สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ, มอญ,สลกบาตร,ห้วยหมอนทอง,ภูมิปัญญาท้องถิ่น,ประวัติศาสตร์,งานหัตถกรรมพื้นบ้าน,งานจักสาน,นครปฐม
Author วิพุธ วิวรณ์วรรณ
Title สลกบาตรห้วยหมอนทองกับภูมิปัญญาชาวนครปฐม
Document Type หนังสือ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง, มอญ รมัน รามัญ, Language and Linguistic Affiliations ไม่ระบุ
Location of
Documents
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 96 Year 2543
Source กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จำกัด
Abstract

นครปฐมเป็นเมืองโบราณที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน ปรากฏร่องรอยหลักฐานทั้งโบราณสถานและโบราณวัตถุที่เก่าแก่มาแต่อดีต นอกจากนี้ยังมีการสั่งสม และสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ อาทิ ผ้าซิ่นทอมือ งานหัตถกรรมจักสานไผ่ของชาวไทยโซ่ง หมวกโก่ยโล้ยของชาวนาสร้าง เครื่องปั้นกระถางดินเผาของชาวบ้านบางยูง ศิลปะงานผักตบสานหัตถกรรมพื้นบ้านย่าน นิลเพชร และข้าวหลามซึ่งเป็นงานภูมิปัญญาพื้นบ้านที่สร้างรายได้ให้กับชาวองค์พระ งานสลกบาตรห้วยหมอนทอง เป็นเครื่องหุ้มบาตรสำหรับพระสงฆ์ใช้เป็นอุปกรณ์ เวลาบิณฑบาต กลุ่มนายสมเกียรติ ทองมูลและชาวบ้านริเริ่มขึ้น ถือเป็นผู้สืบสาน และอนุรักษ์ศิลปะการทำสลกบาตร นายสมเกียรติเล่าว่า เมื่อมีอายุครบอุปสมบท ได้ไปเรียนวิชานี้จากวัดปากไม้ลาย เขตตำบลทุ่งขวาง อ.กำแพงแสน ซึ่งมีภิกษุทำ สลกบาตรอยู่ ฝึกฝนจนชำนาญเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการฝึกฝนสมาธิให้ดีขึ้นเมื่อกลับมาช่วยกิจการภายในครอบครัว ก็ได้นำวิชาทำสลกบาตรมาถ่ายทอดให้แก่ ชาวบ้าน นำไปถวายวัด อีกส่วนหนึ่งส่งไปจำหน่ายที่กรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง ปี พ.ศ.2536 เกิดการรวมตัวกันทำจริงจัง โดยเริ่มจากแรงงานในครัวเรือนแล้วจึง ค่อย ๆ ขยายวงกว้างออกไป

Focus

เน้นศึกษาประวัติศาสตร์และผลงานจากภูมิปัญญาพื้นบ้านของคนท้องถิ่น จ.นครปฐม เช่น ผ้าซิ่นทอมือของชาวไทยโซ่ง สลกบาตรห้วยหมอนทองกำแพงแสน เครื่องปั้น กระถางดินเผาของชาวบ้านบางยูง หมวกโก่ยโล้ย ศิลปะงานผักตบสาน งานหัตถกรรมพื้นบ้านย่านนิลเพชร

Theoretical Issues

ไม่มีข้อมูล

Ethnic Group in the Focus

ประชากรของจังหวัดนครปฐมประกอบด้วย กลุ่มชาวไทยโซ่ง ชาวองค์พระ ชาวบ้าน บางยูง ชาวกำแพงแสน ชาวนาสร้าง ประกอบด้วยคนหลากหลายชาติพันธุ์ทั้งไทย จีน มอญ ลาว มอญอาศัยอยู่รวมกัน (หน้า 25)

Language and Linguistic Affiliations

ไม่มีข้อมูล

Study Period (Data Collection)

ไม่ได้ระบุ

History of the Group and Community

นครปฐมเป็นเมืองโบราณร่วมสมัยกับ เมืองคูบัว จ.ราชบุรี เมืองอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี เมืองบ้านคูเมือง จ .อ่างทอง เมืองละโว้ จ.ลพบุรี เมืองอู่ตะเภา จ.สระบุรี เมืองดงละคร จ. นครนายก เมืองมโหสถ จ. ปราจีนบุรี เมืองคูเมือง จ. ฉะเชิงเทรา เมืองพะรถและ เมืองศรีพะโร จ. ชลบุรี โดยติดต่อเส้นทางน้ำ ศูนย์กลางเมืองแห่งแรกอยู่ที่วัดพระ ประโทณ มีร่องรอยสระน้ำคูคลองที่ขุดไว้ สภาพเมืองโบราณในเขตนครปฐม อยู่ใน อ .กำแพงแสน มีซากเจดีย์โบราณหลายองค์รอบแนวกำแพงมีคูน้ำและเนินดินเชื่อ กันว่าเมืองกำแพงแสนเคยเป็นเมืองริมทะเลมาก่อน (หน้า 5 – 6) สมัยทวารวดีมีแหล่งโบราณสถานและศาสนสถานปรากฏในเขตเมือง เช่น พระปฐมเจดีย์ วัดพระประโทณ วัดพระเมรุ วัดพระงาม วัดธรรมศาลาและเนินยายหอม แหล่งโบราณคดี ที่มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 11 พระปฐมเจดีย์เป็นพุทธสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดีย (หน้า 7) จากการบูรณปฏิสังขรณ์แหล่งโบราณคดีอย่างต่อเนื่องปรากฏเป็นศิลปะต่างยุค เช่น พระพุทธรูปเป็นศิลปะอมรวดีและคุปตะ ฐานเจดีย์เขตเมืองมีการผสมผสานพระพุทธศาสนานิกายหินยานหรือเถรวาท นครปฐมโบราณอาณาจักรทวารวดีดำเนินมาจนถึงราวพุทธศตวรรษที่ 13 ก็เริ่มเสื่อมลงแล้วจึงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของขอม (หน้า 8) นครปฐมในสมัยสุโขทัย เมื่อพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 อาณาจักรขอมสิ้นพระชนม์เมืองต่าง ๆ ได้แยกตนเป็นอิสระปลายพุทธศตวรรษที่ 18 จึงเข้าสู่ยุคแห่งความรุ่งเรืองของแคว้นสุโขทัย พ่อขุนบางกลางหาวและพ่อขุนผาเมืองประกาศตั้งตัวเป็นอิสระ จากอาณาจักรฝ่ายเหนือแล้วแผ่ขยายอิทธิพลลงมาทางใต้ในสมัยพ่อขุนรามคำแหง เมื่ออำนาจของสุโขทัยเสื่อมถอยลง พระเจ้าอู่ทองแผ่ขยายอาณาจักรแห่งใหม่ที่หนองโสนเป็น “กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา” หลังจากอยุธยารวมแคว้นสุโขทัยไว้ได้ก็มีอำนาจเหนือหัวเมือง 16 หัวเมือง ในช่วงอยุธยาตอนต้นมีเพียงเมืองสุพรรณบุรี และราชบุรีเป็นเมืองรายรอบพระนคร สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงแบ่งเขตการปกครองพร้อมตั้งเมืองใหม่อีก 3 เมือง ใช้เป็นที่ระดมพล ยามเกิดศึกสงครามแบ่งพื้นที่บางส่วนของราชบุรีและสุพรรณบุรีตั้งเป็น “นครชัยศรี” ระหว่างที่เป็นเมืองในแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา มีผู้คนทั้งไทย เขมร ลาว จีน มอญมาตั้งชุมชนโดยรอบริมน้ำนครชัยศรี ปลายสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าฯ โปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์ ชาวเมืองเริ่มเข้ามาตั้งบ้านเรือนใกล้องค์พระปฐมมากขึ้น (หน้า 10 -11) สมัยรัชกาลที่ 5 ทรงปรับปรุงระเบียบการปกครองขึ้นใหม่ เมืองนครชัยศรีได้รับการยกขึ้นเป็นมณฑลนครชัยศรี สมัยรัชกาลที่ 6 โปรดให้สร้างพระราชวังสนามจันทร์เป็นที่ฝึกซ้อมกองเสือป่า นครปฐมมีฐานะเป็นเมืองปริมณฑลของกรุงเทพฯจนถึงปัจจุบัน (หน้า 12)

Settlement Pattern

อาณาเขตทิศเหนือ ติดต่อกับ อ. สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี ทิศใต้ ติดต่อกับ อ. กระทุ่มแบน อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร และ อ.บ้านแพ จ.ราชบุรี ทิศตะวันออก ติดต่อกับ อ.ไทรน้อย อ.บางใหญ่ อ. บางกรวย จ. นนทบุรี เขตหนองแขม ตลิ่งชัน กรุงเทพฯ ทิศตะวันตก ติดกับ อ.บ้านโป่ง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี และ อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี (หน้า 1)

Demography

ไม่มีข้อมูล

Economy

ชาวนครปฐมประกอบอาชีพทำนาเป็นหลักมีการทำนาปีละ 2 ครั้ง เรียกว่า “นาปี” และ “นาปรัง” นอกจากนี้ยังทำไร่อ้อย ปลูกผักโดยเฉพาะหน่อไม้ฝรั่ง คะน้า ผักบุ้งจีน ข้าวโพดหวาน ผักกาดขาวและทำสวนผลไม้ นอกจากนี้ยังปลูกมะพร้าวน้ำหอม เป็นบริเวณกว้าง ปลูกส้มโอและส้มเขียวหวาน รวมไปถึงมะม่วง ขนุน มะนาว กระท้อนและกล้วยพันธุ์ต่าง ๆ นอกจากนี้ยังเลี้ยงสุกรขุนส่งขายทั่วประเทศด้านอุตสาหกรรม นครปฐมจัดเป็นแหล่งรองรับการผลิตอาหารสำเร็จรูป ผลไม้กระป๋อง ข้าวและนมพลาสเจอไรส์ มีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดใหญ่ในจ.นครปฐมไม่น้อยกว่า 1,200 โรง (หน้า 2) นอกจากนี้ยังมีผลงานภูมิปัญญาพื้นบ้าน เช่น การทำข้าวหลามของชาวองค์พระ ผ้าซิ่นทอมือเกาะแรดของชาวไทยโซ่ง หัตถกรรมจักสานไผ่งานพื้นบ้านชาวไทยโซ่ง สลกบาตรห้วยหมอนทองของชาวกำแพงแสน เครื่องปั้นกระถางดินเผาชาวบ้านบางยูง หมวกโก่ยโล้ยของชาวนาสร้าง งานผักตบสานหัตถกรรมพื้นบ้านย่านนิลเพชร สำหรับกระถางดินเผาสนนราคาตั้งแต่ใบละ 20 บาทขึ้นไปจนถึงหลักร้อย อาศัยแรงงานชาวบ้านในพื้นที่และคนภายนอก รายรับอยู่ที่ 7,000 – 8,000 บาทต่อเดือน อัตราขั้นต่ำอยู่ที่รายละ 5,000 บาท สำหรับระดับผู้ที่มีฝีมือเฉพาะด้านมีรายได้ตั้งแต่ 8,000 – 15,000 บาท การจัดจำหน่ายปัจจุบันส่งออกตลาดเยอรมนี สิงคโปร์และญี่ปุ่น (หน้า 69) ส่วนหมวกโก่ยโล้ยทำเพื่อนำไปใช้ประโยชน์จริงส่วนหนึ่ง อีกส่วนซื้อไปแจกในงานกุศล คนจีนนิยมนำไปใส่ขนม ผลไม้และสิ่งของก่อนจะนำไปแจกให้คนยากจนโดยจะแจกไปพร้อมกับหมวก โดยเฉพาะในงานทิ้งกระจาด หมวกโก่ยโล้ยมีอยู่ด้วยกัน 2 ขนาด คือ ขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ขนาดเล็กราคาขายส่งอยู่ที่ใบละ 14 บาท ใบใหญ่ใบละ 21 – 22 บาท (หน้า 79) คนทำหมวกโก่ยโล้ยจะมีรายได้ในแต่ละเดือนราว 3,000 บาทขึ้นไปจนถึง 4,000 บาท (หน้า 80)

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

ด้านการปกครอง แบ่งออกเป็น 7 อำเภอ 1 องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 เทศบาล 906 หมู่บ้าน ประกอบด้วย อ. เมืองนครปฐม บางเลน สามพราน กำแพงแสน นครชัยศรี ดอนตูมและพุทธมณฑล (หน้า 2)

Belief System

ความเชื่อที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาในเรื่องอริยทรัพย์ 7 คือ ศรัทธา ศีล หิริ-โอตตัปปะ พาหุสัจจะ จาคะและปัญญา ปรากฏผ่านชิ้นงาน “สลกบาตรลายธรรมจักร“ (หน้า 50 – 51)

Education and Socialization

ไม่มีข้อมูล

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

สลกบาตรห้วยหมอนทอง เป็นเครื่องหุ้มบาตรสำหรับพระสงฆ์ใช้เป็นอุปกรณ์ เวลาบิณฑบาต กลุ่มนายสมเกียรติ ทองมูลและชาวบ้านริเริ่มขึ้น จึงถือเป็นผู้สืบสาน และอนุรักษ์ศิลปะการทำสลกบาตร นายสมเกียรติเล่าว่า เมื่อมีอายุครบอุปสมบท ได้ไปเรียนวิชานี้จากวัดปากไม้ลาย เขตตำบลทุ่งขวาง อ.กำแพงแสน ซึ่งมีภิกษุทำ สลกบาตรอยู่ ฝึกฝนจนชำนาญเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการฝึกฝนสมาธิให้ดีขึ้นเมื่อกลับมาช่วยกิจการภายในครอบครัว ก็ได้นำวิชาทำสลกบาตรมาถ่ายทอดให้แก่ ชาวบ้าน นำไปถวายวัด อีกส่วนหนึ่งส่งไปจำหน่ายที่กรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง ปี พ.ศ.2536 เกิดการรวมตัวกันทำจริงจัง โดยเริ่มจากแรงงานในครัวเรือนแล้วจึง ค่อยขยายวงกว้างออกไป “สลกบาตร” ใช้เรียกเฉพาะเครื่องหุ้มบาตรพระเท่านั้น ในการทำงานกลุ่มชาวบ้านหนองโพธิ์มักทำกันทุกส่วน ทั้งสลกบาตร ขาบาตร สายรัด ที่รองบาตรและสายบาตร ส่วนฝาบาตรนิยมถักลวดลายธรรมจักร ลาย แมงมุม และลายดอกผักกาด นอกจากสลกบาตรแล้วยังมี “ขาบาตร” จากเดิมที่เคย ใช้ก้านมะพร้าว แต่ไม่แข็งแรงพอจึงเปลี่ยนมาใช้ไม้ไผ่เหลาก้านก่อนนำไปประกอบ ภายหลัง สำหรับตัวรัดสายเรียกว่า “สายตะขาบ” ใช้รัดช่วงคอดของขาบาตร เพื่อ ยึดกับสายสะพายที่จะนำมาติดภายหลัง ช่วยให้พระภิกษุสะพายบาตรสะดวกขึ้น ที่รองบาตรเรียกว่า “ยุ้ย” ทำจากการถักเส้นไนลอนให้แน่น ด้านริมงุ้มเข้าหากัน เพื่อช่วยบังคับให้อยู่กับที่ ที่รองบาตรจะถูกสวมลงด้านบน เครื่องหุ้มบาตรจะใช้ ไนลอนสีขาว เมื่อถักเสร็จอีกกลุ่มจะนำงานไปย้อมสีด้วยการต้มในน้ำเดือด (หน้า 47 – 57) เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ชาวไทยโซ่งใน จ.นครปฐมอำเภอบางเลนยังแต่งกายแบบจารีต เสื้อผ้ามีลวดลาย และการทอที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ผ้าทอของไทยโซ่งเป็นที่นิยมในหมู่สตรีไทยโซ่ง ที่นุ่งซิ่นทอด้วยกี่มือเป็น “ลายแตงโม” ซึ่งถือเป็นงานชั้นสูงใช้เวลานานในการทอและ มีราคาสูงตั้งแต่ 500 – 800 บาทมักนำมาใช้เฉพาะโอกาสอันควร ผ้าซิ่นเป็นผืนผ้า ที่เกิดจากการทอด้วยมือล้วน ๆ โดยใช้ “กี่ทอมือ” พื้นผ้าสีดำสลับลายฟ้าขาวเป็นแนวทางลง ทอจากผ้า 3 ชิ้นนำมาเย็บต่อกันเป็นท่อน ท่อนบนสีดำล้วน ท่อนกลาง พื้นดำสลับลายทางลงฟ้า – ขาวซึ่งส่วนนี้เรียกว่า “ตัวซิ่น” ท่อนล่างเรียก “ตีนซิ่น” ทอเป็นพื้นดำ ลวดลายเป็นแนวยาว บางผืนทอลายตีนซิ่นเป็นจุดหรือดอก ขนาดของผ้าซิ่นมีความกว้างตามความต้องการของผู้สวมใส่ ส่วนที่เย็บต่อกันเป็นท่อนให้เป็นผืนซิ่นท่อนบนสูงราว 10 นิ้ว ท่อนกลางหรือตัวซิ่นสูงตามขนาดหน้ากว้างของฟืม ช่องไฟลายทิวห่างราว 2 นิ้ว ตีนซิ่นสูงราว1.5 นิ้ว ผ้าซิ่นของชาวไทยโซ่งเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สะท้อนตัวตนของชาวไทยโซ่งอย่างชัดเจน (หน้า 25 - 28) หญิงชาวไทยโซ่ง จะนุ่งซิ่นในโอกาสสำคัญต่าง ๆ เช่น ประเพณี “เสนเรือน” หรือ “เสนเฮือน” เป็น ประเพณีการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ (หน้า 33) งานหัตถกรรมจักสานไผ่ ผู้ชายชาวไทยโซ่งนอกจากทำนาทำไร่แล้วยังสร้างสรรค์งานจักสานต่าง ๆ เช่น “หวายหอม” เหมาะจะนำมาใช้คู่กับไผ่สีสุก อุปกรณ์ที่ใช้คือมีดจักตอกลักษณะเป็นเหล็กแผ่นคล้ายใบไม้ มีด้ามไม้ยาวจับ งานจักสานแบ่งเป็น ภาชนะลายสาน เน้นความแข็งแรงทนทาน เช่น สมุก กะเหล็บ งอบ แอบข้าว และโฮ่ ลายที่นิยมสานเป็นลายสอง แบ่งเป็นลายดีคว่ำ ลายดีหงาย ลายดีตะแคง นอกจากนี้ยังมีกระจาดและโฮ่เป็น “ลายเฉลว” หรือ “ลายชะลอม” มีชื่อเรียกต่างกันไป เช่น เฉลวขึ้นต้น เฉลวเกล็ดเต่า เฉลวแปดเหลี่ยมและเฉลวแปลง เป็นต้น “ลายไพล” เป็น การจักเส้นตอกให้มีขนาดเล็กและบาง นำมาใช้กับงานที่ให้ด้านข้างป่องงุ้มออกตามรูปทรงที่ผู้สานกำหนด งานจักสานของไทยโซ่งมีหลายชนิด เช่น กะเหล็บ โฮ่ง สมุก กระบุง ก่องข้าว ตะเขิง วี ซ้าหลอด กระจาด หาบ พานเสน หมัวะ เป็นงานที่เหลือผู้มีฝีมือทำน้อยราย (หน้า 35 - 38) นายแดง ฟักผล ชาวไทยโซ่งที่เป็นผู้อนุรักษ์ภูมิปัญญาด้านงานจักสาน เพราะในสังคมชุมชนถือเป็นหน้าที่ของพวกผู้ชาย เช่นเดียวกับการทอผ้าของผู้หญิง ใช้ในการไหว้ผีบรรพบุรุษที่เรียกว่า “เสนเฮือน”ที่ต้องอาศัยเครื่องจักสานหรือพานเสน (หน้า 36) กะเหล็บเป็นภาชนะที่ผู้หญิงใช้ใส่สิ่งของเวลาเดินทาง ทำด้วยไม้ไผ่และหวาย ลักษณะเป็นภาชนะปากกลมไม่นิยมทำฝาเปิด ปากงุ้มเข้าหากัน ตรงกลางป่อง ส่วนก้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า (หน้า 40) หมัวะ มีลักษณะคล้าย “งอบ” ของชาวนา ใช้สวมศีรษะป้องกันแดดฝน สานด้วยไผ่ ไพลเป็นเส้นยาว เริ่มจากตัดไผ่สีสุกความยาว 50 เซนติเมตรมาจักเป็นตอกตะแคง สานเป็นลายสอง คนสานหมัวะจะทำ “ซังหมัวะ” หรือ “รังงอบ” โดยไพลเส้นตอก ให้เล็กแล้วนำมาสานไขว้กัน เพื่อช่วยให้ซังหมัวะยืดหยุ่นเวลาสวมใส่แล้วนำมาติด กับโครงหมัวะด้านใน (หน้า 42 - 43) ก่องข้าว มีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น แอบข้าวกะติ๊บข้าว และก่องข้าวดอก ชาวไทยเชื้อสายลาวนิยมใช้ใส่ข้าวเหนียว ก่องข้าวของชาวไทยโซ่ง ต.เกาะแรด สานเป็นทรงกลมก้นสี่เหลี่ยม มีฝาปิดทั้งส่วนก้นของตัวก่องและส่วนบนของฝาปิด มีไม้จริงบากประกบไขว้เพื่อให้วางได้โดยไม่ล้ม ก่องข้าวชนิดนี้มีคุณสมบัติรักษาความร้อนของข้าวเหนียวไว้ได้นาน โดยไม่ทำให้ข้าวเหนียวมีเหงื่อ (หน้า 43)

Folklore

ไม่มีข้อมูล

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

คนไทยเชื้อสายไทยโซ่งส่วนหนึ่งมาจากเพชรบุรีอาศัยแผ่นดินไทยมานาน อาศัยอยู่ ร่วมกันในเขต ต.เกาะแรด อ.บางเลน ในสมัยรัชกาลที่ 6 มีการใช้นามสกุล ไทยโซ่ง ส่วนใหญ่มักใช้คำนำหน้าว่า “เพชร” (หน้า 25)

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มีข้อมูล

Map/Illustration

แผนที่จังหวัดนครปฐม ภาพไร่อ้อย หน่อไม้ฝรั่ง ปลาเค็ม ปลาย่าง ผลิตภัณฑ์จากแหล่งน้ำใน จ. นครปฐม (หน้า 3) แม่น้ำนครชัยศรีกับวิถีชีวิตชาวนครปฐม (หน้า 4) วัดพระประโทณอยู่ห่าง จากตัวเมืองนครปฐมไปทางทิศตะวันออกตามเส้นทางถนนสายเพชรเกษม (หน้า 6) องค์พระปฐมเจดีย์ (หน้า 7) พระร่วงโรจนฤทธิ์ ประดิษฐานเบื้องหน้าทางขึ้นองค์พระ(หน้า 8) ซากฐานเจดีย์วัดพระเมรุ – ซากโบราณสถานเนินยายหอม – ธรรมจักรศิลา ที่ค้นพบจากเนินยายหอมโดยอดีตเจ้าอาวาส ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ภายในวัดเนิน ยายหอม (หน้า 9) พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 6 ภายในพระราชวังสนามจันทร์ (หน้า 11) หนึ่งในพระที่นั่งภายในพระราชวังสนามจันทร์ (หน้า 12) ภาพทุ่งข้าว (หน้า 13) ร้านจำหน่ายข้าวหลามบริเวณหน้าองค์พระ (หน้า 15) กระบอกข้าวหลามที่ถากผิวเปลือกออกแล้วส่งกลิ่นหอมอยู่หน้าร้าน (หน้า 16) เส้นทางและสถานีรถไฟ /ตลาดหน้าองค์พระปฐมเจดีย์ (หน้า 17) กระบอกข้าวหลาม / มะพร้าว (หน้า 18) ลำไผ่ป่า (หน้า 19) เลื่อยตัดไม้ไผ่ (หน้า 20) กระบอกไผ่ / ใบตองแห้ง / ข้าวหลาม (หน้า 22 – 24) นางสังยาน ดีดำ หญิงชาวไทยโซ่งวัย 60 รับหน้าที่สาธิตการทอผ้า (หน้า 26) ผ้าซิ่นและลวดลาย (หน้า 27) ด้ายฝ้ายสีดำและสีฟ้า (หน้า 28) จงเผี่ยนกับกงกว๊าง (หน้า 29) ด้ายและกี่ทอผ้า (หน้า 30) ด้ายสีแดงที่ขึงผ่านส่วนต่าง ๆ ทำเป็นเส้นยืน (หน้า 31) การทอผ้าผืน (หน้า 32 – 34) บ้านเรือนของชาวไทยโซ่ง (หน้า 35) เครื่องจักสาน (หน้า 36) กอไผ่และมีดจักตอก (หน้า 37) ป้านชาหนึ่งในงานจักสาน (หน้า 38) งอบ ตะกร้าและพานเสน (หน้า 39) กะเหล็บ - การจักตอก (หน้า 40 – 41) รูปร่างของหมัวะและเส้นตอกขนาดต่าง ๆ ก่องข้าวภาชนะสำหรับใส่ข้าวเหนียวเพื่อถนอมอาหาร (หน้า 43) คนจักสานและผลงานที่แขวนเรียงรายอยู่ใต้ถุนเรือน (หน้า 44, 45) สลกบาตรและอุปกรณ์ครบชุด – การอนุรักษ์ศิลปะการทำสลกบาตร (หน้า 48 – 50) งานถักหุ้มตัวบาตรและฝาบาตร ขาบาตรมีที่รองบาตรหุ้ม – “สายรัด” หรือ “สายตะขาบ” “สายสะพาย” ฝาบาตร (หน้า 51) เชือกไนลอนการถักใช้อุปกรณ์ (หน้า 53) ไม้ที่ผูกไว้แบบทแยง เมื่อพลิกกลับจะเกิดเป็นทรงกรวย (หน้า 54) ลักษณะของขาบาตร (หน้า 55) สลกบาตรผลงานสร้างสรรค์ของคนพื้นบ้านย่านห้วยหมอนทอง (หน้า 57) รูปแบบของเครื่องปั้นดินเผาบางยูง ผู้ผลิตงานเครื่องปั้นดินเผาบางยูง (หน้า 59) งานเครื่องปั้นดินเผาที่เน้นทั้งการใช้งานและการนำไปตกแต่ง (หน้า 60) โรงงานที่มีทั้งวัตถุดิบและงานสำเร็จเต็มพื้นที่ (หน้า 61) ดินเหนียววัตถุดิบจากนครสวรรค์ หากไม่ได้มาตรฐานเมื่อเผาออกมาจะมีรอยด่าง (หน้า 62) พลั่ว – เครื่องปั้นดิน - แป้นหมุนขึ้นรูปทรงงาน –น้ำหล่อ (หน้า 63) ดินที่ขนลงจากรถบรรทุกมักเป็นก้อนใหญ่หรือเป็นแท่ง / ชาวบ้านกำลังย่อยดิน (หน้า 64) ดินที่ผ่านการย่อยนำไปหมักนำไปหมักทิ้งไว้ / ทรายละเอียด / ดินหมักและทรายปั่น (หน้า 65) ดินที่ผ่านการกระแทกแล้วถูกลำเลียงไปยังแป้นหมุน รูปทรงพร้อมกับใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ตามจังหวะ (หน้า 66) หลักไม้ หรือไม้ตั้งระยะและคนทำเรียกเรดาร์ใช้เป็นตัวกำหนดให้รูปทรงของงานไม่บิดเบี้ยว / แบบสำหรับกดลงไปบนขอบกระถางทำให้เกิดลวดลาย (หน้า 67) งานทั้งหมดที่ผ่านการปั้นจะถูกลำเลียงมาตากในร่ม ภายในเตาเผา (หน้า 68) ผลงานของชาวบางยูง (หน้า 69) หมวกโก่ยโล้ยงานพื้นบ้านที่มีรากฐานมาจากชาวจีนโพ้นทะเล / รอบนอกตัวเมืองนครปฐม (หน้า 72) คุณยายเล็ก รอดผลกับงานที่ทำมาตั้งแต่ครั้งยังสาว (หน้า 73) ไผ่สำหรับนำมาสานเป็นเส้นตอก / ใบไผ่สำหรับกรุภายในโครงหมวก /มีดจักตอกและขันน้ำ (หน้า 74) การจักตอก (หน้า 75) นตอนการตอกสาน (หน้า 76) งานสานเฉพาะโครงนอกและโครงในที่เสร็จแล้วในเบื้องต้น (หน้า 77) ใบบงหรือใบไผ่นำมาแช่น้ำแล้วกรุในโครงชั้นใน (หน้า 78) หมวกโก่ยโล้ย (หน้า 79) การทำหมวกโก่ยโล้ย (หน้า 80) งานสานผักตบชวาฝีมือชาวบ้านย่านนิลเพชร (หน้า 83) นางพนม บัวแดงหนึ่งในชาวบ้านที่เล็งเห็นคุณค่าของผักตบชวา / การรวมกลุ่มของชาวบ้าน (หน้า 84) ผักตบชวาแห้งวัตถุดิบสำคัญในงาน (หน้า 85) อุปกรณ์เสริมระหว่างการทำ / ผักตบแห้งก่อนนำไปอบกำมะถัน (หน้า 86) หลังจากอบแล้วเก็บไว้ในถุงพลาสติกกันชื้น (หน้า 87) เรียงผักตบตอกตะปูยึดก่อนสานถัก / พื้นล่างที่ถักสานเป็นลายขัด (หน้า 88) การจักสาน (หน้า 89) กระจาดที่ถักสาน (หน้า 90)

Text Analyst ศมน ศรีทับทิม Date of Report 27 พ.ค. 2562
TAG ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ, มอญ, สลกบาตร, ห้วยหมอนทอง, ภูมิปัญญาท้องถิ่น, ประวัติศาสตร์, งานหัตถกรรมพื้นบ้าน, งานจักสาน, นครปฐม, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง