สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,ฝิ่น,การรักษาโรค,เพชรบูรณ์
Author พัชรินทร์ สิรสุนทร
Title พฤติกรรมการรักษาเยียวยาตนเองด้วยฝิ่นของชาวม้งที่เจ็บป่วย : ศึกษาเฉพาะกรณีชุมชนม้งแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text -
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 207 Year 2531
Source หลักสูตรปริญญาสังคมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาสังคมศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุข บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

ผู้เขียนพบว่า กระบวนการแสวงหาการรักษาเยียวยาของผู้ป่วยม้งจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นและกำหนดความหมายของอาการนั้น ในกรณีที่เป็นอาการที่ผู้ป่วยไม่รู้จัก หรือไม่แน่ใจก็จะปรึกษากับบุคคลใกล้ชิดในเครือข่ายทางสังคม โดยการที่ผู้ป่วยจะมีพฤติกรรมการรักษาเยียวยาด้วยฝิ่นหรือไม่อย่างไร มิได้ขึ้นอยู่กับความเชื่อเกี่ยวกับสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้นแต่เพียงอย่างเดียว อาจจะมีการรักษาเยียวยาหลายๆ วิธีควบคู่กันไป (หน้า 168) ในขั้นตอนของการรักษานั้นพบว่า พฤติกรรมของผู้ป่วยมีลักษณะเป็นขั้นเป็นตอน จำแนกตามระดับความรุนแรงของอาการและพฤติกรรมการเสพฝิ่นก่อนการรักษา โดยอาการป่วยเล็กน้อยและระดับปานกลางจะใช้ฝิ่นรักษาในกลุ่มของผู้ที่เสพติดฝิ่นและกลุ่มผู้ที่ใช้ฝิ่นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ส่วนผู้ที่ไม่ใช้ฝิ่นก็จะรอดูอาการและหายา หรือรับการรักษาด้วยวิธีอื่น แต่ในอาการป่วยระดับรุนแรงผู้ป่วยทุกกลุ่ม จะตรงไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดทันที ส่วนญาติพี่น้องที่อยู่ที่บ้านก็จะประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ (“อัวเน้ง”) ควบคู่ไปด้วย (หน้า 169)

Focus

ผู้เขียนต้องการศึกษาพฤติกรรมการรักษาตนเองของม้งที่เสพฝิ่น ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรม การเสพฝิ่นของม้ง ลักษณะและรูปแบบของการใช้ฝิ่นเพื่อรักษาโรค (หน้า 6)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ม้งในประเทศแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ ม้ง(น)จั๊ว (Moob Ntsuab) ในภาษาไทยเรียกว่า แม้วดำ แม้วลาย แม้น้ำเงิน และแม้วดอก กับฮม้งเด๊อ (Hmoob Dawb) ในภาษาไทยเรียกแม้วขาว (หน้า 9)

Language and Linguistic Affiliations

เนื่องจากชุมชนยิ้งเป็นชุมชนม้งที่อยู่ในเขตรอยต่อของพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเพชรบูรณ์ พิษณุโลก และเลย เมื่อเข้ามอบตัวกับทางราชการก็ได้ติดต่อค้าขายกับคนไทยพื้นราบมาตลอด ภาษาที่ใช้พูดจึงได้แก่ ภาษาม้ง ภาษาถิ่นของจังหวัดทั้งสาม และภาษาไทยกลาง ม้งส่วนใหญ่ในชุมชนยกเว้นคนสูงอายุสามารถพูดคุยกับคนไทยพื้นราบด้วยภาษากลางได้เป็นอย่างดี มีเพียงสำเนียงและคำบางคำเท่านั้นที่ม้งไม่สามารถออกเสียงให้ชัดเจนได้ (หน้า 50)

Study Period (Data Collection)

1 ธันวาคม 2530-กุมภาพันธ์ 2531 (หน้า 34)

History of the Group and Community

ชุมชนยิ้งก่อตั้งเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2503 โดยนายสร้างเป็นผู้นำม้งประมาณ 50 ครอบครัวอพยพเข้ามา โดยในครั้งแรกได้ตั้งรกรากอยู่ห่างจากชุมชนยิ้งในปัจจุบันไปทางทิศตะวันออกประมาณ 2 กิโลเมตร แต่ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2511 ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ได้ใช้กำลังปฏิบัติการต่อต้านรัฐบาลในพื้นที่รอยต่อ 3 จังหวัด (พิษณุโลก-เพชรบูรณ์-เลย) เป็นผลให้ม้งบางส่วนเข้าร่วมกับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ และมีบางส่วนไปขอความคุ้มครองจากทางราชการ รัฐบาลจึงได้จัดที่อยู่ให้ที่ศูนย์แรกรับชาวเขาอพยพ 3 แห่งในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ พิษณุโลก และเลย (หน้า 42) แต่ยังมีชาวเขาที่บ้านเล่าลือและบ้านป่ายาบยังคงต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายฯ จนกระทั่งปี พ.ศ.2513-2515 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเพชรบูรณ์ได้ขอกันพื้นที่ของชุมชนยิ้งประมาณ 30 ตารางกิโลเมตร พร้อมจัดตั้งหน่วยพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาขึ้น และได้อพยพจากศูนย์แรกรับชาวเขาทั้ง 3 แห่ง รวมถึงม้งบ้านเล่าลือ และในปี พ.ศ. 2518 ม้งบ้านป่ายาบก็อพยพมาอยู่รวมกันอีก และในปี พ.ศ.2524-2525 ชาวเขาที่เคยเข้าร่วมกับผู้ก่อการร้ายก็ออกมามอบตัวกับทางราชการและอพยพมาอยู่ในชุมชนยิ้งอีก ทำให้ภายในชุมชนขณะนั้นมีประชากรถึงประมาณ 8,000 คน ต่อมาปี พ.ศ.2527 ชุมชนยิ้งถูกประกาศจัดตั้งเป็นหมู่บ้านอาสาพัฒนาป้องกันตนเอง (อพป.) (หน้า 42-43)

Settlement Pattern

ลักษณะการตั้งบ้านเรือนภายในชุมชนยิ้งนั้น ส่วนใหญ่จะตั้งบ้านเรือนเป็นแนวยาวคู่ขนานไปกับถนน แต่สำหรับกลุ่มเล่าลือที่เป็นม้งดำนิยมตั้งบ้านเรือนรวมกลุ่มกันจนมีสภาพแออัดและทรุดโทรมมาก แต่อย่างไรก็ตาม สภาพบ้านเรือนโดยทั่วไปก็ยังคงมีลักษณะเป็นบ้านหลังเดียวโดดๆ ปลูกเป็นระยะไม่ห่างกันนัก (หน้า 58) ลักษณะบ้านเรือนของม้งในชุมชนยิ้งจะก่อสร้างขึ้นอย่างง่ายๆ ด้วยวัสดุที่หาได้โดยทั่วไปในท้องถิ่น ได้แก่ ไม้ไผ่ หรือแฝก มุงหลังคาด้วยใบหญ้าคา ใบค้อ สังกะสี หรือกระเบื้อง เสานิยมใช้ไม้เนื้อแข็ง ลักษณะภายในบ้านของม้งขาวและม้งดำมีความแตกต่างกันอยู่มาก บ้านของม้งขาวส่วนใหญ่มี 2 ประตู คือประตูด้านหน้าเรียก “ขอตรังต่าฮ์” ถือเป็นประตูสำคัญมากใช้ในการประกอบพิธีกรรมที่สำคัญ และประตูด้านข้าง เรียกว่า “ขอตรังสั่ว” เป็นประตูที่ไม่ค่อยมีความสำคัญทางพิธีกรรมนัก ห้องนอนของสมาชิกในบ้านมักจะนอนในห้องแรกถัดจากประตูเข้ามา ส่วนลูกชายและลูกสาวที่เริ่มเข้าสู่วัยรุ่นหรือยังโสดจะนอนในห้องถัดไป แยกเพศกันและมีการทำห้องเก็บผลผลิตของครัวเรือน ได้แก่ ข้าวโพด ข้าวเปลือกและขิง อยู่ด้านขวาของตัวบ้าน ฝาบ้านอยู่ตรงข้ามกับประตูหน้าหรืออยู่ด้านซ้ายหรือขวาของประตูหน้าบ้าน ข้างฝามี “สีก๊ะ” และ “ท่าเน้ง” ติดอยู่ ในกรณีที่เจ้าของบ้านนับถือผี ส่วนครัวอยู่ด้านซ้ายหรือขวาของประตูหน้าบ้านก็ได้ แต่โดยมากนิยมให้ตรงข้ามกับห้องนอน บริเวณมุมห้องนิยมทำเป็นหิ้งหรือชั้นสำหรับวางของในครัว ถัดจากหิ้งเป็นเตาไฟใหญ่เรียกว่า “ขอส่อ” ใช้ตั้งกระทะสำหรับต้มข้าวให้หมู แต่ช่วงที่มีการ “อั้วเน้ง” เตานี้จะใช้ประกอบอาหารเลี้ยงแขกเหรื่อ ถัดจากเตาไฟใหญ่เป็นเตาไฟเล็กเรียกว่า “ขอจุ๊” ใช้ต้มอาหารในชีวิตประจำวันและเป็นบริเวณที่ใช้นั่งพักผ่อนของสมาชิกในบ้านและเป็นที่รับแขก เหนือเตาไฟมีชั้นลอยเก็บของแห้งและเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ ความร้องจากเตาไฟจะทำให้ของแห้งและร้อนอยู่เสมอ ไม่บูดเน่าง่าย ส่วนบ้านม้งดำมีประตูหน้าเพียงประตูเดียวเรียกว่า “ขอตรังตั่งฮ์” แต่มีหลายบ้านที่ทำประตูข้าง “ขอตรังสั่ว” เพื่อความสะดวกในการเข้าออกเช่นเดียวกับม้งขาว เนื่องจากม้งทั้ง 2 กลุ่มย่อยนี้อาศัยอยู่ปะปนกันเป็นเวลานาน มีการแต่งงานระหว่างกลุ่มย่อยจึงเป็นผลให้ประเพณีการปลูกสร้างบ้านเรือนของม้งทั้ง 2 กลุ่มผสมผสานกลืนกัน ส่วนลักษณะที่คล้ายคลึงกันของ 2 กลุ่มย่อยคือ ไม่นิยมสร้างบ้านที่มีหน้าต่าง รวมถึงปล่อยให้สัตว์เลี้ยงเดินหากินกันเองบริเวณรอบๆ บ้าน (หน้า 55-57) จากความเจริญและความทันสมัยได้แพร่เข้ามาในชุมชนยิ้ง ประกอบกับการรวมตัวของแซ่ตระกูลใหญ่ๆ ทำให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจในบางกลุ่มแซ่ตระกูล ดังนั้น การปลูกสร้างบ้านเรือนของครัวเรือนเหล่านี้จึงได้รับอิทธิพลจากไทพื้นราบเป็นอย่างมาก เช่น มีการปลูกบ้านสองชั้น หลังคามุงกระเบื้องและมีหน้าต่างรอบบ้าน แต่อย่างไรก็ดี ผู้สูงอายุและหัวหน้าครอบครัวไม่นิยมขึ้นไปอยู่ชั้นบน เนื่องจากไม่คุ้นเคยและมีอากาศหนาวเย็นจึงให้บุตรหลานที่อยู่ในวัยรุ่นไปอยู่แทน (หน้า 57)

Demography

จากการสำรวจเมื่อเดือนมิถุนายน 2530 พบว่ามีประชากรในชุมชนทั้งสิ้นประมาณ 5,345 คน เป็นเพศชาย 2,636 คน หญิง 2,709 คน มีจำนวนหลังคาเรือน 741 หลังคาเรือน 992 ครอบครัว ประกอบด้วยม้งขาว 600 หลังคาเรือน 791 ครอบครัว เป็นชาย 2,085 คน หญิง 2,147 คน รวมประชากรทั้งสิ้น 4,232 คน ม้งดำจำนวน 137 หลังคาเรือน 196 ครอบครัว เป็นชาย 541 คน หญิง 554 คน รวมประชากรทั้งสิ้น 1,095 คน และมีเย้าอพยพเข้ามาอาศัยอีกจำนวน 4 หลังคาเรือน 5 ครอบครัว เป็นชาย 10 คน หญิง 8 คน โดยเย้าเหล่านี้ได้เปลี่ยนมาแต่งกาย และดำเนินชีวิตในลักษณะที่สอดคล้องกับม้ง ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ของชุมชน ภายหลังที่ได้เข้ามาอาศัยอยู่ระยะหนึ่ง (หน้า 43-44)

Economy

ม้งในชุมชนยิ้งส่วนใหญ่มีการทำนาทำไร่ และมีเพียงส่วนน้อยที่รับราชการ นอกจากนี้พบว่าระบบเศรษฐกิจของชุมชนยิ้งเป็นระบบที่หมุนเวียนกันอยู่ในชุมชนส่วนหนึ่ง โดยการซื้อขายของใช้ประจำวัน และเป็นการแลกเปลี่ยนกับชุมชนภายนอกอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่เครื่องอำนวยความสะดวกและเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มต่างๆ โดยจะมีรถสองแถวเข้ามาเร่ขายในชุมชนเดือนละครั้ง และในช่วงเทศกาลสำคัญๆ (หน้า 52, 54)

Social Organization

ผู้เขียนพบว่า ในชุมชนยิ้งมีการจัดระเบียบทางสังคมที่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของความเป็นเครือญาติ บทบาทของผู้อาวุโสและหัวหน้าครอบครัวมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมและความเป็นไปของสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรักษาพยาบาล นอกจากนี้ ยังมีความสัมพันธ์แบบแซ่ตระกูล (ม้งเรียกว่า “เส่ง”) เป็นเครื่องกำหนดความเป็นเครือญาติ วัฒนธรรมของม้งจะกำหนดให้ผู้ที่อยู่ในแซ่เดียวกันมีหน้าที่พึงกระทำต่อกัน เช่น การช่วยเหลือยามเจ็บป่วย (ดูเพิ่มเติมในหัวข้อ Political Organization เรื่องกลุ่มสังคมที่ไม่เป็นทางการ) (หน้า 44-45)

Political Organization

มีการรวมกลุ่ม 2 ลักษณะ 1.) ลักษณะที่เป็นทางการตามการจัดตั้งของหน่วยงานรัฐ โดยชุมชนยิ้งแบ่งออกเป็น 2 หมู่ คือ หมู่ 4 แบ่งการปกครองออกเป็น 15 คุ้ม แต่ละคุ้มมี 20-25 หลังคาเรือน และหมู่ 10 แบ่งการปกครองออกเป็น 10 คุ้ม โดยหลังจากที่ชุมชนยิ้งได้รับการจัดตั้งเป็นหมู่บ้าน อพป. เมื่อ พ.ศ. 2524 แล้วได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการหมู่บ้านฝ่ายต่างๆ ขึ้น ส่วนเขตการปกครองแบ่งออกเป็น 5 เขต แต่ละเขตมีหัวหน้าเขตรับผิดชอบ ดังนั้นการรวมกลุ่มภายในชุมชนจึงมีลักษณะลดหลั่นจากหมู่ไปสู่เขตและคุ้มตามลำดับ โดยมีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้มีบทบาทและมีอิทธิพลต่อการกำหนดความเป็นไปและการตัดสินใจแก้ปัญหาและข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในชุมชน (หน้า 46) 2.) กลุ่มสังคมที่เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ สังคมม้งเป็นสังคมที่มีเอกภาพภายในสังคมสูง โดยเฉพาะในกลุ่มม้งที่อยู่ในแซ่ตระกูลเดียวกัน แต่การที่ชุมชนยิ้งเป็นชุชนที่ถูกจัดตั้งขึ้น ดังนั้นการอพยพของบุคคลในแซ่ตระกูลเดียวกัน บางกรณีอาจอพยพมาไม่พร้อมกัน ส่งผลให้บุคคลที่อยู่ในแซ่ตระกูลเดียวกันบางกลุ่มอาศัยกระจัดกระจาย และก่อให้เกิดความห่างเหินทางสังคม ตลอดจนบั่นทอนความใกล้ชิดของบุคคลในแซ่ตระกูลเดียวกันลงไปอีก แต่อย่างไรก็ตาม ผู้นำของแซ่ตระกูลซึ่งเป็นผู้อาวุโสที่เป็นที่เชื่อถือโดยทั่วไปของแซ่ตระกูลนั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสที่อยู่ในแซ่ตระกูลใหญ่หรือแซ่ตระกูลที่มีส่วนในการก่อตั้งชุมชน จะเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับนับถือจากคนในชุมชนอย่างกว้างขวาง เช่น เมื่อมีข้อขัดแย้งหรือปัญหากับบุคลในแซ่ตระกูลเดียวกัน ผู้อาวุโสจะมีบทบาทสำคัญในการร่วมตัดสินแก้กรณีพิพาท แต่ถ้าปัญหานั้นรุนแรงหรือร้ายแรงจนผู้อาวุโสไม่สามารถไกล่เกลี่ยได้ ผู้นำทางการจะเข้ามามีบทบาท ส่วนตัวบทกฎหมายหรือเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะเข้ามามีบทบาทเมื่อผู้นำทางการไม่สามารถแก้ปัญหาได้ (หน้า 47) นอกจากนี้ยังมีกลุ่มสังคมที่ไม่เป็นทางการอื่นๆ อีก ได้แก่ 1.) กลุ่มประปา เป็นม้งที่ตั้งบ้านบริเวณอ่างเก็บน้ำประจำชุมชน 2.) กลุ่มเล่าลือ เป็นม้งที่อพยพมาจากบ้านเล่าลือ มีความเป็นอยู่แบบดั้งเดิม โดยทั่วไปมีฐานะยากจน และใช้ฝิ่นอย่างแพร่หลาย 3.) กลุ่มกลาง ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่อยู่ในแซ่ตระกูลที่มีส่วนในการก่อตั้งชุมชนยิ้ง เป็นที่ยอมรับนับถืออย่างกว้างขวาง รวมกลุ่มอย่างเหนียวแน่น มีฐานะค่อนข้างดี 4.) กลุ่มตลาด อาศัยอยู่รวมกันบริเวณตลาดกลางชุมชน ส่วนใหญ่ค้าขาย ทำไร่ ทำปศุสัตว์ เป็นบริเวณที่มีการกระจุกตัวของร้านค้ามากกว่าบริเวณอื่นในชุมชน รวมถึงเป็นแหล่งรวมรถโดยสารที่เดินทางไปมาระหว่างชุมชนกับอำเภอหล่มสัก 5.) กลุ่มหลังอนามัย ม้งที่สร้างบ้านเรือนรวมกลุ่มอยู่บริเวณหลังสถานีอนามัย พบว่ามีการใช้ฝิ่นอย่างแพร่หลาย 6.) กลุ่มป่ากล้วย ม้งที่เคยปฏิบัติงานกับพรรคคอมมิวนิสต์บริเวณภูขี้เถ้าภูมโล ส่วนใหญ่ยากจนเป็นกลุ่มที่อพยพมาหลังกว่ากลุ่มอื่นๆ 7.) กลุ่มปากทาง อาศัยอยู่เรียงรายสองฟากถนนสายกลางหมู่บ้าน บริเวณที่เชื่อมกับถนนสายพิษณุโลก-หล่มสัก ถึงบริเวณสะพานหลักข้ามลำน้ำเซิม มีความเป็นอยู่ค่อนข้างยากจน ถึงปานกลาง ส่วนใหญ่ทำไร่ และรับจ้างทั่วไป นอกจากนี้ยังมีกลุ่มย่อยอื่นๆ แอบแฝงอีก ได้แก่ กลุ่มทับเบิก กลุ่มเขาขาด กลุ่มวัยรุ่น กลุ่มวงดนตรีประจำชุมชน และกลุ่มแม่บ้าน โดยทั่วไปม้งจะรวมกลุ่มกับภายนอกแซ่ตระกูลน้อย แต่การรวมกลุ่มที่พบประจำ เช่น การรวมตัวของหญิงม้งเพื่อเย็บผ้า แต่มีลักษณะต่างคนต่างทำในบริเวณบ้านตนเอง ส่วนการสูบฝิ่นไม่พบว่ามีการรวมกลุ่มกันสูบในชุมชน แต่การรวมกลุ่มกันจะพบเมื่อมีปัญหาหรือเกิดความเจ็บป่วยกับสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว สมาชิกส่วนใหญ่และเพื่อนบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครือญาติกันจะมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาหรือเป็นผู้ที่มีความรู้ด้านยาสมุนไพร การนวด การรักษา (หน้า 49)

Belief System

ชุมชนยิ้งนับถือทั้งศาสนาพุทธ นับถือผี และเชื่อถือในไสยศาสตร์และอำนาจเหนือธรรมชาติควบคู่ไปด้วย โดยสังเกตว่ายังคงมีการตั้งหิ้งผี และมีการเลี้ยงผีกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญๆ รวมทั้งมีการบูชาบรรพบุรุษด้วย (หน้า 50)

Education and Socialization

ประชาชนชุมชนยิ้ง ส่วนใหญ่เรียนจบชั้นประถมปีที่ 6 นักเรียนที่เรียนจบภาคบังคับแล้วเข้าศึกษาต่อในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นประมาณ 120 คน ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 80 คน และระดับมหาวิทยาลัย 20 คน

Health and Medicine

เมื่อมีอาการเจ็บป่วย ม้งในชุมชนยิ้งจะไปขอคำแนะนำ หรือไปรับการรักษาจากแหล่งให้การรักษาพยาบาลทั้งจาก ก.) แหล่งให้การรักษาพยาบาลภายในชุมชน ได้แก่ (1.) หมอผี หรือ “สีเน้ง” มักรักษาผู้ป่วยที่ไม่รู้สาเหตุ หรือเป็นอาการป่วยที่เชื่อว่าถูกผีทำหรือขวัญหาย ที่รักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล มีหมอผีในชุมชนทั้งหมดจำนวน 10 คน เป็นผู้ชายทั้งหมด ในปัจจุบันได้รับความนิยมน้อยลง เนื่องจากหมอผีที่ความสามารถมีจำนวนลดลง และเด็กรุ่นใหม่ไม่ค่อยเชื่อถือประสิทธิภาพของการรักษา (2.) หมอนวด หรือ “ค๊ะเอ่” เป็นที่นิยมในผู้สูงอายุในชุมชน มีทั้งผู้หญิงและผู้ชายจำนวนรวม 20 คน (3.) หมอสมุนไพร หรือ “กื่อชั่ว” มีจำนวน 3 คน ปัจจุบันสมุนไพรหายาก เนื่องจากป่าไม้ถูกทำลายลงมาก ส่งผลให้ค่ารักษาแพงขึ้น จึงมีผู้รักษาไม่มากนัก (4.) หมอคาถา มี 1 คน รักษารายที่อาการป่วยเนื่องมาจากความตกใจ หรือขวัญตกหาย (5.) ผสส./อสม. ที่อบรมมาจำนวน 14 คนไม่มีบทบาทในด้านดูแลรักษาสุขภาพให้แก่ประชาชน เนื่องจากทุกคนต้องประกอบอาชีพเลี้ยงดูครอบครัว มีอสม. เพียงคนเดียวที่เปิดร้านขายยาส่วนตัว และให้คำแนะนำการใช้ยาแก่ประชาชน แต่ก็เป็นการให้บริการแบบการค้า (6.) ร้านขายของชำ มีทั้งสิ้น 6 ร้านกระจายอยู่ทั่วไปในชุมชน ทุกร้านจำหน่ายยาลดไข้ชนิดซอง ซึ่งเป็นยาที่ผู้เสพฝิ่นนิยมซื้อไปผสมฝิ่นสูบ (7.) ร้านขายยา มีจำนวน 3 ร้าน ยาที่จำหน่ายได้มาก คือ ยาแก้ปวดลดไข้ชนิดซองละ 50 สตางค์ (8.) คลินิกเอกชน มีจำนวน 2 ร้าน ผู้รักษาเคยถูกส่งไปอบรมด้านวิสัญญีแพทย์และศัลยแพทย์ที่ประเทศจีน เป็นแหล่งรักษาพยาบาลที่ประชาชนเข้ารับบริการมากที่สุด (9.)สถานีอนามัย ส่วนใหญ่ไปฝากครรภ์ และไปเพื่อขอใบส่งตัวเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลระดับสูงของรัฐต่อไป แต่ผู้ป่วยไม่นิยมไปใช้บริการ (หน้า 61-63) ข.) แหล่งบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขภายนอกชุมชน ซึ่งมีทั้งในภาครัฐบาล เช่น โรงพยาบาลหล่มสัก และภาคเอกชน ค.) กิจกรรมสาธารณสุขมูลฐานในชุมชน ริเริ่มโครงการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 คัดเลือกประชาชนที่มีความสนใจและสามารถเสียสละเวลาได้จำนวน 20 คน แต่ปัจจุบันเหลือเพียงคนเดียว กิจกรรมที่กระทำต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน คือ เสียงตามสายเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพ (หน้า 64-69) ผู้เขียนใช้แนวคิดเรื่องกระบวนการแสวงหาการรักษาเยียวยาของโนเอล. เจ. คริสแมน (Noel J. Chrisman) เป็นแนวทางในการศึกษาพฤติกรรมการรักษาเยียวยาของม้งในชุมชนยิ้ง คือ 1.) การกำหนดความหมายของอาการผิดปกติว่าเป็นการเจ็บป่วยชนิดใด มีคำเรียกอาการผิดปกตินั้นว่าอะไร มีสาเหตุมาจากอะไร เช่น เชื่อว่าเกิดจากเชื้อโรคหรือความไม่สะอาด เชื่อว่าเกิดจากการทำงานหนัก หรือเชื่อว่าเกิดจากอำนาจเหนือธรรมชาติ เป็นต้น และอาการที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงเพียงใด มีอาการเล็กน้อย อาการระดับปานกลาง หรืออาการระดับรุนแรง ซึ่งมีเกณฑ์ในการพิจารณา ได้แก่ การปรับเปลี่ยนบทบาทหรือพฤติกรรมของผู้ป่วย ระยะเวลาในการป่วย ความถี่ของอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น อาการแทรกซ้อนอื่นๆ ความรู้หรือประสบการณ์ของผู้ป่วยและเครือญาติต่ออาการผิดปกติ ความยากง่ายในการรักษา (หน้า 71-86) 2.) บทบาทและพฤติกรรมของผู้ป่วยที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น ซึ่งใช้ในการประเมินระดับความรุนแรงของอาการเจ็บป่วย และส่งผลต่อพฤติกรรมการรักษาเยียวยาทั้งในส่วนของวิธีการรักษาและแหล่งรักษา (หน้า 86-87) 3.) การปรึกษาหารือกันในภาคประชาชน เพราะการเจ็บป่วยในสังคมม้งมิใช่เรื่องของผู้ป่วยเพียงผู้เดียว แต่บุคคลที่เรียกว่า “เครือข่ายทางสังคม” (Social Network) เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในขั้นตอนต่างๆ ของกระบวนการเยียวยารักษาแบ่งเป็น 3 ขั้นคือ เครือข่ายปฐมภูมิ ได้แก่ ครอบครัว เครือญาติ และเพื่อนบ้าน เครือข่ายทุติยภูมิ เป็นการติดต่อสัมพันธ์ทางอ้อม โดยติดต่อผ่านสมาชิกในเครือข่ายปฐมภูมิ เครือข่ายขยาย คือ การติดต่อระหว่างบุคคลในเครือข่ายทุติยภูมิไปยังประชากรกลุ่มใหญ่ (หน้า 88) 4.) พฤติกรรมการรักษาเยียวยาของม้งที่เจ็บป่วย แบ่งเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่ใช้ฝิ่น โดยผู้ป่วยที่ติดฝิ่นจะใช้ฝิ่นเพื่อการรักษาทันทีที่รับรู้ว่ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้นกับตนเอง โดยเพิ่มปริมาณฝิ่นมากกว่าที่ใช้เดิม ส่วนผู้ป่วยที่ใช้ฝิ่นชั่วคราว จะเลือกใช้ฝิ่นรักษาเยียวยาจนกว่าอาการของโรคจะหายไป เมื่อหายแล้วก็จะหยุดใช้ฝิ่นทันที (หน้า 94-99) วิธีการรักษาตนเองด้วยฝิ่นมี 3 วิธีคือ (1.) การสูบแบ่งเป็นการสูบโดยไม่ผสมยาหรือสารประกอบอื่นๆ สูบโดยผสมกับยาแก้ปวด และสูบโดยผสมกับสมุนไพรพื้นบ้าน (2.) การถุน เป็นวิธีการซึ่งผู้ป่วยที่ใช้ฝิ่นชั่วคราวนิยมใช้มากที่สุด (3.) การใช้เป็นยาภายนอกด้วยการทานวดประคบและใช้อาบ ใช้กวาดคอ กวาดก้น ตลอดจนรมในบริเวณที่มีอาการผิดปกติ เช่น ตาแดง เป็นต้น ปริมาณที่ใช้ขึ้นอยู่กับอาการ (หน้า 139-144) แบบแผนพฤติกรรมการรักษาเยียวยาตนเองด้วยฝิ่นมี 5 แบบ ได้แก่ (1.) แบบแผนการใช้ฝิ่นโดยตลอดการเจ็บป่วยครั้งหนึ่งๆ ได้แก่ อาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ เช่น ปวดหัว ตัวร้อน ท้องเสีย (2.) แบบแผนการใช้ฝิ่นไปสู่การรักษาตนเองแบบไม่ใช้ยา คือ เมื่อรักษาอาการด้วยการใช้ฝิ่นในขั้นแรกแล้วอาการป่วยยังไม่หาย ผู้ป่วยก็จะมีพฤติกรรมการรักษาตนเองด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น อดทนรอดูอาการ การระมัดระวังเรื่องพฤติกรรมการกินอาหาร ดื่มน้ำและของแสลงต่างๆ (3.) แบบแผนการใช้ฝิ่นไปสู่ระบบการแพทย์พื้นบ้าน โดยไปรับการรักษาจากหมอคาถา หมอสมุนไพร ผู้ให้การรักษาในคลินิกเอกชนและหมอผี การเปลี่ยนวิธีการรักษาขึ้นอยู่กับความเชื่อเรื่องสาเหตุของการเกิดโรค ผสมผสานกับความรู้และประสบการณ์ในการรักษาเยียวยาของผู้ป่วย (4.) แบบแผนการใช้ฝิ่นไปสู่ระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน ได้แก่ อาการป่วยระดับรุนแรงหรือเฉียบพลัน คือ เมื่อใช้ฝิ่นแล้วอาการไม่ดีขึ้นจึงไปหาแพทย์แผนใหม่ การใช้ฝิ่นก่อนก็เพื่อบรรเทาอาการให้ผู้ป่วยอยู่ในระดับที่จะสามารถทนได้ก่อนไปถึงแพทย์ (5.) แบบแผนการผสมผสานระหว่างการใช้ฝิ่น พฤติกรรมการรักษาตนเอง การแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์พื้นบ้านเข้าด้วยกัน ได้แก่ โรคเรื้อรังต่างๆ เช่น กลุ่มอาการผิดปกติของกระเพาะอาหาร โรคปอด และโรคหัวใจ ปัจจัยที่สำคัญคือ ระดับความรุนแรงของโรค เช่น หากผู้ป่วยใช้ฝิ่นแล้วไม่หาย ผู้ป่วยก็จะระวังเรื่องอาหาร แต่ถ้าประเมินแล้วว่า อาการป่วยอยู่ในระดับรุนแรงเกินกว่าจะรักษาเยียวยาตนเอง ก็จะไปรับการรักษาจากแพทย์แผนปัจจุบันควบคู่ไปด้วย โดยผู้ป่วยอาจมีความต้องการให้หมอผีหรือหมอคาถารักษาด้วยเพื่อผลทางด้านจิตใจ (หน้า 145-147) ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการใช้ฝิ่นของผู้ป่วยม้ง ได้แก่ (1.) ความเชื่อเกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดโรค โดยโรคที่คาดหวังว่าฝิ่นสามารถช่วยรักษาเยียวยาได้คือโรคที่มีสาเหตุจากการมีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย เพราะม้งเชื่อมั่นว่า ฝิ่นเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่มีคุณสมบัติช่วยในการระงับความเจ็บปวด และฆ่าเชื้อโรคอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวและคุ้นเคยมานาน (หน้า 148) (2.) ระดับความรุนแรงของอาการ ในอาการป่วยเล็กน้อย ฝิ่นสามารถรักษาให้หายขาดได้โดยไม่ต้องรักษาด้วยวิธีอื่น ส่วนอาการระดับปานกลาง ผู้ป่วยมักใช้ฝิ่นควบคู่ไปกับการรับการรักษาจากคลินิกเอกชนหรือจากโรงพยาบาล ส่วนอาการระดับรุนแรง ไม่พบว่าผู้ป่วยยังคงใช้ฝิ่นรักษา แต่จะตรงไปรับการรักษาจากสถานบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขของรัฐทันที บางรายมีการ “อั้วเน้ง” ควบคู่ไปด้วย (หน้า 150-151) (3.) ประสบการณ์เคยป่วยและการเคยใช้ฝิ่นเพื่อการรักษาเยียวยาแล้วได้ผล ก็จะมีการจดจำวิธีการและปริมาณที่ใช้ในครั้งก่อนมาใช้อีก (หน้า 151) (4.) ฐานะทางเศรษฐกิจ พบว่าผู้ป่วยที่ใช้ฝิ่นในการรักษาส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ผู้ป่วยประเมินแล้วว่าการใช้ฝิ่นเป็นวิธีการที่สะดวก หาง่าย เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายเมื่อไปรับบริการจากสถานบริการของรัฐ (หน้า 151) (5.) การรับรู้ต่อวิธีการรักษา คือ เมื่อใช้ฝิ่นแล้วหาย ก็จะรับรู้และเลือกใช้ฝิ่นอีกเมื่อมีอาการเช่นเดิม (หน้า 152) (6.) การศึกษา ผู้ป่วยที่ใช้ฝิ่นในการรักษาส่วนใหญ่เป็นผู้ไม่รู้หนังสือ ขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเรื่องอันตรายและโทษภัยของการใช้ฝิ่นในกการรักษาจนเกิดอาการเสพติดในที่สุด (หน้า 152) (7.) การได้รับคำแนะนำวิธีการรักษาเยียวยาจากสมาชิกในครอบครัว โดยผู้ป่วยที่ใช้ฝิ่นในการรักษาตนเองส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในครัวเรือนที่มีผู้เสพฝิ่นอาศัยอยู่ด้วย และสมาชิกก็เป็นผู้แนะนำให้ใช้ฝิ่นในการรักษา (หน้า152-153) ส่วนกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่ใช้ฝิ่นในการรักษา จะแสวงหาการรักษาเยียวยาด้วยวิธีอื่น โดยในความเจ็บป่วยระดับความรุนแรงน้อย ผู้ป่วยมักพยายามรักษาตนเองก่อน ต่อเมื่อการรักษานั้นๆ ไม่ได้ผลหรืออาการป่วยมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงขึ้น จึงจะแสวงหาการรักษาแบบอื่นๆ ต่อไป ไม่พบว่าจะไปรับการบริการจากสถานบริการของรัฐ ส่วนอาการเจ็บป่วยปานกลางและรุนแรง ผู้ป่วยมีแนวโน้มที่จะไปรับบริการจากสถานบริการของรัฐมากขึ้นในกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่ใช้ฝิ่น (หน้า 95-104) นอกจากนี้ พฤติกรรมการรักษาเยียวยาของม้งที่เจ็บป่วยยังแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ คือ ระดับครอบครัวซึ่งมีบทบาทในการประเมินและกำหนดความหมายของอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น ให้การรักษาขั้นพื้นฐาน เลือกแหล่งรักษา และรักษาเยียวยาตามแหล่งที่ให้การรักษาต่างๆ กำหนด รวมถึงประเมินผลการรักษาและกำหนดความหมายการหายของอาการป่วย ระดับครัวเรือนหรือแซ่ตระกูล ในกรณีที่สมาชิกในครัวเรือนไม่มีความรู้หรือประสบการณ์ต่ออาการผิดปกติที่เกิดขึ้น เครือญาติของผู้ป่วยก็จะบอกเล่าอาการต่อๆ กันไปในหมู่สมาชิกในแซ่ตระกูลเดียวกัน โดยมีผู้อาวุโสประจำตระกูลเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ และระดับชุมชน เช่น ร้านขายยา คลินิก โรงพยาบาล เป็นต้น (หน้า 104-112) 5.) การประเมินผลการรักษาเยียวยา โดยตัวผู้ป่วยเอง สมาชิกในครัวเรือนและเพื่อนบ้านที่อยู่ในแซ่ตระกูลเดียวกันเป็นผู้ประเมิน ซึ่งมีเกณฑ์ในการพิจารณาคือ พฤติกรรมของผู้ป่วยกลับคืนสู่สภาวะปกติหรือใกล้เคียงปกติมากที่สุด ไม่มีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีอาการโรคแทรกซ้อนอื่นๆ สามารถทำงานได้ตามปกติ สำหรับวิธีการรักษาและแหล่งรักษาที่ทำให้ผู้ป่วยหายจากอาการป่วย จะมีการจดจำไว้เพื่อใช้ในการเจ็บป่วยครั้งต่อไป เช่น การจำชื่อยา เก็บกล่องยา หรือฉลากยาไว้ จดจำลักษณะของยา เก็บสมุนไพรไว้โดยการตากแห้ง เป็นต้น (หน้า 124-128) สำหรับผลกระทบที่ตามมาจากการใช้ฝิ่นในการรักษาเยียวยา ได้แก่ 1.) ผลทางด้านเศรษฐกิจของผู้เสพฝิ่นและครอบครัว พบว่าการที่ม้งที่ใช้ฝิ่นส่วนใหญ่มีฐานะยากจนทำให้มีอำนาจการซื้อฝิ่นต่ำ จึงต้องซื้อปลีกเป็นคราวๆ โดยนิยมซื้อกันในปริมาณครั้งละ 1 สลึง ราคาสลึงละ 30 บาท และจะใช้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดจึงขวนขวายหาเงินไปซื้ออีก ซึ่งฝิ่น 1 สลึงในผู้ป่วยที่เสพติดจะใช้นาน ประมาณ 1 วัน ส่วนในรายที่ใช้ฝิ่นชั่วคราว สามารถใช้ได้นาน 1-3 วัน และพบว่าผู้เสพฝิ่นชั่วคราวจำนวนไม่น้อยเพียงแต่ขอยืมฝิ่นและอุปกรณ์การสูบมาจากสมาชิกในครัวเรือนคนอื่นๆ ที่เคยใช้ฝิ่น ดังนั้น ต้นทุนค่าใช้จ่ายจึงมีค่าเป็นศูนย์ แต่ก็มีผู้ป่วยบางรายที่ประกอบอาชญากรรมลักขโมย ชิงทรัพย์นักท่องเที่ยวที่ผ่านไปมาด้วย (หน้า 155-159) 2.) ผลทางด้านสังคมของผู้ที่ใช้ฝิ่น โดยมีองค์ประกอบหลายประการที่สัมพันธ์กับการที่ผู้ป่วยจะได้รับการยอมรับนับถือตลอดจนการปฏิบัติตอบของสมาชิกในสังคม ได้แก่ ผู้อาวุโสที่เสพฝิ่นจะได้รับการนับถือมากกว่าวัยแรงงานหรือวัยรุ่น เพราะการเสพฝิ่นทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถกระทำพฤติกรรมที่เคยทำได้ตามปกติ และยังเป็นภาระในการเลี้ยงดู ส่วนเพศชายที่เสพฝิ่นจะได้รับการยอมรับมากกว่าผู้หญิงที่เสพฝิ่น เนื่องจากผู้ชายใช้ฝิ่นเป็นยาแก้ปวดเมื่อยจากการทำงานหนักในไร่นา ส่วนผู้หญิงไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะใช้ฝิ่น ส่วนผู้ป่วยที่ใช้ฝิ่นที่อยู่ในแซ่ตระกูลใหญ่ โดยเฉพาะแซ่ตระกูลที่มีส่วนสำคัญในการก่อตั้งชุมชน จะได้รับการยอมรับนับถือมากกว่าผู้เสพฝิ่นที่อยู่ในแซ่ตระกูลเล็กและอพยพเข้ามาอยู่ภายหลัง 3.) ผลทางด้านสุขภาพอนามัยของผู้ที่ใช้ฝิ่น ผลทางด้านลบทำให้เกิดการเสพติดฝิ่น สุขภาพทรุดโทรม อ่อนเพลีย ไม่มีแรงประกอบอาชีพ เกิดอาการแทรกซ้อนอื่นๆ ฤทธิ์ของฝิ่นทำให้ผู้ป่วยเข้าใจผิดคิดว่าโรคหาย เกิดการชะลอ และไม่แสวงหาการรักษาที่เหมาะสมทำให้โรคที่เป้นอยู่ทวีความรุนแรงจนยากแก่การรักษาหรือผู้ป่วยอาจเสีย ชีวิต เกิดอาการผิดปกติทางอารมณ์ ขาดเหตุผล ไม่มีสติ ทำให้เกิดอาการแพ้ ท้องผูกได้ ผลทางด้านบวกคือ ฝิ่นช่วยบรรเทาความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่เกิดจากอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นก่อนผู้ป่วยจะถึงมือแพทย์ ช่วยบำบัด รักษาอาการป่วยในระดับเล็กน้อยให้หายขาดได้โดยไม่ต้องแสวงหาการรักษาวิธีอื่น ช่วยรักษาอาการป่วยไม่ให้ลุกลาม หรือติดเชื้อจนกลายเป็นอาการป่วยระดับรุนแรง และช่วยให้เกิดกำลังใจ ลดความกังวลในดรคที่กำลังเผชิญอยู่ (หน้า 162-166)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกายของม้งในชุมชนยิ้งได้รับอิทธิพลจากชาวไทยพื้นราบอย่างกว้างขวาง โดยปกติในชีวิตประจำวันจะพบชาวม้งที่แต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายประจำเผ่าน้อยลงมาก ยกเว้นในช่วงงานเทศกาลสำคัญๆ เช่น วันปีใหม่ หรืองานแต่งงาน ตลอดจนในช่วงฤดูการท่องเที่ยวที่ชาวต่างชาติเข้ามาเที่ยวชมสภาพความเป็นอยู่ภายในชุมชนและซื้อสินค้าที่ระลึกจากกลุ่มแม่บ้าน (หน้า 50)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ตาราง : 1) จำนวนสถานพยาบาลทั่วประเทศและจำนวนผู้ติดยาเสพติดที่ขอเข้ารับการบำบัดรักษาในช่วงปีงบประมาณ 2525 – 2529 หน้า 2 2) ประชากรที่ศึกษาและวิธีเก็บรวบรวมข้อมูล หน้า 36 3) แผนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ประจำสถานีอนามัย หน้า 63 4) แหล่งบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขภายนอกชุมชน หน้า 64 5) คำหรือภาษาที่ผู้ป่วยใช้เรียกอาการผิดปกติและอาการที่ปรากฏ หน้า 72 6) คำหรือภาษาที่ชาวม้งซึ่งเจ็บป่วยใช้เรียกอาการผิดปกติในระดับเล็กน้อย ปานกลาง และรุนแรง หน้า 82 7) เกณฑ์ที่ผู้ป่วยใช้ในการประเมินระดับความรุนแรงของอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น หน้า 84 8) ลักษณะข้อมูลพื้นฐานของผู้ป่วยที่ใช้ฝิ่นในการรักษาเยียวยาตนเองจำนวน 100 คน หน้า 95 9) พฤติกรรมการรักษาเยียวยาของกลุ่มผู้ป่วยที่ใช้ฝิ่นเปรียบเทียบกับกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่ใช้ฝิ่นในการรักษาเยียวยา หน้า 100 10) รายชื่อยา ราคาและสรรพคุณของยาที่มีจำหน่ายในร้านขายยาในชุมชน หน้า 108 11) วิธีการรักษาและปริมาณฝิ่นที่ใช้ หน้า 142 12) มาตราวัดน้ำหนักฝิ่นของผู้เสพฝิ่นในชุมชนยิ้ง หน้า 156 13) ค่าใช้จ่ายจริงของผู้ป่วยที่ใช้ฝิ่นจำแนกตามระดับความรุนแรงของโรค หน้า 157 14) ค่าใช้จ่ายโดยประมาณของการรักษาเยียวยาตนเองแต่ละประเภทของผู้ป่วยชาวม้งที่ใช้ฝิ่น หน้า 159 15) ข้อมูลเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยที่พบในผู้ป่วยชาวม้งที่ใช้ฝิ่นเพื่อรักษาเยียวยาตนเองจำนวน 100 ราย หน้า 163 16) วิธีคิดและวิธีปฏิบัติของชาวม้งที่เจ็บป่วยเกี่ยวกับการรักษาเยียวยาตนเอง จำแนกตามผลของพฤติกรรมที่มีต่อสุขภาพ หน้า 171 ภาพ : 1) ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งเหนือธรรมชาติ หน้า 15 2) กระบวนการแสวงหาการรักษาเยียวยา หน้า 24 3) แผนผังภายในบ้านม้งขาว หน้า 55 4) การประเมินผลการรักษาเยียวยาอาการเจ็บป่วยของชาวม้ง หน้า 125

Text Analyst นันทนิตย์ อนุศาสนะนันทน์ Date of Report 04 ต.ค. 2567
TAG ม้ง, ฝิ่น, การรักษาโรค, เพชรบูรณ์, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง