|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลื้อ,ผ้า,เศรษฐกิจ,วิถีชีวิต,น่าน |
Author |
ลำแพน จอมเมือง, สุทธิพงษ์ วสุโสภาพล |
Title |
ผ้าทอไทลื้อ : เศรษฐกิจชุมชนเพื่อการพึ่งตนเอง |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ไทลื้อ ลื้อ ไตลื้อ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
144 |
Year |
2546 |
Source |
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) |
Abstract |
เนื้อหางานเกี่ยวกับการศึกษาแบบแผนการทอผ้าของชุมชนไทลื้อตำบลศิลาแลง อำเภอปัว จังหวัดน่าน แต่เดิมไทลื้อมีอาชีพหลักคือ ทำนาทำไร่ และทอผ้า เพื่อใช้สอยในครัวเรือน หญิงสาวไทลื้อก่อนที่จะแต่งงานต้องทอผ้าเตรียมไว้เพื่อมอบให้ญาติผู้ใหญ่ที่มาร่วมเป็นเกียรติในงานแต่งงาน กระทั่งภายหลังไทลื้อในตำบลศิลาแลงได้มีการรวมกลุ่มทอผ้าเพื่อร่วมกันทำงาน แลกเปลี่ยนความรู้และจำหน่าย นอกจากนี้ในงานเขียนยังได้กล่าวถึงความเป็นมาของไทลื้อซึ่งเดิมอาศัยอยู่ในดินแดนสิบสองปันนาและเมื่อเกิดศึกสงครามในสมัยนั้นระหว่างเมืองน่านและสิบสองปันนาและเมืองอื่นๆ ภายหลังสงครามไทลื้อจึงถูกกวาดต้อนมาอยู่ในจังหวัดน่านจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ไทลื้อเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ความเชื่อ วัฒนธรรม ภาษา รวมทั้งศิลปะการทอผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง |
|
Focus |
ศึกษาแบบแผนการทอผ้า สถานภาพชุมชนกับการจัดการธุรกิจชุมชนเพื่อการพึ่งตนเอง และบทบาทธุรกิจชุมชนกับการพัฒนาทางเลือกในการพึ่งตนเองของชุมชนไทลื้อ (หน้า 5) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทลื้อ ลื้อ หรือ ไตลื้อ เป็นกลุ่มที่อยู่ในตระกูลภาษาไทลาว สันนิษฐานว่าเมื่อก่อนเคยมีที่อยู่อาศัยอยู่ในสิบสองปันนา มณฑลยูนนานทางตอนใต้ของประเทศจีน ปัจจุบันไทลื้ออาศัยอยู่ในหลายพื้นที่ด้วยกัน ได้แก่ ประเทศจีน พม่า ลาว และภาคเหนือตอนบนของไทย เช่น จังหวัดพะเยา เชียงราย ลำพูน ลำปาง เชียงใหม่ แพร่ และน่าน กระจายอยู่ในหลายหมู่บ้านในอำเภอต่างๆ อาทิเช่น อำเภอท่าวังผา ปัว เชียงกลาง สองแคว ทุ่งช้าง สันติสุข บ้านหลวง และอำเภอแม่จริม (หน้า 36-37) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาลื้อ อยู่ในกลุ่มภาษาตระกูลไทลาว ตัวหนังสือภาษาไทลื้อได้รับรูปแบบมาจากตัวหนังสือธรรมล้านนาและได้พัฒนารูปพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ ภาษาไทลื้อมีสำเนียงใกล้เคียงกับภาษาภูไท ภาษาคนเมือง (คำเมือง) ภาษาลาว และค่อนข้างได้รับอิทธิพลจากภาษาพม่า (หน้า 36, 39) ตัวอย่างมีดังนี้ ภาษากรุงเทพ ภาษาเมืองน่าน ภาษาลื้อ เมือง เมือง เมิง เกลือ เกือ เก๊อ ดม ดม ดุม และคำอื่นๆ (หน้า 40) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติการอพยพของไทลื้อเข้ามาอยู่จังหวัดน่าน ในพงศาวดารเมืองน่านได้ระบุว่า ในอดีตเจ้าเมืองน่านได้ไปทำการกวาดต้อนไทลื้อจากดินแดนสิบสองปันนาหลายครั้งหลายครา อาทิ ช่วงปี พ.ศ.2331 สมัยรัชกาลที่ 1 ในยุคนั้นเจ้าเมืองน่านได้สวามิภักดิ์ต่อไทยและได้ดำเนินนโยบาย ”เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง” และได้ยกกองทัพไปทำสงครามกับเมืองสิบสองปันนา เมื่อชนะสงครามก็ได้กวาดต้อนไทลื้อมาอยู่ที่เมืองน่าน และเจ้าเมืองน่านได้ทำการกวาดต้อนไทลื้ออีกครั้งในช่วง พ.ศ.2355 ได้อพยพไทลื้อมาจากเมืองต่างๆ ได้แก่ เมืองพง เมืองล้า เชียงแข็ง เมืองหลวงภูคา และการกวาดต้อนครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อเจ้าเมืองน่านไปทำสงครามกับเมืองเชียงรุ้งโดยได้ทำการกวาดต้อนไทลื้อมาในช่วงพ.ศ.2398-2399 (หน้า 35-36) |
|
Settlement Pattern |
บ้านไทลื้อ ไทลื้อชอบสร้างบ้านเป็นแบบใต้ถุนสูง มีหลายทรง เช่น ทรงปั้นหยา ทรงหน้าจั่ว ทรงมะนิลา บ้านมุงหลังคาหลายแบบขึ้นอยู่กับฐานะเศรษฐกิจ เช่น ถ้าฐานะไม่ดีก็จะมุงด้วยหญ้าคา ถ้าร่ำรวยก็มุงด้วยแป้นเกล็ดหรือ กระเบื้องไม้ กระเบื้องดินขอ หรือ กระเบื้องดินเผา สำหรับการจัดบ้าน ถ้าเป็นบ้านแบบดั้งเดิม จะตั้งเตาไฟไว้ตรงหน้าห้องนอนและจะทำที่ตั้งของร้านน้ำให้อยู่ถัดจากระเบียงบ้าน (เรื่องและภาพหน้า 42) สำหรับจุดเด่นของบ้านไทลื้อก็คือจะสร้างหลังคาคลุมบันไดบ้าน ยุ้งข้าวจะสร้างติดกับตัวบ้าน ส่วนพื้นที่ใต้ถุนบ้านซึ่งเป็นแบบใต้ถุนสูงจะกั้นเป็นคอกเอาไว้เลี้ยงวัว ควาย หรือทำเล้าเลี้ยงไก่ หรือเป็นที่ตั้งกี่ทอผ้า เป็นต้น (หน้า 43) |
|
Demography |
ประชากรในจังหวัดน่าน มีประชากรทั้งหมดจำนวน 480,771 คน เป็นผู้ชาย 243,724 คนและเพศหญิง 237,047 คน รวมกับชาวเขาชาติพันธุ์ต่างๆ ที่มีจำนวน 60,309 คน โดยแบ่งออกเป็น ม้งหรือแม้ว 15,761 คน เย้าหรือเมี่ยน 8,068 คน ขมุหรือถิ่น 7,587 คน ลั้วะ 30,768 คน มาบรีหรือตองเหลือง 125 คน (หน้า 26) ประชาชนตำบลศิลาแลง มีประชากรทั้งหมด 3,750 คนมีทั้งหมด 7 หมู่บ้าน เป็นหมู่บ้านไทลื้อ 6 หมู่บ้าน และหมู่บ้านคนพื้นเมือง 1 หมู่บ้าน (หน้า 33) |
|
Economy |
เศรษฐกิจของจังหวัดน่าน สำหรับเรื่องเศรษฐกิจของจังหวัดน่านนั้นในการศึกษาได้ระบุไว้ดังนี้ประชากรในจังหวัดมีรายได้เฉลี่ย 29,022 บาทต่อปี ส่วนใหญ่จะเป็นรายได้ด้านการเกษตรคิดเป็น 22.75%หรือมูลค่า 2,903,742 ล้านบาท อันดับสองคือการค้าขายคิดเป็น 22.24 % หรือ 2,840,889 ล้านบาท (หน้า 26) การเกษตรกรรม ประชากรในจังหวัด ทำอาชีพเกษตรกรรมจำนวน 85 % หรือจำนวน 78,866 ครอบครัว และมีพื้นที่ทำการเกษตรในจังหวัดจำนวน 707,589.75 ไร่ หรือ 9.87% ของพื้นที่อื่นๆ นอกนั้นเป็นพื้นที่ป่าไม้ 41.01 % และเป็นพื้นที่ที่ไม่ได้จำแนกอีก 49.12 % พืชที่ปลูกได้แก่ ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ส้มเขียวหวาน ลำไย มะขามหวาน ลิ้นจี่ (หน้า 27-28) การอุตสาหกรรม ในจังหวัดน่านทำอุตสาหกรรมในครัวเรือนหลายอย่าง เช่น โรงบ่มใบยาสูบ โรงสีข้าว ผ้าทอพื้นเมือง ผลิตภัณฑ์จากหวาย เครื่องเงิน กระดาษสา มีโรงงานในจังหวัด 507 แห่ง และทำการจ้างงานจำนวน 3,339 คน นอกจากนี้ ค้าขายพืชผักต่างๆ (หน้า 29) เศรษฐกิจการทอผ้าของชุมชนไทลื้อ เดิมไทลื้อในชุมชนศิลาแลงจะมีอาชีพทำไร่ทำนาและปลูกพืช จำพวก ยาสูบ ถั่วเหลือง ข้าวโพด ผัก ปลูกผลไม้ เช่น ลำไย ส้ม ลิ้นจี่ มะม่วง (หน้า 43-45) นอกจากการทำนาทำไร่แล้ว ไทลื้อยังทอผ้าเพื่อเป็นรายได้เสริมในครอบครัวเช่นที่บ้านดอนไชย ตำบลศิลาลาคนทอผ้าจะมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 1,500-3,000 บาทต่อเดือน ตามปกติหญิงไทลื้อจะทอผ้าเพื่อใช้ในครัวเรือน ก่อนการแต่งงานงานหญิงสาวจะต้องเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ได้แก่ สะลีที่นอน(ฟูก) ผ้าหลบผ้าปูที่นอน ผ้าแหลบหรือผ้าปูนอนกับพื้น หมอนหกคือหมอนสี่หลอมด้านข้างจะเป็นที่ยัดใส่นุ่น มีหกช่อง หมอนผาหรือหมอนขวาน เป็นหมอนอิงรูปสามเหลี่ยม (หน้า 46, 54,57,58,76) สำหรับการทอผ้าที่เปลี่ยนมาเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายนั้นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงแรกคือระหว่าง พ.ศ.2522-2544 มีการรวมกลุ่มกันที่บ้านดอนไชย ได้รับการส่งเสริมจากองค์การออคเคนเดน เวนเจอร์ (ทุกวันนี้เปลี่ยนเป็นชื่อ “สมาคมพัฒนาไทยพายัพ”) เป็นองค์กรการกุศล เริ่มแรกมีคนรวมกลุ่ม 5-6 คน ทอผ้าคลุมไหล่ ผ้าพันคอ และอื่นๆ องค์กรเป็นตัวแทนจำหน่ายให้ ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด กระทั่งในระหว่าง พ.ศ.2525-2530 กลุ่มได้รับสมาชิกเพิ่มเป็น 30 คน แบ่งหน้าที่กันทำงานและมีกรรมการทำงานในกลุ่มทอผ้าและจำหน่าย เมื่อ พ .ศ. 2536 ถึงปัจจุบัน หมู่บ้านก็ได้ให้ความสนใจในการทอผ้าและมีการรวมกลุ่มกันเพื่อตั้งข้อตกลงในการทำงาน การย้อมสีธรรมชาติ การจำหน่าย และมีการพัฒนาสินค้าให้เข้ากับยุคสมัย และผลิตผ้าทอสมัยใหม่ เช่น ผ้าคลุมไหล่ ผ้าพันคอ ผ้าตัดชุด ผ้ารองจาน กระเป๋าเดินทาง กระเป๋าเครื่องสำองค์ กระเป๋าเงิน (หน้า 62,63,64 ตารางหน้า 65) สถานภาพชุมชนกับการจัดการธุรกิจชุมชนเพื่อการพึ่งตนเองจากการทอผ้า ในงานเขียนได้ระบุว่า การทอผ้าของไทลื้อ มีพื้นฐานที่มาจากวัฒนธรรมของไทลื้อและเป็นการผลิตที่สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตและได้รับการสืบทอดมาจากอดีต เพื่อช่วยให้ครัวเรือนมีรายได้ที่ดีขึ้น และเป็นการส่งเสริมให้เกิดการพึ่งตนเองของชุมชน ในงานระบุว่าไทลื้อส่วนใหญ่ในชุมชนศิลาแลงประกอบอาชีพทำนา ทำสวน(46.6%) รองลงมาคือทำงานรับจ้างทั่วไป (32.4%) นอกจากนี้ทำงานราชการ ก่อสร้าง สำหรับการทอผ้านั้นไทลื้อจะทำเป็นอาชีพเสริมและว่างจากการทำงานอื่นๆ (หน้า 83-84, 79-104) บทบาทธุรกิจชุมชนกับการพัฒนาทางเลือกในการพึ่งตนเองของชุมชน ในงานเขียนระบุว่า กระบวนการทอผ้าของไทลื้อในตำบลศิลาแลงนั้นได้วิวัฒนาการมาอย่างยาวนานในด้านสังคมและวัฒนธรรมและมีรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาธุรกิจในชุมชนก็คือมีลักษณะการผลิตที่ผสมผสานกัน 2 แบบประกอบด้วย การผลิตเพื่อยังชีพหรือการผลิตเพื่อใช้ในครัวเรือนและชุมชนกับการผลิตเพื่อจำหน่ายให้กับตลาด การทอผ้ายังช่วยให้คนในชุมชนมีงานทำเนื่องจากใช้แรงงานในครัวเรือนและเป็นอาชีพเสริมรองจากการเกษตรกรรม หากจะเป็นการจ้างงานก็จะจ้างงานในกลุ่มเครือญาติซึ่งช่วยทำให้คนในชุมชนมีรายได้ อาชีพการทอผ้ายังได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและองค์การพัฒนาเอกชน ซึ่งจะทำให้กลุ่มมีความเข้มแข็งและเป็นแนวทางในการพัฒนาในส่วนอื่นของชุมชนต่อไป (หน้า 121,105-124) จากผ้าทอไทลื้อพัฒนามาเป็นธุรกิจชุมชนบนความพยายามพึ่งตนเองของชุมชน งานเขียนระบุว่า ธุรกิจชุมชนเป็นหนทางในการทำให้เกิดรายได้ และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนอันจะเป็นการช่วยลดปัญหาทั้งหลายในสังคมและจะส่งผลดีต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ (หน้า 131,125-134) |
|
Social Organization |
โครงสร้างสังคม ลักษณะความสัมพันธ์ทางสังคมมีแบบต่างๆ ดังนี้ 1) ความสัมพันธ์แบบครัวเรือน เมื่อก่อนครอบครัวของไทลื้อจะเป็นครอบครัวแบบขยายมีคนอยู่ในบ้านประมาณ 7 ถึง 15 คน แต่ทุกวันนี้ก็มีครอบครัวเดี่ยวเพิ่มขึ้นไม่น้อย สำหรับครอบครัวขยายถ้าจะมีการแยกครอบครัวต้องมีลูกคนหนึ่งอยู่ ”อยู่เรือนเก๊า” (เฮินเก๊า) ทำหน้าที่ดูแลพ่อแม่เมื่อแก่เฒ่า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลูกคนสุดท้อง (หน้า 38,45) 2) ความสัมพันธ์แบบสายตระกูล ไทลื้อสืบเชื้อสายทางตระกูลฝ่ายแม่และนับถือผีฝ่ายแม่ (หน้า 38) 3) ความสัมพันธ์แบบต่างตระกูล เมื่อก่อนไทลื้อมักแต่งงานในสายตระกูลเดียวกัน ในภายหลังได้มีการแต่งงานระหว่างสายตระกูลมาขึ้นกระทั่งทุกวันนี้ก็มีการแต่งงานกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นด้วย (หน้า 38) การเลือกคู่ครอง หนุ่มสาวจะมีโอกาสเลือกคู่ครองหรือเรียกว่า “อยู่ข่วง” หรือ “อยู่นอก” คนหนุ่มคนสาวจะมาที่ลานของหมู่บ้านเพื่อเกี้ยวพาราสีพูดคุยกันขณะปั่นด้ายในตอนกลางคืน เมื่อคู่หนุ่มสาวตกลงที่จะแต่งงานกันก็จะให้ผู้ใหญ่ไปสู่ขอ ที่บริเวณนอกชานบ้านของเจ้าสาวและการจัดงานแต่งงานก็จะจัดที่บ้านของเจ้าสาวเช่นกัน การจัดพิธีเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวก็จะนั่งคู่กันที่บริเวณเครื่องบูชาซึ่งเรียกว่า ”เข้าขัน” คนที่เป็นเฒ่าแก่จะให้พรต่อไปก็จะผูกข้อไม้ข้อมือให้กับเจ้าบ่าวเจ้าสาว ต่อไปเมื่อทำพิธีเรียบร้อยก็จะเลี้ยงอาหารแขกเหรื่อที่มาช่วยงาน (หน้า 49) |
|
Political Organization |
การปกครองของจังหวัดน่าน แบ่งการปกครองเป็น 14 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอทุ่งช้าง เชียงกลาง บ่อเกลือ สองแคว ปัว ท่าวังผา เฉลิมพระเกียรติ อำเภอเมือง แม่จริม อำเภอบ้านหลวง สันติสุข และ กิ่งอำเภอภูเพียง แบ่งออกเป็น 99 ตำบล 826 หมู่บ้าน ในการปกครองท้องถิ่น แบ่งเป็น 1 องค์การบริหารส่วนตำบล 67 องค์การบริหารส่วนตำบล 1 เทศบาลเมือง 7 เทศบาลตำบล (หน้า 25) การปกครองของตำบลศิลาแลง มีทั้งหมด 7 หมู่บ้าน ประกอบด้วยหมู่บ้านไทลื้อ 6 หมู่บ้าน ได้แก่บ้านเฮี้ย บ้านดอนไชย บ้านตีนตก บ้านหัวน้ำ บ้านหัวดอย บ้านฝาย หมู่บ้านคนพื้นเมือง 1 หมู่บ้าน คือบ้านศาลา ตำบลปกครองโดยสภาตำบลศิลาแลงโดยมีกำนันและผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้นำตั้งแต่ พ.ศ.2506 และมีการบริหารงานแบบองค์การบริหารส่วนตำบล เมื่อ พ.ศ.2540 แบ่งหน้าที่ด้านการปกครองกำนันและผู้ใหญ่บ้านจะเป็นผู้นำ ส่วนองค์การบริหารส่วนตำบลศิลาแลง(อบต.ศิลาแลง) ทำหน้าที่บริหารงานด้านกิจการสาธารณะของพื้นที่ตำบลศิลาแลง (หน้า 33-34) |
|
Belief System |
ศาสนาความเชื่อและประเพณี ไทลื้อนับถือศาสนาพุทธและนับถือผีดังนั้นจึงมีประเพณีต่างๆ ที่ข้องเกี่ยวกับศาสนาพุทธ เช่น วันสงกรานต์และประเพณีที่เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผี เช่น ”พิธีเข้ากรรมเมือง” คือการเลี้ยงผีเจ้าเมือง และ “พิธีเข้ากรรมบ้าน” หรือ การเลี้ยงผีประจำหมู่บ้าน อาทิในหมู่บ้านไทลื้อในอำเภอท่าวังผา แต่เดิมเคยอยู่เมืองล้า ในสิบสองปันนามาก่อนจัด ”พิธีเข้ากรรมเมือง” 3 ปี จึงจะจัด 1 ครั้ง การจัดงานในแต่ละครั้งจะใช้เวลา 3 วัน ระหว่างจัดพิธีถ้าคนจะเดินทางออกนอกหมู่บ้านจะต้องเสียเงินค่าปรับ สำหรับของเซ่นไหว้จะฆ่าวัว ควายและหมูดำกับหมูขาว อย่างละ 1 ตัว ภายในหมู่บ้านจะมีศาลเจ้าหลวงเมืองล้า(ล่า) และ ”ใจบ้าน” ที่เป็นเสาหลักปักที่ใจกลางหมู่บ้าน สำหรับการประกอบพิธีเซ่นไหว้ผีหลักบ้านจะจัดเป็นประจำทุกปี (หน้า 50-51) นอกจากนี้ยังมีประเพณีการ ”ตานตุง” เพื่อทำบุญให้กับญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้ว การจัดจะทำธงขนาด 10-12 นิ้วและมีความยาวประมาณหนึ่งวาหรือมากกว่านั้นแล้วก็จะทำรูปปราสาทไว้ในธง ซึ่งตามความเชื่อของไทลื้อเชื่อคนที่เสียชีวิตไปแล้วจะได้เกาะชายธงเพื่อเดินทางขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ (หน้า 52) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกาย หญิงสูงวัย,หญิงสาว หญิงสูงอายุนิยมสวมเสื้อปักโดยจะมีสาบหนาเฉียงผูกกับด้ายที่บริเวณมุมด้านซ้ายหรือด้านขวา อาจจะติดกระดุมเงินเม็ดใหญ่แทน ชอบสวมเสื้อสีดำหรือสีคราม รูปแบบเสื้อเป็นเสื้อแบบเอวลอย ขลิบผ้าด้วยสีหลากหลายแต่ส่วนใหญ่จะชอบประดับตกแต่งด้วยสีแดง และกระดุมเงิน สวมผ้าซิ่นเป็นลายทอด้านขวางเป็นลวดลายหลายอย่าง ในกลุ่มหญิงสูงวัยจะใช้สีดำหรือสีน้ำเงินเป็นพื้น ในกลุ่มหญิงสาวจะประดับแทรกด้วยสีสดๆ (หน้า 40,56) ในบางพื้นที่หญิงไทลื้อสูงวัยจะโพกหัวด้วยผ้าขาวบางครั้งก็โพกด้วยผ้าขาวม้า เมื่อโพกจะปล่อยชายผ้าไว้ทางด้านว้าย ทรงผมในอดีตหญิงวัยรุ่นจะไว้ผมยาวถึงบ่า เมื่อแต่งงานมีครอบครัวแล้วจะไว้ผมสั้นม้วนผมเป็นลอนติดหัว หญิงสูงวัยชอบไว้ผมยาวแล้วมวยผมเป็นวงกลม เรียกว่า ”มวยหว่อง” ส่วนเครื่องประดับจะเจาะหูแล้วใส่ลานเงินและสวมกำไลเงิน (หน้า 40 ภาพหน้า 41) ผู้ชาย เสื้อผ้าจะมีไม่มาก ในช่วงหน้าจะนุ่งเพียงผ้าขาวม้าไม่สวมเสื้อ ตามลำตัวส่วนใหญ่ชอบสักหมึกสำหรับเครื่องแต่งกายของชายไทลื้อประกอบด้วย กางเกงขาก๊วย เรียกว่า “เต่วสะดอ” สวมเสื้อแบบเอวลอยขลิบแถบผ้าหลากสีสัน กางเกงและเสื้อโดยมากจะเป็นสีดำกับสีคราม ชอบโพกหัวด้วยผ้าขาวหรือไม่ก็โพกด้วยผ้าขาวม้าแล้วจะห้อยชายผ้ามาทางขวา (หน้า 41,56) การขับลื้อ คือการขับร้องโต้ตอบระหว่างชายกับหญิง โดยจะใช้ไหวพริบในการร้องโต้ตอบการร้องจะใช้เวลา 3 - 5 นาทีแล้วก็จะเปลี่ยนให้อีกกลุ่มร้องต่อ ระหว่างร้องจะเล่นเครื่องดนตรีไปด้วย ได้แก่ ปี่ยาว 2 เลา กับปี่เล็ก 2 เลา หรือเรียกเครื่องดนตรีทั้งหมดที่เล่นว่า “ปี่จุ่ม” การขับร้องส่วนมากหนุ่มสาวมักจะขับร้องช่วงวันสงกรานต์ (หน้า 49-50) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
ตาราง แสดงชนิดสินค้ามูลค่าการส่งออกสูงสุด 11 อันดับ (หน้า 31) ประชากรกลุ่มชาติพันธุ์ในชุมชนศิลาแลง (หน้า 35) รูปแบบผ้าทอซึ่งมีการประยุกต์ใหม่ให้เข้ากับยุคสมัย (หน้า 65) สถานภาพและการประกอบอาชีพ (หน้า 81) กระบวนการผลิตผ้าทอ (หน้า 85) รายได้-รายจ่ายของเงินที่ได้ในชุมชนศิลาแลง (หน้า 95) แผนที่ ตำบลศิลาแลง (หน้า 34) ภาพ การแต่งกายของหญิงไทลื้อ (หน้า 41) บ้านไทลื้อ (หน้า 42) การทอผ้า (หน้า 46) ผ้าสำหรับใช้ในครัวเรือน (หน้า 47) การละเล่นของไทลื้อ (หน้า 50) แผนภูมิ ภูมิลำเนาของครัวเรือนในชุมชนศิลาแลง (หน้า 82) อาชีพของคนในชุมชน (หน้า 83) จำนวนสมาชิกในครัวเรือน (หน้า 84) จำนวนปีที่มีการทอผ้าของครัวเรือน, การใช้แรงงานในการทอผ้า (หน้า 90) แสดงการใช้เวลาในการทอผ้า (หน้า 91) แหล่งที่มาของวัตถุดิบในการทอผ้า (หน้า 92) การใช้ประโยชน์จากผ้าทอ (หน้า 93) การถ่ายทอดความรู้ในการทอผ้า (หน้า 94,100) กระบวนการจัดการธุรกิจชุมชนกับการพัฒนาทางเลือกในการพึ่งตนเองของชุมชน (หน้า 107) แสดงปฏิสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจชุมชนกับภายนอก, การปรับตัวของชุมชนกับการผลิตและการตลาด (หน้า 117,119) |
|
|