สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้งขาว,ประเพณีงานปีใหม่,พิธีกรรมทางศาสนา,การละเล่น,อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม,เข็กน้อย,เพชรบูรณ์, ประเทศไทย
Author Jean Mottin
Title Fêtes du Nouvel An chez les Hmong Blanc de Thaïlande
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาฝรั่งเศส
Ethnic Identity ม้ง, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ , ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 372 Year 2522
Source ไม่ได้ระบุ
Abstract

ผู้เขียนได้ศึกษารูปแบบชีวิตในช่วงเทศกาลปีใหม่ของม้งขาว บ้านเข็กน้อย จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งมีประชากรม้งอาศัยอยู่มากที่สุดในประเทศไทย และเป็นเทศกาลที่ม้งทุกคนจะเฉลิมฉลองร่วมกัน ผู้เขียนให้วิธีการทางชาติพันธุ์วรรณา (Ethnography) ศึกษาขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม โดยเข้าไปอยู่ร่วมในสังคมเพื่อสังเกต (Participant Observation) การดำเนินชีวิตต่างๆ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ผู้เขียนใช้วิธีการเล่าเรื่องตามลำดับวันเวลาเป็นหลัก โดยไม่ลืมที่จะบอกกล่าวกิจกรรม ประเพณีของม้งในแต่ละวัน เพื่อให้ผู้อ่านสามารถลำดับเหตุการณ์ และเป็นการง่ายที่จะเข้าใจภาพรวมของเทศกาลได้ดีขึ้น ผู้เขียนเริ่มจากอธิบายการคำนวนปฏิทินของม้งที่แตกต่างจากสากล และพูดถึงกิจกรรมหลักๆ เพื่อเตรียมงานเทศกาลปีใหม่ กิจกรรมส่วนใหญ่ ผู้เขียนแยกออกเป็น 2 ส่วนที่เกี่ยวกับการงานเทศกาล ในส่วนแรกจะเกี่ยวพันทางด้านศาสนา พิธีกรรม และความเชื่อต่างๆ ของม้ง เช่น การฆ่าสัตว์เพื่อเซ่นไหว้ การกราบไหว้เทพยดา ผี วิญญาณของบรรพชน การถือฤกษ์งามยามดี ม้งยังเชื่อว่าปีเก่าที่ผ่านไปจะนำพาสิ่งไม่ดีไปด้วย และจะเริ่มชีวิตใหม่สิ่งใหม่ๆ ในปีที่จะมาถึง ในส่วนที่สอง จะเกี่ยวพันกับงานรื่นเริง การละเล่นช่วงเทศกาลปีใหม่ จัดเป็นช่วงพักผ่อนจากการทำงานตลอดทั้งปี เพราะจัดเป็นช่วงเวลาเดียวที่ม้งทุกคนจะมีส่วนร่วมกันในเผ่า พบเจอกันมากที่สุด มีการเลือกคู่ครอง จะเห็นได้จากเครื่องแต่งกายที่จะตกแต่งสวมใส่กันเฉพาะเวลานี้เท่านั้น ตลอดถึงการกราบไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ในเผ่า เป็นช่วงเวลาที่ทำให้มองเห็นภาพโครงสร้างทางสังคมของม้งได้เด่นชัด ผู้เขียนชี้ว่า วิถีชีวิตของม้งเกี่ยวพันอยู่กับความเชื่อ เมื่อพิธีกรรมทางศาสนาจบลง ก็เหมือนสิ้นสุดเทศกาลปีใหม่ ทุกคนกลับไปทำงาน ไปดำเนินชีวิตตามปกติ กับโชคลาภ สิ่งดีๆ ที่มาพร้อมกับปีใหม่ด้วย

Focus

ผู้เขียนได้ให้ความสนใจในเรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรมและประเพณีของม้งขาวในประเทศไทย ศึกษาถึงรูปแบบการดำเนินชีวิตในช่วงเทศกาลวันปีใหม่ ผู้เขียนได้อธิบายว่า เป็นเทศกาลเดียวของม้งที่มีความสนใจร่วมกันและสะท้อนรูปแบบวัฒนธรรมของม้งในทุกๆ ถิ่น เป็นงานในช่วงเดียวของปีที่ให้เห็นรูปแบบโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมที่เด่นชัด ผู้เขียนต้องการให้ผู้อ่านสามารถเข้าถึง และมองเห็นภาพรวมในวัฒนธรรมม้งได้ง่ายขึ้น จึงได้ใช้วิธีการเขียนโดยลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ตามวันเวลาตั้งแต่ก่อนเริ่มและจบเทศกาล ตลอดถึงอธิบายกิจกรรมของม้งในแต่ละวันด้วย (คำนำ และหน้า 1)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มชาติพันธุ์ม้งขาวในประเทศไทย ที่บ้านเข็กน้อย จังหวัด เพชรบูรณ์ (หน้าคำนำ)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาม้ง โดยมีคำศัพท์บางคำที่ยืมมาจากภาษาจีนและภาษาไทย (หน้า 15)

Study Period (Data Collection)

ค.ศ. 1973-1978 (พ.ศ. 2516-2521)

History of the Group and Community

(ไม่ระบุ)

Settlement Pattern

กลุ่มชาติพันธุ์ม้งขาวที่บ้านเข็กน้อย ซึ่งเป็นที่รวมของกลุ่มม้งที่มาจากต่างหมู่บ้านในจังหวัดอื่นๆ โดยรวม เช่น ตาก กำแพงเพชร สวรรคโลก น่าน และทางตอนเหนือของเชียงราย (หน้าคำนำ)

Demography

ที่บ้านเข็กน้อยมีประชากรม้งประมาณ 2,500 คน ซึ่งจัดได้ว่าเป็นกลุ่มอาศัยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย (หน้าคำนำ)

Economy

ผู้เขียนได้อธิบายเศรษฐกิจของชาติพันธุ์ม้ง ในเรื่องของเกษตรกรรมที่สัมพันธ์กับช่วงเวลาโดยหลังจากผ่านการเฉลิมฉลองปีใหม่ ก็จะได้เริ่มที่จะทำการถางป่าเพื่อทำการปลูกพืชจำพวกข้าว ข้าวโพด สลับกับการปลูกฝิ่นในช่วงฤดูหนาว (หน้า 1)

Social Organization

ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นระบบสังคมของครอบครัวม้ง ในเรื่องเกี่ยวกับฐานะทางสังคม โดยฝ่ายหญิงจะทำงานเป็นส่วนใหญ่ ในวันขึ้นปีใหม่ฝ่ายหญิงจะเริ่มทำงานตั้งแต่เช้ามืด เตรียมให้อาหารสัตว์ ไปในป่าหาน้ำมาทำอาหาร หรือแม้แต่ไปหาฟืนในป่ามาเตรียมทำอาหารหรือเพื่อต้มเหล้าก่อนวันปีใหม่ ในขณะที่ฝ่ายชายเตรียมพิธีกรรมทางศาสนาอยู่ที่บ้าน (หน้า 191-193) ในเรื่องของการหาคู่ เลือกคู่ครอง ผู้เขียนได้อธิบายออกมาโดยผ่านทางการเล่าถึงประเพณีการโยนผ้าช่วงเทศกาลปีใหม่ และการอธิบายถึงลานความรักที่หนุ่มสาวจะพบเจอกัน อายุเฉลี่ยของฝ่ายชายประมาณ 17-18 ปี ฝ่ายหญิงจะอายุประมาณ 15 -16 ปี โดยหลังจากากรละเล่นโยนผ้าหรือการพบเจอคนที่ชอบช่วงกลางวันแล้ว ม้งผู้ชายจะแอบไปหาผู้หญิงที่บ้านในตอนค่ำ ฝ่ายชายจะแอบกระซิบที่ข้างฝาบริเวณที่ฝ่ายหญิงนอนและเกี้ยวพาราสีชักชวนกัน ผู้เขียนเสริมว่าการแต่งงานจะเกิดขึ้นจากช่วงปีใหม่เป็นจำนวนมาก เกือบจะเป็นครึ่งหนึ่งของการแต่งงานทั้งหมดของปี (หน้า 228-229) ในพิธีการงานวันปีใหม่ม้งมีการกราบไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ของหมู่บ้าน ผู้ที่เยาว์กว่าจะกราบไหว้ผู้อาวุโส อาจเป็นพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ แต่ผู้เขียนชี้ให้เห็นค่านิยมทางสังคมของม้งที่ยังยึดติดกับฝ่ายชาย เพราะในบริบทนี้ จะทำกันเฉพาะในกลุ่มผู้ชายเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกบ้านจะทำกัน ขึ้นอยู่กับขนาดของครอบครัว ประเพณีนี้จะไม่กำหนดวันไหนแน่นอนและไม่จำเป็นต้องเป็นวันขึ้นปีใหม่ (หน้า 231)

Political Organization

(ไม่ระบุ)

Belief System

ผู้เขียนได้อธิบายการคำนวณปีของม้ง ซึ่งแตกต่างจากวัฒนธรรมตะวันตก โดยม้งจะอาศัยการดูข้างขึ้นข้างแรมของพระจันทร์เป็นตัวกำหนด ใน 1 ปีของม้งจะมี 6 เดือน ที่มี 29 วัน และ 6 เดือนที่มี 30 วัน สลับกันไป โดยผู้เขียนชี้ว่าในทุก ๆ 19 ปี ม้งจะเพิ่มซ้ำเดือน 8 ที่มี 30 วัน จำนวน 7 ครั้ง หรือ 7 ปี ทำให้การคาดคำนวณมีความใกล้เคียงกับระบบสากลนิยม วันปีใหม่ของม้งจะอยู่ในช่วงวันที่ 13 ธันวาคม ถึง 11 มกราคม (หน้า 1-2) ในช่วงก่อนวันปีใหม่ ม้งจะทำการฆ่าไก่ บางครอบครัวที่มีฐานะดีจะฆ่าหมูด้วย เพื่อใช้เซ่นไหว้วิญญาณ ผี และเทพเจ้าต่างๆ ที่เคารพนับถือ บางครั้งในช่วง 2-3 สัปดาห์ก่อนปีใหม่ผู้ชายและเด็กๆ ม้งจะเดินจูงไก่ที่เตรียมไว้ไปรอบหมู่บ้านเหมือนของเล่น รวมตลอดถึงการทำความสะอาดบ้านที่อยู่อาศัยและบริเวณโดยรอบ เป็นการเตรียมต้อนรับปีใหม่ที่จะมาถึง (หน้า 10-17) ม้งยังมีความเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ ในด้านพิธีกรรมทางศาสนาจะเริ่มทำกันในวันที่ 30 ซึ่งถือว่าเป็นสิ้นปี หมอผีประจำหมู่บ้าน (ในรายงานเล่มนี้มีชื่อว่า Nkaj Pov) จะตั้งแท่นหรือหิ้งบูชาและทำความสะอาด 3 หิ้ง ด้านซ้ายจะเป็นหิ้งผีบ้านผีเรือน (Xwn Kab) ด้านขวาจะเป็นหิ้งบูชาเทพยดา สิ่งศักดิ์สิทธ์ต่างๆ (Khawv Koob) และตรงกลางจะเป็นหิ้งบูชาผี “เน้ง” (Neeb) (หน้า 24-26) สำหรับม้ง วิญญาณผีบ้านผีเรือนจะคอยปกป้องบ้าน ให้ความมั่งมี ความสุข ดูแลคนในครอบครัว ลักษณะของหิ้งบูชาจะเป็นแบบเรียบง่าย ทำด้วยกระดาษสีขาว 1 แผ่น (บางครั้งจะซ้อน 2-3 แผ่นเพื่อความคงทน) ขนาดความยาวประมาณ 33 ซ.ม. ความกว้าง 25 ซ.ม. ตัดด้านข้างเป็นรอยฟันปลา ด้านบนจะแต้มด้วยเลือดไก่ 3 จุด ด้านล่างจะติดกระดาษเงินกระดาษทองรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็กๆ 2 แผ่นสื่อถึงเครื่องเซ่นสรวงและความร่ำรวย (หน้า 166) การกราบไหว้หิ้งบูชาผีบ้านผีเรือนสามารถทำได้ตลอดทั้งปี ไม่เจาะจงเฉพาะช่วงปีใหม่ โดยม้งจะตั้งโต๊ะบูชา สวดถวายเครื่องเซ่นไหว้และขอพรให้คนในบ้าน สัตว์เลี้ยง อยู่ดีมีสุข เงินทองไหลมาเทมา (หน้า 175) ส่วนหิ้งบูชาเทพยดาจะดูทันสมัยกว่า มีลักษณะเป็นชั้นเล็ก 1 ชั้น แขวนด้วยเส้นเชือกทางด้านข้าง 2 เส้น จะบูชาด้วยน้ำ ยาสมุนไพร ข้าวและเมล็ดข้าวโพด (หน้า 24 และ 28) หิ้งบูชาผี(เน้ง)จะตั้งอยู่ตรงกลาง โดยจะสื่อถึงหน้าผาแนวตั้งอันเป็นที่ประทับของเทพซียีส หิ้งจะถูกแขวนติดไว้กับผนังบ้าน ลักษณะของหิ้งจะมีเพียง 1-2 ชั้น ขึ้นอยู่กับว่าผู้ทำพิธีเพิ่งจะเริ่มเป็นหมอผีหรือพ่อครู ส่วนด้านบนสุดจะเป็นชั้นรูปร่างเหมือนฉัตรหลังคา ด้านข้างทั้ง 2 ข้างจะถูกยึดด้ายเสาสูงจนถึงหลังคาบ้าน หิ้งจะถูกติดตั้งในบ้านตรงข้ามกับทางออกประตู ที่ชั้นบนจะวางน้ำมนต์(น้ำจากมังกร)เพื่อให้หมอผีได้ใช้ในการรักษาโรคภัย โดยพ่นจากปากใส่คนเจ็บป่วย บนหิ้งจะวางชามข้าวมีไข่ต้ม 1 ใบ ด้านบนปักธูป 3 ดอก ชามข้าวเปลือก ชามข้าวสาร และถ้วยชาเล็กๆ 3 ถ้วย (ผู้เขียนอธิบายว่า หมอผีจะสวดถวายน้ำชาพร้อมกับฝิ่น แต่ม้งจะไม่วางภาชนะใส่ฝิ่นบนหิ้งบูชา) บนฝาผนังด้านข้างจะแขวนถุงใส่อุปกรณ์ทำพิธีกรรมและฆ้อง (หน้า 24-28) หมอผีจะแกะกระดาษตกแต่งหิ้งของเดิมออก นำมาทำความสะอาด จากนั้นจะติดกลับไปใหม่หรือใช้แผ่นใหม่ด้วยแป้งเปียก กระดาษจะมี 3 สี ติด 3 ชั้นของหิ้งบูชาผีโดยกระดาษจะมีลวดลายเป็นแบบเดียวกัน 9 ตัว เลขมงคลของม้ง (หน้า25) หลังจากนั้นจะทำพิธีกรรมที่จะเชื่อมระหว่างผี (Neeb) ที่อาศัยบนโลกและคอยคุ้มครองม้ง กับเทพซียีส (Sie Yis หรีอในบทสวดของหมอผีม้งจะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Nyiaj Yig) ที่อาศัยในถ้ำบนสวรรค์ โดยสร้าง “ทางเดิน” สมมติ เพราะม้งเชื่อว่าในช่วงนี้ของปี เหล่าผีจะขึ้นไปหาเทพ ซึ่งนอกจากทางเดินแล้ว ม้งยังสร้าง “สะพาน” และ “บันได” ที่ใช้เชื่อมไปหาเทพอีกด้วย ลักษณะของทางเดินสมมุติ จะเป็นเหมือนกับเส้นทางที่โลกวิญญาณใช้เดินทางไปมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเหล่าผี โดยจะใช้สายสิญจน์เชื่อมจากโถดินลากผ่านขือไม้เหนือหิ้งบูชาโยงไปผ่านไม้ใต้คานบ้านและไปรวมกันที่ประตู บางครั้งหมอผีจะโยงเลยเข้าไปถึงเหนือเตียงนอนเพราะเชื่อว่าผีจะมาบอกกล่าวสิ่งต่างๆ ในความฝัน โดยจะทิ้งไว้ทั้งปีและทำความสะอาดปีละครั้งในช่วงปีใหม่ (หน้า 28-30) ในส่วนของ สะพาน จะทำด้วยผ้าป่านสีครีม บางครั้งจะพบเห็นว่าถูกย้อมเป็นสีครามหรือสีดำ พับทบกัน 2-3 ชั้นความยาวโดยประมาณ 5-8 เมตร กว้าง 25-90 ซม. ขึ้นอยู่กับขนาดของบ้าน ใช้ทำการเชื่อมต่อจาก ทางเดิน ของผีทำหน้าที่เป็นเสมือนสะพานเชื่อมจากพื้นดินหรือโลกไปถึงท้องฟ้าหรือสวรรค์เพราะระหว่างทาง ม้งเชื่อว่ามีแม่น้ำหรือทะเลขวางอยู่ สะพานจะถูกสร้างขึ้นในช่วงการเฉลิมฉลองเท่านั้นต่างกับทางเดินจะถูกใช้งานตลอดทั้งปี โดยจะติดตั้งแบบเดียวกับทางเดิน และในบางครั้งจะวางพาดตรงๆ บนบันได (หน้า 241-243) ม้งจะสร้าง บันได ซึ่งต่อจากสะพานเพื่อให้เหล่าผี วิญญาณ ใช้ในการปีนหน้าผาขึ้นไปที่บนถ้ำที่ซึ่งเทพซียีสอาศัยอยู่ บันไดจะถูกทำเพียงครั้งเดียวเมื่อมีความเสียหายก็จะสามารถเปลี่ยนหรือซ่อมแซมได้ทุกเมื่อ ไม่จำเป็นต้องช่วงเทศกาลปีใหม่ บันไดทำจากไม้ไผ่มีทั้งหมด 12 ซี่ สื่อถึงสวรรค์ทั้ง 12 ชั้น สามารถวางพาดได้หลายแบบแต่โดยมากจะพาดยาวเหนือหิ้งบูชาไปจนถึงประตูบ้าน (หน้า 244-245) ในทางพีธีกรรมหลังจากตั้งหิ้งบูชาและอุปกรณ์ต่างๆ แล้ว หมอผีจะเริ่มจากการสวดเรียกเหล่าเทพยดาและตามด้วยผีต่างๆ (เน้ง) มาประทับที่หิ้งบูชาเพื่อจะถวายเครื่องเซ่นไหว้ โดยจะกล่าวว่า “ ปีเก่าผ่านไป ปีใหม่ผ่านมา ข้าถวายไก่แก่ท่าน... (ชื่อเทพต่างๆ) จงขึ้นมาประทับที่หิ้งบูชาเพื่อสูบฝิ่น ลงมาที่หิ้งบูชาเพื่อดื่มชา มาช่วยปกปักรักษาพวกเรา ขับไล่โรคร้ายและสิ่งไม่ดี” (หน้า 34 และ 41) ผู้เขียนได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ตามความเชื่อของม้ง หมอผีเปรียบเหมือนพ่อ และจะเรียกเหล่าผีหรือเน้งว่าเป็นเหมือนกับลูกสาวและลูกชายของข้าทั้งหลาย หรือ หนุ่มสาวทั้งหลายของข้า หลังจากนั้นจะเป็นบทสวดในส่วนที่สอง คือการที่หมอผีจะเข้าไปสู่ในโลกของวิญญาณเพื่อนำพาเหล่าผี หรือแม้กระทั้งผีบ้านผีเรือน เทพยดา ไปหาเทพซียีสบนสวรรค์ ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญและใช้เวลามาก มีการนำเครื่องรางของขลังมาใช้ในพีธีกรรมด้วย หมอผีจะแสดงอาการเหมือนกำลังควบม้า มือขวาจะถืออุปกรณ์เป็นห่วงวงกลมทำจากเหล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 25-30 ซ.ม. ร้อยด้วยห่วงเล็กคล้ายเหรียญ 9 ชิ้น ปลายด้านหนึ่งจะยื่นออกมาเป็นรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดเล็กๆ ปลายแหลม โดยรวมมีลักษณะคล้ายกรรไกรของไทย มือซ้ายจะถือกระดิ่ง ผู้ช่วยในพิธีจะตีฆ้อง ถวายน้ำประหนึ่งให้เหล่าผีใช้ชำระล้าง โต๊ะเงินโต๊ะทองเพื่อตั้งเครื่องถวาย และมีการส่งน้ำชาและฝิ่นไปรอบๆ (หน้า 36-38) ในช่วงเวลาสวดบทการเดินทาง ผู้เขียนชี้ว่าหมอผีจะส่งเสียง “แบรรร” (Brrrr!) เป็นการสื่อที่จะบอกแก่เหล่าผีว่า “เราไปกัน เดินหน้า” (หน้า 57) เมื่อมาพบเทพซียีส หมอผีจะแนะนำตัวเองพร้อมกับบอกว่า “ปีเก่าผ่านไป ปีใหม่มาถึง ข้านำเหล่าทหารมาเพื่อกิน(เฉลิมฉลอง)ปีใหม่” จากนั้นจะตั้งโต๊ะเงินโต๊ะทองวางเครื่องถวาย และกล่าวว่า “เมื่อถึงเวลา ข้าจะมารับเหล่าผี วิญญาณกลับไปยังโลกเพื่อคอยปกป้องคุ้มครอง”(หน้า113) หลังจากวันสิ้นปีม้งทำพิธีให้ผี(เน้ง)กลับไปหาเทพซียีส ในวันสุดท้ายของเทศกาลปีใหม่จะต้องทำการเรียกกลับให้มาประทับที่หิ้งบูชาดังเดิม เพื่อคอยคุ้มครองและรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้ม้ง จะมีผลต่อการกำหนดหรือขยายจำนวนวันฉลองเทศกาลปีใหม่โดยจะกำหนดเป็นเลขคี่ คืออย่างต่ำ 3 วันและไม่เกิน 9 วัน โดยเชื่อว่าผียังต้องการอยู่ต่อกับเทพซียีส นอกจากนั้นในโลกปัจจุบันการขยายวันเทศกาลยังขึ้นอยู่กับขนาดของหมู่บ้านและบรรยากาศในการรื่นเริงด้วย (หน้า 3 และ 241) ในการนำเหล่าผีกลับมาประทับบนหิ้งบูชา หมอผีจะทำพิธีคล้ายกับตอนส่งผีไปหาเทพซียีสบนสวรรค์ โดยจะเริ่มจากสวดถวายเครื่องเซ่นไหว้ หมอผีเข้าไปในโลกวิญญาณ กราบไหว้เทพซียีส และนำเหล่าผีกลับมาโดยสุดท้ายจะเป็นการทำสวดเรียกผีมาที่ประตูและผ่านเข้ามาประทับที่หิ้งบูชาเพื่อคุ้มครอง ปกปักรักษาม้งจากโรคภัยไข้เจ็บและสิ่งชั่วร้ายต่างๆ (หน้า 250-257) นอกจากพิธีกรรมที่เกี่ยวกับเทพเจ้า ม้งยังมีพิธีกรรมอื่นๆ ที่ทำขึ้นเพื่อใช้เป็นฤกษ์งาน เหมือนกับการทิ้งสิ่งไม่ดีไว้กับปีเก่า และเริ่มต้นสิ่งที่ดีๆ ในปีใหม่ มีการสร้างต้นไม้ของวันปีใหม่หรือเสาของวิญญาณ โดยมีพื้นฐานมาจากวัฒนธรรมดั้งเดิมของคนจีน ม้งจะตั้งเสาขึ้นที่ลานกลางแจ้ง 1 ต้น ผูกโยงกับต้นไม้สูงประมาณ 3 เมตร ให้มีลักษณะเป็นช่องเดินลอดผ่านได้ เป็นเหมือนประตูผ่านจากปีเก่าไปสู่ปีใหม่ และอีกหน้าที่หนึ่งเป็นเหมือนประตูกับดักวิญญาณร้าย สิ่งที่ไม่ดี โรคภัยไข้เจ็บให้อยู่กับปีเก่า พิธีกรรมจะทำโดยหัวหน้าของแซ่ (ตระกูล) เดินนำหน้า โดยถือไก่ตัวผู้แล้วแกว่งไปมาเหนือศีรษะ เพื่อให้คุ้มครองวิญญาณ พิธีกรรมจะใช้เวลาประมาณ 15 นาที ม้งจะยิงปืนขึ้นฟ้า เหมือนคนจีนจุดพลุหรือประทัด เพื่อต้อนรับปีใหม่และขับไล่สิ่งไม่ดีของปีเก่า จากนั้นจะนำต้นไม้ปีใหม่ ขยะต่างๆ และของที่ถูกกวาดทำความสะอาดไปทิ้งที่หุบเขา ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์บ่อมังกร หรือแม่น้ำที่จะพัดพาสิ่งไม่ดีไป ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ม้งแต่ละวงศ์ตระกูลจะทำร่วมกัน (หน้า 128-131) หลังจากนี้จะกลับมาทำพิธีต่อที่บ้าน ทำพิธีเชิญจิตวิญญาณของตนให้กลับมาที่บ้าน เพราะกลัวที่จะพัดหลงไปเกิดที่อื่น เพราะม้งเชื่อว่าคน 1 คนจะมีหลายวิญญาณหรือหลายขวัญ ไม่เหมือนกับคนยุโรปที่เชื่อว่าคน 1 คนจะมี 1 วิญญาณเท่านั้นจนถึงแก่ความตาย (หน้า 136) มีการกราบไหว้ผีบ้านผีเรือนที่คอยปกป้องบ้าน ให้ความสุข ความร่ำรวยแก่ม้ง และสุดท้ายไม่ลืมที่จะแสดงความเคารพบรรพบุรุษ โดยมีการถวายเครื่องเซ่นไหว้บรรพชน ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นพิธีกรรมที่สามารถทำได้ทุกโอกาสไม่จำเป็นต้องเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่ (หน้า 180) ม้งยังเชื่อในเรื่องคำทำนาย ดูได้จากผู้เขียนแสดงรูปแบบในการทำนายอนาคตจากวัตถุต่างๆ เครื่องเซ่นไหว้ที่มีในช่วงเทศกาลปีใหม่ มีการใช้เขาสัตว์จำพวกโค กระบือในการเสี่ยงทายและการสอบถามผี วิญญาณ (การโยนกัวะ) การสังเกตลักษณะอวัยวะของไก่หรือเป็ดที่เซ่นไหว้ เช่น หัว ลิ้น ปาก หรือแม้แต่ตำแหน่งของตีน กระดูก ม้งเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติอย่างมาก (หน้า 142-146) นอกจากนั้นผู้เขียนยังได้เฝ้าติดตามประเพณีความเชื่อของม้ง โดยอธิบายออกมาเป็นกิจกรรมที่ทำขึ้นในวันขึ้นปีใหม่ด้วย ในตอนค่ำคืน ม้งจะจุดตะเกียงทิ้งไว้ เพราะเชื่อว่าเป็นการต้อนรับวันปีใหม่และเป็นไฟนำทางให้เทพซียีส หรือวิญญาณต่างๆ กลับมาเยี่ยมเยียนได้ (หน้า 191) หลังจากไก่ขันในตอนเช้าประมาณ 3 นาฬิกาของวันขึ้นปีใหม่ ม้งจะรีบตื่นขึ้นมาให้อาหารแก่สัตว์เลี้ยงของตน ผู้หญิงจะออกไปตักน้ำที่บ่อหรือธารน้ำเพื่อจะมาทำอาหารหรือต้มไก่สำหรับการเซ่นไหว้ สำหรับม้งประเพณีทั้ง 2 ที่กล่าวมา จะเชื่อว่าเป็นการถือฤกษ์ดีสำหรับในปีต่อมา ในขณะเดียวที่ฝ่ายหญิงทำงานบ้าน ฝ่ายชายจะเตรียมการไหว้ผีประตูบ้าน (Txhiaj Meej) ซึ่งได้รับวัฒนธรรมมาจากจีน มีการตกแต่งแท่นบูชาที่บริเวณประตูทางเข้า จัดว่าเป็นพิธีกรรมที่สำคัญมากของปี ผีประตูก็เหมือนกับผีบ้านผีเรือน คือจะให้ความร่ำรวยมั่งคั่งแก่ครอบครัว ป้องกันไม่ให้สิ่งชั่วร้ายผ่านเข้าไปในบ้าน ม้งจะตกแต่งทิ้งไว้ตลอดทั้งปี ลักษณะของหิ้งนอกจากจะมีธรณีประตูที่กั้นขวางสัตว์ต่างๆ ด้านบนยังมีจั่วที่ปิดด้วยแถบผ้าสีแดง ปิดฝั่งเหรียญไว้ 5 เหรียญ ด้านข้างของจั่วทั้ง 2 ข้างเป็นแถบกระดาษสีขาวขอบเป็นยักฟันปลา ฝ่ายชายจะตั้งโต๊ะบูชาหลังประตูด้านในของบ้านเพื่อวางเครื่องเซ่นไหว้ ใช้คน 4 คนในการทำพิธี โดย 1 ใน 2 คนที่อยู่ด้านนอกเป็นเหมือนตัวแทนสวรรค์ และ 1 ใน 2 คนที่อยู่ด้านในเป็นตัวแทนของผีประตู สวดสลับกันหรือในที่นี้จะเป็นการสนทนาตั้งคำถาม (หน้า 193-197)

Education and Socialization

(ไม่ระบุ)

Health and Medicine

(ไม่ระบุ)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ผู้เขียนได้อธิบายผลิตภัณฑ์งานฝีมือของม้งที่เกี่ยวพันกับเทศกาลปีใหม่ไว้หลายอย่างโดยละเอียด มีภาพวาดและภาพถ่ายประกอบด้วย ช่วงใกล้เทศกาลม้งจะทำลูกข่างไม้ ซึ่งเป็นเหมือนสัญญาณของเวลาเทศกาลได้เริ่มขึ้น ลูกข่างมีลักษณะคล้ายผลส้มโอปลายแหลม ทำจากไม้ ม้งจะหมุนลูกข่างด้วยสายยาวประมาณ 1-1.5 เมตร ขว้างใส่ลูกข่างคู่ต่อสู้ให้ล้ม โดยที่ลูกข่างของตนเองยังคงหมุนอยู่ จัดเป็นประเพณีที่สร้างความสัมพันธ์ในกลุ่มเด็กหนุ่มของหมู่บ้านด้วย นอกจากนี้ผู้เขียนยังอธิบายประเพณีการทำขนมปีใหม่ (Khanom) จากข้าวเหนียว และมีการกลั่นเหล้าจากข้าวหรือข้าวโพด เพื่อใช้สำหรับงานรื่นเริงช่วงเทศกาล (หน้า 9-16) ผู้เขียนชี้ว่า ช่วงเทศกาลปีใหม่เป็นช่วงเวลาที่หนุ่มสาวได้มีโอกาสพบปะเจอหน้ากัน ทำให้เราได้เห็นเครื่องแต่งกายประจำถิ่นที่ม้งจะสวมใส่ด้วย โดยผู้หญิงม้งเขียวจะสวมกระโปรงจีบ แต่ม้งขาวจะสวมกางเกงจีนสีดำ และโพกผ้าสีต่างๆ ที่ศีรษะ พ่อแม่จะให้เครื่องประดับจำพวกสร้อย กำไล อุบะหรือสร้อยระย้าร้อยจากเหรียญโบราณ (หน้า 225) ในส่วนของการละเล่น ผู้เขียนได้พูดถึงการตีลูกไก่ไว้ในกิจกรรมของม้งด้วย แต่ที่สำคัญจะเป็นการเล่นโยนผ้า ซึ่งเป็นเสมือนประเพณีการหาคู่ จับคู่ของหนุ่มสาวม้ง เป็นกิจกรรมที่ไม่อนุญาตให้คนแต่งงานแล้วเข้าร่วม ผ้าหรือลูกบอล (Khaub hnab) ที่ใช้โยนจะมีขนาดเท่ากับส้มผลใหญ่ โดยเป็นฝ่ายหญิงที่จะเย็บและนำมาในงาน การละเล่นจะแบ่งเป็น 2 แถว ชายหญิงหันหน้าเข้าหากัน ร้องเพลงเกี๊ยวพาราสีพร้อมกับโยนบอลให้รับ ใครทำบอลตกก็จะต้องถอดอาภรณ์ที่ละชิ้นให้ฝ่ายตรงข้าม และจะแอบคืนของกันตอนค่ำ โดยฝ่ายชายจะแอบไปหาและชักชวนกันไปนอกบ้าน (หน้า 225-226)

Folklore

ผู้เขียนได้เล่าถึงนิยายปรัมปราของม้ง เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ชัดเจนมากขึ้นในเรื่องเกี่ยวกับพิธีกรรมความเชื่อ ประเพณี โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ ผู้เขียนอธิบายว่า เทพสูงสุดผู้สร้างโลกมนุษย์ โหย่วโช้ว (Saub) เกรงว่า เทพ Ntxwj Nyoog ซึ่งเป็นเทพแห่งชีวิตและโชคชะตา จะทำให้ผู้คน(มนุษย์) ล้มตายเป็นจำนวนมากจนอาจจะสาบสูญ จึงได้เปลี่ยนมนุษย์คนหนึ่งเป็นเทพ (เทวดา) มีชื่อว่า ซียีส (Sie Yis) เพื่อคอยปกปักรักษามนุษย์ และยังได้สร้างเหล่าวิญญาณหรือผี เน้ง (Neeb) เพื่อคอยช่วยเหลือเทพซียีส แต่หลังจากได้ใช้ชีวีตอยู่บนโลกระยะหนึ่ง เทพซียีส กลับหนีจากมนุษย์ขึ้นไปประทับในถ้ำบนหน้าผาแห่งหนึ่งบนสวรรค์ และปล่อยให้เน้งหรือภูติผีต่างๆ เป็นตัวแทนคอยปกปักรักษามนุษย์บนโลกแทน (หน้า 21) ถ้ำของเทพซียีสจะตั้งอยู่ที่ชั้นสุดท้ายจากจำนวน 12 ชั้นบนสวรรค์ บริเวณโดยรอบจะมีต้นไม้ยาชนิดหนึ่ง ซึ่งจะต้องใช้น้ำมนต์ในการรดน้ำ (หน้า 24) ตามความเชื่อของม้ง ในช่วงเทศกาลปีใหม่เป็นช่วงเดียวของปีที่ม้งจะสร้าง เส้นทาง สะพาน บันได ในพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับสรวงสวรรค์ หมอผีประจำเผ่าจะนำพาเน้งหรือผีต่างๆ จะขึ้นไปเพื่อให้เหล่าภูติผีได้เฉลิมฉลอง เยี่ยมเยือนเทพซียีส ซึ่งเป็นเสมือนกษัตย์ของเหล่าผีเน้ง โดยมอผีจะทำพิธีเซ่นไหว้ มีการตั้งแท่นหรือหิ้งบูชา กราบไหว้เพื่อขอความคุ้มครอง โดยเหล่าผีเน้งจะกลับสู่โลกมนุษย์ในวันสุดท้ายของเทศกาลพร้อมกับอำนาจในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่ได้รับจากเทพซียีส ด้วย (หน้า 21-23)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

(ไม่ระบุ)

Social Cultural and Identity Change

(ไม่ระบุ)

Other Issues

(ไม่ระบุ)

Map/Illustration

ผู้เขียนได้แทรกภาพถ่ายและภาพร่างไว้จำนวนมาก เพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นภาพและทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น - ภาพวาดลูกข่างไม้ (หน้า 9) - ภาพวาดเตาต้มขนม (หน้า 15 – 16) - ภาพวาดเตาต้มเหล้า (หน้า 16) - ภาพถ่ายหมู่บ้านม้งก่อนเทศกาลปีใหม่ (หน้า 18) - ภาพถ่ายการเล่นลูกข่าง (หน้า 18) - ภาพถ่ายการทำขนมปีใหม่ (หน้า 19) - ภาพถ่ายการต้มเหล้า (หน้า 19) - ภาพถ่ายผู้หญิงม้งกับเครื่องเซ่นไหว้ (แทรกหน้า 24) - ภาพถ่ายหิ้งบูชาทั้ง 3 หิ้งในบ้าน (แทรกหน้า 24) -ภาพถ่ายกิ่งไม้ไผ่ที่ยื่นออกมาหน้าบ้านทำหน้าที่เหมือนตัวเชื่อม(ที่เกาะ)ของผี (แทรกหน้า 24) - ภาพพิธีกรรมในบ้านของหมอผีในการพาผีไปหาเทพซียีส (แทรกหน้า 24) - ภาพวาดหิ้งบูชาที่อยู่ในบ้าน (หน้า 25) - ภาพวาดอุปกรณ์ตกแต่งหิ้งบูชาเป็นลวดลายที่สื่อถึงเหล่าผี (หน้า 25) - ภาพวาดหิ้งบูชาและเครื่องรางของขลังที่ใช้ในพิธีกรรม (หน้า 27) - ภาพวาด ทางเดิน ของผีที่ทำจากสายสิญจน์ เชื่อมจากแท่นบูชาที่คานบ้านและไปสิ้นสุดที่ประตู (หน้า 31) - ภาพวาดต้นไม้ปีใหม่ทางพิธีกรรมของเทศกาลปีใหม่ (หน้า 129) - ภาพถ่ายพิธีกรรมบริเวณต้นไม้ปีใหม่ (แทรกหน้า 136) - ภาพถ่ายเกี่ยวกับพิธีกรรมเดินลอดต้นไม้ปีใหม่ (แทรกหน้า 136) - ภาพถ่าย เกี่ยวกับเครื่องไหว้เจ้า (แทรกหน้า 136) - ภาพบรรยากาศรอบๆ บ้านในช่วงเทศกาลปีใหม่ (แทรกหน้า 136) - ภาพวาดลวดลายบนกระดาษเงินกระดาษทองที่ใช้ในพิธีกรรม (หน้า141) - ภาพวาดเขาสัตว์(กัวะ) และลักษณะตำแหน่งที่ใช้ทำนายอนาคต (หน้า 142 -143) - ภาพวาดอวัยวะของไก่ที่ถูกเซ่นไหว้ในรูปแบบต่างๆ เพื่อใช้ในการทำนายอนาคต (หน้า 144 -146) - ภาพถ่ายการเริ่มต้นของวันปีใหม่นับจากไก่ขันครั้งแรกของวันและการไปตักน้ำที่ลำธารของผู้หญิงม้ง (แทรกหน้า 192) - ภาพถ่ายผู้ชายม้งเตรียมการเซ่นไหว้ ผีประตู (แทรกหน้า 192) - ภาพถ่ายม้งกำลังจ้องมองไก่ป่าจะถ่ายมูลหรือไม่เป็นหนึ่งในความเชื่อ (แทรกหน้า 192) - ภาพถ่ายการชนวัวในงานเทศกาลปีใหม่ (แทรกหน้า 192) - ภาพวาดหิ้ง “ผีประตู” (หน้า 193) - ภาพวาดประตูบ้านและการตั้งเครื่องเซ่นไหว้ผีประตู (หน้า 195) - ภาพวาดตำแหน่งของคน 4 คนทำพิธีไหว้ผีประตู (หน้า 196) - ภาพถ่าย 2 ภาพ เกี่ยวกับการละเล่นโยนผ้า (แทรกหน้า 224) - ภาพถ่ายม้งผู้หญิงในชุดประจำเผ่า (แทรกหน้า 224) - ภาพถ่ายม้งผู้ชายเกี้ยวพาราสีผู้หญิงบริเวณข้างห้องนอน (แทรกหน้า 224) - ภาพวาดเกี่ยวกับ สะพาน และ บันได ตามพิธีกรรมและตาม ความคิดของม้ง (หน้า 242 -247) - ภาพวาดห่วงกลมหรือกรรไกร อุปกรณ์ที่ใช้ในพิธีของหมอผี (หน้า 252 -253) - ภาพถ่าย สะพาน และ บันได สมมุติตามพิธีกรรม (แทรกหน้า 256) - ภาพถ่ายหมอผีกำลังทำพิธีเซ่นไหว้ผีหรือเน้ง(Neeb) เรียกให้กลับ มาอยู่ที่หิ้งบูชา (แทรกหน้า 256) - ภาพถ่ายหมอผีและภรรยากำลังทำพิธีกรรมกราบไหว้วิญญาณ และผี (แทรกหน้า 256) - ภาพถ่ายเครื่องเซ่นไหว้ (สุกร) แสดงตำแหน่งและรูปแบบในการจัดวาง (แทรกหน้า 256)

Text Analyst อนุศิษฐ์ พิบูลศิริ Date of Report 02 ต.ค. 2567
TAG ม้งขาว, ประเพณีงานปีใหม่, พิธีกรรมทางศาสนา, การละเล่น, อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม, เข็กน้อย, เพชรบูรณ์, ประเทศไทย, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง