|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
อาข่า,ข้าว,เทพเจ้า,พิธีกรรม,แนวคิดหลักในวัฒนธรรม,ภาคเหนือ |
Author |
Paul W. Lewis |
Title |
Basic Themes in Akha Culture |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
อ่าข่า,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
15 |
Year |
2525 |
Source |
Anthony R. Walker (ed.) Studies of Ethnic Minority Peoples. Singapore: Contributions to Southeast Asian Ethnography. pp. 86-101 |
Abstract |
แม้ว่าในวัฒนธรรมอาข่าจะมีแนวคิดหลายอย่าง แต่บทความนี้มุ่งเน้นนำเสนอเฉพาะแนวคิดหลักสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ ข้าว เทพเจ้า และ “บริสุทธิ์” ซึ่งปรากฏในจารีตและพิธีกรรมแห่งชีวิตตั้งแต่เกิด จนตายของอาข่า สำหรับอาข่า ข้าวเป็นมากกว่าอาหาร ถือเป็น “เครื่องค้ำจุนชีวิต” (staff of life) พิธีกรรมที่เกี่ยวกับการเก็บเกี่ยวข้าวจึงมีความสำคัญมาก นอกจากนี้ความเชื่อเรื่องเทพเจ้า และความบริสุทธิ์ ยังมีผลในการควบคุมทางสังคมของคนในหมู่บ้านอาข่า หากมีการกระทำผิดต่างๆ ที่จะส่งผลให้บ้านและหมู่บ้านไม่บริสุทธิ์ ก็ต้องมีพิธีกรรมชำระล้างต่างๆ ซึ่งพิธีกรรมเหล่านี้มีนัยยะสำคัญทางเศรษฐกิจ และส่งผลต่อการหลอมรวมทางสังคมของอาข่า |
|
Focus |
แนวคิดหลัก 3 ประการที่ปรากฏในวัฒนธรรมอาข่า |
|
Theoretical Issues |
ผู้เขียนเสนอว่า กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ นั้นมีแนวคิดหลัก (Theme) พื้นฐานที่แตกต่างกัน ซึ่งการตรวจสอบแนวคิดหลักต่างๆ ในวัฒนธรรมอาข่านั้น จะทำให้เห็นโครงสร้างที่สมดุลของวัฒนธรรมทั้งหมดอย่างชัดเจน ในบทความนี้ ได้ทำการวิเคราะห์แนวคิดหลัก 3 ประการในวัฒนธรรมอาข่า คือ ข้าว เทพ และความบริสุทธิ์ เพื่อแสดงว่ามันส่งผลต่อการหลอมรวมทางสังคมของอาข่าอย่างไร และแนวคิดทั้ง 3 นี้ ตัดผ่านเชื่อมโยงกันอย่างไรในหลายระดับ (น.86, 91) ผู้เขียนเห็นว่า มีรูปแบบของแนวคิดหลายๆอย่าง ที่ถักทอกันอยู่ภายในวัฒนธรรม ซึ่งเป็นตัวกำหนดองค์ประกอบและบ่งชี้ถึงวัฒนธรรมหนึ่งๆ ในแต่ละช่วงเวลาและสถานที่ (น.100) |
|
Ethnic Group in the Focus |
อาข่า ซึ่งถูกเรียกว่า ก้อ หรือ อีก้อ (น.87) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาอาข่าจัดอยู่ในสาขาโลโลของตระกูลธิเบต-พม่า (น.87) |
|
Study Period (Data Collection) |
เป็นการสั่งสมข้อมูลจากการเป็นมิชชันนารีและที่ปรึกษาโครงการจัดการสุขภาพเพื่อลาหู่ อาข่า และลีซอทางภาคเหนือของไทยตั้งแต่ 1968 ถึงช่วงที่เขียนงาน (เชิงอรรถ น.86) |
|
History of the Group and Community |
อาข่ามีสมาชิกกว่าครึ่งล้านคน แต่เดิมอาศัยอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน แม้ว่าส่วนใหญ่จะยังอาศัยอยู่ในยูนนานของจีน แต่มีจำนวนหนึ่งที่อพยพลงใต้มากว่าศตวรรษ ทำให้ปัจจุบันมีอาข่าจำนวนหนึ่งอาศัยอยู่ในรัฐ Kengtung ของพม่า ไทย ลาว และเวียดนามตอนเหนือ (น.83) |
|
Settlement Pattern |
อาข่ามักเลือกอาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขาซึ่งห่างไกล ในการตั้งหมู่บ้าน อาข่าจะตั้งบ้านเรือนล้อมรอบบ้านของผู้นำทางพิธีกรรม (น.87) |
|
Demography |
ในช่วงที่ศึกษา ประมาณว่าในประเทศไทยมีอาข่า 19,000 คนอาศัยอยู่ใน 134 หมู่บ้าน (น.87) |
|
Economy |
อาข่าปลูกข้าวเป็นหลัก ทำเกษตรด้วยวิธีเผาถางป่า และเก็บของป่าล่าสัตว์ มีการเลี้ยงไก่ หมู สุนัข เพื่อเป็นอาหารและเพื่อประกอบพิธีกรรม (น.89) |
|
Social Organization |
ผู้ชายที่อาวุโสที่สุดในครอบครัวขยายถือเป็นหัวหน้าครอบครัว (น.87) หากมีชายต่างกลุ่มชาติพันธุ์มาแต่งงานกับหญิงอาข่า และต้องการอาศัยอยู่ในหมู่บ้านอาข่า ก็จะต้องเข้าร่วมพิธีบูชาหิ้งบรรพบุรุษด้วย (น.92) |
|
Political Organization |
อาข่าแต่ละหมู่บ้านเป็นหน่วยการเมืองอิสระ ประกอบด้วยสมาชิกอย่างน้อย 3 วงศ์ตระกูลสืบสายข้างบิดา (patriclans) ผู้ชายที่อาวุโสที่สุดในครอบครัวขยายถือเป็นหัวหน้าครอบครัวนั้น และทำหน้าที่เป็นผู้สวดบูชาบรรพบุรุษของตระกูล แต่ละหมู่บ้านจะตั้งบ้านเรือนล้อมรอบบ้านของผู้นำทางพิธีกรรม (dzoe‿ma) มีหัวหน้าที่สำคัญรองลงมา และในหมู่บ้านขนาดใหญ่จะมีผู้ประกอบพิธีทางวิญญาน (boe˘maw‿) อย่างน้อย 1 คน เป็นผู้ทำพิธีต่างๆ เกี่ยวกับผี นอกจากนี้ยังมีคนทรงซึ่งเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ (nyi˘pa‿)ทำหน้าที่เข้าทรงตามหาขวัญที่หายไปของผู้ป่วย (น.87) อาข่าเชื่อว่า “เทพเจ้า” แสดงพลังอำนาจผ่านตัวแทนในหมู่บ้าน คือ หมอผู้ทำพิธี หรือ doze‿ma ซึ่งต้องมีในทุกหมู่บ้าน เขาจะถูกเลือกให้มารับภารกิจนี้โดยเทพเจ้า เขามีหน้าที่ต่างจากคนทรงและหมอผี ซึ่งทำหน้าที่ติดต่อกับวิญญาณเป็นหลัก แต่เขาได้รับการยอมรับว่ามีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นผู้นำในการประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวกับบรรพบุรุษ เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้ข้าวเพียงพอ และถือว่าเขาเป็นผู้ “ศักดิ์สิทธิ์” (น.95) |
|
Belief System |
สำหรับอาข่า ข้าวเป็นมากกว่าอาหาร ถือเป็น “เครื่องค้ำจุนชีวิต” (staff of life) พิธีกรรมที่เกี่ยวกับการเก็บเกี่ยวข้าวจึงมีความสำคัญมาก หากครัวเรือนใดไม่ทำพิธีบวงสรวงจะถูกขับออกจากหมู่บ้าน แม้กระทั่งสมาชิกคนใดคนหนึ่งของครอบครัวละเมิดวิถีแห่งอาข่านี้ หัวหน้าครอบครัวก็จะต้องทำให้ผู้นั้นกลับมาทำตามกฎ มิฉะนั้นจะถูกขับออกจากหมู่บ้านเช่นกัน (น.89-90) มีความเชื่อหลายอย่างในการปลูกข้าวของอาข่า เช่น การเลือกที่ปลูกข้าวจะต้องระวังไม่ให้หันไปเจอหลุมศพ เพราะขวัญของข้าว (ceh˘) จะตกใจและหนีหายไป หัวหน้าหมู่บ้านจะต้องตัดต้นอ่อนของข้าวหนึ่งต้นและทำเครื่องหมายว่าจะกันพื้นที่นี้ไว้สำหรับข้าว กล่าวสวดว่า “หากทุ่งนานี้ให้ข้าวแก่ฉัน ขอให้ฉันฝันดี” หากในคืนนั้นเขาฝันร้าย เช่น เห็นลาหู่หรือฉาน หมายความว่า บรรพบุรุษบอกเขาว่าพื้นที่นั้นไม่ดี ไม่ควรปลูกข้าว หากฝันเห็นเสือถือว่าดี ทั้งหมู่บ้านจะทำพิธีนี้ในระหว่างการเตรียมปลูกข้าว (น.90) การเตรียมเมล็ดข้าว – หนึ่งวันก่อนการเพาะปลูก มีการจัดพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษทั้งเก้า (a‿poe‿ law˘ -eu) และเทพเจ้าสูงสุด (a‿poe‿mi‿yeh˘) บูชาข้าว เพื่อให้ผลผลิตดีในปีนั้น ในเย็นก่อนวันบวงสรวง หมอทำพิธีจะยืนหน้าประตูบ้านและประกาศแก่ชาวบ้านว่า ในคืนนั้นและวันรุ่งขึ้น ขอให้งดมีเพศสัมพันธ์ หยุดทำงานและกิจกรรมอื่นๆและมาร่วมพิธี พร้อมทั้งบอกกล่าวแก่ “เทพ” ว่า รุ่งขึ้นหมู่บ้านจะเพาะปลูกข้าวเป็นวันแรกขอให้ช่วยคุ้มครองมิให้เจอสิ่ง ”ร้าย” ขอให้แม่น้ำชำระล้างเมล็ดข้าวให้บริสุทธิ์ ก่อนนำไปปลูก การเพาะปลูก - หลังจากพิธี ผู้อาวุโสจะนำเมล็ดข้าวไปที่นา โดยมีเพื่อนเดินนำหน้าไปก่อน เพื่อกันมิให้ผู้ถือเมล็ดข้าวเห็นลางร้าย เช่น งู เพราะทำให้ข้าวไม่ศักดิ์สิทธิ์ ต้องกลับไปนำข้าวใหม่จากหมอ บริเวณที่นาจะมีการสร้างปะรำ (k’m‿pi‿)เพื่อปลูกข้าวเมล็ดแรก พร้อมกับร้องเพลงชื่นชมข้าว บอกกล่าวให้เทพคุ้มครองมิให้มดและนกมากินข้าวศักดิ์สิทธิ์ ปะรำนี้จะตั้งอยู่จนถึงฤดูเก็บเกี่ยว ระหว่างช่วงเพาะปลูก ก็ต้องระวังมิให้ “ขวัญข้าว” หนีหายไป เช่น หากมีการคบชู้ในบริเวณนาข้าวจะทำให้เสียหายทั้งหมู่บ้าน หมอต้องทำพิธีปกป้องข้าวและหมู่บ้าน (น.91) การเก็บเกี่ยว – หมอจะเป็นคนแรกที่เริ่มเก็บเกี่ยว โดยถอนข้าวสามต้นไปวางเหนือปะรำ และนำมาใส่ในย่าม แล้วนำไปปักในกระบอกไม้ไผ่ที่หิ้งบรรพบุรุษ จากนั้นจึงเกี่ยวข้าวและวางบูชาไว้ที่ปะรำ รูดเมล็ดข้าว 1 กำมือ ให้ภรรยานำไปที่หน้าประตู โดยหันไปทางตะวันออกเพื่อบูชาพระอาทิตย์ และทางตะวันตกเพื่อบูชาพระจันทร์ ที่ได้ช่วยบันดาลให้ได้ข้าวที่ดี จากนั้นจึงหุงข้าวและเชิญผู้อาวุโสของหมู่บ้านมาร่วมพิธีกินข้าวใหม่ ก่อนกินมีกล่าวสวดขอพรคุ้มครองครอบครัวและพืชผล ขณะเก็บเกี่ยว ก็มีพิธีกรรมอีกหลายอย่างที่อาข่าทำเพื่อสักการะ “เครื่องค้ำจุนชีวิต” และดูแลมิให้ขวัญข้าวหนีหายไป การเก็บข้าวในยุ้ง – ต้องทำพิธีเปิดยุ้งก่อนจึงจะนำข้าวออกมาได้ เมื่อนำข้าวออกมาต้องสาดข้าวสาร 3 กำมือกลับไปไว้ในยุ้งข้าวเพื่อเลี้ยงเจ้าแห่งยุ้ง การบูชาประจำปี – ที่หิ้งบรรพบุรุษจะนำฟางต้นข้าว 3 ต้นที่ผ่านพิธีแล้วมาวางไว้ แต่ละครัวเรือนจะต้องบูชาบรรพบุรุษทั้งเก้า เทพเจ้า และต้นข้าว เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีอาหาร สุขภาพดี ความมั่งคั่ง และความต่อเนื่องของชีวิตมาสู่อาข่า ข้าวและพิธีแห่งชีวิต การเกิด – เมื่อแม่คลอดลูกแล้ว จะถูกถือว่า “ไม่ศักดิ์สิทธิ์” (ma‿shaw‿) จนกว่าจะได้กินอาหารเพื่อ “ชำระให้บริสุทธิ์” ใน 13 วันต่อมา ในช่วงนั้น คนอื่นๆ จะไม่มาเยี่ยมเพราะกลัว “สิ่งไม่ดี”จะติดตัวกลับบ้าน และส่งผลต่างๆ เช่น ถ้าไปเยี่ยมแล้วกลับมาบ้านตักข้าวกิน จะส่งผลให้ทั้งครัวเรือนบริโภคข้าวมากกว่าปกติ เมื่อแม่กินอาหารชำระล้างให้บริสุทธิ์แล้ว ก็จะนำทารก 13 วันนั้น ออกจากหมู่บ้านไปยังทุ่งนา โดยนำข้าวสุกห่อใบตองติดตัวไปด้วย เมื่อพ้นประตูบ้าน ก็จะป้อนข้าวแก่ทารก นับเป็นข้าวมื้อแรกของเด็ก (น.93) การแต่งงาน – พิธีมีหลายขั้นตอน และหนึ่งในนั้นก็คือ ให้ผู้อาวุโสโยนข้าวสุกให้คู่บ่าวสาวและกล่าวให้พร อาหารมื้อแรกที่บ่าวสาวกินร่วมกันนั้นถือว่าสำคัญมาก ได้แก่ ข้าว ไก่ และรำกล้วย การตาย – มีหลายขั้นตอนที่เกี่ยวกับข้าว เช่น มีการป้อนข้าวคนตายทุกครั้งก่อนที่ครอบครัวจะกิน เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้ผลผลิตข้าวเพียงพอในการเพาะปลูกครั้งต่อไป มีการบูชาควายอย่างน้อย 1 ตัวแก่ผู้อาวุโสที่เสียชีวิต เมื่อจะแทงควาย หมอผู้ทำพิธีถือข้าวสาร ขว้างไปทางตะวันออกและตะวันตก สาดขึ้นบนอากาศอย่างละ 3 ครั้ง หลังจากฝังศพได้ 1 วัน นาข้าวของบ้านนั้นจะถูกแบ่งให้ผู้ตาย เพื่อเพาะปลูกในโลกบรรพบุรุษ โดยจะทิ้งที่บริเวณนั้นไว้ ไม่เพาะปลูกอีกเลย 1 ปีหลังจากนั้น จึงทำพิธีเรียกวิญญาณกลับมาช่วยให้ครอบครัวได้ข้าวเพิ่มพูนขึ้น (น.93-94) “เทพเจ้า” ในวัฒนธรรมอาข่า อาข่าถือว่ามนุษย์ทั้งหลายสืบทอดมาจาก “บุตรของเทพเจ้า” จึงเชื่อว่าผู้หญิงตั้งครรภ์ก็ต่อเมื่อเทพเจ้าบันดาล เด็กในท้องเป็นสิ่งที่เทพเจ้าประทานให้ ดังนั้นจึงต้องระวังไม่กล่าวสิ่งที่ไม่ดีเกี่ยวกับเด็กเมื่อคลอดออกมาแล้ว เพราะหากเทพเจ้าได้ยิน จะมานำตัวเด็กกลับไป ผู้หญิงที่เป็นหมันนั้นถือว่า ถูกลงโทษจากพระเจ้า เพราะไปมีชู้ จึงต้องมีการทำพิธีขอให้หญิงคนนั้นมีลูกได้ ตอนเด็กคลอดออกมาจะต้องรอให้เด็กร้อง 3 ครั้งจึงจะอุ้มขึ้น การร้องนั้นคือการขอเทพเจ้า 3 สิ่ง คือ พร, ขวัญ และอายุยืน หากเด็กไม่สมบูรณ์ (เป็นแฝด พิการ หรือ ปากแหว่ง) เชื่อกันว่า เป็นการตัดสินของเจ้า เพราะพ่อแม่จะต้องทำสิ่งใดไม่ดี จึงเกิดเรื่องเศร้าขึ้น (น.95-96) แนวคิดเรื่อง “เทพเจ้า” สำคัญอย่างใกล้ชิดกับแนวคิดหลักเรื่อง “การควบคุมวิญญาณ” ในพิธีกรรมส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมข้าว มีการเปลี่ยนจุดเน้นกลับไปกลับมาระหว่างเทพเจ้าและวิญญาณ นักบวชผู้ทำพิธีของหมู่บ้านติดต่อเป็นพิเศษกับ “เทพเจ้า” และวัฒนธรรมอาข่าก็ถูกส่งผ่านมาจากเทพเจ้า ในขณะที่ผู้ทำพิธีเกี่ยวกับวิญญาณและคนทรงจะติดต่อกับวิญญาณ แต่มีข้อยกเว้นคือ เมื่อคนทรงจะไปยังดินแดนของเทพเจ้าและเรียกบรรดาวิญญาณและสรรพสัตว์มาพบเพื่อถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับขวัญของผู้ป่วย หากวิญญาณโกหก คนทรงก็จะถามเทพเจ้าเพราะ “ท่านรู้ทุกสิ่งและไม่โกหก” หากเทพเจ้าตอบว่าท่านไม่รู้ คนทรงก็จะพูดว่า “โอ เทพเจ้า ผู้ป่วยนี้มีชีวิตก็เพราะท่าน ท่านยังมิได้นำคนนี้กลับไปอยู่กับท่าน เมื่อข้าวแตกรวง เราก็ถวายให้ท่านมิใช่หรือ เราบูชาเหล้าที่ได้จากข้าวใหม่ให้ท่าน จงบอกข้าเถิดว่าขวัญของผู้ป่วยไปอยู่ที่ไหน” ความคิดเรื่องการแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียมกันนั้นสำคัญ เพราะเทพเจ้าได้รับของบูชาอย่างสม่ำเสมอ ท่านก็ต้องรับผิดชอบดูแลปกปักผู้คน (น.97) แนวคิดเรื่อง “ความศักดิ์สิทธิ์” และการทำให้บริสุทธิ์ “ความศักดิ์สิทธิ์” (yaw shaw˘) หมายความได้ถึง “สะอาด บริสุทธิ์ และศักดิ์สิทธิ์” ในทางกายภาพ มันหมายถึง “กลายเป็นธุลี” หรือไม่สะอาด แต่ในทางพิธีกรรม มันหมายถึงศักดิ์สิทธิ์หรือบริสุทธิ์ อาข่ามีความคิดว่า คนซึ่งศักดิ์สิทธิ์จะไม่เห็นภูตผี คนอดอยาก โรคภัย การตายอย่างสยอง และทุกข์โศกอื่นๆ นักบวชผู้ทำพิธีของหมู่บ้านต้องเป็นคน “ศักดิ์สิทธิ์” ตลอดชั่ว 7 อายุคน จะต้องไม่เคยมีสิ่ง “เลวร้าย” ในครอบครัวของบุรุษที่ได้รับเลือกให้รับภารกิจนี้ ไม่เคยมีแฝด คนพิการ ตายโหง ถูกยิง ฯลฯ ต้องไม่แต่งงานกับผู้หญิงที่ท้องแล้ว และต้องมีลูกชายที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างน้อย 1 คน แต่หมอผี (boe˘maw‿) นั้น ถือเป็นอีกระดับ มีหน้าที่แตกต่างกัน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเทพเจ้า แต่ทำการติดต่อควบคุมวิญญาณผ่านการบูชา เซ่นสรวงผี ต้องทำพิธีศพเสกเป่าวิญญาณผู้ตายนาน 6-8 ชั่วโมง ก่อนทำพิธี จึงต้องอาบน้ำชำระให้บริสุทธิ์ ส่วนคนทรง (nyi˘pa‿)แม้จะไม่ต้องเป็นคน “ศักดิ์สิทธิ์” แบบนักบวช แต่ก็ต้องผ่านพิธีชำระให้บริสุทธิ์ สำหรับผู้หญิงที่ได้รับอำนาจในการทรง หากไม่ทำพิธีนี้ หญิงผู้นั้นจะเสียสติ (น.97) บรรดาผู้ชายที่เกี่ยวข้องกับพิธีก็ต้อง “ศักดิ์สิทธิ์” คือ 1. ไม่เคยมี “การละทิ้งมนุษย์” (human rejects) 2. ไม่เคยฆ่าใคร 3. ภรรยาไม่ได้กำลังตั้งครรภ์ อาข่าจะดูถูกคนที่ไม่ได้แต่งงาน เพราะพวกเขาไม่ร่วมในการสืบสานกลุ่ม แต่ในทางพิธีแล้ว ก็ถือว่า “บริสุทธิ์” อาข่าถือว่ากลุ่มชาติพันธุ์ของตนนั้น “บริสุทธิ์” สิ่งของและสถานที่ก็ทำให้ “บริสุทธิ์” ได้ เช่น ทำเมล็ดข้าวให้บริสุทธิ์ก่อนการเพาะปลูกครั้งแรก ผู้ทำพิธีต้องถวายไก่ “บริสุทธิ์” คือไม่มีสีขาวหรือลักษณะผิดปกติที่เดือย กรงเล็บและหงอน มีการทำพิธีให้แหล่งน้ำของหมู่บ้านบริสุทธิ์ปีละครั้ง ก่อนการเพาะปลูก ซึ่งสำคัญมาก การชำระให้บริสุทธิ์ก็เพื่อให้พวกเขามั่นใจว่าจะมีข้าวและน้ำเพียงพอตลอดทั้งปี (น.98) หากในระหว่างปีมี “คนผิดปกติ” เกิดในหมู่บ้าน จะต้องทำพิธีชำระแหล่งน้ำให้บริสุทธิ์ซ้ำอีกครั้ง โดยทั่วไปจะเป็นพิธีเดียวกับพิธีชำระล้างประจำปีที่นักบวชจัด แต่ครอบครัวที่ “แปดเปื้อน” นั้นต้องจัดเตรียมของทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับพิธี บ้านอาข่าก็ถือว่า “บริสุทธิ์” ในสภาวะปกติ หากเกิดสิ่งที่ไม่ดีขึ้นก็ต้องชำระล้างบ้าน มีข้อมูลว่า ในประเทศพม่า มีหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานตั้งท้องและทำแท้ง นำซากทารกเข้าไปฝังในป่า ต่อมาสุนัขไปขุดและคาบมาที่บ้าน นักบวชต้องตามหาตัวหญิงคนนั้นและคนรัก ปรับให้จัดเตรียมสัตว์ต่างๆ มาให้หมอผีทำพิธีร่ายคาถาชำระล้างบ้าน และบูชา “ผีภายนอก” ด้วย เพราะผิดที่เอาทารกไปฝังในป่า (น.98) หญิงท้องและสามีก็ไม่ “บริสุทธิ์” จนเด็กเกิดได้ 13 วันและกินอาหารชำระล้างแล้ว คนอื่นๆ จึงมาเยี่ยม หากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ถือว่าร้ายแรงมาก บ้านนั้นจะถูกรื้อและต้องทำพิธีชำระล้างที่ซับซ้อนให้แก่คู่สามีภรรยาและทั้งหมู่บ้าน พิธีกรรมเหล่านี้มีนัยยะสำคัญทางเศรษฐกิจต่ออาข่า เพราะต้องใช้หมู สุนัข และไก่อย่างละ 9 ตัว เพื่อบูชาในพิธี นอกจากนี้เมื่อคนตาย หาก “ตายดี” คือตายที่บ้าน ผ่านพิธีอย่างเหมาะสม ก็เตรียมชำระล้างผู้ตาย โดยการที่หมอผู้ทำพิธีโปรยอาหารบนร่างศพ เพื่อทำให้ชีวิตบริสุทธิ์ หาก “ตายไม่ดี” ด้วยอุบัติเหตุ หรือตายนอกหมู่บ้าน ก็ยิ่งต้องชำระล้าง มิฉะนั้นจะนำศพกลับบ้านและฝังในสุสานของหมู่บ้านไม่ได้ ข้าวและสัตว์ที่ใช้ในพิธีกรรมก็ต้องให้ ผู้ที่“บริสุทธิ์” นำออกจากยุ้ง หุงด้วยน้ำ “บริสุทธิ์” โดยให้คนที่ “บริสุทธิ์” ตักเป็นคนแรก สัตว์จำพวกหมูหรือไก่ที่ซื้อจากผู้อื่นก็ต้องล้างให้สะอาด นอกจากนี้ยังมีกฎว่า หากหญิงใดคบชู้ จะต้องทำพิธีชำระล้างที่บ้าน บูชาหมูแก่วิญญาณในบ้านและนอกบ้าน หากไม่ทำพิธี นาข้าวของหญิงผู้นั้นจะแย่และกลายเป็นหมัน เพราะ “เทพเจ้า” จะปิดกั้นหนทาง (น.99) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
มีการใช้ข้าวในการเสี่ยงทายรักษาความเจ็บป่วยด้วย (น.94) ในการรักษาความเจ็บป่วย มีหลายวิธีขึ้นกับชนิดและความรุนแรงของโรค หากป่วยรุนแรง จะทำพิธีบูชาน้ำไปทางทิศตะวันออก เพื่อบูชาพระอาทิตย์ หันไปทางตะวันตก เพื่อบูชาพระจันทร์ แล้วยกขึ้นเหนือหัวเพื่อบูชาเทพเจ้าให้มาช่วย (น.96) มีอาการเจ็บป่วยหลายอย่างที่อาข่ารู้สึกว่า เกิดจากสิ่งไม่ดี ต้องชำระล้างเสียก่อนจึงจะดีขึ้น เช่น ถ้าคนเป็นลมบ้าหมูชัก ก็จะต้องไปที่ลำธารกับหมอผีและผู้อาวุโส ลงไปลอยตัวในน้ำ ผ่านโพรงของลำต้นไม้ จากนั้นจึงสวมเสื้อใหม่และกลับบ้านอย่างบริสุทธิ์ (น.99) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ในระหว่างเพาะปลูกมีการร้องเพลง (a‿ ho ho-eu) เพื่อชื่นชมข้าว บอกกล่าวให้เทพคุ้มครองมิให้มดและนกมากินข้าวศักดิ์สิทธิ์ (น.91) |
|
Folklore |
มีนิทานปรัมปราของอาข่าเกี่ยวกับขุนนางมังกร ซึ่งให้เมล็ดข้าวแก่พวกเขา นิทานเรื่องนี้นำไปสู่ประเพณีและข้อห้ามสำคัญที่เกี่ยวพันกับข้าว ตั้งแต่วัยเด็กอาข่าก็ต้องทำตามกฎและข้อห้ามเหล่านี้เพราะเป็น “วิถีแห่งอาข่า” (น.89) แนวคิดเรื่อง “เทพเจ้า” (a‿poe‿mi‿yeh˘)ของอาข่านั้นต่างไปจาก “พระเจ้า” ของคริสต์และยิว ตามตำนานอาข่า ในตอนแรกมีเพียง “เทพเจ้า” เท่านั้น ท่านได้สร้างท้องฟ้า (M‿g’ah˘) ซึ่งอาข่าถือว่าเป็น “บุตรของเทพเจ้า” มนุษย์ทั้งหลายล้วนสืบทอดมาจากบุตรผู้นี้ ต่อมาเทพเจ้าได้สร้างสิ่งซึ่งทรงอำนาจเรียกว่า Ja bi oe‿lah‿ และได้นำทุกสิ่งที่เทพเจ้าสร้างขึ้นมาผนวกเข้าไว้ในโลก ต่อมา Ja bi oe‿lah‿โกหก เทพเจ้าจึงดลบันดาลให้เขาตาย ตำนานนี้บอกเล่าถึงผู้ปกครอง 2 คน ที่เทพเจ้าส่งมาปกครองอาข่าเมื่อนานมาแล้ว แต่ต่อมา 2 คนนี้ไม่เชื่อฟัง เทพเจ้าจึงเรียกตัวกลับไป ตำนานนี้เชื่อมโยงกับอีกตำนานที่อธิบายว่า ทำไมอาข่าจึงไม่มีผู้ปกครอง ไม่มีตัวอักษรและความมั่งคั่งในปัจจุบัน (น.94) ตำนานเรื่องผู้ปกครอง Bah Jui⁀- เขาเป็นผู้หนึ่งที่เรียนรู้วิถีทางที่เหมาะสมสำหรับอาข่าจากเทพเจ้า โดยขี่ม้าบินขึ้นไปยัง “ดินแดนแห่งเทพเจ้า” ทุกคืน “เทพเจ้า” แสดงพลังอำนาจผ่านตัวแทนในหมู่บ้าน คือ หมอผู้ทำพิธี doze‿ma (น.95) มีตำนานเล่าว่า นานมาแล้ว มนุษย์ลืมคำสั่งสอนของเทพเจ้า ทำให้ท่านโกรธจึงมีประกาศิตให้ทุกคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ตาย อาข่าเชื่อวา คนที่ไม่นับถือเทพเจ้าจะมีอายุสั้น หากเด็กตายก่อนโตพอที่จะแต่งงานและสืบตระกูลก็เพราะเทพเจ้าเรียกตัวเขากลับไป หากผู้ใหญ่ตายก็ต้องมีพิธีหลายอย่างเพื่อให้มั่นใจว่า ผู้ตายจะไม่วนเวียนอยู่ในหมู่บ้าน ต้องนำทางให้ไปยังดินแดนของเทพเจ้า (น.96) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
แม้จะอยู่ใกล้เคียงกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ เช่น จีน ลาหู่ ลีซู ฉาน ลาวและไทย แต่ก็ยังธำรงวัฒนธรรมของตนที่มีลักษณะเฉพาะไว้ได้ เหตุผลหนึ่งก็เพราะอาข่าเลือกอาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขาซึ่งห่างไกล และติดต่อกับกลุ่มอื่นๆ ให้น้อยที่สุด อีกเหตุผลหนึ่งก็คือแนวคิดหลักทางวัฒนธรรมที่มีลักษณะเฉพาะของอาข่า ซึ่งทำให้หมู่บ้านเป็นหน่วยสังคมที่สำคัญที่สุด (น.89) อาข่าให้ความสำคัญแก่ข้าว เทพเจ้า และความบริสุทธิ์มาก สะท้อนออกมาให้พิธีกรรมต่าง และจารีตต่างๆ ผู้เขียนเคยได้ยินอาข่ากล่าวว่า พวกอาข่าที่อาศัยตามชายแดนจีน-พม่านั้น “ทำแบบจีน” คือ แม้จะเกิดเป็นอาข่าแต่ไหว้บรรพบุรุษปีละ 2 ครั้ง จึงไม่ถือว่าพวกนั้นเป็น “อาข่า” อีกต่อไป นอกจากนี้ อาข่ายังเห็นว่า ลาหู่และลีซูแตกต่างกัน ไม่ใช่เพราะภาษาและวัฒนธรรมทางวัตถุที่ต่างกัน แต่เพราะสองกลุ่มนี้มีแนวคิดหลักที่สำคัญต่อวิถีชีวิตต่างกัน (น.100) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
แผนที่การกระจายตัวของอาข่า หน้า 88 |
|
|