|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ขมุ,การเกษตร,ระบบเศรษฐกิจ,น่าน |
Author |
นิพัทธเวช สืบแสง |
Title |
การเกษตรแบบยังชีพของชาวขมุ |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
กำมุ ตะมอย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) |
Total Pages |
12 |
Year |
2525 |
Source |
ศูนย์วิจัยชาวเขา กองสงเคราะห์ชาวเขา |
Abstract |
ผู้เขียนพบว่าลักษณะการเกษตรของชุมชนขมุมีปัจจัยที่กำหนดไม่ให้ระบบการเกษตรของชุมชนก้าวจากการเกษตรแบบยังชีพไปสู่การเกษตรในระบบตลาด ได้แก่ ปัจจัยทางด้านนิเวศวิทยากายภาพ อันเนื่องมาจากหมู่บ้านได้ก่อตั้งมากว่า 80 ปี ทำให้พื้นที่ถูกใช้เป็นเวลานานและทำให้ความสมบูรณ์ลดลง ปัจจัยที่สอง คือปัจจัยด้านประยุกต์วิทยาทางการเกษตร ชาวขมุใช้วิธีการที่เรียกว่า “ไร่หมุนเวียน” คือ เมื่อทำการเกษตรอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง จนกระทั่งผลผลิตที่ได้มีแนวโน้มจะลดลงมาก ไม่คุ้มกับการลงทุน และมีปัญหาอื่นๆ ก็จะปล่อยให้พื้นที่มีการพักตัวชั่วระยะเวลาหนึ่ง จนพื้นที่กลับมามีความอุดมสมบูรณ์ก็จะหวนกลับมาใช้พื้นที่นั้นอีก ประกอบกับชาวขมุใช้ที่ดินเพื่อปลูกข้าวเพื่อบริโภค ไม่ได้ใช้ที่ดินเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจ จึงทำให้ที่ดินซึ่งถือเป็นระบบเศรษฐกิจไม่ถูกทำลาย (หน้า 3-5, 7) |
|
Focus |
ผู้เขียนต้องการศึกษาลักษณะการเกษตรแบบยังชีพของชาวขมุ วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในระบบการเกษตรแบบยังชีพ และปัจจัยที่กำหนดลักษณะการเกษตรแบบยังชีพ รวมถึงข้อจำกัดที่ไม่ให้ระบบการเกษตรของชาวขมุก้าวจากการเกษตรแบบยังชีพก้าวไปสู่การเกษตรระบบตลาด (หน้า 1) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ขมุในหมู่บ้านน้ำสอดใต้ ตำบลทุ่งช้าง อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน |
|
Language and Linguistic Affiliations |
|
Study Period (Data Collection) |
พฤศจิกายน 2524-มิถุนายน 2525 (หน้า 1) |
|
History of the Group and Community |
หมู่บ้านนี้มีอายุไม่น้อยกว่า 80 ปี ทั้งนี้อาศัยการประมาณการจากเหตุการณ์ในหมู่บ้านที่ชาวขมุในหมู่บ้านน้ำสอดใต้เคยถูกเกณฑ์ไปรบในกบฏเงี้ยวเมืองแพร่ เมื่อปีพ.ศ. 2445 แต่หมู่บ้านน้ำสอดใต้ก็ยังไม่ได้เป็นหมู่บ้านที่เก่าแก่ของชาวขมุในเขตอำเภอทุ่งช้าง เพราะหมู่บ้านที่เก่าแก่มากที่สุด คือ หมู่บ้านที่ขมุบ้านวังหมอ อำเภอเมือง จังหวัดน่าน และบ้านภูดำ อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่านแยกตัวออกมารวมเป็นบ้านน้ำสอดใต้ในปัจจุบัน (หน้า 3) |
|
Demography |
บ้านน้ำสอดใต้มีชาวขมุอาศัยทั้งสิ้น 31 ครัวเรือน เป็นครอบครัวขยาย 3 ครัวเรือน อีก 28 ครัวเรือนเป็นครอบครัวเดี่ยวทั้งสิ้น (หน้า 9) |
|
Economy |
สภาพการประกอบการเกษตรของขมุมีลักษณะแบบยังชีพ คือ ปลูกพืชส่วนใหญ่เน้นไปในเรื่องพืชเพื่อการบริโภค เช่น ปลูกข้าว เผือก มัน และเครื่องปรุงรสอาหารต่างๆ เช่น พริก ตะไคร้ มะแข่นหรือมะแขว่น นอกจากนี้มีพืชจำพวกพืชไร่และไม้ยืนต้นบ้าง เช่น ข้าวโพด กล้วย มะม่วง (หน้า 1) ปัจจัยที่กำหนดรูปแบบระบบการเกษตรแบบยังชีพของขมุ ได้แก่ 1.) ปัจจัยด้านนิเวศวิทยากายภาพ เนื่องจากหมู่บ้านได้ก่อตั้งมากว่า 80 ปี โดยไม่มีการอพยพโยกย้ายเลย พื้นที่ประกอบการเกษตรย่อมถูกใช้มาเป็นเวลานาน และทำให้ความอุดมสมบูรณ์ลดลง จึงทำให้ผลผลิตข้าวตกต่ำ (หน้า 3-4) 2.) ปัจจัยด้านประยุกต์วิทยาทางการเกษตร ขมุใช้วิธีการที่เรียกว่า “ไร่หมุนเวียน” หรือการเกษตรแบบตัดฟัน โค่น เผาแล้วทำการเกษตรอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง จนกระทั่งผลผลิตที่ได้มีแนวโน้มว่าจะลดลงมากไม่คุ้มกับการลงทุน และปัญหาอื่นๆ ก็จะปล่อยให้พื้นที่มีการพักตัวระยะหนึ่ง จนพื้นที่กลับมามีความอุดมสมบูรณ์ ก็จะกลับมาใช้พื้นที่นี้อีก ซึ่งเป็นการเกษตรที่ย้ายพื้นที่เพื่อการเกษตรเท่านั้นแต่ไม่มีการย้ายชุมชน ถึงแม้ว่าขมุจะได้รับความกระทบกระเทือนจากปัญหาที่ดินซึ่งขาดความอุดมสมบูรณ์ แต่ผลกระทบก็ไม่รุนแรง เพราะขมุใช้ที่ดินในปริมาณที่น้อยกว่า เนื่องจากไม่ได้ปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าวโพด ฝ้าย ที่ต้องอาศัยที่ดินเป็นองค์ประกอบสำคัญของเศรษฐกิจการตลาด แต่ขมุผลิตไม้เลื่อยหรือไม้ที่ใช้ในการก่อสร้าง ระบบเศรษฐกิจจึงขึ้นอยู่กับความสมดุลระหว่างที่ดิน สัตว์ป่า และป่าไม้ คือใช้ที่ดินเป็นแหล่งปลูกข้าวเพื่อบริโภค สัตว์ป่าเป็นแหล่งอาหารโปรตีน และป่าไม้เป็นแหล่งรายได้ การเกิดปัญหาขึ้นที่ส่วนใดส่วนหนึ่งก็ไม่กระทบกระเทือนต่อระบบเศรษฐกิจของขมุมากนัก ตราบใดที่ปัญหายังไม่รุนแรงถึงขั้นทำลายทั้งระบบ ดังนั้น การใช้ประยุกต์วิทยาทางการเกษตรแบบไร่หมุนเวียน เป็นข้อจำกัดประการหนึ่งที่ทำให้ไม่สามารถพัฒนาไปสู่การเกษตรแบบตลาด เพราะการใช้ที่ดินหมุนเวียนเป็นเวลานานไม่อาจรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินได้เช่นเดิม และในระยะยาวขีดความสามารถในการใช้ที่ดินจะไม่มีการเพิ่มขึ้นมีแต่ลดลง เนื่องจากไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้สูงสุด แต่ต้องรักษาที่ดินไว้ใช้ให้ได้นานที่สุด แต่อย่างไรก็ดี ชุมชนที่มีวิถีการผลิตแบบไร่หมุนเวียนได้ปรับวิถีการดำรงชีพของตนเองไม่ให้พึ่งพิงอยู่กับที่ดินประการเดียว โครงสร้างทางเศรษฐกิจของชุมชนแบบไร่หมุนเวียน จึงมีองค์ประกอบที่สำคัญหลายประการ เช่น ที่ดิน สัตว์ป่า และการรับจ้างแรงงาน (หน้า 4-8) 3.) ปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรม ขมุนิยมการแต่งงานแบบสามีภรรยาเดียว (monogamy) และตั้งครัวเรือนแบบครอบครัวเดี่ยว (nuclear family) การที่ขมุมีขนาดครอบครัวเล็กจึงอาจเป็นข้อจำกัดที่ทำให้ไม่สามารถแบ่งแยกแรงงานไปประกอบการเกษตรอย่างอื่น นอกจากการปลูกข้าว ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การเกษตรแบบตลาดของขมุไม่สามารถพัฒนาไปได้มากนัก (หน้า 9) ขมุสืบเชื้อสายทางบิดา แต่ขอบเขตของการสืบเชื้อสายมีลักษณะที่แคบ คือ สามารถสืบสาวไปได้เพียง 2 ชั่วรุ่น คือ รุ่นพ่อแม่และรุ่นปู่ย่า ดังนั้น เมื่อพิจารณาโครงสร้างทางด้านครอบครัวและโครงสร้างทางสังคม จะเห็นได้ว่าความหมายของ “สังคม” ของขมุใช้ระบบเครือญาติ และถิ่นที่อยู่ควบคู่กันไปในการกำหนดความเป็นสมาชิกของสังคม ขนาดของครัวครัวจึงเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่กำหนดขนาดกิจกรรมและผลตอบแทนในการเกษตร และในขณะเดียวกันการจัดระเบียบทางสังคมก็เป็นตัวกำหนดทางเลือกในการใช้รูปแบบการเกษตร ขมุมีทางเลือกในการอพยพน้อย จึงน่าจะทำให้ขมุต้องพยายามใช้ที่ดินให้ได้นานที่สุด ซึ่งก็คือ การใช้ประยุกต์วิทยาทางการเกษตรแบบไร่หมุนเวียน (หน้า 11) |
|
Social Organization |
การจัดระเบียบทางสังคมของชาวขมุนั้นจำกัดอยู่แต่ในระดับหมู่บ้าน ชุมชนขมุในแต่ละหมู่บ้านมักจะแยกออกเป็นอิสระต่อกัน การติดต่อสัมพันธ์กันระหว่างชาวขมุส่วนใหญ่จะมีเฉพาะชุมชนที่อยู่ใกล้กันเท่านั้น ความรู้สึกในความเป็นพวกเดียวกันมักจะใช้พื้นที่ที่อาศัยเป็นเกณฑ์มากกว่าที่จะใช้ความสัมพันธ์ทางเครือญาติ (หน้า 9) โดยชาวขมุมีการสืบเชื้อสายทางบิดา มีการสืบสายตระกูลในระดับบนเพียง 2 ชั่วรุ่นอายุคน คือ รุ่นพ่อ-แม่ (โย่ง-มะ) และรุ่นปู่-ย่า (ต๊ะ-ยะ) ส่วนรุ่นอายุที่เหนือขึ้นไปเรียก “ต๊ะ-ยะ” ทั้งสิ้น (หน้า 11) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
|