหลืองานบ้านตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เช่นเลี้ยงน้อง และช่วยงานในบ้าน เป็นต้น เมื่อแต่งงานแล้วก็จะทำงานบ้าน ทำกับข้าว ซักผ้า ดูแลอบรมสั่งสอนลูก ฯลฯ(หน้า 65,112)

Political Organization

เรื่องการเมืองที่มีส่วนข้องเกี่ยวกับการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของคนในชุมชนคือในวันศุกร์ผู้ชายมุสลิมจะไปละหมาดที่มัสยิดในโอกาสนี้ผู้ใหญ่บ้านก็จะประกาศข่าวสารของทางการให้มุสลิมในชุมชนได้รับรู้ นอกจากนี้มุสลิมก็จะได้รับความรู้ทางศาสนาจากผู้รับรู้ รวมทั้งข้อมูลด้านค่าใช้จ่ายต่างๆของมัสยิดจากคณะกรรมการมัสยิดอีกด้วย (หน้า 58,59)

Belief System

ความเชื่อและศาสนา คนในชุมชน 99.73 % นับถือศาสนาอิสลาม การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เช่นการละหมาด ในแต่ละวันเมื่อถึงเวลาละหมายมุสลิมทั้งชายหญิง ก็จะละหมาดที่บ้าน บางส่วนก็จะไปละหมาดที่สุเหร่า หรือมัสยิดที่มีในชุมชนจำนวน 12 แห่ง เนื่องจากมุสลิมเชื่อว่าการละหมาดเป็นกลุ่มจะทำให้ได้บุญกุศลมากกว่าการละหมาดคนเดียวถึง 27 เท่า (หน้า 58)

Education and Socialization

การศึกษาของคนในชุมชนแต่ละช่วงวัยมีความแตกต่างกันคือ ผู้สูงอายุโดยมากไม่ได้เรียนหนังสือ ทั้งการเรียนหลักสูตรสามัญและศาสนา ในวัยกลางคนส่วนมากจะเรียนจบชั้นประถมศึกษา เด็กในชุมชนเรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนในชุมชนซึ่งมี 1 แห่ง และเรียนศาสนาที่โรงเรียนตาดีกา ซึ่งเป็นศูนย์อบรมศาสนาและวัฒนธรรมในมัสยิด ซึ่งในชุมชนมี 4 แห่ง เมื่อจบการศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษา ผู้ปกครองส่วนใหญ่มักจะส่งลูกเรียนที่โรงเรียนปอเนาะ (โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ) ที่มี 2 แห่งในชุมชน (หน้า 58) ประชากรศึกษาสตรีมุสลิม 16 คน เรียนสายสามัญและเรียนศาสนา แบ่งเป็น 9 คน จบระดับชั้นประถมศึกษา 7 คน เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาสำหรับการเรียนศาสนาอิสลามเรียนจบระดับปอเนาะชั้นปีที่ 1-4 จำนวน 8 คน ชั้นปีที่ 5- 7 อีก 7 คนและชั้นปีที่ 8-10 อีก 1 คน (หน้า 60,61,113ตารางหน้า 63)

Health and Medicine

หญิงมุสลิมมีครรภ์ในพื้นที่ศึกษา โดยมากมักไปรับบริการดูแลครรภ์ที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน และดูแลครรภ์ด้วยวิธีพื้นบ้านได้แก่ 1 ) ทำพิธีแนแง (ตาวาปือโฆะ) คือการตั้งครรภ์และการคลอดปลอดภัย จุดมุ่งหมายของการทำพิธีเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับสตรีที่ตั้งครรภ์แรกไม่ให้กลัวเกี่ยวกับการตั้งครรภ์และการคลอด (หน้า 68) พิธีนี้นิยมทำในช่วง 15 วันหลังของเดือนตามปฏิทินอิสลามหรือวันข้างแรมเชื่อว่าจะคลอดลูกสะดวกเพราะลูกจะลงตามเดือนที่ลง (หน้า 69) ในการทำพิธีจะต้องใช้อุปกรณ์ดังนี้ น้ำ 1 เหยือก เพื่อนำมาทำน้ำดุอาหรือน้ำดุอายาซีน(ขอพรจากอัลลอฮฺ) โบว์ที่สานด้วยใบมะพร้าว 2-3 อัน แป้งฝุ่น ใบมีดโกน 1 อัน ผ้าถุง 1 ผืน น้ำมันเพื่อใช้ลูบท้อง ข้าวสารจำนวนหนึ่งส่วนสี่ของภาชนะ มะพร้าว 1 ลูก ด้าย 1 ขด เมื่อประกอบพิธีเรียบร้อยแล้วก็จะมอบข้าวสาร ด้าย เงิน 20 บาท ผ้าถุง หรือผ้าคลุมศีรษะให้กับหมอตำแยและคนมาช่วยงาน หลังจากเสร็จงานแล้วก็จะเลี้ยงอาหารแขกที่มาร่วมงานอาหารที่เตรียมไว้ ได้แก่ข้าวเหนียวหน้าต่าง รวมทั้งเครื่องดื่ม (หน้า 71,บทคัดย่อ หน้า 68-76 ภาพหน้า 147-149) 2 ) กินหรือทาน้ำหรือน้ำมัน ที่ผ่านพิธีสวดขอพร สำหรับน้ำที่กินหรือทาเพื่อทำให้คลอดง่ายเป็นน้ำที่ผ่านการขอพรโดยมีโต๊ะครู (บาบอ) หมอบ้าน หมอตำแย เป็นผู้ประกอบพิธี การทำพิธีหากเป็นน้ำมันส่วนมากจะเป็นน้ำมันมะพร้าว(ใส่ในขวดยาเด็กหรือขนาดขวดเครื่องดื่มชูกำลัง)ผู้รู้จะประกอบพิธีในคืนวันอังคารหรือวันศุกร์เพื่อเชื่อว่าเป็นวันมงคลแล้วนำน้ำที่ผ่านการขอพรไปให้ในตอนเช้า การประกอบพิธีผู้รู้จะอ่านคัมภีร์อัล-กุรอานมาอ่านเพื่อขอพรจากอัลลอฮฺเพื่อให้คลอดง่าย เมื่อได้น้ำมันมาแล้วก็จะนำมาวางไว้บนที่สูง การกินหญิงมีครรภ์จะกินวันครั้งก่อนนอน หรือทาวันละ 3 ครั้งจนน้ำมันหมดหรือคลอดลูกแล้ว สำหรับน้ำหรือน้ำมนต์จะไม่ระบุเวลาที่แน่นอน หมอตำแยจะเป็นคนทำเมื่อมาทำคลอด (หน้า 76-81) 3 ) ฝากท้องและยกท้องกับหมอตำแย ส่วนใหญ่จะดูแลครรภ์กับสถานพยาบาลและฝากท้องกับหมอตำแย เพราะหากไปคลอดที่โรงพยาบาลไม่ทันก็จะให้หมอตำแยทำคลอดให้ สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ในการฝากท้อง คนที่จะฝากท้องจะต้องเตรียมสิ่งของได้แก่ หากเป็นครรภ์แรกจะเตรียมหมากพลู โดยเตรียมเป็นชุด เช่น 3,5 และ 7 ชุดเป็นต้นในแต่ละชุดจะมีพลู 1-3 ใบและหมากที่ปลอกเปลือกอีก 1 ลูก แต่ถ้าหากเป็นครรภ์หลัง จะต้องเตรียมเงิน 5 ,12,20บางครั้งก็มากกว่านั้น และหมากพลู แต่จำนวนชุดจะน้อยไม่เท่ากับครรภ์แรก สำหรับจุดมุ่งหมายของการฝากท้องและยกท้องก็เพื่อต้องการให้หมอตำแยดูแลครรภ์เพื่อให้คลอดง่าย สุขภาพดี กินง่านและนอนหลับสบายไม่รู้สึกอึดอัด(หน้า 81-88 ภาพหน้า 150-153) 4 ) กินพืชผักสมุนไพร เพื่อบำรุงร่างกายและลูกที่อยู่ในท้อง สำหรับอาหารที่หาได้ในชุมชนประกอบด้วย ผักผลไม้ กินเพื่อให้ลูกในครรภสุขภาพแข็งแรงคลอดสะดวก ผักที่กินประกอบด้วย มะละกอ กาแจบียอหรือกระเจี๊ยบมอญ ปูโจ๊ะนีดิงหรือยอดลำเท็ง การกินจะกินเป็นอาหาร กินกับน้ำพริก บางครั้งก็นำมาแกง น้ำแช่ดอกไม้จากเมกกะ การกินจะนำดอกไม้ที่นำมาจากเมกกะมาแช่น้ำแล้วดื่ม การกินก็เพื่อเกิดความสบายใจและทำให้คลอดง่าย การกินจะกินไปเรื่อยๆจนคลอดลูก รากไม้ จุดหมายก็เพื่อกินให้คลอดสะดวก รากไม้ที่กินได้แก่ รากผจง(รากต้นปด) การกินจะกินหลายวิธีเช่น เคี้ยวเหมือนกินหมาก นำมาต้ม ฝนกับน้ำดื่ม โดยจะกินเมื่อท้องแก่จะกินไปเรื่อยๆ จนคลอดลูก รากกือแตฮูฆี (รากต้นเข็ดหมอน) นำมาฝนน้ำดื่ม โดยจะเริ่มกินเมื่อท้องได้เจ็ดเดือน จากนั้นก็จะกินเป็นประจำโดยไม่ต้องกินทุกวันก็ได้ แต่จะกินไปจนกว่าจะคลอดลูก (หน้า 88-91,118 ภาพหน้า 153-158) 5 ) ทำตามความเชื่อเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ เช่นความเชื่อทางศาสนา ปฏิบัติตามความเชื่อในการใช้ชีวิตประจำวันและอื่นๆ เช่น ปฏิบัติตามความเชื่อทางศาสนา แบ่งออกเป็นข้อต่างๆคือ ดุอา (ขอพร) เชื่อว่าอัลลอฮฺจะรับพรที่ขอเพื่อให้หญิงมีครรภ์คลอดสะดวกและปลอดภัย (หน้า 92) อ่านคัมภีร์อัล-กุนอาน โดยจะอ่านซูเราะห์มารียัม(บทมารียัม) ในบทนี้จะกล่าวถึงการคลอดของแม่นบีอีซา ที่คลอดลูกอย่างสะดวกปลอดภัย (นบีอีซาคือศาสนทูตองค์ที่ 24 ของอัลลอฮฺ - หน้า 92) ปฏิบัติตามความเชื่อในการดำเนินชีวิตประจำวัน ปฏิบัติ ตามข้อห้ามและข้อปฏิบัติ ประกอบด้วยข้อปฏิบัติต่างๆ ดังนี้ 1. กินน้ำปลายผม คือ หลังจากสระผมจนสะอาดก็จะดื่มน้ำตรงปลายผมเพียงเล็กน้อยเพราะเชื่อว่าจะทำให้คลอดลูกได้ง่าย 2. ไม่นั่งกลางประตูหรือบันได เพราะเชื่อว่าเวลาคลอดจะทำให้การคลอดมีปัญหา บางครั้งก็เชื่อจะทำให้ลูกได้รับสิ่งร้ายๆจากผู้ไม่มีหลักศาสนาที่เดินผ่านประตูหรือบันไดแห่งนั้น 3. ไม่กินข้าวเย็น เนื่องจากเชื่อว่าจะทำให้ลูกหัวแข็งบางครั้งอาจหัวโตและทำให้คลอดลูกยากลำบาก สาเหตุที่เชื่อเช่นนี้อาจมาจากข้าวเย็นนั้นค่อนข้างแข็งก็เป็นได้ ฯลฯ (บทคัดย่อ หน้า 60,113-115,92-110)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มี

Folklore

ไม่มี

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มี

Social Cultural and Identity Change

ไม่มี

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ตาราง ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ให้ข้อมูลหลัก,ข้อมูลทั่วไป (หน้า 62,64) ภาพ แบบจำลองพระอาทิตย์ขึ้น (หน้า 9) การสร้างเสริมสุขภาพในระยะตั้งครรภ์ของสตรีในชุมชนที่ศึกษา (หน้า 116) ภูมิประเทศการตั้งบ้านเรือนชุมชนที่ศึกษา (หน้า 141) การประกอบอาชีพ (หน้า 142) การละหมาดที่มัสยิด (หน้า 143) วิถีชีวิตของชาวบ้าน (หน้า 144) พิธีแต่งงาน (หน้า 145) การกวนอาซูรอ (หน้า 145) อุปกรณ์ในการประกอบพิธีแนแง (หน้า 147,148,149)การให้หมากพลูกับหมอตำแยเพื่อฝากท้อง (หน้า 150)การเหยียบต้นขา (หน้า 151) การยกท้อง (หน้า 152) กาแจบียอหรือกระเจี๊ยบมอญ (หน้า 153) ปูโจ๊นีดิงหรือยอดลำเท็ง (หน้า 154) การฝนรากผจงผสมกับน้ำใช้กินเพื่อให้คลอดง่าย (หน้า 155) การฝนรากกือแตฮูฆีผสมกับน้ำกินเพื่อให้คลอดง่าย (หน้า 156) การแช่ดอกไม้จากเมกกะเพื่อนำน้ำที่แช่มากินให้คลอดง่าย (หน้า 157) การต้มสมุนไพรเพื่อนำน้ำมากินให้คลอดง่าย (หน้า 158) แผนที่ ชุมชนที่ศึกษา (หน้า 56)

Text Analyst ภูมิชาย คชมิตร Date of Report 27 พ.ค. 2562
TAG ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู, มุสลิมมลายู, ภูมิปัญญาพื้นบ้าน, สุขภาพ, สตรีมีครรภ์, ภาคใต้, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง