สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject มอญ,หมู่บ้านศาลาแดงเหนือ,เรือมอญ,ประวัติความเป็นมา,การค้าทางน้ำ
Author กชภรณ์ ตราโมท
Title หมู่บ้านศาลาแดงเหนือกับเรือมอญ
Document Type บทความ Original Language of Text -
Ethnic Identity - Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 28 Year 2544
Source 30 ปี ไทยคดีศึกษา ที่ระลึกในวโรกาสสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
Abstract

สามโคกเป็นเมืองเก่า มีคนมอญอาศัยอยู่ที่สามโคกมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระ-นารายณ์มหาราช คนมอญสามโคกประกอบอาชีพทำนาเป็นอาชีพหลัก นอกจากนี้ยังทำเครื่องปั้นดินเผา เผาอิฐมอญขาย และนิยมออกเดินทางล่องเรือค้าขาย สินค้าที่คนมอญค้าขาย อาทิ เกลือ ปูเค็ม ไตปลา เต้าเจี้ยว กระเทียมดอง ลูกอินทผลัม คนมอญนิยมสร้างวัดมอญขึ้นเป็นศูนย์กลางของชุมชน คนมอญกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานแถบอำเภอสามโคก ได้แก่ หมู่บ้านมอญวัดพลับสุทธาวาส หมู่บ้านมอญวัดท้ายเกาะ หมู่บ้านมอญวัดเมตารางค์ หมู่บ้านมอญวัดศาลาแดงเหนือ สำหรับหมู่บ้านศาลาแดงเหนือในอำเภอสามโคก เป็นหมู่บ้านของคนไทยเชื้อสายมอญร้อยละ 90 ประกอบอาชีพค้าขายทางเรือมาแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น พบว่า ระชากรในหมู่บ้านศาลาแดงเหนือเป็นคนไทยเชื้อสายมอญ วัดศาลาแดงเหนือเป็นวัดเก่าแก่สังกัดธรรมยุตสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่สอง นอกจากจะเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านแล้ว พระสงฆ์มอญยังมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้นำชุมชนและอบรมสั่งสอน เยาวชนให้เข้ามาบวชเรียนศึกษาพระธรรมวินัย การนับถือพุทธศาสนาของคนมอญค่อนข้างเคร่งครัดและมีจุดมุ่งหมายเพื่อตัดกิเลสและเพื่อนิพพาน วัดศาลาแดงเหนือเป็นวัดเก่าแก่ ขุดพบพระพุทธรูปโบราณเมื่อมีการรื้อถอนโบสถ์เก่าที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เนื่องจากคนมอญหมู่บ้านศาลาแดงเหนือส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขายทางน้ำจึงนิยมต่อเรือไว้ใช้ เรือมอญแบ่งเป็น 3 แบบ คือ เรือสำปั้น เรือข้างกระดาน และเรือกระแชง ซึ่งได้มีการปรับปรุงพัฒนารูปแบบและประโยชน์ใช้สอยไปตามบริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละยุคสมัย

Focus

เน้นศึกษาวิถีชีวิตของคนมอญหมู่บ้านศาลาแดง ประวัติความเป็นมา การอพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งของคนมอญบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา การประกอบอาชีพ การคมนาคมทางน้ำ ประเพณี พิธีกรรมและคติความเชื่อ

Theoretical Issues

ศึกษางานในแง่ชาติพันธุ์วรรณนา (ศึกษาประวัติความเป็นมาจากการสัมภาษณ์ผู้อาวุโสของหมู่บ้าน)

Ethnic Group in the Focus

คนมอญหมู่บ้านศาลาแดงเหนือ สามโคก จ.ปทุมธานี

Language and Linguistic Affiliations

ภาษามอญ

Study Period (Data Collection)

ไม่ได้ระบุ

History of the Group and Community

จากเอกสารของชาวฝรั่งเศสที่เข้ามารับราชการสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กล่าวถึงสามโคกไว้ว่า เป็นตำบลใหญ่ที่ตั้งอยู่บริเวณฝั่งแม่น้ำในเขตบางกอก เคยมีบาทหลวงชาวคริสต์ประกอบพิธีมิซซา มีฐานะเป็นเมืองหรือตำบลมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2178 มีคนมอญอาศัยอยู่ที่ตำบลสามโคกมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ ในสมัยพระเจ้าปราสาททอง สามโคกมีฐานะเป็นเมืองขึ้นต่อกรมพระกลาโหม (หน้า 106) การอพยพเข้ามาในประเทศไทยของมอญมี 3 ครั้งคือ สมัยสมเด็จพระนเรศวร สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี จากหลักฐานของฝ่ายไทยพบว่า มอญอพยพเข้ามา 4 ครั้ง รวมถึงสมัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ด้วยเอกสารระบุว่า มอญอพยพเข้ามาที่สามโคกในสมัยพระนารายณ์ สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี และสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ คือ ในสมัยรัชกาลที่ 2 มีการอพยพครั้งใหญ่ แต่จากหลักฐานโบราณวัตถุที่วัดพญาเมือง วัดนางหยาด วัดดงดารา เมืองสามโคก พบว่าเมื่อเสียกรุงเสียอยุธยาครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2310 ถือเป็นการสิ้นสุดยุคมอญเก่า สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี พวกมอญใหม่ได้อพยพหนีการกดขี่ของพม่าเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร จึงทรงพระราชทานที่ดินบริเวณสามโคกและนนทบุรีซึ่งเป็นเมืองร้างให้พวกมอญเข้ามาตั้งถิ่นฐาน มอญที่อาศัยแถบสามโคกนี้ยังเป็นกำลังสำคัญทางทหารในการรบกับพม่าหลายครั้ง ทั้งยังใช้นโยบายที่ค่อนข้างผ่อนปรน กับคนมอญ ดังคำให้สัมภาษณ์ของชาวบ้านหมู่บ้านศาลาแดงเหนือ (หน้า 107) นอกจากนี้ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ยังเกณฑ์แรงงานมอญไปก่อกำแพงป้อมค่ายเมืองปราจีนบุรี เสร็จสิ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 (หน้า 109) ประวัติหมู่บ้านศาลาแดงเหนือ ในอำเภอสามโคก เป็นหมู่บ้านของคนไทยเชื้อสายมอญ ร้อยละ 90 ประกอบอาชีพค้าขายทางเรือมาแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น วัดศาลาแดงเหนือเป็นวัดเก่าแก่สังกัดธรรมยุต สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 เมื่อบรรพบุรุษอพยพเข้ามาจับจองที่ดินริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออกของสามโคกแล้ว ก็ช่วยกันสร้างหมู่บ้านและวัดขึ้น โดยตั้งชื่อตามชื่อเดิมที่เมืองมอญคือ “เภี่ยปรัน” แปลว่า หมู่บ้านไม้แดง ชาวบ้านเชื้อสายมอญได้ให้ข้อมูลว่า ต้นตระกูลของคนมอญหมู่บ้านศาลาแดงเหนือ อพยพหนีพม่ามาจากเมืองมอญ บางสายตระกูลเป็นชนชาตินักรบเช่นเป็นสมิงจากเมืองมอญที่เข้ามารับราชการสมัยรัตนโกสินทร์ กล่าวคือ มาเป็นแม่ทัพช่วยไทยรบพม่า (หน้า 109 – 111) ความเป็นมาของอาชีพเรือมอญบ้านศาลาแดงเหนือ ชาวบ้านเรียกเรือที่ไว้ใช้ขายและรับจ้างบรรทุกสินค้าของคนมอญว่า “เรือมอญ” ปรากฏข้อมูลเป็นหลักฐาน ผ่านโคลงนิราศของสุนทรภู่ กล่าวอ้างถึง “คลองวัดเชิงเลน” ซึ่งขุดขึ้นในสมัยรัชกาลที่1 ต่อมาเมื่อชาวมอญมาขายโอ่ง อ่างและอิฐกันมาก จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็นคลองโอ่งอ่าง นอกจากนี้ ในหนังสือของ ส.พลายน้อยก็กล่าวถึงมอญสามโคกที่นำสินค้าดังกล่าวมาค้าขายบริเวณนี้เช่นกัน จึงอาจกล่าวได้ว่าคนมอญได้ผูกขาดการค้าเครื่องปั้นดินเผา และอิฐมาช้านาน ตั้งแต่ยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นที่อาศัยการคมนาคมทางน้ำและเส้นทางการค้าทางเรือเป็นหลัก ส่วนข้อมูลที่เป็นเอกสารเกี่ยวกับอาชีพเรือมอญบ้านศาลาแดงเหนือโดยตรง ค่อนข้างหายากเนื่องจากเป็นชุมชนเล็ก ๆ มีเพียงข้อมูลที่ ผู้เขียนประมวลจากพูดคุยกับชาวบ้าน ที่ทำให้รู้จักเรือมอญบ้านศาลาแดงเหนือตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ.2450 คือช่วงปลายรัชกาลที่ 5 จนถึงปัจจุบันเท่านั้น กล่าวคือ หลังจากไทยรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา ก็ทำให้คนไทยและคนมอญเป็นอิสระจากระบบไพร่ มีโอกาสแสวงหาแนวทางในการประกอบอาชีพเพิ่มขึ้น เรือมอญในยุคแรกขับเคลื่อนด้วยไม้พาย ถ่อและใช้การแจว บ้างก็เป็นเรือกระแชงกางใบ รูปแบบต่าง ๆ ก็ถูกปรับเปลี่ยนไปตามบริบททางสังคมและวัฒนธรรมแบบตะวันตก (หน้า 119 – 121) ข้อมูลจากการสัมภาษณ์คนเก่าแก่ของชุมชน 2 ท่านคือ ยายธรรมดา ค้าทางชล อายุ 96 ปี และย่าแห แก้วหยก อายุ 91 ปี ยายธรรมดาเล่าว่าตนเกิดที่หมู่บ้านศาลาแดง เหนือแถบอุมกะเตอ จำความได้ก็อยู่ในเรือกับพ่อแม่ เป็นเรือบรรทุกสินค้าจำพวก โอ่ง หม้อ ไห ถ้วยชามจีน หอม กระเทียม ไปขายที่ปากน้ำโพ จ. นครสวรรค์ พ่อแม่ทำนาพร้อมกับทำเรือมอญ ต่อมาพ่อแม่เลิกทำนาหันมาค้าขายทางน้ำอย่างเดียว ยายธรรมดาเอง ก็เคยเป็นลูกจ้างเรือพี่สาวไปค้าขายทางเหนือ เมื่อได้กำไรก็แบ่งครึ่งกับเจ้าของเรือ ส่วนย่าแหเกิดที่หมู่บ้านเดียวกัน แถบอุมฮะนัดเล่าว่า พ่อแม่มีอาชีพค้าขายทางเรือนำสินค้าจำพวก มะพร้าว กะปิ พริกแห้ง พลู ไปขาย บางทีก็ไปแลกข้าวเปลือกที่คลองพุทรา จ. อยุธยา เรือที่ใช้เป็นเรือข้างกระดาน พ่อเคยไปเป็นลูกจ้าง เรือเมื่อตนยังเล็กต้องไปซ้อฟืนไม้ลาที่คลองเชิงกราย จ.นครสวรรค์มาขายที่บริเวณวัดไก่เตี้ย บ้านเจดีย์ทอง ส่วนช่างตอเรืออยู่ที่บ้านศาลาแดงเหนือ มีพวกเรือกลไฟและเตาเผาโอ่งมาซื้อ ย่าแหให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ครอบครัวยายโกนงุ้น (เกิดในสมัยรัชกาลที่ 4) ร่ำรวยจากอาชีพค้าขายทางเรือ โดยบรรพอพยพมาอยู่ที่หมู่บ้านตั้งแต่เมื่อครั้งสมัยรัชกาลที่ 2 (หน้า 119 – 120) เรือมอญหมู่บ้านศาลาแดงเหนือกับการเปลี่ยนแปลง เรือมอญยุคเรือใบ เรือมอญในอดีตมักใช้พาย แจว ถ่อและใบเรือผ้าดิบ ผลพวงของการใช้เรือใบ ทำให้เกิดสังคมแบบพึ่งพากัน ใบเรือแต่ละลำต้องใช้ผ้าดิบ 12 พับ ครอบครัวเดียวทำไม่ไหวจนต้องขอแรงเพื่อนบ้านมาช่วยกันเย็บใบเรือที่ลานวัด ใบเรือจะช่วยให้เรือแล่นไปทางเหนือได้ถึงปากน้ำโพ หรือถึงพิษณุโลก แม้ในช่วงต่อมาเรือกลไฟรับจ้างโยงเรือจะเกิดขึ้นแล้ว แต่คนมอญหมู่บ้านศาลาแดงเหนือก็ยังคงไม่นิยมใช้บริการ เรือมอญใช้ใบเรือเฉพาะแค่ขาขึ้น (ไปทางเหนือ) ขาล่องยังใช้บรรทุกข้าวเปลือก ใช้วิธีแจวหรือถ่อตามน้ำลงมา เพราะน้ำหนักมาก ยุคใช้ใบนี้คนเรือจะเดิน ทางค้าขายปีละครั้งเท่านั้น (หน้า 127 – 128) เรือมอญยุคสงครามมหาเอเชียบูรพา (พ.ศ. 2482 – 2488) เป็นยุคข้าวยากหมากแพง การทำมาหากินฝืดเคือง ทหารญี่ปุ่นต้องการเรือขนถ่ายอาหารและอุปกรณ์ก่อสร้างส่งไปยังเมืองต่าง ๆ ตามที่ต้องการ เรือมอญหมู่บ้านศาลาแดงเหนือได้รับ ว่าจ้างให้บรรทุกของ มีรายได้เป็นเดือน ๆ ละ 210 บาท โดยญี่ปุ่นเป็นผู้จัดเรือโยงดีเซลให้และมีทหารประจำเรือแต่ละลำๆ ละ 4 คน ทำหน้าที่ดูแลสินค้าและให้อาณัติสัญญาณแก่เครื่องบินญี่ปุ่น ทหารมักจะพักหุงหาอาหารกินบริเวณหัวเรือ ไม่มีใครคิด ขโมยของเพราะเป็นกฎเหล็กที่คนเรือรู้กันดี ทหารญี่ปุ่นมักจะใจดีกับเด็กเป็นพิเศษท้ายเรือเป็นที่สำหรับคนเรืออยู่ บางครั้งก็มีการแลกอาหารกันกิน ช่วงสงครามโลกนี้เรือโยงขาดน้ำมัน เจ้าของเรือคิดดัดแปลงเครื่องยนต์น้ำมันเบนซินรถยนต์ให้จุดระเบิด ด้วยถ่านไม้สำเร็จ ชาวบ้านจึงเรียก “เรือถ่าน” ประหยัดและใช้งานได้ดีพอสมควร หลังสงครามก็ยังคงใช้ต่อมาอีกระยะหนึ่ง (หน้า 128) เรือมอญยุคเรือรับจ้างบรรทุก (พ.ศ. 2478 – 2494) เป็นช่วงที่มีโครงการก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินทั่วประเทศ เรือมอญเลิกใช้ใบเรือและเสากระโดงเพราะมีสะพานข้ามแม่น้ำ สายไฟและเสาโทรเลขระโยงระยางเต็มไปหมด เรือโยงดีเซลหรือเรือแท็กซี่จึง เข้ามาแทนที่เรือใบ หลังสงครามอินโดจีน เรือกระแชงมอญขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นแปลงเป็นเรือรับจ้างบรรทุกข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวโพด เมื่อไทยเดินตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 1 เรือมอญหมู่บ้านศาลาแดงเหนือก็ปรับตัวเป็น 2 พวกคือ เรือค้าขาย กับเรือรับจ้างบรรทุก พวกหลังมีจำนวนมาก เป็นเรือกระแชงขนาดใหญ่ขึ้นใช้บรรทุกมากขึ้น เริ่มพัฒนาเปลี่ยนแปลงจากเรือไม้กลายเป็นเรือเหล็ก ระยะหลังถูกสั่งให้ไปส่งที่เรือเดินทะเลโดยตรง มีการบรรทุกน้ำมัน ปูนซีเมนต์ หินและทรายเข้า และออกจากกรุงเทพ ฯ เมื่อการคมนาคมทางบกมาแทนที่ คนเรือบ้างก็เบนเข็มไปเป็นลูกจ้างเรือดูดแร่ดีบุกที่พังงา บ้างก็ทำเรือดูดทราย หลายคนกลับมาอยู่บ้าง ลูกหลานคนเรือขึ้นบกมาทำงานบริษัท ปี พ.ศ. 2534 – 2538 เรือมอญรับจ้างบรรทุกขนาดใหญ่และเรือเหล็กกลุ่มที่มีทุนมาก รับความเจริญยุคโลกาภิวัตน์ เพิ่มการลงทุนเป็นหลายล้าน เมื่อเศรษฐกิจฟองสบู่แตกปี พ.ศ.2540 เป็นช่วงวิกฤต ก่อสร้างในเมืองยุติลง เรือกระแชงขนาดใหญ่ถูกซื้อไปทำโรงแรม หรือไปจอดเป็นร้านอาหาร เหลือเรือบรรทุกจอดบนบกเพียงลำเดียว และเรือเหล็ก 2 ลำจอดรอขายอยู่ที่ท่าน้ำ (หน้า 128 - 129) เรือมอญติดเครื่องเรือหางยาว เรือมอญค้าโอ่งเริ่มหายไปจากหมู่บ้านเกือบหมดที่เหลืออยู่ก็ต้องปรับตัว เนื่องจากลูกค้าเดิมเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนเมือง เรือมอญต้องหาลูกค้าใหม่ เข้าไปในหมู่บ้านที่ยังมีลำคลองเล็ก ๆ และลึกเข้าไปในแผ่นดินมากขึ้น เครื่องเรือหางยาวถูกนำมาใช้ในเรือกระแชงเพื่อความคล่องตัว คนเรือมอญลงทุนเปลี่ยนจากการค้าทางเรือไปค้าทางบก เหลือเพียงเรือมอญค้าโอ่งของลุงบุญเสริม และป้าจำนงซึ่งกลายเป็นเรือลำสุดท้ายเพียงลำเดียวของหมู่บ้านศาลาแดงเหนือ (หน้า 129)

Settlement Pattern

เป็นที่น่าสังเกตว่า การตั้งถิ่นฐานคนมอญมักนิยมสร้างวัดมอญขึ้นเป็นศูนย์กลางของชุมชน คนมอญกลุ่มแรก ๆ ซึ่งเข้ามาตั้งถิ่นฐานแถบอำเภอสามโคก ได้แก่ หมู่บ้านมอญวัดพลับสุทธาวาส หมู่บ้านมอญวัดท้ายเกาะ หมู่บ้านมอญวัดเมตารางค์ หมู่บ้านมอญวัดสวนมะม่วง หมู่บ้านมอญวัดเจดีย์ทอง หมู่บ้านมอญวัดปทุมทอง หมู่บ้านมอญวัดสองพี่น้อง และหมู่บ้านมอญวัดศาลาแดงเหนือ (หน้า 108) ส่วนเส้นทางเดินเรือค้าขายของเรือมอญหมู่บ้านศาลาแดงเหนือ ส่วนใหญ่นิยมใช้เส้นทางตอนเหนือเป็นหลัก คือ จากแม่น้ำเจ้าพระยาถึงนครสวรรค์ แยกออกไปทางแม่น้ำน่าน ขึ้นไปขายถึงพิษณุโลกและอุตรดิตถ์ที่ท่าเสา เส้นทางสายตะวันออกเฉียง- เหนือ ตามลำน้ำป่าสัก ผ่านลพบุรี สระบุรี เพชรบูรณ์ มักใช้เพื่อรับจ้างบรรทุกสินค้าปลา กรวด ปูนซีเมนต์ หิน เส้นทางสายตะวันออก ผ่านคลองแสนแสบ คลองสำโรงเข้าสู่ จ.ฉะเชิงเทรา เส้นทางสายตะวันตก ใช้เส้นทางแม่น้ำท่าจีนแม่กลอง คลองดำเนินสะดวก เพื่อไป จ.ราชบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร เป็นเส้นทางค้าขายปุ๋ยขี้ค้างคาว ชาวเรือมักออกเดินทางประมาณปลายเดือนเมษายน หากใช้เรือใบจะเดินทางปีละเที่ยว หากใช้เรือโยงจะเดินทางได้ปีละ 2 เที่ยว อาจเพิ่มการเดินเรือประมาณเดือนกันยายนอีกเที่ยว (หน้า 126)

Demography

จากการสำรวจเมื่อปี พ.ศ. 2528 พบว่า ประชากรในหมู่บ้านศาลาแดงเหนือ เป็นคนไทยเชื้อสายมอญมีจำนวนทั้งสิ้น 556 คน บ้านจำนวน 74 หลัง (หน้า 109)

Economy

ตามหลักฐานงานวิจัยของ Brian L. Foster กล่าวว่า คนมอญแถบ จ. นนทบุรีและ จ.ปทุมธานี โดยเฉพาะในเขตพื้นที่สามโคก ประกอบอาชีพทำนาเป็นอาชีพหลัก หมู่บ้านคนมอญแถบวัดเมตารางค์ยึดอาชีพทำนามากกว่าอาชีพอื่น ส่วนการทำ เครื่องปั้นดินเผา โดยเฉพาะ “ตุ่มสามโคก” มีชื่อเสียงมากในหมู่บ้านมอญสามโคก นอกจากนี้คนมอญสามโคกยังนิยมค้าขายทางเรือ และเผาอิฐมอญขาย (หน้า 108) ส่วนสินค้าที่คนมอญซื้อไปขายทางเรือ อาทิ เกลือ ปูเค็ม ไตปลา เต้าเจี้ยว กระเทียม ดอง ลูกอินทผลัม หมากแห้งกับพลูนาบ ปูนแดง พริก หอม กระเทียม น้ำตาลทราย น้ำตาลปีบ มะพร้าว นอกจากนี้ยังมีเครื่องถ้วยชามเคลือบ ชามกระเบื้อง ชามงวง (ชามเปล) หม้อดิน กระทะขนมครก โอ่ง อ่าง กระปุกปูน ครก เตา และกระปุกออมสิน ช่วงล่องเรือกลับมักนิยมแลกซื้อสินค้ากลับมาขายทางกรุงเทพฯ เช่น ข้าวเปลือก ไม้ฟืน และขี้ค้างคาวไว้ใช้ทำปุ๋ย (หน้า 124 – 125) เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไป เรือมอญก็ปรับตัวตามสภาพแวดล้อมในยุคต่าง ๆ กล่าวคือ ยุคต้น ๆ ช่วงสงครามมีการนำเรือมาบรรทุกอาหารและลำเลียงยุทธปัจจัยของพวกทหารญี่ปุ่น ยุคหลังสงครามช่วงระยะเวลาต่อมา มีการนำเรือมาดัดแปลงบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ขึ้นเช่น วัสดุก่อสร้างที่รองรับการคมนาคมขนส่งทางบก เช่น อิฐหรือปูนซีเมนต์ จากเรือไม้ก็พัฒนามาเป็นเรือเหล็ก มีการใช้น้ำมันหรือติดเครื่องยนต์ไว้กับเรือเพื่อความสะดวกรวดเร็วเพิ่มขึ้น นอกจากการนำเรือมาบรรทุกข้าวเปลือกแล้ว เรือมอญบางลำก็ถูก พัฒนาไปเป็นเรือดูดทราย หรือเรือดูดแร่ดีบุก เรือใหญ่หลายลำถูกซื้อไปทำโรงแรม หรือเรือสำหรับร้านอาหาร เป็นต้น (หน้า 127 – 129)

Social Organization

ไม่มีข้อมูล

Political Organization

ไม่มีข้อมูล

Belief System

คนมอญบ้านศาลาแดงเหนือมีวัดศาลาแดงเหนือ ซึ่งเป็นวัดในนิกายธรรมยุตเป็นรามัญต้นกำเนิดของนิกาย “รามัญธรรมยุต” เป็นเสมือนศูนย์รวมจิตใจมาแต่ดั้งเดิม เป็นที่น่าสังเกตว่าคนมอญบ้านศาลาแดงเหนือนับถือพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด และมีจุดมุ่งหมายแตกต่างจากคนไทย กล่าวคือ คนมอญหวังนิพพานจึงพยายามปฏิบัติตามแบบอย่างของพระสงฆ์ให้มากที่สุด เพื่อตัดกิเลสและเพื่อนิพพาน ในขณะที่คนไทยหวังโชคลาภ ความร่ำรวยและความสุขสบาย คนมอญดั้งเดิมนิยมสวดมนต์เช้าเย็น กวาดวัด จัดหาข้าวปลาอาหารไปถวายพระ และมักสร้างวัดประจำหมู่บ้าน ชาวบ้านมีวัดและพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เจ้าอาวาสวัดถือเป็นผู้นำสำคัญของชุมชนที่มีบทบาทในการสร้างจิตสำนึกและอบรมชาวบ้านให้นำหลักธรรมพื้นฐาน เช่นหลักศีลห้า ไปใช้ในการดำเนินชีวิต นอกจากนี้ พระอาจารย์บุนนาคเจ้าอาวาสยังได้นำหลักธรรมในการประกอบอาชีพค้าขายมาอบรมสั่งสอนชาวบ้าน กล่าวคือ ห้ามค้าคน ห้ามค้าสิ่งมีชีวิต ห้ามค้าอาวุธ ห้ามค้ายาพิษ และห้ามค้าสิ่งเสพติด ทำให้ในหมู่บ้านศาลาแดงเหนือไม่มีคนประกอบอาชีพทำประมง สำหรับความเชื่อเรื่องเกี่ยวกับไสยศาสตร์มีชาวบ้านบางพวกที่นับถือผีและการรำผีมอญอยู่บ้าง แต่ไม่ถือว่าเป็นแก่นแท้ของพุทธศาสนา การนับถือผีของคนมอญบ้านศาลาแดงเหนือจึงค่อย ๆ เลิกราไป ส่วนการผูกผ้าแดงบูชาต้นไม้หรือทำไม้ค้ำภายในวัด ถ้าพระพบเข้าก็จะให้เด็กวัดนำไปทิ้งน้ำ เช่นเดียวกับการทำหรือเขียนผ้ายันต์มอญ นอกจากนี้ พระสงฆ์ยังนำหลักคุณธรรมพื้นฐานมาสั่งสอนชาวบ้านในเรื่องของความรู้จักประมาณตน ความสะอาด ความรับผิดชอบร่วมกันของชุมชน และความกล้าหาญ (หน้า 113 –117) คติความเชื่อและธรรมเนียมปฏิบัติของชาวเรือมอญ หมู่บ้านศาลาแดงเหนือ ชาวบ้านจะมีการประกอบพิธีกรรมในการต่อเรือ เมื่อทางอู่เรือดูฤกษ์แล้วก็จะกำหนดวันรับเรือและทำพิธีปล่อยเรือ มีการจัดวางเครื่องเซ่นไหว้ เช่น ผ้าแพรสีต่าง ๆ น้ำ ไข่ต้ม กล้วย มะพร้าวอ่อน หมูสดวางบนใบตอง เป็ด มีการจุดธูปไหว้อัญเชิญแม่ย่านางมาสถิตในเรือให้ทำมาค้าขึ้น และแคล้วคลาด เมื่อผูกผ้าที่หัวเรือแล้วจึงปล่อยลงน้ำตามฤกษ์เจ้าของนำเรือกลับบ้าน เมื่อเรือมาถึงหมู่บ้านก็จะมีพระมาสวดทั้งช่วงเย็นและช่วงเช้า ส่วนคนที่ฐานะไม่ดีก็อาจไม่ประกอบพิธีกรรมดังกล่าว การนับถือแม่ย่านางประจำเรือ คนเรือมอญมักจัดอาหารเซ่นไหว้และจุดธูปไหว้บอกกล่าวขอพรแม่ย่านาง มีการผูกหัวเรือด้วยผ้าแพรสี แบ่งอาหารเซ่นไหว้อาทิ ข้าวปากหม้อ ไข่ต้ม หมูนอนตอง กล้วยและมะพร้าวอ่อนวางใส่กระทงไว้หัวเรือ ก่อนจะออกเรือ การดูฤกษ์ยามทางโหราศาสตร์ เพื่อกำหนดวันออกเดินเรือ ซึ่งวันของชาวเรือมี 4 วัน คือ วันวิบัติ เป็นวันไม่ดีห้ามออกเรือ วันฟู เป็นวันดีออกเรือได้ วันจม เป็นวันไม่ดี และวันปราศจากภัยพิบัติ ธรรมเนียมปฏิบัตส่วนใหญ่ของคนมอญมักได้รับอิทธิพลมาจากพุทธศาสนาแทบทั้งสิ้น เช่น การอัญเชิญพระพุทธรูปลงในเรือเพื่อสักการะ การกราบไหว้พระเจดีย์หน้าวัด การกราบลาเจ้าอาสและพระที่เคารพคุ้นเคย การกราบพระหน้าโบสถ์ รวมถึงการไหว้พระสวดมนต์ก่อนเข้านอน การกราบลาพ่อ แม่ ผู้อาวุโสเพื่อขอพรก่อนออกเรือไปถึงการร่วมกันสวดมนต์ที่ดาดฟ้าด้านหัวเรือ (หน้า 126 – 127) การสร้างโกศเก็บอัฐิบรรพบุรุษ คนมอญจะมีประเพณีไม่เก็บอัฐิผู้ตายไว้ในบ้าน เมื่อเผาศพแล้วมักจะนำอัฐิบรรจุหม้อดินขนาดเล็ก เรียกว่า “หม้อสงกรานต์” เก็บไว้ที่ศาลาการเปรียญหลังธรรมาสน์ คนมีฐานะมักสร้างเจดีย์บรรจุอัฐิไว้บริเวณวัด ต่อมามีผู้ที่สร้างโกศส่วนตัวเก็บอัฐิไว้ข้างโบสถ์ จนพระต้องเรียกญาติผู้ตายมาว่ากล่าวตักเตือนให้รื้อทิ้ง แล้วนำอัฐิไปรวมกันที่โกศส่วนรวมดังเดิม เมื่อถึงวันสงกรานต์หรือวันตายจึงนิมนต์พระมาบังสุกุลพร้อมกัน ถือเป็นการสร้างจิตสำนึกในเรื่องพวกพ้องหมู่บ้านเดียวกันไปด้วย (หน้า 118) ประเพณีไหว้พระทำวัตรเย็นและสวดพระปริตร การสวดพระปริตรเป็นการ สวดพุทธมนต์ คาถาต่าง ๆ เพื่อคุ้มครองป้องกันภยันตราย มีทั้งสิ้น 12 คาถา เพื่อทำน้ำพระพุทธมนต์ ถือเป็นบทสวดที่ให้ทั้งเทวดา มนุษย์และภูติผีมีเมตตาต่อกัน ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน (ฟุตโน้ตท้ายหน้า 118) เดิมบ้านศาลาแดงเหนือเคยมี ประเพณีการอ่านพระไตรลักษณ์ซึ่งได้ยกเลิกไป เพราะคนอ่านภาษามอญได้มีน้อยลง หลังการเผาศพ ชาวบ้านมักจะไปร่วมกันสวดมนต์ที่บ้านของผู้ตายเพื่อเป็นกำลังใจ และอวยพรให้ทายาทผู้ตาย ซึ่งเถือเป็นประเพณีที่สร้างความสามัคคีอย่างหนึ่งของ หมู่บ้าน (หน้า 118)

Education and Socialization

คนในหมู่บ้านศาลาแดงเหนือมีความสัมพันธ์กับวัดเกือบตลอดชีวิต วัดจึงเป็นเหมือนโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ เด็ก ๆ จะได้รับการอบรมสั่งสอนตั้งแต่อายุยังน้อย โดยเฉพาะเด็กผู้ชาย เมื่อโตพอก็จะมาอาศัยอยู่ที่วัดหรือบวชเณรเรียนรู้พระธรรมคำสั่งสอน ให้รู้จักสวดมนต์ไหว้พระ รับผิดชอบงานทำความสะอาด รดน้ำ ดูแลพระยามบิณฑบาตและเวลาฉัน เด็กวัดที่นำดอกไม้ธูปเทียนมาถวายพระหรือทำพิธี “อ๊อบโต๊ะกวะเภี่ย” ถือเป็นสิทธิ์ขาดของพระ หากเด็กวัดหรือพระเณรลูกวัดศาลาแดงเหนือจะออกจาก วัดไปบ้านต้องกราบลาพระพุทธรูป และเรียนให้พระที่ดูแลและพระเจ้าอาวาสทราบ ก่อน เมื่อกลับมาก็ต้องทำเช่นเดียวกัน พระเจ้าอาวาสจัด “เวลาน้ำชา” เป็นช่วงหลัง ฉันเพลที่พระภิกษุสามเณรต้องฉันน้ำชาร่วมกับพระเจ้าอาวาส สนทนาเกร็ดความรู้ และทดสอบความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เมื่อโตขึ้นก็จะได้รับการสั่งสอนให้บวช เป็นเณรหรือพระศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยและพระปริยัติอย่างจริงจัง พระสงฆ์ มอญจึงมีความรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนาและภาษามอญมาก สำหรับเด็กหญิงจะถูกสอนให้เป็นผู้อุปถัมภ์พระศาสนาตามวัย หากไม่มีธุระจำเป็นก็มักไม่ให้เข้ามายุ่มย่ามในวัด เพราะพระสงฆ์ถือพรหมจรรย์อย่างเคร่งครัด (หน้า 114 – 115) นอกจากนี้คนมอญยังมีคัมภีร์โบราณคือ “คัมภีร์โลกสิทธิ์” เป็นตำราประมวลกฎระเบียบปฏิบัติของมนุษยโลกในการดำเนินชีวิต มีข้อห้ามและคำสั่งสอนที่สืบทอดกันมา อาทิ ตำราฝังรกเด็กแรกเกิด ตำราทำนายฝัน ตำนาปลูกบ้าน และตำราช้าง และธรรมเนียม ปฏิบัติซึ่งส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากพระพุทธศาสนา (หน้า 127)

Health and Medicine

ไม่มีข้อมูล

Art and Crafts (including Clothing Costume)

คนมอญนิยมเก็บบันทึกประวัติเรื่องราวและหลักฐานโบราณวัตถุต่าง ๆ ไว้ เช่น กระบุงใส่เด็กสานด้วยหวายที่ใช้ใส่เด็กอุ้มหนีพวกพม่า นอกจากนี้ยังมีดาบและ ลัญจกรประทับตราทำจากงาเป็นสมบัติของบรรพบุรุษตกทอดกันมา (หน้า 109 -111) หลักฐานโบราณวัตถุที่พบบริเวณวัดศาลาแดงเหนือ เช่น เสมาหินทรายแดงที่สลักลวดลายแบบอยุธยาตอนต้น และพระพุทธรูปหินทรายที่เรียกว่าหลวงพ่อเพชรและ หลวงพ่อพลอย เมื่อครั้งที่มีการรื้อเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองด้านหน้าโบสถ์วัดศาลาแดงเหนือ พบพระเครื่องดินเผาที่เรียกว่า “พระโคนสมอ” หรือ “พระคง” (เป็นพระเครื่อง ด้านอยู่ยงคงกระพันแคล้วคลาด นิยมสร้างกันในสมัยหริภุญชัย พบมากที่ จ.ลำพูน) พบเกือบ 20 องค์ นอกจากนี้ยังพบพระบุของคนมอญดั้งเดิม (คนมอญนิยมสร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา) และพระพุทธรูปศิลาทรายแดงปางมารวิชัยที่ชำรุดเสียหายอยู่ 10 องค์ในเจดีย์ทางทิศใต้ เมื่อมีการรื้อถอนโบสถ์เก่าที่สร้างสมัยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 พระบุและพระคงได้ถูกนำมาบรรจุไว้ในเจดีย์องค์ใหม่ จากงานสำรวจด้านโบราณคดี อ.มานิต วัลลิโภดมตั้งข้อสังเกตว่า บรรดาของเก่าตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นขึ้นไปมักพบฝั่งตะวันออกมากกว่าฝั่งตะวันตก เป็นของอยู่ติดวัดมาแต่เดิม (หน้า 112) เรือมอญหมู่บ้านศาลาแดงเหนือ เรือมอญแบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ เรือสำปั้น เรือข้างกระดาน และเรือกระแชง เรือสำปั้น จีนเรียกว่า “เรือซำปัง” หรือ “สามป้าน” เป็นเรือที่ต่อด้วยไม้ 3 แผ่นท้องเรือ 1 แผ่น และด้านข้าง 2 แผ่น เรียก อาจเรียกได้ว่าเป็นเรือของคนมอญที่เริ่มตั้งตัวหรือมีทุนน้อย ค้าขายของกินของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ แถบอยุธยา ปทุมธานี สระบุรี ลพบุรี บ้างก็นำมาใช้ขนฟืน เรือกระดาน บ้างเรียกว่า “เรือเครื่องเทศ” ตรงกลางมีประทุน หลังคามุงสังกะสี ข้างประทุนกรุด้วยไม้กระดาน หัวท้ายทำเป็นหลังคาโค้ง มีเสารับเพื่อใช้บังแดด ท้องแบนกว่าเรือสำปั้น ยาวประมาณ 8-9 เมตร มีไม้ที่ตอกขวางด้านหัวเรือเรียกว่าแอกใช้เป็นที่คล้องเชือก เรือกระดานนี้มักใช้บรรทุกเครื่องปั้นดินเผา พริก หอม กระเทียม กะปิ ไตปลา ฯลฯ ใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้แต่บรรทุกสินค้าได้จำนวนจำกัด จึงค่อย ๆ หายสาบสูญไปจากหมู่บ้าน เรือกระแชงเป็นเรือขนาดใหญ่ สามารถบรรทุกสินค้าได้มาก ท้องเรือกลมป้อมคล้ายผลแตงโมผ่าซีก มักใช้ไม้กระดานหนาทำเปลือกเรือ ตอกยึดด้วยลูกประสักจากไม้แสมสารกลางลำมีหลังคาเป็นประทุนเลื่อนเข้าออกได้ หัวเรือเป็นพื้นราบ ตอนที่เป็นดาดฟ้าปูไม้ไว้เป็นห้องเก็บของ ท้ายเรือทำไว้เปิดพื้นได้ไว้ใช้เก็บของ ใช้บรรทุกสินค้าไปค้าขาย ระยะไกล ท้ายเรือมักใช้เป็นที่อยู่ของครอบครัวเจ้าของเรือ ส่วนดาดฟ้าหัวเรือเป็นที่อยู่ ของคนแจวหรือลูกจ้าง ใช้มาตรวัดขนาดเป็นเกวียน เรือมอญที่ใช้ขายของอยู่ระหว่าง 5 – 300 เกวียน เรือกระแชงคนมอญทุกลำมักจะบรรทุกเรือโปงไว้ด้วย เพื่อใช้เป็น พาหนะติดต่อกับชายฝั่งหรือใช้ยามเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น กรณีเรือใหญ่ล่มหรือเรือรั่ว ต่อมานิยมสร้างขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อใช้รับจ้างบรรทุกสินค้า สำหรับเรือมอญค้าขาย ยังคงใช้เรือกระแชงขนาดเล็ก สมัยหลัง ๆ ขนาดยิ่งเล็กลงเพราะต้องเข้าถึงลำคลอง เล็ก ๆ ที่ห่างไกลแหล่งสาธารณูปโภค (หน้า 121 – 122) การบำรุงรักษาเรือมอญ มี 2 รูปแบบคือ การบำรุงรักษาเป็นประจำและการดูแล รักษาทั่วไป การบำรุงรักษาเป็นประจำ มี 2 แบบคือ 1) คานปี มีการนำเรือขึ้นคานหรือขึ้นบกเพื่อตรวจสอบท้องเรือปีละครั้ง ใช้เวลา ดูแลรักษาไม่เกิน 15 วัน สำหรับเรือมอญบ้านศาลาแดงเหนือจะอาศัยคานใกล้ ๆ จากหมู่บ้านฝั่งตรงข้ามในกรุงเทพฯ คือ คานศรีเจริญ คานเหนือชื่อ คานของโกพังอยู่แถวโรงพยาบาลวชิระ สามเสนหน้าวัดปราสาท คาน ใต้หรือคานล่างเป็นคนจีนไหหลำอยู่บริเวณห้องอาหารคุณหลวงในปัจจุบัน ขั้นตอน การดูแลรักษา ก่อนนำเรือขึ้นคาน คนเรือต้องขัดล้างเรือด้วยแปรงลวดทั้งข้างนอกและข้างใน ขั้นตีหมัน เป็นการนำผิวไม้ไผ่หรือใช้ด้ายดิบผสมชันปูนแดง น้ำมันยางตีอัดตามคานเรือ แล้วยาทับด้วยชันปูนแดงและน้ำมันยาง ขั้นตีลูกประสักเป็นการตีย้ำไม้หมุดตรึงพื้นเรือให้ติดกับกงเรือ แล้วจึงยาลูกประสักด้วยชัน ขั้นสุดท้ายเป็นการตรวจสอบ เทน้ำมันยางภายในเรือให้โชก การขึ้นคานปีมักมีอุบัติเหตุไฟไหม้ได้ง่ายเพราะเชื้อเพลิงมาก ภายหลังจึงมีการประกันภัยเรือคานปี 2) คานน้ำ เป็นการนำเรือขึ้นคาน 1 – 2 ครั้งต่อเดือน ทำในบริเวณใดก็ได้ตามสะดวก เพราะเจ้าของเรือจะเป็นผู้ดำเนินการเอง คนที่ระมัดระวังรักษาเรือมักจะดูแลขึ้นคานน้ำบ่อย ขั้นตอนการขึ้นคานน้ำ คนเรือจะแปรงลวดถูด้านนอกกับท้องเรือขณะเรือลอยอยู่ในน้ำ ขั้นต่อไปเป็นการนำเรือขึ้นคาน โดยหนุนให้เรืออยู่ระดับสูงเพื่อลนไฟ นำถาดสังกะสีที่เรียกว่า ”กระทะ” ยาว 50 เซนติเมตร กว้าง 30 เซนติเมตร ทำด้ามไม้เป็นที่จับ เหนือกระทะนำฟืนมาเรียง ราดด้วยน้ำมันจุดไฟเผา นำกระทะมาลนใต้ท้องเรือด้านนอกจนมีสีดำทั้งลำใช้ฆ่าเพรียงที่มักเกาะกินใต้ท้องเรือ หลังจากลนไฟรอบเรือด้านนอกแล้วจึงใช้ ผ้าชุบน้ำมันยางทา มักใช้เวลาขึ้นคานน้ำไม่เกิน 3 วัน (หน้า 122–123) การดูแลซ่อมแซมทั่วไป มักจะราดน้ำทางดาดฟ้าเรือเสมอเพื่อไม่ให้รอยชันยาแตก เรือมอญมักมีกระป๋องน้ำผูกเชือกไว้ด้านหัวเรือ สำหรับตักน้ำราดเพื่อรักษาไม้และ รอยชัน ทั้งยังช่วยให้เดินได้ไม่ลื่นและไม่ร้อนฝ่าเท้า มักดูแลซ่อมแซมเรือเล็กน้อยก่อนนำไปลงสินค้าเรียกว่า “การเล็ม” กรณีเรือซึมหรือเกิดน้ำซึมเข้าเรือ คนเรือมักแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าด้วยขี้เลื่อยตากแห้งกำใส่มือลงไปในน้ำ หรือใส่ขี้เลื่อยไว้ในชะลอม ปล่อยให้ขี้เลื่อยที่พองตัวปิดรู กรณีเรือรั่วมี 2 สาเหตุคือ เกิดจากเพรียงป่า คนมอญเรียกว่า “กะมะเกร็บ” เป็นรอยตาไม้ที่แมลงเจาะไว้ตั้งแต่ก่อนนำมาทำเรือ หากพบว่าไม้ที่อุดไว้หลุดก็จะให้คนเรือดำน้ำลงไปใต้ท้องเรือ (ตามแนวขวางของเรือ) เอาปากเป่าลมตามรอยตะเข็บเรือ หากมีเสียงดังผิดปกติ ก็จะทำรอยตำหนิรอยรั่วไว้ แล้วจึงนำผ้าขี้ริ้วยาดินเหนียวหรือซีเมนต์ปะบริเวณที่รั่วนั้น หากรูรั่วขนาดใหญ่ คนเรือจะนำหมอนหรือเบาะเด็กไปอุดรูรั่ว การลงไปซ่อมเรือใต้น้ำมีข้อควรระวังคือ ไม่ควรปล่อยมือเข้าไปในรูรั่วเพราะน้ำจะดูดมือเข้าไปติดทำให้ถึงตายได้ เมื่อคนเรือลงไปซ่อมเรือใต้น้ำ มักใช้เชือกผูกเงื่อนที่ปลดออกง่ายไว้กับเอว เพื่อช่วยดึงขึ้นเรือ สำหรับวิธีที่ไม่ต้องลงไปในน้ำ มักใช้ผ้านุ่งผูกเชือก 2 ข้างให้คนเรือลากคนละฟากของเรือ ผ้านุ่งเมื่อพาดผ่านไปใต้ท้องเรือหากผ่านรูรั่ว น้ำจะดูดผ้าเข้าไปช่วยอุดรูรั่วนั้น คนเรือมักนำเรือขึ้นคานซ่อมหากพบว่า น้ำเข้าเรือมากผิดปกติ ส่วนการบำรุงรักษาเรือถือเป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งของคนเรือที่ได้ค่าจ้างจากเจ้าของเรือคนละครึ่ง (หน้า 123 – 124)

Folklore

ชื่อของตำบลสามโคกกล่าวกันว่า มีที่มาจากตำนานท้าวอู่ทองกองเงินทอง และตำนานโคกเตาเครื่องปั้นดินเผามอญสองพี่น้อง แต่ชาวบ้านที่มีเชื้อสายมอญสามโคกยังได้ให้ข้อมูลว่า คำว่า “สามโคก” ในภาษาบาลี-มอญ แปลว่า กุ้ง ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าเป็นไปได้เพราะริมแม่น้ำเจ้าพระยามีกุ้งชุม (หน้า 106)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มีข้อมูล

Social Cultural and Identity Change

ไม่มีข้อมูล

Other Issues

ไม่มีข้อมูล

Map/Illustration

ภาพพระครูโชติธรรมสุนทร (ช่วง อู่เจริญ) / ภาพคุณยายธรรมดา ค้าทางชล (หน้า 107) ภาพตุ่มสามโคก (หน้า 108) ทิวทัศน์ริมน้ำของหมู่บ้านศาลาแดงเหนือ / แผนที่หมู่บ้านศาลาแดงเหนือ (หน้า 109) นายมานพ แก้วหยก / วัดศาลาแดงเหนือ ( 110) พระคง/ย่าแห แก้วหยก (หน้า 111) พระพุทธรูปศิลาทรายแดงที่ชำรุดในเจดีย์ทิศใต้ / พระบุที่พบในเจดีย์ทิศใต้ (หน้า 112) ภาพพระครูวิมลธรรมาภรณ์ / พุทธศาสนิกชนชาวมอญ (หน้า 113) พระอาจารย์บุนนาค ปทุโม (หน้า 114) พระและเด็กวัด วัดศาลาแดงเหนือ (หน้า 115) ลุงเสงี่ยม ใจเที่ยง ผู้ให้ข้อมูล (หน้า 116) นายขวัญเมือง ใจชอบ (หน้า117) หมู่บ้านศาลาแดงเหนือ (หน้า 118) ปากคลองโอ่งอ่าง (หน้า 119) เรือมอญบ้านศาลาแดงเหนือ / เรือขับเคลื่อนด้วยพาย ถ่อและแจว (หน้า 120) เรือกระแชงกางใบ / เรือสำปั้น / เรือข้างกระดาน (แบบจำลอง) (หน้า 121) เรือกระแชง /เรือโปง (หน้า 122) เรือขึ้นคาน / ชัน ด้ายดิบ ไม้แสมสารและลูกประสัก (หน้า 123) ท่าเรือสามเสน แถววัดราชาธิวาสวรวิหาร (หน้า 124) เรือใบขนาดเล็ก (หน้า 127) สะพานโยก ให้เรือใบผ่านได้ (หน้า 130) เรือโยงดีเซลหรือแท็กซี่และเรือเหล็ก / ลุงสากล เกมสวัสดิ์ (หน้า 131)

Text Analyst ศมณ ศรีทับทิม Date of Report 18 พ.ค. 2559
TAG มอญ, หมู่บ้านศาลาแดงเหนือ, เรือมอญ, ประวัติความเป็นมา, การค้าทางน้ำ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง