|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,มุสลิม,ชีวิต,อัตลักษณ์,กะเทย,ปัตตานี |
Author |
สมฤดี สงวนแก้ว |
Title |
กระบวนการพัฒนาและธำรงเอกลักษณ์ "กระเทย" ในสังคมมุสลิม |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเนเชี่ยน |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
108 |
Year |
2546 |
Source |
คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
Abstract |
งานวิจัยเรื่อง "กระบวนการพัฒนาและธำรงเอกลักษณ์ "กะเทย" ในสังคมมุสลิม" มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงขั้นตอนที่ต่อเนื่องต่าง ๆ ของการพัฒนาและดำเนินไปสู่เอกลักษณ์ "กะเทย" โดยอธิบายถึงเงื่อนไขและประสบการณ์ที่สำคัญที่เกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการ ตลอดจนอธิบายถึงการเปิดเผยตัวและการใช้ชีวิตของกะเทยในสังคมไทยมุสลิม (หน้า (1)) โดยใช้กรอบความคิดพื้นฐานทฤษฎีการปฏิสังสรรค์สัญลักษณ์ และแนวคิดเกี่ยวกับความเบี่ยงเบนจากทัศภาพเชิงสัมพัทธ์ (relative) เป็นแนวคิดหลักในการศึกษาครั้งนี้ พบว่ากระบวนการพัฒนาและธำรงเอกลักษณ์กะเทยมี 4 ขั้นตอน ดังนี้ (หน้า95) ขั้นตอนที่ 1 การรับรู้ความแตกต่าง : รับรู้ว่าตนแตกต่างจากเด็กผู้ชายคนอื่น ขั้นตอนที่ 2 การมีเอกลักษณ์ส่วนบุคคลเป็นกะเทย ขั้นตอนที่ 3 การเปิดเผย ขึ้นตอนที่ 4 การใช้ชีวิตและการปรับตัวของกะเทยในสังคมของคนรักต่างเพศ |
|
Focus |
ผู้ศึกษาให้ความสนใจที่จะอธิบายถึงการเปิดเผยตัว และการธำรงเอกลักษณ์ "กะเทย" ในสังคมมุสลิม ตลอดจนขั้นตอนที่ต่อเนื่องต่าง ๆ ของการพัฒนาและการดำเนินไปสู่เอกลักษณ์ "กะเทย" รวมถึงอธิบายเงื่อนไข และประสบการณ์ที่สำคัญที่เกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการพัฒนาการ (หน้า 8) |
|
Theoretical Issues |
การศึกษากระบวนการพัฒนาและธำรงเอกลักษณ์ "กะเทย" ในสังคมมุสลิม โดยอาศัยแนวคิดทฤษฎีการปฏิสังสรรค์สัญลักษณ์เป็นกรอบแนวความคิดพื้นฐาน ซึ่งได้มุ่งจุดสนใจไปที่กะเทย และพฤติกรรมของกะเทยในฐานะที่เป็นความเบี่ยงเบนทางสังคม และผู้ชมทางสังคมที่เป็นผู้ประทับตราต่อพวกเขาว่าเป็นกะเทยมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจากบทบัญญัติทางศาสนา และบรรทัดฐานทางสังคม ดังนั้นผู้ชมจึงมีปฏิกิริยาต่อกะเทยในทางลบด้วยการประณาม ดูถูก เหยียดหยาม กะเทยจึงนิยามตัวเองว่าเป็นผู้เบี่ยงเบน และกะเทยจึงต้องเข้าไปผูกพันกับการกระทำนั้นและ ค่อย ๆ ซึมซับความเบี่ยงเบนนั้นจนเกิดการยึดมั่นในเอกลักษณ์กะเทย (หน้า 99) จากการศึกษาวิจัยนี้ทำให้เห็นว่า การใช้แนวคิดทฤษฎีการปฏิสังสรรค์สัญลักษณ์นั้น ทำให้สามารถเข้าใจถึงกระบวนการและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและธำรงเอกลักษณ์โดยผ่านการปฏิสังสรรค์ตีความกับบุคคลอื่น ๆ ในบริบทต่าง ๆ อันส่งผลต่อการพัฒนาและการธำรงเอกลักษณ์ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ขั้นตอน 1.) การรับรู้ความแตกต่างว่าตนเองแตกต่างจากเด็กผู้ชายคนอื่น 2.) การมีเอกลักษณ์ส่วนบุคคลเป็นกะเทย 3.) การเปิดเผยตัว 4.) การใช้ชีวิตและการปรับตัวของกะเทยในสังคมของคนรักต่างเพศ (หน้า 95) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้คือ ชายที่มีลักษณะปรากฏทางกาย และพฤติกรรมการแสดงออกในแบบผู้หญิง ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม จำนวน 8 คน ทั้งหมดอาศัยอยู่ในจังหวัดปัตตานี ซึ่งกลุ่มตัวอย่างในครั้งนี้แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มนั่นคือ กลุ่มอายุ 25-39 ปี จำนวน 5 คน และกลุ่มอายุ 19-24 ปี มีจำนวน 3 คน โดยกลุ่มตัวอย่างจำนวน 4 คน จากทั้งหมดเป็นผู้ประกอบอาชีพแล้ว โดยแต่ละกลุ่มจะมีภูมิหลังด้านการศึกษา เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมอยู่ในระดับเดียวกัน (หน้า 45) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
ระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการศึกษาครั้งนี้ นับตั้งแต่การค้นพบกลุ่มตัวอย่างซึ่งใช้ระยะเวลา 4 เดือน คือเริ่มตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน 2544 - เดือนกุมภาพันธ์ 2545 และระยะเวลาในการสัมภาษณ์เก็บรวบรวมข้อมูล ประมาณ 1 ปี นับจากเดือนมีนาคม 2545 - เดือนมีนาคม 2546 โดยผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก เพื่อให้ข้อมูลจากจุดยืนของกะเทย และเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยเทปบันทึกเสียงและการจดบันทึก (หน้า 51) |
|
History of the Group and Community |
สังคมโดยทั่วไปแบ่งคนออกเป็น 2 เพศ นั่นคือ เพศหญิงและเพศชาย ซึ่งทั้งสองเพศนี้ก็จะมีบทบาททางเพศที่บรรทัดฐานทางสังคมได้กำหนดไว้มาเป็นตัวชี้นำและกำกับพฤติกรรม ว่าพฤติกรรมหรือการกระทำใดที่เหมาะสมและไม่เหมาะสมกับเพศใด หากบุคคลใดมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสมและผิดไปจากที่สังคมกำหนด ก็จะถูกลงโทษด้วยวิธีการหรือมาตรการที่แตกต่างกันไปในแต่ะกลุ่มหรือสังคม เช่น การตำหนิ ติเตียน และการประณาม เป็นต้น เช่นเดียวกันกับสังคมมุสลิม ที่แบ่งออกเป็น 2 เพศ คือ เพศชายและเพศหญิง โดยจะได้รับการอบรมสั่งสอนถึงพฤติกรรมและการกระทำทางเพศที่เหมาะสม ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม จากครอบครัว โรงเรียนสอนศาสนา และจากการปฏิสังสรรค์ทางสังคม และแน่นอนว่าหากบุคคลใดที่มีพฤติกรรมและการกระทำทางเพศที่เบี่ยงเบนหรือละเมิดบรรทัดฐานทางเพศของสังคมมุสลิม ก็จะได้รับการลงโทษ ในแต่ละพฤติกรรมหรือการกระทำที่เป็นการละเมิดบรรทัดฐานทางสังคมอิสลามจะถูกกำหนดระดับความรุนแรงของบาปไว้แตกต่างกัน แต่จะไม่สามารถจำแนกถึงลำดับขั้นของความบาปไว้อย่างชัดเจน แต่จะทราบกันก็จากการอบรมขัดเกลาทางสังคมตั้งแต่ในวัยเด็ก เช่น การละเลยไม่ทำละหมาด 1 ครั้ง ใน 1 วัน ถือว่าบาป แต่การนินทาผู้อื่นหนึ่งครั้งถือว่าบาปยิ่งกว่าหรือหากเป็นการร่วมประเวณีกับเพศเดียวกันถือว่าเป็นบาปอย่างมหันต์ การลงโทษในทางสังคมย่อมตามมาอย่างแน่นอนซึ่งจะมีความรุนแรงแตกต่างกัน (หน้า 11-12) |
|
Settlement Pattern |
เนื่องจากการศึกษากระบวนการพัฒนาและธำรงเอกลักษณ์ "กะเทย" ในสังคมมุสลิม เป็นการศึกษาเพียงเฉพาะกลุ่มกะเทยในสังคมมุสลิม จึงไม่สามารถระบุการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มกะเทยได้ เพราะกะเทยเป็นเพียงคนกลุ่มน้อยจากมุสลิมทั้งหมด และสภาพสังคมมุสลิมไม่เอื้ออำนวยให้กะเทย ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างในครั้งนี้ได้แสดงตัวออกมาอย่างเปิดเผยมากนัก ผู้ศึกษาจึงบอกแต่เพียงกว้าง ๆ ว่าเป็นกลุ่มตัวอย่างที่อาศัยอยู่ในจังหวัดปัตตานี (หน้า 45) |
|
Social Organization |
ในเมืองปัตตานี เป็นสังคมของการอยู่ร่วมกันระหว่างคนไทยพุทธและคนไทยมุสลิม หรือเรียกได้ว่า เป็นลักษณะสังคมกึ่งพุทธและกึ่งมุสลิม เป็นลักษณะของสังคมเปิด ซึ่งส่งผลให้มีรูปแบบการดำเนินชีวิตในสังคมที่สลับซับซ้อน และแตกต่างไปจากหลักการทางศาสนาที่เป็นกรอบในการปฏิบัติของตน อาทิเช่น การใช้ชีวิตของกะเทย ซึ่งในสังคมเมืองที่สมาชิกแต่ละคนต่างคนต่างอยู่ทำให้มุสลิมคนอื่น ๆ ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความเบี่ยงเบนและการละเมิดบรรทัดฐานทางเพศของบุคคลได้ หรือแม้แต่การแต่งกายของมุสลิมทั้งชาย และหญิงในเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปจากข้อกำหนดทางศาสนาก็เป็นเรื่องที่มุสลิมคนอื่น ๆ ต่างเพิกเฉยต่อการติเตียนพฤติกรรมเหล่านั้น เพราะลักษณะความสัมพันธ์ทางสังคมที่เป็นแบบต่างคนต่างอยู่นั่นเอง ซึ่งต่างกับสังคมมุสลิมในชนบทซึ่งนอกจากจะไม่ปรากฏลักษณะความหนาแน่นและความแตกต่างในเชื้อชาติศาสนาของสมาชิกแล้ว การดำเนินชีวิตก็ยังเป็นไปในแบบเรียบง่าย อีกทั้งรูปแบบความสัมพันธ์ทางสังคมของสมาชิกในชุมชนเป็นไปในลักษณะใกล้ชิด สมาชิกทุกคนในชุมชนสามารถจะตรวจสอบพฤติกรรมของกันและกันได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเอื้อให้พฤติกรรมหรือรูปแบบการดำเนินชีวิตที่แตกต่างจากข้อกำหนดดำรงอยู่ได้ หรือถ้าหากดำรงอยู่ได้ก็ไม่มีพื้นที่ให้ความแตกต่างดังกล่าวได้แสดงตัวได้เด่นชัดมากพอเท่ากับสังคมเมือง (หน้า7) |
|
Belief System |
สังคมมุสลิมเป็นสังคมที่มีความเคร่งครัดในการปฏิบัติตนตามบทบัญญัติทางศาสนา ความยึดมั่นผูกพันต่อบทบัญญัติทางศาสนาทำให้สังคมมุสลิมมีความโดดเด่นในวัฒนธรรมและรูปแบบการดำเนินชีวิต ซึ่งหลักการสำคัญที่สามารถยึดโยงมุสลิมแต่ละคนให้เป็นหนึ่งเดียวกันนั้น ได้แก่ หลักความเชื่อมั่น ซึ่งประกอบไปด้วยหลักศรัทธาและหลักปฏิบัติ หลักปฏิบัติสำหรับมุสลิมทุกคนนั้น ได้แก่ 1. การกล่าวคำปฏิญาณตนว่าเชื่อในองค์อัลลอฮ.เพียงองค์เดียว 2. การทำละหมาด ซึ่งมุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติทุกวัน ๆ ละ 5 เวลา 3. การถือศีลอด มุสลิมได้ถูกกำหนดให้ถือศีลอดในเดือนรอมฏอน (เดือนที่ 9 ของปีจันทรคติตามปฏิทินอิสลาม) ปีละหนึ่งครั้ง ครั้งละประมาณ 1 เดือน 4. การจ่ายซากาต หรือการบริจาคทาน 5. การประกอบพิธีฮัจญ์ หรือการไปประกอบศาสนกิจยังนครมักก๊ะฮ. นอกจากหลักการดังกล่าวแล้วศาสนาอิสลามยังมีบทบัญญัติของการประพฤติปฏิบัติ หรือตัวบทกฎหมายที่ประกอบด้วยแนวทางและวิธีการซึ่งเป็นรายละเอียดในการดำเนินชีวิตของมุสลิมทุกคนอันประกอบไปด้วย แนวทางการใช้ชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ส่วนบุคคล และการใช้ชีวิตในลักษณะที่ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น ซึ่งทั้งสองส่วนนี้มีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกันในหลาย ๆ ด้าน โดยไม่สามารถแยกออกจากันได้โดยเด็ดขาด (หน้า3-5) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
จากปฏิกิริยาของสังคมในเชิงลบที่ไม่ยอมรับกะเทย (social disapproval) และการควบคุมทางสังคม (social control) ที่เข้มงวด ส่งผลให้กะเทยมีพื้นที่ที่จำกัดในการแสดงออก หรือไม่สามารถเปิดเผยต่อสังคมได้เต็มที่ ดังนั้นกะเทยจึงต้องหาสถานที่ที่ทำให้ตนเองมีความรู้สึกในทางบวกต่อการยึดมั่นในเอกลักษณ์กะเทย สำหรับชีวิตทางเพศสัมพันธ์ของพวกเขานั้นถูกสังคมพิจารณาว่าเป็นพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศซึ่งผิดทั้งหลักศาสนาและบรรทัดฐานทางสังคม ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่กะเทยจะต้องปกปิดความสัมพันธ์ทางเพศต่อชุมชนและกลุ่ม "คนนอก" อย่างเข้มงวด เพื่อลดและหลีกเลี่ยงการประทับตราซ้ำจากสังคม ถึงการมีพฤติกรรมรักร่วมเพศของเขาซึ่งกะเทยได้เลือกสรรกลยุทธต่าง ๆ เพื่อใช้ในการจัดการกับปัญหาดังกล่าว ซึ่งกลยุทธนั้นได้แก่การปกปิดการมีเพศสัมพันธ์กับเพศชายด้วยกัน (หน้า88) และเป็นที่ทราบกันดีว่าสังคมมุสลิมเป็นสังคมที่มีความเคร่งครัดในเรื่องศาสนา โดยเฉพาะเรื่องเพศซึ่งบทบัญญัติทางศาสนาว่าด้วยเรื่องเพศนั้นมีกล่าวไว้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับการประพฤติ และการปฏิบัติตนของชายและหญิงมุสลิมว่าสิ่งใดควรทำ และสิ่งใดไม่ควรทำ ซึ่งบทบัญญัติเหล่านี้สามารถสะท้อนจุดยืนของศาสนาอิสลามในการปฏิเสธพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม หรือพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนทางเพศไปจากบัญญัติทางศาสนาได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม กลับพบ "กะเทย" ซึ่ง "ผู้ชมทางสังคม" มุสลิมประทับตราว่า เป็นผู้ที่เบี่ยงเบนทางเพศ เกิดขึ้นและสามารถดำรงอยู่ได้ในสังคมมุสลิมปัจจุบัน จากการศึกษากลุ่มตัวอย่าง 8 กรณี ซึ่งแต่ละกรณีได้ถ่ายทอดถึงประสบการณ์ชีวิตของตนเองในวัยเด็กที่มีอิทธิพลต่อการเป็นกะเทย ส่งผ่านมาสู่การยอมรับความหมายของกะเทยในเวลาต่อมา และจะกล่าวถึงโลกของกะเทย หรือการเข้าไปมีส่วนร่วมโดยมีความสัมพันธ์ทางสังคมกับกลุ่มกะเทย ซึ่งทำให้พวกเขาเรียนรู้ถึงการใช้ชีวิตในแบบกะเทย ภาษาต่าง ๆ ตลอดจนช่วยทำให้พวกเขามีความรู้สึกต่อเอกลักษณ์ของเขาเป็นไปในทางบวกมากขึ้น จนส่งผลให้พวกเขามีความยึดมั่นต่อเอกลักษณ์กะเทยจนกลายเป็นเสมือน "สถานภาพหลัก" (master status) ของเขาในที่สุด (หน้า 65-66) |
|
Other Issues |
สำหรับสังคมมุสลิมซึ่งเป็นสังคมที่มีความเคร่งครัดทางศาสนาโดยเฉพาะในเรื่องเพศ ซึ่งแน่นอนว่า ผู้ที่มีเอกลักษณะกะเทยนั้นจะถูกปฏิเสธ และได้รับปฏิกิริยาในเชิงลบจากผู้ชมทางสังคมที่ร่วมอยู่ในการปฏิสังสรรค์ทางสังคม กลยุทธ์การปรับตัวที่กะเทยนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตในสังคมมุสลิม ก็คือ การลดลักษณะความเป็นหญิง และเนื่องจากการมีความสัมพันธ์ทางเพศกับเพศชายด้วยกัน เป็นสิ่งที่ถูกมองว่าผิด บาป ในสังคมมุสลิมดังนั้นกะเทยจึงต้องปกปิดการมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน เพื่อลดภาวะความคับข้องใจจากการถูกประทับตราว่าเป็นผู้เบี่ยงเบนจากสังคม (หน้า 97) |
|
|