|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ผู้ไท,ประวัติศาสตร์,ชีวิตความเป็นอยู่,ประเทศไทย |
Author |
ทวีศิลป์ สืบวัฒนะ |
Title |
ภูไทย |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ผู้ไท ภูไท,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) |
Total Pages |
11 |
Year |
2526 |
Source |
คณะกรรมการโครงการส่งเสริมหนังสือตามแนวพระราชดำริ จัดทำออกเผยแพร่ |
Abstract |
เดิมภูไทยตั้งบ้านเรือนอยู่แถบสิบสองจุไทย คือบริเวณลาวตอนเหนือ บางส่วนของเวียดนามตอนเหนือและทางใต้ของจีน แต่อพยพมายังประเทศไทยเพราะความขัดแย้งที่เกิดในบ้านเมืองของตนหรืออาจถูกเกลี้ยกล่อมมา หรือเพราะถูกกวาดต้อนจากการสงคราม ภูไทยเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศไทย อาศัยอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและบางส่วนบริเวณจังหวัดราชบุรีและเพชรบุรี ปัจจุบันภูไทยใช้ภาษาไทย ส่วนภาษาของภูไทยเองมีความคล้ายคลึงกับภาษาไทยท้องถิ่นอีสานมาก คนภูไทยที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในไทยส่วนใหญ่อพยพมาจากเมืองวัง เมืองตะโปน และตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณเขตจังหวัดกาฬสินธุ์ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร และอุบลราชธานี ภูไทยทำนา ทำไร่ แค่เพียงพอสำหรับการดำรงชีพ ค้าขายโคกระบือ หนังสัตว์ และเขาสัตว์ นอกจากนี้มีการปั้นเครื่องปั้นดินเผาขาย ทำไร่ฝ้าย เลี้ยงไหม ทอผ้าฝ้ายและทอผ้าไหม ภูไทยนับถือพระพุทธศาสนาและมีประเพณีทางพุทธศาสนาเหมือนชาวอีสาน แต่ยังมีความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับผีและผีบรรพบุรุษ |
|
Focus |
ศึกษาประวัติการตั้งบ้านเมืองของคนภูไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ชีวิตความเป็นอยู่ การแต่งกาย ความเชื่อ และภาษาพูด |
|
Ethnic Group in the Focus |
ภูไทย เป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศไทย อาศัยอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงหนือและบางส่วนบริเวณจังหวัดราชบุรีและเพชรบุรี (หน้า 1) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ปัจจุบันภูไทยใช้ภาษาไทย ส่วนภาษาของภูไทยเองมีความคล้ายคลึงกับภาษาไทยท้องถิ่นอีสานมาก ผู้พูดภาษาถิ่นพื้นเมือง (ไทยอีสาน) และผู้พูดภาษาภูไทยสามารถคุยกันรู้เรื่อง (หน้า 17) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
แต่เดิมภูไทยตั้งบ้านเรือนอยู่แถบสิบสองจุไทย คือบริเวณลาวตอนเหนือ บางส่วนของเวียดนามตอนเหนือและทางใต้ของจีน ชาวภูไทยมีศูนย์กลางสองแห่งคือ เมืองไล และเมืองแถง (เมืองเดียน เบียนฟู ในปัจจุบัน) (หน้า 1) เมืองไลอยู่ทางเหนือของเมืองแถง ภูไทยที่อาศัยอยู่บริเวณเมืองไล เมืองเจียน เมืองมุน เมืองบาง เรียกว่า “ภูไทยขาว” ส่วนบริเวณเมืองควาย เมืองดุง เมืองลา เมืองโมะ เมืองหวัด และเมืองซาง เรียกว่า “ภูไทยดำ” เมืองทั้ง 12 เมืองนี้เรียกว่า สิบสองภูไทย แต่ปัจจุบันเรียกสิบสองจุไทย (หน้า 2) ต่อมาชาวภูไทยบริเวณสิบสองจุไทยอพยพลงมาทางใต้ อาจหนีจากการรุกรานของจีนหรือชนเผ่าอื่นๆ หรืออาจเป็นเพราะปัญหาความไม่อุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ที่ใช้เพาะปลูก ชาวภูไทยที่อพยพลงมาและส่วนหนึ่งเข้ามายังภาคอีสานส่วนใหญ่มาจากเมืองวังและเมืองตะโปน ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองสวรรณเขต ประเทศลาวปัจจุบัน (หน้า 3) มีประวัติของชาวภูไทยที่อพยพเข้าไปอยู่ในสวรรณเขตประเทศลาวว่า ท้าวท่า หัวหน้าภูไทยไม่พอใจเจ้าเมืองนกน้อยอ้อยหนู (เมืองแถง) จึงพาผู้คนร่วมหมื่นอพยพไปขอขึ้นกับเจ้าอนุรุทกุมาร เจ้านครเวียงจันทน์ เจ้านครเวียงจันทน์ให้คนภูไทยไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองวัง ซึ่งเป็นดินแดนของพวกข่า และภูไทยกลุ่มนี้สามารถปกครองพวกข่าได้ หลังจากภูไทยตั้งบ้านเรือนที่เมืองวัง ลูกหลานของท้าวท่าแย่งชิงอำนาจกัน ท้าวเพ็ชร ท้าวสาย จึงอพยพผู้คนประมาณ 300 คนมายังฝั่งขวาแม่น้ำโขง ตั้งเป็นเรณูนครขึ้นในปีพ.ศ. 2384 สมัยรัชกาลที่ 3 แต่ในพงศาวดารกล่าวว่าเมืองนี้สร้างในปี พ.ศ. 2373 โดยท้าวเพ็ชร ท้าวสาย (หน้า 4-5) ส่วนการเคลื่อนย้ายของภูไทยเข้ามาในประเทศไทยมี 2 ลักษณะคือ 1. อพยพเพราะความขัดแย้งที่เกิดในบ้านเมืองของตนหรืออาจถูกเกลี้ยกล่อมมา เช่น ท้าวเพ็ชรและท้าวสาย และชาวภูไทยที่มาตั้งเมืองอยู่เรณูนครหรือเมืองวัง ในปี พ.ศ. 2384 ได้รับการเกลี้ยกล่อมให้อพยพมายังบ้านกุดฉิมนารายณ์ หรือกุฉินารายณ์ในปัจจุบัน (หน้า 5) 2. อพยพเพราะถูกกวาดต้อนจากการสงคราม เช่น ในสมัยพระเจ้าตากสินปี พ.ศ. 2322 กองทัพไทยไปตีเมืองทันต์และเมืองม่วยซึ่งเป็นที่อยู่ของภูไทยดำ โปรดให้กวาดต้อนมาที่เพชรบุรี ในปี พ.ศ. 2355 สมัยรัชกาลที่ 1 กองทัพเวียงจันทน์ได้ตีเมืองแถงและนำพวกภูไทยดำมาไว้ที่เพชรบุรี ในปี พ.ศ. 2378, 2375 สมัยรัชกาลที่ 3 โปรดให้เจ้าพระยาธรรมาฯ ไปตีเมืองพวนและเมืองแถง จับได้ลาวพวน ลาวทรงดำส่งมากรุงเทพ กลุ่มลาวทรงดำตั้งถิ่นฐานอยู่แถบจังหวัดเพชรบุรีและราชบุรี ปัจจุบันเรียกว่า “ลาวโซ่ง” ซึ่งเป็นภูไทยดำ (หน้า 6) |
|
Settlement Pattern |
พระยาสุนทรนุรักษ์บรรยายบ้านของภูไทยว่า พวกเขาตั้งบ้านเรือนอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ หลังคาตั้งสูง ใช้แฝกมุงหลังคา ฝาบ้านเป็นไม้ไผ่ขัดกัน ภายในมีห้องเล็กๆ 1-2 ห้อง พื้นปูด้วยฟากบ้าง ไม้กระดานบ้าง ถุนเรือนสูง เตาไฟตั้งไว้ที่เฉลียงเรือนหรือในตัวบ้าน (หน้า 9) พระยาสุรศักดิ์มนตรีบรรยายบ้านเรือนภูไทยแถบสิบสองจุไทยแตกต่างไปคือ บ้านพวกเขาทำเฉลียงด้านสกัดเป็นวงโค้งกลมเหมือนกระโจมโรงหีบ และยาวใหญ่ถึง 9-11 ห้อง เรือนหลังหนึ่งอยู่ได้หลายครัวคือ ลูกเขย ลูกสะใต้ และพวกญาติพี่น้อง พื้นเรือนเป็นไม้ไผ่ ไม้เฮี้ยเป็นไม้บางสานเป็นลาย (หน้า 10) อย่างไรก็ดีคนภูไทยมักเลือกที่อยู่อาศัยบริเวณใกล้ภูเขาหรือป่า เช่นภูไทยที่อพยพจะมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เรณูนคร หรือภูไทยที่อำเภอคำชะอี อำเภอเขาวงเป็นต้น (หน้า 11-12) |
|
Demography |
ภูไทยที่มาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองเรณูนครในปี พ.ศ. 2384 มีจำนวนประมาณ 3,003 คน (หน้า 5) |
|
Economy |
ภูไทยทำนา ทำไร่ แค่เพียงพอสำหรับการดำรงชีพ แถบเมืองเรณูนครมีการค้าขายโคกระบือ หนังสัตว์ และเขาสัตว์ บางตำบลเคยนำโคกระบือไปขายทางมณฑลเขตอุดรคราวละ 700-800 ตัว นอกจากนี้มีการปั้นเครื่องปั้นดินเผาขายเช่นโอ่ง เมืองหนองสูงมีการทำไร่ฝ้าย เลี้ยงไหม รวมทั้งทอผ้าฝ้ายและทอผ้าไหม (หน้า 13) |
|
Belief System |
ภูไทยที่อยู่ในภาคอีสานนับถือพระพุทธศาสนาและมีประเพณีทางพุทธศาสนาเหมือนชาวอีสาน เช่น ทำบุญบั้งไฟ ทำบุญพระเวศ ทำบุญออกพรรษา ทำบุญกฐิน ทำบุญสงกรานต์ อย่างไรก็ดี ภูไทยยังมีความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับผีและผีบรรพบุรุษ พวกเขานับถือผีบรรพบุรุษซึ่งจะคอยดูการกระทำผิดของลูกหลาน และภูไทยจะต้องเซ่นสรวงตามที่ผีต้องการไม่ว่าจะเป็นไก่ หมู หรือกระบือ หากมีใครเสียชีวิตจะล้มโคกระบือเพื่อเซ่นไหว้ผีผู้ใหญ่ และเชื่อว่าวิญญาณของสัตว์เหล่านั้นจะตามไปรับใช้ นอกจากนี้มีพิธีเซ่นไหว้ผีเรือนด้วย (หน้า 19) |
|
Education and Socialization |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
พระยาสุรศักดิ์มนตรีอธิบายการแต่งกายของภูไทยบริเวณสิบสองจุไทว่า ผู้ชายนุ่งกางเกงขาแคบ ห่มเสื้อยาวอย่างญวณ เกล้าผมมวย ผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่น ห่มเสื้อยาวอย่างญวณไว้ผมยาว ถ้าหญิงไม่มีสามีจะเกล้าผมมวย เมื่อมีสามีแล้วจะเกล้าผมสูง เครื่องนุ่งห่มใช้สีดำทั้งหมด แต่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายว่า ในเวลาปรกติผู้ชายนุ่งผ้าด้วยตาเมล็ดงาสีดำ หรือนุ่งผ้าขาวม้าด้ายสีขาว สวมเสื้อด้วยด้ายสำ ผู้หญิงนุ่งซิ่นใส่เสื้อผ้าสีดำ หรืออาจห่มผ้าเอาแขนเสื้อผูกสะพายแล่งเฉียงบ่า ใส่กำไลเงินและต่างหูที่ทำด้วยเงินหรือทองเหลือง ถ้าเป็นคนมีฐานะจะมีผ้ามนต์ขีต (ผ้าเก็บดอก) สี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็กๆ ผูกคล้องศีรษะรัดผมไม่ให้รุงรัง เวลางานนักขัตฤกษ์ ทั้งชายหญิงจะใส่เสื้อผ้าไหม และห่มผ้าขีต (ผ้าพื้นเมือง) ส่วนผู้หญิงใช้เสื้อดำแขนยาวทรงกระบอกติดกระดุมแถวหนึ่ง 30-40 เม็ด (หน้า 14-15) ภูไทยมีการแต่งกายเวลาฟ้อนรำ ผู้หญิงนุ่งผ้าถุงสีดำหรือน้ำเงิน สวมเสื้อแขนกระบอกสีดำหรือน้ำเงินขลิบแดงที่คอเสื้อ ปลายแขน หน้าอก และชายเสื้อ ติดกระดุมเงินหรือกระดุมธรรมดาลงมาเป็นแถวยาว สวมกำไล ตุ้มหู หรือสร้อยคอเงิน ผมเกล้าเป็นมวยสูง ทัดดอกไม้ที่มวยผมและหูข้างซ้าย ผู้ชายนุ่งผ้าโจงกระเบน แต่งปล่อยชายทั้งหน้าและหลังคล้ายหาง หรือนุ่งกางเกงขาแค่น่องสีดำหรือน้ำเงิน สวมเสื้อกุยเฮงสีดำขลิบด้วยผ้าแดงบริเวณคอเสื้อหรือสาบเสื้อ (หน้า 16) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
ปัจจุบันประเพณีวัฒนธรรมภูไทยเปลี่ยนแปลง เช่นการแต่งงาน ซึ่งฝ่ายชายต้องไปอยู่บ้านผู้หญิง 6 ปี หลังจากนี้จึงย้ายได้ แต่ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป หรือการแต่งกาย การปลูกเรือนแบบสมัยใหม่ ยังคงเหลือแต่การฟ้อนรำ ภาษาพูดที่แสดงถึงลักษณะของชาวภูไทย (หน้า 20) |
|
Map/Illustration |
มีรูปฟ้อนรำภูไทย, สาวภูไทย (ไม่ระบุหน้า) |
|
|