|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มุสลิม,การพัฒนาทางสังคม,ประเทศไทย |
Author |
เสาวนีย์ จิตต์หมวด, ดนัย มู่สา |
Title |
การพัฒนาทางสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์ : ชาวไทยมุสลิม |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
135 |
Year |
2541 |
Source |
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ |
Abstract |
ผลการศึกษาวิจัยปรากฏผลอย่างชัดเจนในพัฒนาการด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครองที่สังคมไทยมุสลิมจำต้องพัฒนาไปพร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงในบริบทของสังคมอื่นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงในสภาวะปัจจุบันที่รวดเร็ว ซับซ้อน ทั้งกระแสโลกาภิวัตน์ โลกไร้พรมแดน เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป สังคมไทยมุสลิมจำต้องปรับตัวให้ไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงให้ได้ โดยที่สังคมยังคงรักษาเอกลักษณ์เดิมไว้ในการรักษาวิถีชีวิตตามรูปแบบอิสลาม ทางด้านเศรษฐกิจ มีการทำธุรกรรมที่อยู่บนพื้นฐานและมีทางเลือกที่ไม่ขัดกับหลักการอิสลาม ทางด้านการเมืองการปกครอง มีบทบาทในการเข้ามากำหนดทิศทางพัฒนาตนเองได้ การปรับตัวทั้งหมดต้องอาศัยแนวความคิดพื้นฐาน คือ การเห็นคุณค่าและเข้าใจในความหลากหลายทางวัฒนธรรมว่าสามารถเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาและอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข นั่นคือคนไทยมุสลิมจะต้องปรับตัวทั้งในเรื่องความคิดที่กว้างไกลบนเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง การเรียนรู้และรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง การรู้จักใช้หลักการศาสนา โดยเฉพาะในเรื่องความเรียบง่าย สมถะมาหยุดยั้งตนเองไม่ให้ตกอยู่ในกระแสของความสับสน พร้อมจะเดินทางควบคู่กันไปทั้งทางโลกและทางธรรมอย่างมีดุลยภาพ (หน้า 124-133) |
|
Focus |
ศึกษาพัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมของสังคมไทยมุสลิมในประเทศไทยในยุคสมัยต่าง ๆ คือ อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ |
|
Ethnic Group in the Focus |
ผู้วิจัยได้ใช้กลุ่มตัวอย่างคลอบคลุมไทยมุสลิมใน 5 ภูมิภาคของประเทศไทย (ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) (หน้า 5) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไทยมุสลิมส่วนใหญ่ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาในการติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน จะเว้นก็แต่ไทยมุสลิมผู้สูงอายุเชื้อสายมลายูในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ที่ส่วนใหญ่มักจะพูดภาษามลายูพื้นบ้าน สำหรับไทยมุสลิมในภาคใต้ตอนบนรวมทั้งสงขลา สตูล และไทยมุสลิมที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต่างก็ใช้ภาษาไทยท้องถิ่นของท้องถิ่นนั้น ๆ เช่นเดียวกันกับคนไทยที่นับถือศาสนาอื่นๆ (หน้า 68) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
การเผยแผ่ศาสนาอิสลามไปยังภูมิภาคต่าง ๆ นับตั้งแต่อดีต เป็นการทำควบคู่ไปกับการค้าขาย กล่าวคือ อาชีพของมุสลิมอาหรับส่วนใหญ่คือการค้าขาย ดังนั้น ในการเดินทางออกไปติดต่อค้าขายยังต่างประเทศ หรือการไปตั้งถิ่นฐานเพื่อทำการค้าขายในต่างประเทศก็ดี มุสลิมอาหรับเหล่านั้นได้นำศาสนาอิสลามออกไปเผยแพร่ด้วย อันเป็นเหตุให้ประชากรในภูมิภาคต่าง ๆ เข้ามาเป็นมุสลิมทั้งโดยความศรัทธาในหลักคำสอนและโดยการแต่งงาน ไทยเป็นประเทศหนึ่งในเอเชียอาคเนย์ เมื่ออิสลามเข้าในบริเวณนี้ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 ฉะนั้นอิสลามก็น่าจะเริ่มเข้ามาในดินแดนไทยปัจจุบันนับตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา โดยเริ่มจากระดับชาวบ้านจนถึงชั้นผู้ปกครอง สำหรับการเข้ามาของศาสนาอิสลามในผืนแผ่นดินไทยนับแต่อดีต มาด้วยพ่อค้ามุสลิมเป็นสำคัญเช่นกัน สำหรับช่วงเวลาและพื้นที่ในการเข้ามาของอิสลามแบ่งเป็นยุคสมัยได้คือ อิสลามในสมัยลังกาสุกะปัตตานีและไทรบุรี อิสลามในสมัยสุโขทัย อิสลามในสมัยอยุธยา (หน้า 20) การเข้ามาของอิสลามในดินแดนของปัตตานีของประเทศไทย ซึ่งแต่เดิมภูมิภาคแถบนั้นเรียกว่าอาณาจักรลังกาสุกะนั้น เริ่มจากการที่อาณาจักรมัชปาหิต เกิดความรุ่งเรื่องสามารถแผ่อิทธิพลไปถึงอาหรับและอินเดีย และได้เข้ามาสู่อาณาจักรลังกาสุกะทางการติดต่อค้าขาย ซึ่งต่อมาเมื่ออาณาจักรลังกาสุกะเสื่อมอำนาจลง เกิดอาณาจักรปัตตานีเข้ามาแทนที่ทำให้ศาสนาอิสลามได้แผ่ขยายและรุ่งเรืองอย่างมากหลังจากที่ราชาของอาณาจักรนี้ได้นับถือศาสนาอิสลาม ส่วนศาสนาอิสลามในสมัยสุโขทัยนั้น ได้เข้ามาในสมัยสุโขทัยเนื่องจากมีการติดต่อค้าขายกับประเทศต่าง ๆ เช่น อินโดนีเซีย เปอร์เซีย ฯลฯ ซึ่งในสมัยนั้นสุโขทัยเป็นเมืองแห่งการค้าขาย เป็นแหล่งเศรษฐกิจที่สำคัญสำหรับภูมิภาคนี้ในสมัยนั้น ในสมัยอยุธยาศาสนาอิสลามถูกเผยแพร่จากมุสลิมที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในกรุงศรีอยุธยาซึ่งเป็นพวกมุสลิมที่มาจาก อาหรับ เปอร์เซีย อินเดีย จาม ชวา มลายู ปัตตานี ฯลฯ ซึ่งเชื่อกันว่ามุสลิมในสมัยนั้นได้เข้ามาแต่งงานกับชาวพื้นเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่ามุสลิมจากต่างประเทศกับหญิงพื้นเมือง ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ประชากรในกรุงศรีอยุธยามีจำนวนเพิ่มขึ้น (หน้า 20-35) |
|
Settlement Pattern |
การตั้งถิ่นฐานของมุสลิม รวมทั้งไทยมุสลิม คือ มุสลิมจะตั้งถิ่นฐานรวมกันเป็นกลุ่มชุมชน โดยแต่ละชุมชนจะมีมัสยิดเป็นศูนย์กลาง และแต่ละมัสยิดจะมีอิหม่ามเป็นผู้นำ ระบบความสัมพันธ์ของไทยมุสลิมส่วนใหญ่จะยังคงเป็นแบบสังคมชนบท ปัจจุบันประเทศไทยมีมุสลิมจำนวนประมาณ 4 ล้านคน ตั้งถิ่นฐานอยู่ในทุกภูมิภาคของประเทศ โดยประมาณครึ่งหนึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากชุมชนมุสลิมที่มีอยู่ในทุกภูมิภาค จำนวนมัสยิดที่จดทะเบียนแล้วกับกรมการศาสนา จากทะเบียนมัสยิดในประเทศไทย พ.ศ.2542 มีจำนวน 3,159 มัสยิด อยูในพื้นที่ 57 จังหวัด ทั้งในกรุงเทพฯ และภูมิภาคต่าง ๆ ในการอพยพย้ายถิ่น ทั้งของไทยมุสลิมในประเทศและมุสลิมจากต่างประเทศ นิยมย้ายถิ่นเข้าไปอยู่ในชุมชนมุสลิมที่มีอยู่เดิม แต่หากย้ายถิ่นไปตั้งชุมชนใหม่ก็จะสร้างมัสยิดในเวลาต่อไปเสมอ ทั้งนี้ เพราะมัสยิดมิใช่เป็นเพียงศาสนสถาน หากแต่เป็นศูนย์รวมในกิจกรรมด้านต่าง ๆ ของมุสลิมทุกเพศทุกวัย เช่น เป็นศูนย์กลางด้านการศึกษา สาธารณสุข เศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม (หน้า 65-66) |
|
Demography |
เนื่องจากผู้วิจัย ได้ศึกษากลุ่มตัวอย่างโดยครอบคลุมคนไทยมุสลิมใน 5 ภูมิภาคของประเทศไทย (ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ซึ่งคลอบคลุมบริเวณพื้นที่กว้างมากจึงไม่ได้ระบุข้อมูลเกี่ยวกับประชากรที่แน่นอนไว้ |
|
Economy |
พัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจของไทยมุสลิม มีความต่อเนื่องเรื่องของการค้าขายมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยภาพรวมของมุสลิมทั่วประเทศไทย ประกอบอาชีพเกษตรกรรม รับราชการ ค้าขาย ทำอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ซึ่งปัจจุบันและในอนาคต ธุรกรรมใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน การธนาคาร การประกันภัย และในเรื่องบริโภคนิยม จะเป็นสิ่งที่เข้ามาเป็นตัวแปรในการปรับตัวของสังคมไทยมุสลิม โดยที่ยังรักษา หรือนำหลักการศาสนามาเป็นครรลองส่องทางเพื่อจะยับยั้งผลลบที่จะเกิดขึ้น ในขณะเดียวกันพัฒนาผลบวกให้เพิ่มขึ้นเพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติในภาพรวม (หน้า 111-114) |
|
Social Organization |
พัฒนาการทางสังคมของไทยมุสลิม ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันมีการสัมพันธ์โดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมโดยเฉพาะสังคมไทยโดยรวม ยิ่งในปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ที่เห็นได้ชัดเจน คือ การขยายตัวของเมืองเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก พื้นที่เกษตรกรรมเดิมถูกพัฒนาให้เป็นเขตอุตสาหกรรม พาณิชกรรมและที่อยู่อาศัยของชนชั้นกลางมากขึ้นเป็นทวีคูณ สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบในทุกด้านของไทยมุสลิมทั้งในเชิงบวก และชิงลบ ผลบวกที่เห็นได้ชัดเจน คือ ความสะดวกสบายต่างๆ อันเป็นผลมาจากการพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต่อการติดต่อสื่อสาร การปรับปรุงที่อยู่อาศัย การเรียนรู้วิทยาการใหม่แขนงต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบผลิต การบริโภค การค้าและการกระจายผลผลิต หรือการบริการต่าง ๆ ที่กว้างไกลออกไปทั้งภายในและภายนอกประเทศ นอกจากนั้น ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านต่าง ๆ ที่เอื้อประโยชน์ต่อการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันของมุสลิม เช่น การฝึกอบรมกิจการด้านสื่อสารมวลชน การติดต่อกับองค์กรมุสลิมนานาชาติ การเดินทาง การประสานความร่วมมือในการทำงานร่วมกัน (หน้า 108-109) |
|
Political Organization |
พัฒนาการด้านการเมืองการปกครองของสังคมไทยมุสลิมมีความกว้างขวาง และเด่นชัดหลายประการ ในด้านของความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับคนไทยมุสลิม ตั้งแต่ สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา สมัยธนบุรี สมัยรัตนโกสินทร์ จวบจนปัจจุบัน เนื่องจากมุสลิมจากเชื้อชาติต่างๆ ที่มาหล่อหลอมเป็นไทยมุสลิมในปัจจุบัน ได้รับความอุปถัมภ์จากพระมหากษัตริย์ในฐานะทรงเป็นองค์ศาสนูปถัมภ์ ถึงแม้บางครั้งสถานการณ์ด้านการเมืองการปกครองจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ยังไม่เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงอันเนื่องมาจากความแตกต่างในสังคม การเมืองการปกครองไทยเลย (หน้า 114) |
|
Belief System |
อิสลามเป็นศาสนาที่จัดอยู่ในประเภทเอกเทวนิยม (Monotheism) มีพระเจ้าองค์เดียวในศาสนาอิสลาม มี 99 พระนาม แต่พระนามที่มุสลิมทั่วโลกเรียก คือ อัลลอฮฺ (ซุบฮาฯ) และมุสลิมก็ศรัทธาว่าศาสดา หรือนบี (ผู้ที่ได้รับคำสอนมาจากพระเจ้าเพื่อปฏิบัติตาม) ซึ่งเป็นผู้ประกาศศาสนายูดายและคริสต์ คือ นบีมูซา (โมเซส) และ นบีอีซา (เยซูคริสต์) คือศาสนทูตจากพระเจ้าเช่นเดียวกับนบีมุฮำมัด ซึ่งเป็นนบีท่านสุดท้ายจากพระเจ้าโดยเป็นผู้ประกาศศาสนาอิสลาม ศาสนาอิสลามมีองค์ประกอบสำคัญอยู่ 5 ประการ คือ มีศาสดา คัมภีร์ ผู้สืบทอด ศาสนสถาน และพิธีกรรม (หน้า 11-14) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย ปัจจุบันเพื่อแสดงและรักษาเอกลักษณ์ความเป็นไทย รัฐบาลจึงมีการรณรงค์ให้แต่งกายโดยใช้ผ้าไทย อันได้แก่ผ้าไหม ผ้าฝ้าย ฯลฯ ซึ่งไทยมุสลิมก็สามารถมีส่วนร่วมในการแสดงออกและรักษาไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของความเป็นไทยได้ แต่โดยอยู่ในเงื่อนไขของวัฒนธรรมอิสลามด้วย กล่าวคือ ผู้ชายมุสลิมใช้ได้แต่ผ้าฝ้าย สำหรับผ้าไหมไม่เป็นที่อนุมัติ ส่วนผู้หญิงมุสลิมใช้ได้ทั้งผ้าไหม ผ้าฝ้ายแต่ต้องอยู่ในรูปแบบของวัฒนธรรมอิสลาม คือ อยู่ในชุดยาว และมีผ้าคลุมศรีษะ ดังนั้น ชุดไทยของผู้หญิงไทยมุสลิมจึงเป็นการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมอิสลาม (หน้า 68) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
การดำรงสถานภาพความเป็นมุสลิมที่ยึดมั่นในหลักคำสอนศาสนาการดำเนินชีวิตตามหลักคำสอนอย่างเคร่งครัด มีความชัดเจน ต่อเนื่องมาตลอดเช่นกัน ถึงแม้ในปัจจุบันเมื่อสังคมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งในทางบวกและทางลบ ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ คือ สังคมใหญ่ขึ้น หลากหลายขึ้น มีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น กระทบต่อวิถีชีวิตมากขึ้น ทำให้การดำรงสถานภาพของความเป็นมุสลิมยากลำบากขึ้น แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังมีผลกระทบไม่มากนักกับการดำรงสถานภาพความเป็นมุสลิมที่ผ่านมาเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ (หน้า 125) |
|
Social Cultural and Identity Change |
มุสลิมคือผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม และอิสลามนอกจากจะเป็นศาสนาแล้ว อิสลามยังเป็นวัฒนธรรม ดังนั้นการที่มุสลิมปฏิบัติตนหรือมีวิถีในการดำเนินชีวิตบนครรลองหรือหลักการอิสลาม ย่อมหมายถึงมุสลิมได้ปฏิบัติตนทั้งตามศาสนาและวัฒนธรรมอิสลาม สำหรับวัฒนธรรมอื่นนอกเหนือจากวัฒนธรรมอิสลาม มุสลิมก็สามารถปฏิบัติได้หากไม่เป็นที่ขัดต่อวัฒนธรรมอิสลาม เช่น ไทยมุสลิมกับวัฒนธรรมไทย ตัวอย่างเช่น เรื่องของภาษา มุสลิมส่วนใหญ่ใช้ภาษาท้องถิ่นของไทยที่ตนอาศัยอยู่ แต่ก็ยังคงภาษาเดิมของตนไว้ เป็นต้น (หน้า 67) เมื่ออิสลามเป็นทั้งศาสนาและวัฒนธรรม อิสลามจึงมิได้แยกออกจากวิถีชีวิตในการดำเนินชิวิตของมุสลิมซึ่งมีบรรพบุรุษทั้งที่เป็นชนชาติไทยและชาติพันธุ์ต่าง ๆ ไทยมุสลิมจึงมีวิถีชีวิตอยู่บนครรลองของอิสลามควบคู่ไปกับวัฒนธรรมไทย และมีวัฒนธรรมรองทั้งจากของชาติพันธุ์เดิม ของถิ่นที่อยู่อาศัยในภูมิภาคต่าง ๆ (หน้า 69-70) |
|
|