สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลื้อ,บทสู่ขวัญ,พิธีสู่ขวัญ,น่าน
Author สมพงษ์ จิตอารีย์
Title การศึกษาบทสู่ขวัญและพิธีสู่ขวัญของชาวไทลื้อ อำเภอปัว จังหวัดน่าน
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text -
Ethnic Identity ไทลื้อ ลื้อ ไตลื้อ, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยา สิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 196 Year 2545
Source หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาและวรรณกรรมล้านนา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

ผู้เขียนพบว่า ในชุมชนไทลื้อทั้ง 3 หมู่บ้าน ปรากฏพิธีสู่ขวัญทั้งหมด 8 พิธี โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ประเภทแรกเป็นพิธีสู่ขวัญสำหรับบุคคล ซึ่งมีทั้งหมด 6 พิธี แบ่งเป็นกลุ่มย่อยได้ 3 กลุ่ม คือ
1.) พิธีสู่ขวัญในพิธีเปลี่ยนผ่าน ได้แก่ พิธีสู่ขวัญนาค พิธีสู่ขวัญสามเณร พิธีสู่ขวัญคู่บ่าวสาว และพิธีสู่ขวัญบุคคลที่จะจากถิ่น
2.) พิธีสู่ขวัญเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล
3.) พิธีสู่ขวัญสำหรับบุคคลสำคัญในชุมชน และประเภทที่สอง เป็นพิธีสู่ขวัญสำหรับสัตว์และพืชในการเกษตร ได้แก พิธีสู่ขวัญควาย และพิธีสู่ขวัญข้าว (หน้า 142)

บทบาทและหน้าที่ของพิธีสู่ขวัญ ได้แก่ เป็นสิ่งที่ตอบสนองความต้องการด้านจิตใจ สร้างขวัญกำลังใจและความเชื่อมั่น เป็นการสร้างความสัมพันธ์ ความสามัคคี การรวมพลังให้ชุมชนเป็นปึกแผ่น เป็นกระบวนการขัดเกลาทางสังคม ปลูกฝังค่านิยม และพฤติกรรมทางจริยธรรมที่จะทำให้มีชีวิตที่ดี และพิธีสู่ขวัญทำให้เกิดความสืบเนื่อง และความมั่นคงทางวัฒนธรรม (หน้า 130-141, 145)

Focus

เป็นการศึกษาวิเคราะห์บทสู่ขวัญ บทบาทและหน้าที่ของพิธีสู่ขวัญในบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของไทลื้อ อำเภอปัว จังหวัดน่าน

Theoretical Issues

ผู้เขียนใช้ทฤษฎีการหน้าที่นิยม (Functionalism) ใช้ศึกษาวิเคราะห์บทบาทและหน้าที่ของพิธีสู่ขวัญของไทลื้อ โดยศึกษาสาเหตุ ความจำเป็นของการจัดพิธีสู่ขวัญ ผลกระทบของพิธีกรรมที่มีต่อสังคมทั้งในระดับปัจเจกบุคคล และสังคมส่วนรวม เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ถึงความคงอยู่ของพิธีกรรมในสังคมไทลื้อ อำเภอปัวในปัจจุบัน (หน้า 10)หน้าที่ของพิธีสู่ขวัญที่ผู้เขียนพบคือ เป็นสิ่งที่ตอบสนองความต้องการด้านจิตใจ สร้างขวัญกำลังใจและความเชื่อมั่น สร้างความสัมพันธ์ ความสามัคคี การรวมพลังให้ชุมชนเป็นปึกแผ่น เป็นกระบวนการขัดเกลาทางสังคม ปลูกฝังค่านิยมและพฤติกรรมทางจริยธรรมที่จะทำให้มีชีวิตที่ดี ได้แก่ การรักพวกพ้อง การมีศิลปะ การมีสัมมาคารวะ ความเสียวละ การนับถือบรรพบุรุษและความเชื่อเรื่องผี และรักความสนุกสนาน พิธีสู่ขวัญทำให้เกิดความสืบเนื่องและความมั่นคงทางวัฒนธรรม (หน้า 130-141)

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มชาติพันธุ์ไทลื้อที่อยู่ในหมู่บ้านเก็ต บ้านเฮี้ย บ้านตีนตก อำเภอปัว จังหวัดน่าน

Language and Linguistic Affiliations

ไม่ได้กล่าวถึงภาษาพูดในชีวิตประจำวันของไทลื้อ แต่กล่าวถึงภาษาที่ใช้ในพิธีกรรม คือ ภาษาบาลี ภาษาไทลื้อกลาง และภาษาไทลื้อ

Study Period (Data Collection)

ตุลาคม 2543 - พฤศจิกายน 2544 (หน้า 10)

History of the Group and Community

ชาวบ้านเก็ตที่มีเชื้อสายไทลื้อ อพยพมาจากเมืองเลน เมืองเชียงรุ่งประมาณพ.ศ.2330-2345 ครอบครัวสุดท้ายอพยพเข้ามาเมื่อประมาณหนึ่งร้อยปีก่อน (หน้า 22) ส่วนบรรพบุรุษของชาวบ้านเฮี้ย เป็นไทลื้อที่อพยพมาจากเมืองเชียงรุ่ง เมืองเงิน เมืองยอง เมืองเลน และเมืองพวน ต่อมาได้อพยพมาตั้งหมู่บ้านใหม่ใกล้กับถนนใหญ่เมื่อปีพ.ศ. 2513 นำโดยพ่อน้อย เมืองดี ปรีดาวงค์ เนื่องจากประชากรเพิ่มมากขึ้น และมีการสร้างถนนใหญ่ผ่านพื้นที่บนดอยเหนือหมู่บ้าน (หน้า 23) ชาวบ้านตีนตกเป็นเชื้อสายของไทลื้ออีกกลุ่มหนึ่งที่มีบรรพบุรุษมาจากเชียงรุ่ง แคว้นสิบสองพันนา โดยมีชาวบ้านบางส่วนอพยพขึ้นมาตั้งบ้านเรือนใกล้ถนนใหญ่ หลังจากที่มีการตัดถนนใหญ่ผ่านเหนือหมู่บ้าน (หน้า 24) การอพยพและตั้งถิ่นฐานของชาวไทลื้อในเมืองน่านเป็นกระบวนการที่เกิดอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีตอันยาวนาน ทั้งในรูปของการถูกกวาดต้อนและด้วยความสมัครใจ (หน้า 19)

Settlement Pattern

ไม่มีข้อมูล

Demography

บ้านเก็ตมี 196 ครัวเรือน 206 ครอบครัว มีประชากร 1,016 คน (หน้า 21) ส่วนบ้านเฮี้ยมีจำนวน 135 ครัวเรือน ประชากร 606 คน (หน้า 22-23) และหมู่บ้านตีนตกมี 152 ครัวเรือน ประชากร 677 คน

Economy

ชาวบ้านไทลื้อทั้ง 3 หมู่บ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนาเป็นอาชีพหลัก หลังฤดูเก็บเกี่ยวก็ปลูกพืชหมุนเวียน เช่น กระเทียม พริก ข้าวโพด เป็นต้น และยังมีการทอผ้าลายลื้อเป็นอาชีพเสริม โดยบ้านเฮี้ยและบ้านตีนตกได้รวมกลุ่มแม่บ้านทอผ้าขึ้นด้วย (หน้า 22-24)

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

ผู้เขียนกล่าวถึงเฉพาะพิธีสู่ขวัญ ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่มีการผสมผสานระหว่างพุทธศาสนา ลัทธิพราหมณ์ และความเชื่อดั้งเดิมจนเป็นระบบเดียวกัน (หน้า 128) โดยบทบาทและหน้าที่ของพิธีสู่ขวัญนั้นมีผลต่อระบบเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของชุมชน (หน้า 146) การศึกษาพิธีสู่ขวัญในครั้งนี้ ผู้เขียนได้ข้อมูลรายละเอียดมาจากวิทยากรที่เป็นหมอขวัญประจำหมู่บ้าน ซึ่งประกอบด้วยอาจารย์วัดหรือผู้ประสานงานเกี่ยวกับพิธีสงฆ์ในวัด และหมอขวัญทั่วไปในแต่ละหมู่บ้าน โดยบ้านเก็ตมีอาจารย์วัดใน 1 คน หมอขวัญ 4 คน บ้านเฮี้ยมีอาจารย์วัด 1 คน หมอขวัญ 2 คน บ้านตีนตกมีอาจารย์วัด 1 คน หมอขวัญ 1 คน หมอขวัญส่วนใหญ่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมักจะเป็นผู้ที่เคยบวชเรียนมาแล้ว (หน้า 25-32) ประเภทของพิธีสู่ขวัญที่จำแนกตามจุดมุ่งหมาย และลักษณะการประกอบพิธีกรรม สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ได้แก่ พิธีสู่ขวัญสำหรับบุคคล มีทั้งหมด 6 พิธี จัดเป็นกลุ่มย่อยได้ 3 กลุ่ม คือ 1.) พิธีสู่ขวัญในพิธีเปลี่ยนผ่าน นิยมปฏิบัติในช่วงที่เกิดวิกฤติการณ์ของชีวิต หรือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตมี 4 พิธี ได้แก่ (1.1) พิธีสู่ขวัญนาค เรียกว่า “พิธีสู่ขวัญลูกแก้ว” มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้กำลังใจแก่ผู้บวช ให้บุตรสำนึกบุญคุณบิดามารดา และได้แสดงความกตัญญู เตือนสติผู้ที่จะเปลี่ยนสถานภาพจากฆราวาสไปสู่สมณเพศว่าควรปฏิบัติตนให้เหมาะสมอย่างไร และชี้ให้เห็นว่าตนกำลังทำหน้าที่สืบทอดพระศาสนา (หน้า 82) เครื่องประกอบพิธี คือ ขันตั้งอาจารย์ที่ใส่หมากแห้ง 1 หัว ใบพลูสด 1 มัด (นิยมเรียกว่า “หมายไหมพลูแหลบ) ขันบายศรี และพานใส่ผ้าไตรจีวร (หน้า 40-43) (1.2) พิธีสู่ขวัญสามเณรในโอกาสที่จะอุปสมบทเปลี่ยนฐานะเป็นพระภิกษุ หรือ “ธุเจ้า” มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงความยินดีที่วัดของหมู่บ้านจะมีพระผู้สืบทอดพระศาสนาเพิ่มอีกหนึ่งรูป เป็นการอวยชัยให้พร เพื่อความเป็นสิริมงคล (หน้า 83) เครื่องประกอบพิธีได้แก่ ขันตั้งอาจารย์ที่ไม่ใส่สุรา ขันบายศรีนมแมว 3 ชั้นใส่ผ้าจีวร 1 ผืน และเครื่องป้อนขวัญคือ กล้วยสุก 2 ผล (หน้า 44-48) (1.3) พิธีสู่ขวัญคู่บ่าวสาว มีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการเตือนสติผู้ได้รับการสู่ขวัญว่ากำลังมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับชีวิต เพื่อสู่ชีวิตอีกแบบ และสั่งสอนให้สามีภรรยารู้จักหน้าที่ของแต่ละฝ่ายและให้ทั้งคู่รู้จักถนอมน้ำใจซึ่งกันและกัน และมีความอดทน (หน้า 84) เครื่องประกอบพิธี ได้แก่ ขันตั้งอาจารย์จะใส่ไว้ในขันหรือสลุงที่กะทัดรัด พานสินสอน พานใส่ด้ายมงคล และขันบายศรี พานและขันที่ใช้ในพิธีมักใช้เครื่องเงินเครื่องทอง เพื่อความสิริมงคลแก่คู่บ่าวสาว มีการตกแต่งอย่างสวยงาม เครื่องป้อนขวัญคู่บ่าวสาวคือ ไก่ต้ม 1 คู่ และกล้วยสุก 2 ผล (หน้า 48-51) (1.4) พิธีสู่ขวัญบุคคลที่จะจากถิ่น มักจัดช่วงหลังเสร็จสิ้นเทศกาลสงกรานต์ เพราะสมาชิกของแต่ละครอบครัวจะกลับมาเยี่ยมบ้าน คารวะดำหัวผู้เฒ่าผู้แก่ และร่วมฉลองวันสงกรานต์ ก่อนที่ลูกหลานจะเดินทางกลับไปต่างถิ่นพ่อแม่ญาติพี่น้องจะประกอบพิธีสู่ขวัญให้ นอกจากนี้ช่วงระยะเวลาเสร็จสิ้นฤดูทำนา ก็เป็นอีกช่วงที่บุคคลในหมู่บ้านจะออกไปหางานทำในต่างถิ่นเป็นเวลานาน ญาติพี่น้องนิยมประกอบพิธีสู่ขวัญให้เพื่อให้กำลังใจ ความอบอุ่นใจแก่ผู้เดินทาง ให้มีขวัญและกำลังใจที่ดี ปราศจากเคราะห์ร้ายต่างๆ มีความปลอดภัยในการเดินทาง และให้มีความสุขความเจริญในหน้าที่การงาน (หน้า 85) เครื่องประกอบพิธี ได้แก่ ขันตั้งอาจารย์ที่ใส่เพียงเทียน ดอกไม้ เงินค่าครู และเหล้าขาว ขันบายศรีที่จัดทำอย่างง่ายๆ ใส่เสื้อของผู้รับการสู่ขวัญไว้ และมีไก่ต้มเป็นเครื่องเสวย (หน้า 51-54) 2.) พิธีสู่ขวัญเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล ได้แก่ พิธีสู่ขวัญคนเจ็บไข้ เป็นพิธีที่นิยมปฏิบัติมากที่สุด มีการประกอบเกือบทุกวัน เนื่องจากโรคภัย ความเจ็บป่วยและอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันนั้นมีทุกวัน เมื่อบุคคลใดเจ็บป่วยหลังจากได้รับการรักษาพยาบาลจนอาการทุเลาลง ญาติพี่น้องจะประกอบพิธีสู่ขวัญให้เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจทำให้ผู้ป่วยมีสุขภาพจิตดี เกิดกำลังใจที่จะต่อสู้กับความเจ็บไข้ให้หายเป็นปกติเร็วยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ต้องมีการเลือกวันที่เหมาะสม คือต้องเป็นวันฤกษ์ดี ไม่ตรงกับวันอัปมงคลตามตำราโหราศาสตร์ที่ยึดถือต่อๆ กันมา ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “วันเสีย” ลักษณะการประกอบพิธีแบ่งเป็น 3 ประเภทตามลักษณะเครื่องเสวย ได้แก่ (2.1) การสู่ไก่ คือการใช้ไก่ต้มเป็นเครื่องเสวยในขันบายศรี บุคคลที่สมควรสู่ไก่จะเป็นผู้ที่มีครอบครัว ผู้สูงอายุ ผู้ที่เป็นที่นับถือของชุมชน ผู้ที่ผ่านการบวชพระมาแล้ว และมีขันตั้งอาจารย์ที่ใส่หมาก 1 หัว พลู 1 แหลบเป็นหลัก (2.2) การสู่กล้วย คือ ใช้กล้วยสุกเป็นเครื่องเสวยในขันบายศรี เป็นการประกอบพิธีสู่ขวัญขนาดเล็ก นิยมจัดให้เด็กหรือผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ก็มีผู้สูงอายุบางคน หรือผู้ที่ผ่านการบวชเณรมาแล้วก็ยังนิยมสู่กล้วยด้วยเหตุผลส่วนตัวของแต่ละคน การสู่กล้วยไม่นิยมเย็บบายศรี จึงไม่มีขันตั้งอาจารย์ แต่จะจัดจานใส่ดอกไม้ เทียนและเงินขันตั้งรวมไว้ในขันบายศรี (2.3) การสู่ทั้งไก่และกล้วย คือใช้ไก่ต้ม 1 คู่ กล้วยสุก 2 ผลเป็นเครื่องเสวยในขันบายศรี เป็นการเสริมพิธีสู่ไก่ให้มีเครื่องเสวยครบทุกประเภทเพื่อให้ขวัญมีความชื่นชมยินดียิ่งขึ้น (หน้า 55-56) การจัดเตรียมขันตั้งอาจารย์ในพิธีสู่ขวัญคนเจ็บไข้มี 2 ลักษณะคือ การจัดตั้งขันอาจารย์ไว้นอกขันบายศรี โดยจะขันตั้งอาจารย์ใส่ในพาน สลุงหรือชามมีเครื่องขันตั้งประกอบด้วยหมาก 1 หัว พลู 1 แหลบ ฮำขาว ฮำแดงอย่างละ 1 ผืน ดอกไม้ เทียน เงินค่าขันตั้ง และเหล้าขาว 1 ขวด ก่อนจะเริ่มพิธีต้องมีการยกขันตั้งและเมื่อเสร็จพิธีต้องมีการปลดขันตั้งทุกครั้ง และการจัดขันตั้งอาจารย์อีกลักษณะหนึ่งคือการจัดไว้ในขันบายศรี โดยจัดเตรียมไว้ในถาดหรือกระด้ง ไม่มีการเย็บบายศรี และเจ้าภาพจะนำของใช้ของบริโภค เสื้อผ้าของผู้รับการสู่ขวัญมาจัดไว้ในขันบายศรี ตกแต่งด้วยดอกไม้ และเทียน ส่วนขันตั้งอาจารย์ประกอบด้วยดอกไม้ และเทียน 4 คู่ เงินค่าครู 12 บาท (อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้แล้วแต่ศรัทธาของเจ้าภาพ) จัดใส่ไว้ในจาน แล้วนำไปวางในขันบายศรี เมื่อเสร็จพิธีหมอขวัญจะหยิบเงินค่าครู เทียน และดอกไม้เก็บไว้โดยไม่ต้องปลดขันแต่อย่างใด (หน้า 56-59) 3.) พิธีสู่ขวัญสำหรับบุคคลสำคัญในท้องถิ่น ได้แก่ พิธีสู่ขวัญผู้ใหญ่บ้าน กรรมการ อาจารย์วัด บุคคลเหล่านี้เป็นผู้ที่คอยช่วยเหลือชาวบ้าน ดังนั้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ชาวบ้านจึงประกอบพิธีคารวะดำหัวและสู่ขวัญให้ เป็นการให้กำลังใจ แสดงความขอบคุณที่เสียสละแก่ส่วนรวม เป็นการพบปะสังสรรค์ สร้างความสามัคคีในชุมชน และอวยพรให้ผู้ใหญ่บ้าน กรรมการ อาจารย์วัดมีความสุข ปราศจากโรคภัยเคราะห์ร้ายต่างๆ (หน้า 86-87) นิยมประกอบพิธีหลังวันสงกรานต์ระหว่างวันที่ 16-18 เมษายนของทุกปี เครื่องประกอบพิธี ได้แก่ ขันตั้งอาจารย์ ขันบายศรี ใช้เครื่องป้อนขวัญทั้งไก่ต้ม 1 คู่และกล้วยสุก 2 ผล ไม่ใส่เสื้อผ้าของเจ้าของขวัญเพราะทำพิธีพร้อมกันหลายคน และเพิ่มสลุงใส่น้ำอบน้ำหอมเพื่อทำพิธีคารวะดำหัว (หน้า 60-64) พิธีสู่ขวัญสำหรับสัตว์และพืชในการเกษตร 1.) พิธีสู่ขวัญควาย จัดขึ้นเพื่อขอขมาควายที่ตนได้ดุด่าทุบตีขณะใช้งาน และเป็นการยกย่องบุญคุณควายที่ช่วยมนุษย์ทำนา (หน้า 87) จะเริ่มประกอบพิธีหลังจากชาวนาหรือเจ้าของควายเสร็จจากการทำนา ได้ปลูกข้าวกล้าเรียบร้อยแล้ว โดยเลือกวันที่ดีที่เป็นมงคลตามคติความเชื่อของล้านนาไทยเป็นวันประกอบพิธี เครื่องประกอบพิธี ได้แก่ ขันบายศรีซึ่งมี 2 ลักษณะ คือ มีทั้งบายศรีนมแมว นิยมใช้กับเจ้าภาพที่มีที่นามาก ใช้แรงงานควายหลายตัว มีเพื่อนบ้านมาลงแขกจำนวนมากและอีกลักษณะคือ บายศรีใส่ในกระด้ง ในขันบายศรีเพิ่มเครื่องประกอบพิธีบางอย่าง ได้แก่ อาหารสำหรับควาย คือ ต้นกล้าข้าว 1 มัด ยอดใบไผ่ 1 มัด กระทงใส่ข้าวเปลือกข้าวสารอย่างละ 1 กระทง กระทงใส่น้ำส้มป่อย 1 กระทง กรวยดอกไม้ครบตามจำนวนควาย ใช้ตัวละ 2 กรวย เชือกสำหรับผูกโยงจากเสาหรือหลักที่ผูกควายมายังขันบายศรี ขันทำน้ำมนต์ใส่น้ำประมาณ 1 ใน 3 ใบหนาด 4-5 ใบมัดรวมกันใช้คนน้ำมนต์ เพื่อไล่เสนียดจัญไร ฝักส้มป่อยสำหรับใส่น้ำมนต์ กระทงใบตองสำหรับใส่เครื่องป้อนขวัญเท่ากับจำนวนควายที่เข้าพิธี และใช้ไก่ต้มเป็นเครื่องเสวย (หน้า 64-67) 2.) พิธีสู่ขวัญข้าว จัดขึ้นเพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ข้าวและเจ้าของ เป็นการเน้นให้เห็นถึงคุณค่าของข้าว และเพื่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์แก่ข้าวตลอดไป (หน้า 88) จะประกอบพิธีหลังจากเสร็จสิ้นฤดูเก็บเกี่ยว เจ้าของบ้านนำข้าวเปลือกมาเก็บไว้ในยุ้งฉางเรียบร้อยแล้ว เป็นพิธีสู่ขวัญขนาดเล็ก เตรียมเครื่องบายศรีไว้ในกระด้ง มีการเชิญเพื่อนบ้านญาติพี่น้องมาร่วมพิธี และทานอาหารร่วมกัน เครื่องประกอบพิธี ได้แก่ ผ้าดิบกว้างประมาณ 1 เมตร ความยาวประมาณ 5-6 เมตร ด้ายสายสิญจน์ม้วนใหญ่ ใช้พันล้อมยุ้งข้าว ต้นกล้วย ต้นอ้อย หมากผู้หมากเมีย กล้วยเครือพร้าวเครือ (กล้วยทั้งเครือ มะพร้าวทั้งทะลาย) ขันตั้งอาจารย์ ขันบายศรีเพิ่มจานใส่ดอกไม้ เทียน และกระทงใบตอง 2 ใบใส่น้ำและน้ำส้มป่อย เสื้อผ้าของเจ้าภาพชาย 1 ชุด หญิง 1 ชุด และเครื่องป้อนขวัญคือไก่ต้ม 1 คู่ และกล้วยสุก 2 ผล (หน้า 68-70) สัญลักษณ์ในพิธีกรรม ได้แก่ 1. เครื่องประกอบพิธีที่ใช้ในขันตั้งอาจารย์ ประกอบด้วย (1.) หมาก ใช้สำหรับต้อนรับแขกที่มาเยือนหรือมอบให้ผู้เฒ่าเป็นการให้เกียรติและแสดงความเคารพนับถือ (2.) พลูมัด (พลู แหลบ) เป็นเครื่องเซ่นของไทลื้อในสมัยโบราณ ใช้สำหรับถวายเจ้านาย (ผีบรรพบุรุษ) โดยเฉพาะเสื้อบ้านเสื้อเมือง แสดงถึงความกตัญญูรู้คุณ (3.) ข้าวสารข้าวเปลือก เป็นสัญลักษณ์ของข้าวปลาอาหารที่อุดมสมบูรณ์ (4.) ผ้าขาวผ้าแดง (ฮำขาว ฮำแดง) ไม่มีใครสามารถอธิบายเหตุผลได้แน่ชัด ส่วนใหญ่บอกเพียงว่าเป็นการทำตามแบบอย่างประเพณีเดิม การตีความสัญลักษณ์จากสีจึงแตกต่างกันออกไป (5.) เทียนและดอกไม้ เทียนหมายถึงความเจริญผาสุก พลังแห่งการทำลาย (ความชั่วร้าย) และพลังแห่งการเพิ่มขึ้น (ในด้านดี) ดอกไม้เป็นสัญลักษณ์แห่งการก่อเกิดและความดี (6.) เหล้าขาว น่าจะเป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ เพราะคุณสมบัติของเหล้าคือทำให้เมาไม่ลือกเพศและวัย (7.) เงินค่าครูหรือเงินค่าขันตั้ง ถือเป็นสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าภาพ เพื่อแสดงความขอบคุณหมอขวัญ และจำนวน 32 บาท น่าจะเป็นผลมาจากคติความเชื่อว่าคนเรามี 32 ขวัญ สัตว์เลี้ยงและของอื่นๆ ที่ประกอบพิธีสู่ขวัญให้ ถือว่ามี 32 ขวัญ เช่นกัน จึงตั้งค่าครูให้เท่ากับจำนวนขวัญ (หน้า 70-73) 2. เครื่องประกอบพิธีที่ใช้ในบายศรี และเครื่องประกอบพิธีอื่นๆ ประกอบด้วย (1.) ข้าวเหนียว ไก่ต้ม และขนม เป็นการจัดเครื่องเสวยทั้งของคาวของหวานให้แก่ขวัญ แสดงถึงการดูแลเอาใจใส่ขวัญเป็นพิเศษ เพื่อให้ขวัญเกิดความประทับใจไม่หนีไปที่อื่น (2.) กล้วยสุก ใช้เป็นเครื่องป้อนขวัญในพิธีสู่ขวัญนาคและสามเณร โดยเชื่อว่า กล้วยเป็นอาหารบริสุทธิ์ สุกตามธรรมชาติไม่ผ่านการปรุงแต่ง จึงเหมาะสำหรับผู้รักษาศีล (3.) หมาก เมี่ยง บุหรี่ เป็นเครื่องต้อนรับแขกของคนโบราณ และแสดงถึงความกตัญญูต่อบุคคล (4.) น้ำ ในบทสู่ขวัญจะพรรณนาความบริสุทธิ์ของน้ำที่นำมาประกอบพิธีที่ตักมาจากบ่อน้ำของพระอินทร์ ดื่มแล้วให้ความชุ่มเย็นเป็นสิริมงคล และน้ำยังเป็นตัวแทนของแม่น้ำคงคาที่ใช้ลอยเคราะห์ ลอยบาปสิ่งเลวร้ายต่างๆ ให้ตกลอยไปกับกระแสน้ำ (5.) เสื้อผ้าของเจ้าของขวัญ โดยคนโบราณเชื่อว่า ขวัญของแต่ละคนจะติดอยู่กับเสื้อผ้า จึงต้องใส่เสื้อผ้าในขันบายศรี เพื่อเรียกขวัญมาอยู่ กระจก หวี กำไล สร้อยเป็นเครื่องตกแต่ง แสดงถึงความรักสวยรักงาม ขวัญออกจากร่างกายไปนั้นมีความรู้สึก มีความต้องการเช่นเดียวกับมนุษย์ ชอบการปลอบประโลมเอาใจเช่นกัน (6.) ด้ายดิบสำหรับผูกข้อมือ เชื่อว่าเมื่อผูกด้ายขวัญแล้ว ขวัญจะอยู่ติดตัวและป้องกันภยันตรายต่างๆ (7.) น้ำส้มป่อย คำว่า ป่อย คือการปลดปล่อยให้สิ้นไป เมื่อใช้ร่วมกับน้ำ คือ การชำระล้าง ขับไล่เสนียด และเป็นสัญลักษณ์ของความเย็นชุ่มฉ่ำ ความอุดมสมบูรณ์ (8.) กล้วยทั้งเครือ หน่อกล้วย เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ (9.) อ้อยทั้งลำ หน่ออ้อย เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ (10.) มะพร้าว เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ (11.) หมากผู้หมากเมีย เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ (หน้า 73-78)

Education and Socialization

การขัดเกลาทางสังคมของไทลื้อทั้ง 3 หมู่บ้านทำผ่านพิธีสู่ขวัญ โดยได้สอดแทรกจริยธรรม ศีลธรรม และค่านิยม ตลอดจนข้อคิดเตือนใจต่างๆ แทรกอยู่ในขั้นตอนต่างๆ ของพิธีสู่ขวัญ รวมถึงบทสู่ขวัญก็ยังมีเนื้อหาในเชิงเตือนสติ และสั่งสอนผู้ร่วมพิธีด้วย จึงถือได้ว่า พิธีสู่ขวัญเป็นกระบวนการขัดเกลาทางสังคมในทางอ้อม (หน้า 136-137)

Health and Medicine

ไทลื้อมีพิธีสู่ขวัญคนเจ็บไข้ โดยจะจัดพิธีหลังจากที่คนเจ็บไข้ได้รับการรักษาพยาบาลจนอาการเจ็บป่วยทุเลาลงบ้าง ญาติพี่น้องจะเป็นผู้ประกอบพิธีสู่ขวัญให้ เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ ทำให้ผู้ป่วยมีสุขภาพจิตดี เกิดกำลังใจที่จะต่อสู้กับความเจ็บไข้ให้หายเป็นปกติเร็วยิ่งขึ้น (หน้า 54, 130)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่มีข้อมูล

Folklore

ผู้เขียนกล่าวถึงที่มาของชื่อหมู่บ้านเก็ตว่า ในสมัยพุทธกาล ชาวบ้านเลื่อมใสพระพุทธเจ้าที่เสด็จมาแสดงเทศนาธรรมจึงสร้างเพิงเล็กๆ หลังคามุงด้วยไม้เค็ดหรือกิ่งไม้เล็กๆ หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดสัตว์โลกที่อื่น เพิงพักจึงถูกปล่อยทิ้งไว้ จนใบไม้ร่วงหมดเหลือเพียงกิ่งไม้เล็กๆ ชาวบ้านจึงเรียกชื่อหมู่บ้านแห่งนี้ว่า “บ้านเค็ต” แล้วจึงเพี้ยนเป็น “บ้านเก็ต” ในปัจจุบัน (หน้า 21) ส่วนชาวบ้านตีนตกก็เล่าที่มาของชื่อวัดของหมู่บ้านที่ก่อตั้งครั้งแรก บริเวณใกล้กับสบน้ำหรือจุดที่ลำห้วยหานกับลำน้ำกูนไหลมาพบกัน แล้วเกิดปัญหาน้ำเซาะตลิ่ง จึงได้ย้ายไปสร้างใหม่บริเวณที่ดอยเหนือหมู่บ้านขึ้นไป ซึ่งเป็นบริเวณป่าเหมือด ซึ่งเป็นใบที่ใช้หมักเมี่ยง จึงได้เรียกชื่อวัดว่า วัดป่าเหมือดมาตราบจนปัจจุบัน (หน้า 24) บทสู่ขวัญเป็นวรรณกรรมพื้นบ้านอีกประเภทหนึ่งที่มีการสืบทอดในชุมชน ทั้งในรูปแบบของวรรณกรรมลายลักษณ์และวรรณกรรมมุขปาฐะควบคู่กันไป (หน้า 77) จากการศึกษาพบว่าข้อมูลลายลักษณ์อักษรเป็นแนวทางหรือคู่มือในการประกอบพิธีสู่ขวัญ ไม่ได้ระบุรายละเอียดปลีกย่อยครบทุกประเด็น ส่วนที่ขาดหายไปจะปรากฏเพิ่มเติมในรูปของข้อมูลมุขปาฐะในการประกอบพิธีจริง โดยหมอขวัญจะใช้ปฏิภาณไหวพริบกล่าวเพิ่มเติม และปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ ซึ่งก็ไม่มีความแน่นอนตายตัวมีเนื้อหามากน้อยแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของงานพิธีแต่ละแห่ง (หน้า 99) โครงสร้างของบทสู่ขวัญสำหรับบุคคลประกอบด้วย 1.) บทขึ้นต้นหรืออารัมภบท เกริ่นนำถึงโอกาสในการประกอบพิธีสู่ขวัญ ซึ่งนิยมขึ้นด้วยบทบูชาพระรัตนตรัย (หน้า 89,109) 2.) บทบรรยายเครื่องบายศรี มีทั้งการกล่าวอย่างละเอียดในพิธีสู่ขวัญขนาดใหญ่ และกล่าวถึงเครื่องบายศรีเล็กน้อยในพิธีขนาดเล็ก (หน้า 111 ) 3.) บทเชิญขวัญ เรียก 32 ขวัญของคน ควาย ข้าวที่อาจหลงไปอยู่ตามที่ต่างๆ หรือตกอยู่ในที่อันตรายให้กลับมาอยู่กับผู้ที่เป็นเจ้าของขวัญ (หน้า 90,114) 4.) บทป้อนขวัญ คือการป้อนเครื่องเสวยต่างๆ ให้แก่ขวัญหลังจากเชิญขวัญมาอยู่ครบพร้อมทุกขวัญแล้ว การป้อนอาหารเรียกว่า “จ้ำยัก” ป้อนเครื่องดื่ม เรียกว่า “ฟาย” (หน้า 91, 115) 5.) บทปัดเคราะห์ คือคำกล่าวปัดเสนียดจัญไร ภยันตรายและสิ่งอัปมงคลทั้งหลายให้พ้นไปจากตัวเจ้าของขวัญ โดยระบุชื่อเคราะห์อย่างละเอียดแล้วปัดเคราะห์ให้ตกหายไปตามดาวพระเคราะห์ทั้ง 9 ดวง (หน้า 92, 117) 6.) บทกวาดโชค เป็นการขอให้โชคต่างๆ ที่ได้ประสงค์ไว้เข้ามาหาผู้รับการสู่ขวัญ (หน้า 93) 7.) บทผูกขวัญ คือการที่หมอขวัญเอาด้ายดิบมาผูกข้อมือให้ผู้รับการสู่ขวัญ บางสำนวนพรรณนาถึงความพิเศษของด้ายที่นำมาผูกข้อมือว่าได้มาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สามารถบันดาลให้เกิดความเป็นสิริมงคลต่อเจ้าของขวัญ (หน้า 94) 8.) บทมอบขวัญให้เจ้าของขวัญ จะทำ 2 ครั้งคือ ในขั้นตอนการเริ่มพิธี และอีกครั้งเมื่อเสร็จพิธี บทมอบขวัญเป็นการกล่าวโดยใช้ปฏิภาณไหวพริบของหมอขวัญ พลิกแพลงไปตามสถานการณ์ ไม่มีบทที่เป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนใหญ่จะกล่าวในลักษณะอวยชัยให้พร (หน้า 95, 120) การสืบทอดบทสู่ขวัญมีหลายรูปแบบ ได้แก่ การสืบทอดโดยการคัดลอกจากต้นฉบับเดิม เจ้าของต้นฉบับเป็นผู้คัดลอกให้ การสืบทอดโดยให้เพื่อนฝูง หรือบุคคลใกล้ชิดคัดลอกให้ และการสืบทอดทางมุขปาฐะ (หน้า 125-126)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ผู้เขียนพบว่า พิธีสู่ขวัญบางประเภทลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิธีสู่ขวัญที่เกี่ยวกับการเกษตรกรรม เกี่ยวกับสัตว์และพืช เช่น พิธีสู่ขวัญช้าง พิธีสู่ขวัญม้า พิธีสู่ขวัญข้าว โดยในปัจจุบันได้เลิกปฏิบัติกันแล้ว เนื่องจากไม่มีความจำเป็นต้องใช้แรงงานสัตว์ดังกล่าว เพราะมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการเก็บเกี่ยวผลผลิตแทน รวมถึงการที่สามารถทำนาได้มากกว่าหนึ่งครั้ง ปริมาณผลผลิตที่ได้รับมีมากกว่าการทำนาระบบเดิมหลายเท่าโดยไม่จำเป็นต้องประกอบพิธีสู่ขวัญข้าวแต่อย่างใด แต่ในขณะเดียวกันก็มีเกษตรกรบางรายเห็นว่า แม้จะมีความสะดวกรวดเร็ว และได้ผลผลิตมากกว่าเดิม ก็ยังคงมีความจำเป็นต้องประกอบพิธีสู่ขวัญข้าวทุกปี เพื่อเตือนสติตนเองไม่ให้ประมาท ไม่สุรุ่ยสุร่าย รวมถึงเป็นโอกาสที่สมาชิกในครอบครัวได้พบปะสังสรรค์กัน และเป็นการรักษาประเพณีเดิมไว้ (หน้า137-139) นอกจากนี้ การที่นำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำการเกษตรทำให้การเลี้ยง การดูแลควายในปัจจุบันเป็นปัญหาที่สร้างความลำบากใจให้เกษตรพอสมควร เนื่องจากความเจริญทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้เกษตรกรสามารถใช้พื้นที่นาของตนเองทำการเกษตรได้ตลอดปีในเกือบทุกพื้นที่ เป็นผลให้พื้นที่นาที่เคยว่างเปล่า เป็นที่หากินของควายลดน้อยลง ซึ่งก็ไม่เพียงพอกับความต้องการ ต้องอาศัยพื้นที่สาธารณะอื่นๆ เช่น ท้ายป่า ข้างลำเหมือง ฯลฯ เป็นแหล่งเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังต้องหาเกี่ยวหญ้าสดในแต่ละวันอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งนับวันจะหายากเพราะเกษตรกรส่วนใหญ่ฉีดพ่นสารเคมีฆ่าหญ้า ทำให้หญ้าตามคันนาต่างๆ ไม่โตพอที่จะเกี่ยวได้ การใช้เวลาส่วนใหญ่หลังฤดูทำนามาดูแลควาย ทำให้ไม่มีโอกาสที่จะไปหางานพิเศษอื่นๆ จึงขาดรายได้จำนวนหนึ่งที่ควรจะได้มาจุนเจือครอบครัว แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีชาวบ้านบางส่วนที่ยังคงประกอบอาชีพทำนา โดยใช้กรรมวิธีการผลิตแบบดั้งเดิม และมีการประกอบพิธีสู่ขวัญควายอย่างต่อเนื่อง (หน้า 140)

Other Issues

ไม่มี

Map/Illustration

ภาพ : วัดภูเก็ต, วัดเฮี้ย, วัดป่าเหมือด (หน้า 22, 23, 24) 4-13) ผู้ให้ข้อมูล (หน้า 26, 27, 28, 29, 30, 31) ขันบายศรี (หน้า 37) การประกอบพิธีสู่ขวัญนาค, หมอขวัญทำพิธีไหว้ครู (หน้า 41) ผู้ช่วยหมอขวัญทำพิธีป้อนขวัญ (หน้า 42) พิธีสู่ขวัญสามเณรที่บ้านเก็ต ตำบลบวรนคร (หน้า 45) พิธีมอบขวัญให้สามเณร การประกอบพิธีสู่ขวัญคู่บ่าวสาว (หน้า 48) เครื่องประกอบพิธีสู่ขวัญบุคคลที่จะจากถิ่น (หน้า 52) พิธีผูกขวัญบุคคลที่จะจากถิ่น (หน้า 53) การจัดเครื่องบายศรีลงในถาด (หน้า 56) การมอบขวัญให้กับย่าหม้อนึ่ง (หน้า 57) ขันตั้งอาจารย์ (หน้า 59) เครื่องประกอบพิธีสู่ขวัญผู้ใหญ่บ้าน กรรมการ อาจารย์วัด (หน้า 61) การป้อนขวัญในพิธีสู่ขวัญผู้ใหญ่บ้าน กรรมการ อาจารย์วัด (หน้า 63) เครื่องประกอบพิธีสู่ขวัญควาย (หน้า 66) การประกอบพิธีสู่ขวัญควาย (หน้า 67) การประกอบพิธีสู่ขวัญข้าว (หน้า 70) ตาราง : 1) จำนวนวิทยากรผู้ให้ข้อมูล (หน้า 32) 2) ข้อมูลจำนวนบทสู่ขวัญไทลื้อที่นำมาศึกษา (หน้า 80) 3) เปรียบเทียบโครงสร้างบทสู่ขวัญสำหรับบุคคลสำนวนลายลักษณ์ (หน้า 96) 4) เปรียบเทียบโครงสร้างบทสู่ขวัญสำหรับบุคคลสำนวนมุขปาฐะ (หน้า 97) 5) เปรียบเทียบโครงสร้างบทสู่ขวัญสำหรับสัตว์และพืชในการเกษตร (หน้า 98) แผนผัง : 1) แสดงตำแหน่งที่นั่งของผู้ร่วมพิธีสู่ขวัญนาค (หน้า 44) 2) แสดงตำแหน่งที่นั่งของผู้ร่วมพิธีสู่ขวัญสามเณร (หน้า 46) 3) แสดงตำแหน่งที่นั่งของผู้ร่วมพิธีสู่ขวัญคู่บ่าวสาว (หน้า 49) 4) แสดงตำแหน่งที่นั่งของผู้ร่วมพิธีสู่ขวัญบุคคลที่จะจากถิ่น (หน้า 61) 5) แสดงตำแหน่งที่นั่งของผู้ร่วมพิธีสู่ขวัญคนเจ็บไข้ (หน้า 58) 6) แสดงตำแหน่งที่นั่งของผู้ร่วมพิธีสู่ขวัญผู้ใหญ่บ้าน กรรมการ อาจารย์วัด (หน้า 62) แผนที่ : 1) จังหวัดน่าน (หน้า 16) 2) อำเภอปัว (หน้า 17) 3) หมู่บ้านในตำบลศิลาแลง (หน้า 18)

Text Analyst นันทนิตย์ อนุศาสนะนันทน์ Date of Report 10 ก.ย. 2561
TAG ลื้อ, บทสู่ขวัญ, พิธีสู่ขวัญ, น่าน, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง