สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ม้ง,ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ผู้ลี้ภัยชาวพม่า,ค่ายอพยพ,การศึกษา,สาธารณสุข,ตาก
Author สุภาค์พรรณ ขันชัย
Title การประเมินความต้องการของชุมชนบริเวณพื้นที่รองรับผู้หนีภัยชายแดนไทย-พม่า: กรณีศึกษาอําเภอท่าสองยางและอําเภอพบพระ จังหวัดตาก
Document Type รายงานการวิจัย Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ม้ง, โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ, Language and Linguistic Affiliations ไม่ระบุ
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 109 Year 2546
Source สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Abstract

งานวิจัยนี้เกิดขึ้นจากประเด็นปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองจากสหภาพพม่าที่เข้ามาในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายตามแนวชายแดนไทย – พม่า และไม่ยอมอยู่ในพื้นที่รองรับที่รัฐบาลไทยจัดไว้ให้ มีผลทำให้การวางแผนดำเนินการให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ของรัฐบาลไทยและองค์กรเอกชนเป็นไปได้ยาก และก่อให้เกิดปัญหาด้านสาธารณสุข ความมั่นคง อาชญากรรม และยาเสพติด ดังนั้นการศึกษาถึงปัญหาและความต้องการของบุคคลกลุ่มนี้ จะสามารถเป็นแนวทางในการวางแผนระยะสั้นและระยะยาวในระดับรัฐได้ต่อไป โดยทำการศึกษาด้วยการสำรวจภาคสนามในพื้นที่วิจัย 2 แห่ง คือ หมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับพื้นที่รองรับผู้หนีภัยบ้านแม่หละ ตำบลแม่หละ อำเภอท่าสองยาง และหมู่บ้านใกล้เคียงพื้นที่รองรับผู้หนีภัยบ้านอุ้มเปี้ยม ตำบลคีรีราษฎร์ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ผลการวิจัยพบว่าปัญหาสำคัญของผู้อพยพ ได้แก่ ความยากจน กลัวถูกเจ้าหน้าที่จับและส่งกลับบ้านเกิด ที่พักอาศัยไม่สะดวก ผู้อพยพมีความต้องการให้ครอบครัวได้เรียนหนังสือ รัฐบาลไทยอนุญาตให้อยู่ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ได้สัญชาติไทย ส่งกลับบ้านเกิดโดยสมัครใจ และหน่วยงานต่างๆ ช่วยแก้ไขปัญหาความยากจน และไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลไทย ได้แก่ การผลักดันกลับ ส่งไปประเทศที่สาม เข้าไปอยู่ในพื้นที่รองรับ ส่วนผลกระทบที่มีต่อคนไทยท้องถิ่น ได้แก่ ปัญหาความยากจน ขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภค ผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ ไฟฟ้าดับบ่อย น้ำไม่ไหล โรคระบาด น้ำเสีย ขยะเน่าเหม็น โดยมีความเห็นว่าผู้อพยพเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นผลเสียด้านต่างๆ ซึ่งมีความต้องการให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเข้ามาแก้ปัญหาด้านต่างๆ และต้องการให้รัฐบาลผลักดันผู้หนีภัยกลับบ้านเกิด หรือให้เจ้าหน้าที่ดูแลรับผิดชอบในส่วนที่ผู้อพยพออกมาขโมยผลผลิต ข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับผู้อพยพ ได้แก่ การจัดทำทะเบียนผู้อพยพในแต่ละหมู่บ้าน กำหนดสถานภาพของผู้อพยพในลักษณะหลบหนีเข้าเมืองให้ชัดเจน และรัฐต้องนำบริการสาธารณสุขเข้าไปให้ถึงกลุ่มผู้อพยพ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับคนไทยท้องถิ่น ได้แก่ หน่วยงานของรัฐต้องเข้ามาดูแลความเป็นอยู่ของชาวบ้านให้มากขึ้น มีการวางแผนประชาสัมพันธ์ไม่ให้คนไทยมีทัศนคติในทางลบต่อผู้อพยพ องค์การสหประชาชาติและองค์กรเอกชนต่างๆ ในพื้นที่ต้องให้ความใส่ใจคนไทยในฐานะเจ้าของพื้นที่และผู้ได้รับผลกระทบ

Focus

งานวิจัยนี้ มีจุดเน้นของการศึกษา 3 ประเด็น ได้แก่ 1.เพื่อศึกษาภูมิหลังและสถานการณ์การอพยพหนีภัยของผู้อพยพจากพม่าในพื้นที่ชายแดนจังหวัดตาก 2.เพื่อศึกษาปัญหาและความต้องการของผู้อพยพจากพม่าที่อาศัยอยู่นอกพื้นที่รองรับผู้หนีภัยที่กระทรวงมหาไทยจัดไว้ 3.เพื่อศึกษาผลกระทบของการมีพื้นที่รองรับต่อชุมชนไทยบริเวณใกล้เคียง (หน้า 5)

Theoretical Issues

ไม่มีข้อมูล

Ethnic Group in the Focus

กลุ่มประชากรที่เป็นเป้าหมายในการศึกษาหลัก 2 กลุ่ม ได้แก่ (หน้า 7) 1.ประชากรท้องถิ่นไทย ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาในส่วนของผลกระทบที่ได้รับจากพื้นที่รองรับ ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ ไทย ไทยกะเหรี่ยง ไทยม้ง และไม่มีสัญชาติ (หน้า 67, 84, 85) 2.ผู้ลี้ภัยจากพม่า โดยได้ทำการศึกษาถึงความต้องการทางด้านต่างๆ เช่น สาธารณสุข สุขาภิบาล และการศึกษา ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ไทยกะเหรี่ยง พม่า และมอญ (หน้า 31, 34, 51, 52)

Language and Linguistic Affiliations

ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาความสามารถทางด้านภาษาของผู้อพยพ ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาพม่า และภาษากะเหรี่ยง พบว่า ในพื้นที่ตำบลแม่หละ อำเภอท่าสองยาง ร้อยละ 76.92 พูดภาษาไทยไม่ได้ ร้อยละ 19.58 พูดไทยได้บ้างแต่อ่านเขียนไม่ได้ ร้อยละ 3.50 สามารถพูดอ่านเขียนไทยได้ ส่วนภาษาพม่า พูดไม่ได้ร้อยละ 72.03 พูดได้บ้างแต่เขียนไม่ได้ ร้อยละ 22.38 และสามารถพูดอ่านเขียนภาษากะเหรี่ยงได้ ร้อยละ 13.29 และพูดกะเหรี่ยงได้แต่อ่านเขียนไม่ได้ ร้อยละ 79.02 (หน้า 34, 35) พื้นที่ตำบลคีรีราษฎร์ อำเภอพบพระ และตำบลโมโกร อำเภออุ้มผาง สามารถใช้ภาษาพม่าในระดับพูดอ่านเขียนได้ ประมาณร้อยละ 50 พูดได้แต่อ่านไม่ได้ ประมาณร้อยละ 50 รองลงมาสามารถพูดแต่อ่านเขียนภาษาไทยและภาษากะเหรี่ยงไม่ได้ ส่วนภาษาม้งซึ่งเป็นภาษาหลักในหมู่บ้าน พูดได้น้อยมากถึงไม่ได้เลย (หน้า 54) กลุ่มประชากรท้องถิ่นไทย ในพื้นที่ตำบลแม่หละ อำเภอท่าสองยางสามารถพูดอ่านเขียนภาษาไทยได้ ร้อยละ 52.63 อ่านเขียนไม่ได้ ร้อยละ 25.00 และเขียนไม่ได้ ร้อยละ 3.29 และใช้ภาษาไทยไม่ได้ ร้อยละ 19.08 พูดภาษาพม่าไม่ได้ ร้อยละ 94.74 พอสื่อสารได้แต่อ่านเขียนไม่ได้ ร้อยละ 4.61 พูดภาษากะเหรี่ยงได้แต่อ่านเขียนไม่ได้ ร้อยละ 84.21 พูดได้แต่เขียนไม่ได้ ร้อยละ 1.32 และพูดอ่านเขียนได้ ร้อยละ 7.89 (หน้า 69, 70) ในพื้นที่ตำบลคีรีราษฎร์ อำเภอพบพระ และตำบลโมโกร อำเภออุ้มผาง สามารถพูดภาษาไทยได้แต่อ่านเขียนไม่ได้ ร้อยละ 46.11 สามารถพูดอ่านเขียนได้ ร้อยละ 38.89 พูดภาษาไทยไม่ได้ ร้อยละ 12.22 สามารถพูดภาษาม้งแต่อ่านเขียนไม่ได้ ร้อยละ 51.67 และเกือบทั้งหมดพูดภาษาพม่าและกะเหรี่ยงไม่ได้ (หน้า 85)

Study Period (Data Collection)

คณะผู้วิจัยได้ทำการวิจัยในช่วงระหว่างวันที่ 15 มกราคม ถึง 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2544 ทำการเก็บข้อมูลภาคสนามจากกลุ่มประชากรเป้าหมาย ระหว่างวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ถึง 9 มีนาคม พ.ศ. 2544 (หน้า 5, 6)

History of the Group and Community

อำเภอพบพระ เดิมอยู่ในเขตการปกครองของตำบลช่องแคบ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก มีฐานะเป็นหมู่บ้านชื่อว่า บ้านเพอะพะ ต่อมาแยกออกเป็นตำบลชื่อว่า ตำบลพบพระ และ พ.ศ. 2513 ได้แยกออกเป็นอีก 1 ตำบล คือ ตำบลคีรีราษฎร์ เนื่องจากอำเภอแม่สอดมีพื้นที่กว้างขวางและห่างไกล มีผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์แทรกซึม กระทรวงมหาดไทยจึงได้จัดตั้งเป็นกิ่งอำเภอพบพระ และได้มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเป็นอำเภอพบพระ เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2530 (หน้า 20, 21) ส่วนอำเภออุ้มผาง เดิมเป็นที่อยู่ของชาวกะเหรี่ยง ต่อมาได้มีคนไทยภาคเหนืออพยพเข้ามาทำกิน เมื่อ พ.ศ. 2432 พื้นที่อำเภออุ้มผางขึ้นอยู่กับจังหวัดอุทัยธานี ถูกกำหนดให้เป็นเมืองหน้าด่านชายแดนตะวันตก เพื่อตรวจตราชาวพม่าที่เดินทางเข้ามาค้าขาย ซึ่งจะนำเอกสารเดินทางใส่กระบอกไม้ไผ่ปิดฝา เมื่อถึงด่านก็จะเปิดกระบอกออกเพื่อแสดงเอกสาร เรียกเป็นภาษากะเหรี่ยงว่า “อุมผะ” ต่อมาจึงเพี้ยนเป็น “อุ้มผาง” ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านกุยเครอะ ตำบลแม่กลอง ปัจจุบันคือบ้านกุยเล่อต่อ ตำบลแม่จัน ต่อมาใน พ.ศ. 2469 ได้มีพระราชกฤษฎีกาตั้งกิ่งอำเภออุ้มผาง ขึ้นกับจังหวัดกำแพงเพชร (หน้า 23) และวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2502 ได้มีพระราชกฤษฎีกายกฐานะกิ่งอำเภออุ้มผางเป็นอำเภออุ้มผาง ขึ้นอยู่กับจังหวัดตาก (หน้า 24)

Settlement Pattern

ผู้ลี้ภัยที่เป็นกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาทั้งหมดอาศัยอยู่นอกพื้นที่รองรับ มีเพียงร้อยละ 25.87 ที่เข้าไปหาญาติหรือคนรู้จัก ในพื้นที่รองรับ แต่ร้อยละ 74.13 ไม่เคยเข้าไป ด้านลักษณะชุมชนที่พักอาศัย ร้อยละ 74.82 อยู่ปะปนกับคนไทยท้องถิ่น ร้อยละ 20.98 อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแต่รวมกลุ่มเฉพาะผู้อพยพ มีเพียงร้อยละ 2.10 ที่แยกออกมาโดดเดี่ยว แต่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน (หน้า 39, 40)

Demography

ข้อมูลทางด้านประชากรในพื้นที่อำเภอท่าสองยาง ณ พฤศจิกายน พ.ศ. 2543, กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 59,392 คน ชาย 30,888 คน หญิง 28,504 คน เป็น 13,454 ครัวเรือน ร้อยละ 90 เป็นราษฎรชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง (หน้า 14) ส่วนข้อมูลประชากรในพื้นที่รองรับผู้หนีภัย ณ วันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2544 รวมทั้งสิ้น 35,894 คน 6,646 ครัวเรือน ชาย 11,666 คน หญิง 11,407 คน เด็กชาย 6,586 คน เด็กหญิง 6,235 คน (หน้า 17) มีอัตราการเกิดในเกณฑ์สูงคือเฉลี่ย 100 คนต่อเดือน หรือร้อยละ 4 ต่อปี (หน้า 19) ประชากรในกลุ่มตัวอย่างที่ทำการศึกษา มีประชากรในช่วงกลุ่มอายุ 21 – 30 ปี ร้อยละ 34.97 อายุต่ำกว่า 20 ปี ร้อยละ 18.18 อายุ 31 – 40 ปี ร้อยละ 21.68 อายุ 41 – 50 ปี ร้อยละ 11.19 และอายุ 50 ปีขึ้นไป ร้อยละ 13.99 สถานภาพทางการสมรส เป็นโสดร้อยละ 11.19 สมรสแล้วร้อยละ 86.01 เป็นหม้ายร้อยละ 2.10 เพศชายสมรสแล้วร้อยละ 55.20 เพศหญิงสมรสแล้วร้อยละ 30.80 (หน้า 33)

Economy

สภาพทางเศรษฐกิจในพื้นที่อำเภออุ้มผางเป็นแบบเกษตรกรรม ที่มีการเพาะปลูกเลี้ยงตนเองเป็นหลัก ใช้แรงงานภายในครัวเรือน มีการติดต่อค้าขายหรือแหล่งสินค้ากับอำเภอแม่สอด พืชที่เพาะปลูก ได้แก่ ข้าวจ้าว ข้าวเหนียว ข้าวโพด ถั่วลิสง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง พืชผักสวนครัว และผลไม้ต่างๆ การเลี้ยงสัตว์ เป็นการเลี้ยงภายในครอบครัว ในหมู่ชาวกะเหรี่ยงมักเลี้ยงช้างไว้รับจ้างลากไม้ เลี้ยงกระบือไว้ใช้งาน และเลี้ยงโคไว้ขาย (หน้า 25) ผู้อพยพชาวกะเหรี่ยงร้อยละ 53.15 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป ส่วนใหญ่จะรับจ้างคนไทยทำสวน ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ และเก็บใบตองตึงสำหรับมุงหลังคาบ้าน ร้อยละ 37.76 ทำการเพาะปลูก ร้อยละ 2.10 ทั้งเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ และรับจ้างทั่วไป ร้อยละ 6.99 ไม่ได้ประกอบอาชีพ (หน้า 40)

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

การปกครองท้องที่อำเภอท่าสองยาง แบ่งออกเป็น 6 ตำบล 61 หมู่บ้าน ได้รับการจัดตั้งเป็นหมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเอง (อพป.) จำนวน 14 หมู่บ้าน และหมู่บ้านป้องกันตนเองชายแดน (ปชค.) จำนวน 6 หมู่บ้าน มีเทศบาล 1 แห่ง คือ เทศบาลตำบลแม่ต้าน องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) 3 แห่ง คือ แม่ต้าน แม่หละ และแม่สอง นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานบริหารราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ 8 หน่วยงาน และหน่วยงานเพื่อความมั่นคง 7 หน่วยงาน (หน้า 13, 14) อำเภอพบพระ แบ่งเขตการปกครองเป็น 5 ตำบล 46 หมู่บ้าน สุขาภิบาล 1 แห่ง (หน้า 23) อำเภออุ้มผาง แบ่งการปกครองออกเป็น 6 ตำบล 36 หมู่บ้าน มีเทศบาล 1 แห่ง องค์การบริหารส่วนตำบล 5 แห่ง (หน้า 24, 25) พื้นที่รองรับผู้หนีภัยบ้านแม่หละ แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 3 โซน ได้แก่ โซน A B และ C แต่ละโซนแบ่งออกเป็น 5 ส่วน ให้ผู้หนีภัยปกครองกันเองภายใต้การควบคุมดูแลของเจ้าหน้าที่ไทย ประกอบด้วย ประธานผู้หนีภัย รองประธานผู้หนีภัย เลขานุการ หัวหน้าโซน หัวหน้าส่วน และกรรมการฝ่ายต่างๆ (หน้า 17) ส่วนพื้นที่รองรับผู้หนีภัยบ้านอุ้มเปี้ยม อำเภอพบพระ แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ พื้นที่โซน A อยู่ทางด้านทิศเหนือ เป็นผู้หนีภัยมาจากบ้านห้วยกะโหลก จำนวน 7 หมู่บ้าน มีจำนวนประชากร 8,302 คน พื้นที่โซน B อยู่ทางด้านทิศใต้ เป็นผู้หนีภัยที่ย้ายมาจากบ้านโมโกรยาง จำนวน 8 หมู่บ้าน มีจำนวนประชากร 6,885 คน แต่ละหมู่บ้านมีหัวหน้าปกครอง รวมจำนวนประชากรโซน A และ B ทั้งสิ้น 15,187 คน 3,097 ครอบครัว (หน้า 26)

Belief System

กลุ่มตัวอย่างผู้อพยพชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่ตำบลแม่หละ อำเภอท่าสองยาง ร้อยละ 91.61 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 6.29 นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ (หน้า 34) ผู้อพยพในพื้นที่ตำบลคีรีราษฎร์ อำเภอพบพระ และตำบลโมโกร อำเภออุ้มผาง เกือบทั้งหมดนับถือศาสนาพุทธ มีเพียง 1 รายที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ (หน้า 53) ประชากรท้องถิ่นไทยในตำบลแม่หละ อำเภอท่าสองยาง นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 96.05 ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิก ร้อยละ 0.66 ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ ร้อยละ 0.66 ถือผี ร้อยละ 0.66 ไม่ตอบ ร้อยละ 1.97 (หน้า 67) ในพื้นที่ตำบลอุ้มเปี้ยม อำเภอคีรีราษฎร์ และตำบลโมโกร อำเภออุ้มผาง นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 82.78 ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ ร้อยละ 9.44 คริสต์นิกายโรมันแคธอลิค ร้อยละ 4.44 นับถือผี ร้อยละ 1.11 ไม่มีศาสนา ร้อยละ 0.56 ไม่ตอบ ร้อยละ 1.67 (หน้า 87)

Education and Socialization

ผู้อพยพกลุ่มตัวอย่างในพื้นที่อำเภอท่าสองยาง มีจำนวนประชากรที่ไม่ได้รับการศึกษา ร้อยละ 70.63 ได้เรียน 1 ปี ร้อยละ 3.50 เรียน 2 ปี ร้อยละ 4.20 เรียน 3 ปี ร้อยละ 4.90 เรียน 5 ปี ร้อยละ 1.40 เรียน 6 ปี ร้อยละ 1.40 เรียน 7 ปี ร้อยละ 0.70 ไม่ตอบ ร้อยละ 10.49 (หน้า 30, 31) ซึ่งมีการจัดการเรียนการสอนโดยคณะกรรมการด้านการศึกษาในพื้นที่ และมีองค์กรเอกชนให้การสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์การศึกษา (หน้า 18) จากการสำรวจข้อมูลด้านการศึกษาในแต่ละหมู่บ้าน แม้ว่าจะมีโรงเรียนชั้นประถมศึกษา แต่จำนวนผู้ที่ได้รับการศึกษากับไม่ได้รับการศึกษามีจำนวนใกล้เคียงกัน คือ ร้อยละ 48.95 และ 49.65 เนื่องจากคิดว่าไม่มีสิทธิเข้าเรียนและไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องเรียนหนังสือไทย กลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 74.82 ต้องการให้คนในครอบครัวได้เข้าเรียน และร้อยละ 23.78 ไม่ต้องการเรียนหนังสือในโรงเรียนไทย (หน้า 43) กลุ่มตัวอย่างผู้อพยพในพื้นที่ตำบลคีรีราษฎร์ อำเภอพบพระ และตำบลโมโกร อำเภออุ้มผาง เกือบทั้งหมดไม่ได้เรียนหนังสือ คือ 9 คน ได้เรียน 2 ปี 1 คน เรียน 3 ปี 2 คน เรียน 5 ปี 1 คน และเรียน 7 ปี 1 คน (หน้า 53) แต่มีความต้องการที่จะได้รับการศึกษาทุกคน (หน้า 61) ข้อมูลด้านการศึกษาของกลุ่มประชากรไทยท้องถิ่นในพื้นที่ตำบลแม่หละ อำเภอท่าสองยาง ไม่ได้เรียนหนังสือ ร้อยละ 42.11 ได้เรียนในระดับ ป.1 – 4 ร้อยละ 26.97 ได้เรียนระดับ ป.5 – 6 ร้อยละ 15.79 ได้เรียนระดับ ม.1 – 3 ร้อยละ 8.55 ได้เรียนระดับ ม. 4 – 6 ร้อยละ 4.61 และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ร้อยละ 0.66 (หน้า 69) ในพื้นที่ตำบลอุ้มเปี้ยม อำเภอคีรีราษฎร์ และตำบลโมโกร อำเภออุ้มผาง มีผู้ไม่ได้รับการศึกษา ร้อยละ 50.00 ได้รับการศึกษาระดับประถมศึกษา ร้อยละ 36.10 ระดับชั้น ป.1 – 4 ร้อยละ 17.77 ระดับ ป. 5 – 6 ร้อยละ 18.33 ระดับ ม. 1 – 3 ร้อยละ 12.22 อนุปริญญา ร้อยละ 0.56 และได้รับการศึกษาถึงระดับปริญญาตรี ร้อยละ 0.56 (หน้า 84, 87)

Health and Medicine

การสาธารณสุขในภายในพื้นที่ผู้หนีภัยจากการสู้รบบ้านแม่หละ อำเภอท่าสองยาง มีองค์กรผู้รับผิดชอบ คือ Medicine Sans Frontiers (MSF), Handicap International (HI), หน่วยวิจัยมาลาเรีย คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล, สมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (หน้า 18) เมื่อไม่สบายผู้อพยพส่วนใหญ่มักจะไปรับบริการที่สถานีอนามัยในหมู่บ้าน ร้อยละ 55.94 ไปโรงพยาบาล ร้อยละ 10.49 ซื้อยากินเอง ร้อยละ 3.50 ไปรับบริการที่ศูนย์อนามัยในพื้นที่รองรับ ร้อยละ 25.87 และมีจำนวนผู้ที่ไม่เคยป่วย ร้อยละ 4.20 (หน้า 41, 42)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่ปรากฏ

Folklore

ไม่ปรากฏ

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

จากการศึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยในชุมชนกับผู้อพยพชาวกะเหรี่ยงพบว่า ความสัมพันธ์กับผู้นำหมู่บ้านและชาวบ้านในชุมชนค่อนข้างดี ร้อยละ 81.82 และ 88.11 ตามลำดับ ส่วนทหารและตำรวจไทยนั้นไม่เคยได้พบกันถึงร้อยละ 50.35 และไม่เคยพบองค์กรเอกชนที่อยู่ในพื้นที่ถึงร้อยละ 93.70 ผู้อพยพชาวกะเหรี่ยงเห็นว่าคนไทยนอกหมู่บ้านปฏิบัติกับตนเป็นอย่างดี ร้อยละ 45.45 และไม่เคยพบคนไทยนอกหมู่บ้าน ร้อยละ 33.57 (หน้า 45 – 47) ความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยท้องถิ่นกับผู้ลี้ภัยในพื้นที่รองรับบ้านแม่หละพบว่าเคยติดต่อกัน ร้อยละ 71.71 ไม่เคยติดต่อกัน ร้อยละ 26.32 เนื่องจากไม่มีความข้องเกี่ยวกันถึง ร้อยละ 77.50 ไม่รู้จะเข้าไปทำอะไรในพื้นที่รองรับ ร้อยละ 12.50 นอกจากนี้ยังรังเกียจที่จะไปและไม่มีเงินและเวลาไป ร้อยละ 2.50 (หน้า 71 - 72) ส่วนบ้านอุ้มเปี้ยมพบว่ารู้จักและมีการติดต่อกับพื้นที่รองรับเป็นอย่างดี ร้อยละ 97.77 มีการติดต่อเป็นครั้งคราว ซึ่งโดยมากจะเข้าไปซื้อเครื่องใช้ และรับการรักษาพยาบาล ร้อยละ 87.84 ไม่เคยติดต่อ ร้อยละ 11.60 เนื่องจากไม่มีความเกี่ยวข้อง พูดคนละภาษา และรู้สึกกลัว เป็นต้น (หน้า 89)

Social Cultural and Identity Change

การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมที่ปรากฏในงานวิจัยพบว่า คนไทยท้องถิ่นตำบลแม่หละ อำเภอท่าสองยาง มีความเห็นว่าผู้อพยพในพื้นที่รองรับเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหมู่บ้าน เช่น น้ำไม่พอบริโภค ร้อยละ 16.77 มีโรคระบาด ร้อยละ 3.95 ที่ดินและผลผลิตทางการเกษตรถูกทำลาย ร้อยละ 14.97 ขยะเน่าเหม็น ร้อยละ 13.17 เป็นต้น ส่วนสาเหตุรองลงมาเห็นว่าเป็นเพราะธรรมชาติ (หน้า 83) ส่วนในพื้นที่บ้านอุ้มเปี้ยม มีความเห็นว่าผู้อพยพเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงภายในหมู่บ้าน ร้อยละ 83.9 ซึ่งเป็นไปในทางด้านผลเสียตามลำดับ ได้แก่ ผลผลิตถูกขโมย น้ำเน่าเสียและไม่พอบริโภค ที่ดินทำดินลดลง ขยะมากขึ้นและเน่าเหม็น และโรคระบาด ส่วนการเปลี่ยนแปลงที่เป็นผลดีคือ สามารถจ้างแรงงานเพื่อการเกษตร และซื้อสิ่งของราคาถูกกว่าในหมู่บ้าน (หน้า 91)

Other Issues

ไม่ปรากฏ

Map/Illustration

แผนที่ที่ปรากฏในงานวิจัยนี้ ได้แก่ แผนที่จังหวัดตาก (หน้า 2) แผนที่อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก (หน้า 15) แผนที่อำเภอพบพระ จังหวัดตาก (หน้า 22)

Text Analyst ภัทรวรรณ พงศ์ศิลป์ Date of Report 27 ก.ย. 2567
TAG ม้ง, ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง), โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), ผู้ลี้ภัยชาวพม่า, ค่ายอพยพ, การศึกษา, สาธารณสุข, ตาก, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง