สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject มุสลิม,การพัฒนาทางสังคม,ประเทศไทย
Author เสาวนีย์ จิตต์หมวด, ดนัย มู่สา
Title การพัฒนาทางสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์ : ชาวไทยมุสลิม
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเนเชี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 135 Year 2541
Source สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
Abstract

ผลการศึกษาวิจัยปรากฏผลอย่างชัดเจนในพัฒนาการด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครองที่สังคมไทยมุสลิมจำต้องพัฒนาไปพร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงในบริบทของสังคมอื่นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงในสภาวะปัจจุบันที่รวดเร็ว ซับซ้อน ทั้งกระแสโลกาภิวัตน์ โลกไร้พรมแดน เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป สังคมไทยมุสลิมจำต้องปรับตัวให้ไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงให้ได้ โดยที่สังคมยังคงรักษาเอกลักษณ์เดิมไว้ในการรักษาวิถีชีวิตตามรูปแบบอิสลาม ทางด้านเศรษฐกิจ มีการทำธุรกรรมที่อยู่บนพื้นฐานและมีทางเลือกที่ไม่ขัดกับหลักการอิสลาม ทางด้านการเมืองการปกครอง มีบทบาทในการเข้ามากำหนดทิศทางพัฒนาตนเองได้ การปรับตัวทั้งหมดต้องอาศัยแนวความคิดพื้นฐาน คือ การเห็นคุณค่าและเข้าใจในความหลากหลายทางวัฒนธรรมว่าสามารถเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาและอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข นั่นคือคนไทยมุสลิมจะต้องปรับตัวทั้งในเรื่องความคิดที่กว้างไกลบนเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง การเรียนรู้และรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง การรู้จักใช้หลักการศาสนา โดยเฉพาะในเรื่องความเรียบง่าย สมถะมาหยุดยั้งตนเองไม่ให้ตกอยู่ในกระแสของความสับสน พร้อมจะเดินทางควบคู่กันไปทั้งทางโลกและทางธรรมอย่างมีดุลยภาพ (หน้า 124-133)

Focus

ศึกษาพัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมของสังคมไทยมุสลิมในประเทศไทยในยุคสมัยต่าง ๆ คือ อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

ผู้วิจัยได้ใช้กลุ่มตัวอย่างคลอบคลุมไทยมุสลิมใน 5 ภูมิภาคของประเทศไทย (ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) (หน้า 5)

Language and Linguistic Affiliations

ไทยมุสลิมส่วนใหญ่ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาในการติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน จะเว้นก็แต่ไทยมุสลิมผู้สูงอายุเชื้อสายมลายูในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ที่ส่วนใหญ่มักจะพูดภาษามลายูพื้นบ้าน สำหรับไทยมุสลิมในภาคใต้ตอนบนรวมทั้งสงขลา สตูล และไทยมุสลิมที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต่างก็ใช้ภาษาไทยท้องถิ่นของท้องถิ่นนั้น ๆ เช่นเดียวกันกับคนไทยที่นับถือศาสนาอื่นๆ (หน้า 68)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

การเผยแผ่ศาสนาอิสลามไปยังภูมิภาคต่าง ๆ นับตั้งแต่อดีต เป็นการทำควบคู่ไปกับการค้าขาย กล่าวคือ อาชีพของมุสลิมอาหรับส่วนใหญ่คือการค้าขาย ดังนั้น ในการเดินทางออกไปติดต่อค้าขายยังต่างประเทศ หรือการไปตั้งถิ่นฐานเพื่อทำการค้าขายในต่างประเทศก็ดี มุสลิมอาหรับเหล่านั้นได้นำศาสนาอิสลามออกไปเผยแพร่ด้วย อันเป็นเหตุให้ประชากรในภูมิภาคต่าง ๆ เข้ามาเป็นมุสลิมทั้งโดยความศรัทธาในหลักคำสอนและโดยการแต่งงาน ไทยเป็นประเทศหนึ่งในเอเชียอาคเนย์ เมื่ออิสลามเข้าในบริเวณนี้ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 ฉะนั้นอิสลามก็น่าจะเริ่มเข้ามาในดินแดนไทยปัจจุบันนับตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา โดยเริ่มจากระดับชาวบ้านจนถึงชั้นผู้ปกครอง สำหรับการเข้ามาของศาสนาอิสลามในผืนแผ่นดินไทยนับแต่อดีต มาด้วยพ่อค้ามุสลิมเป็นสำคัญเช่นกัน สำหรับช่วงเวลาและพื้นที่ในการเข้ามาของอิสลามแบ่งเป็นยุคสมัยได้คือ อิสลามในสมัยลังกาสุกะปัตตานีและไทรบุรี อิสลามในสมัยสุโขทัย อิสลามในสมัยอยุธยา (หน้า 20) การเข้ามาของอิสลามในดินแดนของปัตตานีของประเทศไทย ซึ่งแต่เดิมภูมิภาคแถบนั้นเรียกว่าอาณาจักรลังกาสุกะนั้น เริ่มจากการที่อาณาจักรมัชปาหิต เกิดความรุ่งเรื่องสามารถแผ่อิทธิพลไปถึงอาหรับและอินเดีย และได้เข้ามาสู่อาณาจักรลังกาสุกะทางการติดต่อค้าขาย ซึ่งต่อมาเมื่ออาณาจักรลังกาสุกะเสื่อมอำนาจลง เกิดอาณาจักรปัตตานีเข้ามาแทนที่ทำให้ศาสนาอิสลามได้แผ่ขยายและรุ่งเรืองอย่างมากหลังจากที่ราชาของอาณาจักรนี้ได้นับถือศาสนาอิสลาม ส่วนศาสนาอิสลามในสมัยสุโขทัยนั้น ได้เข้ามาในสมัยสุโขทัยเนื่องจากมีการติดต่อค้าขายกับประเทศต่าง ๆ เช่น อินโดนีเซีย เปอร์เซีย ฯลฯ ซึ่งในสมัยนั้นสุโขทัยเป็นเมืองแห่งการค้าขาย เป็นแหล่งเศรษฐกิจที่สำคัญสำหรับภูมิภาคนี้ในสมัยนั้น ในสมัยอยุธยาศาสนาอิสลามถูกเผยแพร่จากมุสลิมที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในกรุงศรีอยุธยาซึ่งเป็นพวกมุสลิมที่มาจาก อาหรับ เปอร์เซีย อินเดีย จาม ชวา มลายู ปัตตานี ฯลฯ ซึ่งเชื่อกันว่ามุสลิมในสมัยนั้นได้เข้ามาแต่งงานกับชาวพื้นเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่ามุสลิมจากต่างประเทศกับหญิงพื้นเมือง ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ประชากรในกรุงศรีอยุธยามีจำนวนเพิ่มขึ้น (หน้า 20-35)

Settlement Pattern

การตั้งถิ่นฐานของมุสลิม รวมทั้งไทยมุสลิม คือ มุสลิมจะตั้งถิ่นฐานรวมกันเป็นกลุ่มชุมชน โดยแต่ละชุมชนจะมีมัสยิดเป็นศูนย์กลาง และแต่ละมัสยิดจะมีอิหม่ามเป็นผู้นำ ระบบความสัมพันธ์ของไทยมุสลิมส่วนใหญ่จะยังคงเป็นแบบสังคมชนบท ปัจจุบันประเทศไทยมีมุสลิมจำนวนประมาณ 4 ล้านคน ตั้งถิ่นฐานอยู่ในทุกภูมิภาคของประเทศ โดยประมาณครึ่งหนึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากชุมชนมุสลิมที่มีอยู่ในทุกภูมิภาค จำนวนมัสยิดที่จดทะเบียนแล้วกับกรมการศาสนา จากทะเบียนมัสยิดในประเทศไทย พ.ศ.2542 มีจำนวน 3,159 มัสยิด อยูในพื้นที่ 57 จังหวัด ทั้งในกรุงเทพฯ และภูมิภาคต่าง ๆ ในการอพยพย้ายถิ่น ทั้งของไทยมุสลิมในประเทศและมุสลิมจากต่างประเทศ นิยมย้ายถิ่นเข้าไปอยู่ในชุมชนมุสลิมที่มีอยู่เดิม แต่หากย้ายถิ่นไปตั้งชุมชนใหม่ก็จะสร้างมัสยิดในเวลาต่อไปเสมอ ทั้งนี้ เพราะมัสยิดมิใช่เป็นเพียงศาสนสถาน หากแต่เป็นศูนย์รวมในกิจกรรมด้านต่าง ๆ ของมุสลิมทุกเพศทุกวัย เช่น เป็นศูนย์กลางด้านการศึกษา สาธารณสุข เศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม (หน้า 65-66)

Demography

เนื่องจากผู้วิจัย ได้ศึกษากลุ่มตัวอย่างโดยครอบคลุมคนไทยมุสลิมใน 5 ภูมิภาคของประเทศไทย (ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ซึ่งคลอบคลุมบริเวณพื้นที่กว้างมากจึงไม่ได้ระบุข้อมูลเกี่ยวกับประชากรที่แน่นอนไว้

Economy

พัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจของไทยมุสลิม มีความต่อเนื่องเรื่องของการค้าขายมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยภาพรวมของมุสลิมทั่วประเทศไทย ประกอบอาชีพเกษตรกรรม รับราชการ ค้าขาย ทำอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ซึ่งปัจจุบันและในอนาคต ธุรกรรมใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน การธนาคาร การประกันภัย และในเรื่องบริโภคนิยม จะเป็นสิ่งที่เข้ามาเป็นตัวแปรในการปรับตัวของสังคมไทยมุสลิม โดยที่ยังรักษา หรือนำหลักการศาสนามาเป็นครรลองส่องทางเพื่อจะยับยั้งผลลบที่จะเกิดขึ้น ในขณะเดียวกันพัฒนาผลบวกให้เพิ่มขึ้นเพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติในภาพรวม (หน้า 111-114)

Social Organization

พัฒนาการทางสังคมของไทยมุสลิม ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันมีการสัมพันธ์โดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมโดยเฉพาะสังคมไทยโดยรวม ยิ่งในปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ที่เห็นได้ชัดเจน คือ การขยายตัวของเมืองเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก พื้นที่เกษตรกรรมเดิมถูกพัฒนาให้เป็นเขตอุตสาหกรรม พาณิชกรรมและที่อยู่อาศัยของชนชั้นกลางมากขึ้นเป็นทวีคูณ สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบในทุกด้านของไทยมุสลิมทั้งในเชิงบวก และชิงลบ ผลบวกที่เห็นได้ชัดเจน คือ ความสะดวกสบายต่างๆ อันเป็นผลมาจากการพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต่อการติดต่อสื่อสาร การปรับปรุงที่อยู่อาศัย การเรียนรู้วิทยาการใหม่แขนงต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบผลิต การบริโภค การค้าและการกระจายผลผลิต หรือการบริการต่าง ๆ ที่กว้างไกลออกไปทั้งภายในและภายนอกประเทศ นอกจากนั้น ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านต่าง ๆ ที่เอื้อประโยชน์ต่อการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันของมุสลิม เช่น การฝึกอบรมกิจการด้านสื่อสารมวลชน การติดต่อกับองค์กรมุสลิมนานาชาติ การเดินทาง การประสานความร่วมมือในการทำงานร่วมกัน (หน้า 108-109)

Political Organization

พัฒนาการด้านการเมืองการปกครองของสังคมไทยมุสลิมมีความกว้างขวาง และเด่นชัดหลายประการ ในด้านของความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับคนไทยมุสลิม ตั้งแต่ สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา สมัยธนบุรี สมัยรัตนโกสินทร์ จวบจนปัจจุบัน เนื่องจากมุสลิมจากเชื้อชาติต่างๆ ที่มาหล่อหลอมเป็นไทยมุสลิมในปัจจุบัน ได้รับความอุปถัมภ์จากพระมหากษัตริย์ในฐานะทรงเป็นองค์ศาสนูปถัมภ์ ถึงแม้บางครั้งสถานการณ์ด้านการเมืองการปกครองจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ยังไม่เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงอันเนื่องมาจากความแตกต่างในสังคม การเมืองการปกครองไทยเลย (หน้า 114)

Belief System

อิสลามเป็นศาสนาที่จัดอยู่ในประเภทเอกเทวนิยม (Monotheism) มีพระเจ้าองค์เดียวในศาสนาอิสลาม มี 99 พระนาม แต่พระนามที่มุสลิมทั่วโลกเรียก คือ อัลลอฮฺ (ซุบฮาฯ) และมุสลิมก็ศรัทธาว่าศาสดา หรือนบี (ผู้ที่ได้รับคำสอนมาจากพระเจ้าเพื่อปฏิบัติตาม) ซึ่งเป็นผู้ประกาศศาสนายูดายและคริสต์ คือ นบีมูซา (โมเซส) และ นบีอีซา (เยซูคริสต์) คือศาสนทูตจากพระเจ้าเช่นเดียวกับนบีมุฮำมัด ซึ่งเป็นนบีท่านสุดท้ายจากพระเจ้าโดยเป็นผู้ประกาศศาสนาอิสลาม ศาสนาอิสลามมีองค์ประกอบสำคัญอยู่ 5 ประการ คือ มีศาสดา คัมภีร์ ผู้สืบทอด ศาสนสถาน และพิธีกรรม (หน้า 11-14)

Education and Socialization

ไม่ระบุ

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

การแต่งกาย ปัจจุบันเพื่อแสดงและรักษาเอกลักษณ์ความเป็นไทย รัฐบาลจึงมีการรณรงค์ให้แต่งกายโดยใช้ผ้าไทย อันได้แก่ผ้าไหม ผ้าฝ้าย ฯลฯ ซึ่งไทยมุสลิมก็สามารถมีส่วนร่วมในการแสดงออกและรักษาไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของความเป็นไทยได้ แต่โดยอยู่ในเงื่อนไขของวัฒนธรรมอิสลามด้วย กล่าวคือ ผู้ชายมุสลิมใช้ได้แต่ผ้าฝ้าย สำหรับผ้าไหมไม่เป็นที่อนุมัติ ส่วนผู้หญิงมุสลิมใช้ได้ทั้งผ้าไหม ผ้าฝ้ายแต่ต้องอยู่ในรูปแบบของวัฒนธรรมอิสลาม คือ อยู่ในชุดยาว และมีผ้าคลุมศรีษะ ดังนั้น ชุดไทยของผู้หญิงไทยมุสลิมจึงเป็นการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมอิสลาม (หน้า 68)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

การดำรงสถานภาพความเป็นมุสลิมที่ยึดมั่นในหลักคำสอนศาสนาการดำเนินชีวิตตามหลักคำสอนอย่างเคร่งครัด มีความชัดเจน ต่อเนื่องมาตลอดเช่นกัน ถึงแม้ในปัจจุบันเมื่อสังคมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งในทางบวกและทางลบ ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ คือ สังคมใหญ่ขึ้น หลากหลายขึ้น มีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น กระทบต่อวิถีชีวิตมากขึ้น ทำให้การดำรงสถานภาพของความเป็นมุสลิมยากลำบากขึ้น แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังมีผลกระทบไม่มากนักกับการดำรงสถานภาพความเป็นมุสลิมที่ผ่านมาเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ (หน้า 125)

Social Cultural and Identity Change

มุสลิมคือผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม และอิสลามนอกจากจะเป็นศาสนาแล้ว อิสลามยังเป็นวัฒนธรรม ดังนั้นการที่มุสลิมปฏิบัติตนหรือมีวิถีในการดำเนินชีวิตบนครรลองหรือหลักการอิสลาม ย่อมหมายถึงมุสลิมได้ปฏิบัติตนทั้งตามศาสนาและวัฒนธรรมอิสลาม สำหรับวัฒนธรรมอื่นนอกเหนือจากวัฒนธรรมอิสลาม มุสลิมก็สามารถปฏิบัติได้หากไม่เป็นที่ขัดต่อวัฒนธรรมอิสลาม เช่น ไทยมุสลิมกับวัฒนธรรมไทย ตัวอย่างเช่น เรื่องของภาษา มุสลิมส่วนใหญ่ใช้ภาษาท้องถิ่นของไทยที่ตนอาศัยอยู่ แต่ก็ยังคงภาษาเดิมของตนไว้ เป็นต้น (หน้า 67) เมื่ออิสลามเป็นทั้งศาสนาและวัฒนธรรม อิสลามจึงมิได้แยกออกจากวิถีชีวิตในการดำเนินชิวิตของมุสลิมซึ่งมีบรรพบุรุษทั้งที่เป็นชนชาติไทยและชาติพันธุ์ต่าง ๆ ไทยมุสลิมจึงมีวิถีชีวิตอยู่บนครรลองของอิสลามควบคู่ไปกับวัฒนธรรมไทย และมีวัฒนธรรมรองทั้งจากของชาติพันธุ์เดิม ของถิ่นที่อยู่อาศัยในภูมิภาคต่าง ๆ (หน้า 69-70)

Critic Issues

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มี

Text Analyst วศิน เชี่ยวจินดากานต์ Date of Report 24 ก.ย. 2567
TAG มุสลิม, การพัฒนาทางสังคม, ประเทศไทย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง