|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),,พฤกษศาสตร์พื้นบ้าน,สมุนไพร,วิถีชีวิต,ป่าสงวน,เชียงใหม่ |
Author |
ปิยวรรณ วินิจชัยนันท์ |
Title |
พฤกษศาสตร์พื้นบ้านของชาวกะเหรี่ยงในเชียงใหม่ |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
- |
Ethnic Identity |
ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
346 |
Year |
2538 |
Source |
หลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาชีววิทยา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
กะเหรี่ยงเป็นชาวเขาเผ่าหนึ่งที่มีจำนวนประชากรในประเทศไทยสูงกว่าชาวเขาเผ่าอื่น ๆ อาศัยอยู่ตามที่ราบสูงระหว่างหุบเขามา ช้านาน มีขนบธรรมเนียมประเพณีและวิถีชีวิตเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งยังมีการสั่งสมภูมิปัญญาพื้นบ้านเกี่ยวกับพืชสมุนไพรต่าง ๆ ที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่ต้องพึ่งพาปัจจัยสี่ คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค เป็นที่น่าสังเกตว่า กะเหรี่ยงมีชีวิตที่พึ่งพิงปัจจัยแวดล้อมตามธรรมชาติ และรู้จักนำพืชพรรณไม้ต่าง ๆ ในสภาพแวดล้อมมาใช้ประโยชน์รูปแบบต่าง ๆ ตั้งแต่เป็นอาหาร และยารักษาโรคแล้วยังนำมาใช้สร้างที่อยู่อาศัยและใช้เป็นพืชเศรษฐกิจอีกด้วย การใช้ประโยชน์จากปัจจัยแวดล้อมที่เอื้ออิงธรรมชาติของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงนี้ เป็นข้อมูลดิบให้ผู้วิจัยด้านพฤกษศาสตร์ได้รับประโยชน์ในการนำมาศึกษาวิจัยได้จัดจำแนกชนิดพืชพรรณไม้เป็นชนิด สกุลและวงศ์มีทั้งชื่อสามัญ ชื่อวงศ์และชื่อวิทยาศาสตร์ อีกทั้งยังทราบถึงประโยชน์ใช้สอยในแง่มุมต่าง ๆ จากพื้นที่ศึกษาคือ หมู่บ้านชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง 5 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่บ้านแม่ หลอดใต้ บ้านผาแตก บ้านห้วยตอง บ้านทุ่งหลวง บ้านแฮเหนือ |
|
Focus |
เน้นศึกษาเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพรพื้นบ้านในชีวิตประจำวันของกะเหรี่ยง โดยศึกษาเปรียบเทียบการใช้พืชของกะเหรี่ยง รวมถึงการศึกษาสภาพวิถีชีวิตของกะเหรี่ยงหมู่บ้าน 5 แห่ง ใน จ.เชียงใหม่ |
|
Ethnic Group in the Focus |
“กะเหรี่ยง” เป็นชื่อที่คนไทยภาคกลางเรียกกัน พม่าเรียกกะเหรี่ยงว่า “คะหยิ่น” (Kayin) คนไทยภาคเหนือและพวกไทยใหญ่เรียก “ยาง” (หน้า 8) กะเหรี่ยงในประเทศไทยแบ่ง ได้เป็น 4 กลุ่มคือ กะเหรี่ยงสะกอ เรียกตัวเองว่า“คานยอ” คนไทยเรียก “ยางขาว” กะเหรี่ยงสะกอแถบตะวันตกของเชียงใหม่เรียกตนเองว่า “บูคน โย”) กะเหรี่ยงโปว์ คนไทยเรียกว่า “ยางโปว์” พม่าเรียกว่า “ตาเลียงกะยิน” กะเหรี่ยงบเวย เรียกตัวเองว่า “กะยา” คนไทยเรียก “ยางแดง” พม่าเรียกว่า “คายินนี” ตามแบบที่ชาวพม่าเรียก กะเหรี่ยงตองตู หรือ ปะโอ ไทยและพม่าจะเรียกพวกเขาว่า “ตองตู” ไทยใหญ่เรียกพวกเขาว่า “ตองซู” (หน้า 10) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
กะเหรี่ยงจัดอยู่ในตระกูลธิเบต-พม่า อย่างไรก็ดี ผู้วิจัยให้ข้อมูลว่ากะเหรี่ยงแต่ละเผ่าก็มีภาษาพูดที่เกี่ยวพันกับภาษาต่างๆ ซึ่งพื้นฐานของภาษาอาจยังไม่ทราบต้นกำเนิดที่แน่นอน บางแห่งบอกว่ามาจากต้นตระกูลจีน-ธิเบต เช่น พวกคะเร็นนิค (Karenic) บางแห่งสันนิษฐานว่าใกล้เคียงกับธิเบต-พม่า ภาษาของกะเหรี่ยงสะกอ กะเหรี่ยงบเว และกะเหรี่ยงโปว์มีความใกล้เคียงกันอยู่ แต่พูดกันไม่เข้าใจ ภาษาของกะเหรี่ยงสะกอกับกะเหรี่ยงโปว์ได้รับอิทธิพลมาจากภาษาในตระกูลมอญ-เขมร (หน้า 8-10) |
|
Study Period (Data Collection) |
|
History of the Group and Community |
แต่เดิมกะเหรียงอาศัยอยู่ทางตะวันออกของธิเบต ต่อมาเข้ามาตั้งอาณาจักรในจีน เมี่อประมาณ 733 ปีก่อนพุทธกาล ชาวจีนเรียกพวกกะเหรี่ยงว่าชนชาติโจว เมื่อถูกรุกรานก็ถอยร่นลงมาเรื่อย ๆ มาอาศํยอยู่ตามลำน้ำโขงและแม่น้ำสาละวินในเขตพม่า กะเหรี่ยงอพยพเข้าสู่ประเทศไทยตั้งแต่สมัยพระเจ้าอลองพญา ปี พ.ศ.2302 เมื่อ กษัตริย์พม่าทำสงครามกับมอญ มอญพ่ายแพ้และถูกกองทัพพม่าฆ่าฟัน กะเหรี่ยงซึ่ง มีความสัมพันธ์อันดีกับมอญได้ให้ที่พักหลบภัยแก่มอญ เมื่อพม่ายกกองทัพติดตามมา กะเหรี่ยงเกรงจะเป็นภัยจึงอพยพหลบหนีเข้าสู่ไทย กะเหรี่ยงอพยพเข้ามาอีกครั้งเมื่อ อังกฤษยึดพม่าตอนเหนือได้เมื่อปี พ.ศ. 2428 ตอนแรกกะเหรี่ยงอพยพเข้ามาอยู่ทางเหนือของไทยตาม จ.แม่ฮ่องสอนและ จ.เชียงใหม่ แล้วจึงกระจายไปตามจังหวัดอื่น ๆ เช่น จ.เชียงราย ลำปาง แพร่ ลำพูน (หน้า 7) ประวัติความเป็นมาของกะเหรี่ยง กะเหรี่ยงเป็นชาวเขาเผ่าหนึ่งที่เข้ามาตั้งถิ่นฐาน ที่อ.แม่แจ่มมากที่สุดภายหลังจากลัวะเริ่มเสื่อมสูญไป กะเหรี่ยงสะกอไม่มีหลักฐาน แน่ชัดว่าอพยพมาตั้งแต่เมื่อใด จากเอกสารหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า กะเหรี่ยงใน อ. แม่แจ่ม เข้ามาตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ คือประมาณ 350 ปีจนถึง 100 ปี มาแล้ว กะเหรี่ยงใน อ. แม่แจ่มส่วนใหญ่มาจากถิ่นเดิมแถบลุ่มแม่น้ำสาละวิน ประเทศพม่า (หน้า 24) ประวัติความเป็นมาของหมู่บ้านห้วยตองและหมู่บ้านทุ่งหลวง เดิมหมู่บ้านมีหัวหน้าปกครองอยู่เพียงคนเดียว จัดตั้งหมู่บ้านกระจัดกระจายเป็น หมู่บ้านเล็กๆ หัวหน้าหมู่บ้านคนแรกเป็นคนเก่าแก่ในหมู่บ้านวัดร้างชื่อ “หลวงปู่โต่ยวา” ชื่อเดิม “วะเปอโซ่” มีบทบาทในการปกครองทุกด้านในชุมชน (หน้า 24) หลังจากหัวหน้าคนแรกเสียชีวิตก็สืบทอดตำแหน่งให้ลูกชาย “พะโคแคะ” ซึ่งดำรง ตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านมา 45 ปี หลังจากเปลี่ยนผู้นำ ผู้นำคนใหม่ได้เปลี่ยนศาสนา มานับถือคริสต์ (เป็นคริสตังชน) ผู้นำใหม่ตัดสินใจละทิ้งพิธีกรรมเดิมเนื่องจากสูญเสียบุตรชายโดยมีสาเหตุมาจากความเชื่อในพิธีกรรมดั้งเดิม และได้หาที่ตั้งหมู่บ้านใหม่ เพื่อให้ชาวบ้านมาอยู่รวมกัน เนื่องจากสถานที่เดิมคับแคบและอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย สถานที่ใหม่ห่างจากเดิมไปทางตะวันตก 1 กิโลเมตรเป็นหมู่บ้านห้วยตอง ในปัจจุบัน ส่วนหมู่บ้านทุ่งหลวงจากคำบอกเล่า ได้มีการเคลื่อนย้ายไปอยู่ในหมู่บ้าน ทุ่งหลวงก่อนย้ายไปหมู่บ้านห้วยตอง ผู้ที่นับถือผีและพุทธย้ายตามไปสมทบภายหลัง (หน้า 24 - 25) |
|
Settlement Pattern |
พื้นที่ในการวิจัย ได้แก่ บ้านแม่หลอดใต้ ระดับความสูง 680 เมตร บ้านผาแตก ระดับความสูง 630 เมตร ตั้งอยู่ที่ ต.สบเปิง อ. แม่แตง จ. เชียงใหม่ อยู่ในพื้นที่เขตป่าสงวน แม่แตง ทั้งสองหมู่บ้านตั้งอยู่มานานกว่า 50 ปี บ้านทุ่งหลวง ระดับความสูง 900 เมตรและบ้านห้วยตอง ระดับความสูง 1000 เมตร ตั้งอยู่ที่ ต. แม่วิน จ.เชียงใหม่ อยู่ใน เขตป่าสงวนแม่ขาน แม่วาง ระยะเวลาในการก่อตั้ง 100 ปีถึง 100 ปีขึ้นไป บ้านแม่แฮเหนือ อยู่ที่ระดับความสูง 1250 เมตร ระยะเวลาในการก่อตั้งหมู่บ้านมาก - กว่า 300 ปี ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแม่ขาน แม่วาง ต.แม่นาจร อ. แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ (หน้า 2 – 3) ลักษณะบ้านของกะเหรี่ยงเป็นบ้านไม้ ทำจากไม้ไผ่หรือไม้เนื้อจริง มีทั้งพื้นชานในและ พื้นชานด้านนอก มี “เรือนน้ำ” ที่ยกสูงกว่าพื้นชานเล็กน้อย เป็นที่วางกระบอกน้ำหรือภาชนะใส่น้ำอื่นๆ ด้านบนของเรือนน้ำเป็นที่แขวนกระบุงหรือเก็บภาชนะต่าง ๆ บ้าน มักยกสูงจากพื้นดิน 1.2 – 1.5 เมตร มีบันไดบ้านอยู่ตรงชานนอก ทำจากไม้จริงหรือ ไม้ไผ่ บางบ้านอาจมีบันได้ที่ชานในด้วย นิยมใช้ใบหญ้าคาหรือใบตองตึงเย็บเรียง เป็นตับมามุงหลังคา หลังคาหลุบลงต่ำป้องกันลมหนาว มีเตาไฟกลางบ้านภายในบ้านค่อนข้างมืด ไม่มีหน้าต่างหรือช่องลม แสงสว่างจะเข้าทางประตูเท่านั้น ใต้ถุนบ้านเป็น ที่เก็บฟืนและเลี้ยงสัตว์ เช่น คอกหมู เล้าไก่ หรืออาจผูกวัวควายไว้กับเสาใต้ถุนบ้าน ด้านข้างบ้านที่หลังคาคลุมถึง มีอุปกรณ์ตำข้าว เช่น ครกกระเดื่องตำข้าว (หน้า 14 - 18) |
|
Demography |
ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติปี พ.ศ.2528 กล่าวว่า ชาวเขาที่มี จำนวนประชากรมากที่สุดในประเทศไทยคือ กะเหรี่ยง ชนชาติกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ใน พม่ามากกว่าไทย โดยเฉพาะทิศตะวันออกของพม่า กะเหรี่ยงมีรัฐของตนเองในพม่า ถึง 2 รัฐ คือ รัฐกะยาของกะเหรี่ยงแดง และรัฐก้อของกะเหรี่ยงขาว (หน้า 7) ในพื้นที่ศึกษาของประเทศไทย จ.เชียงใหม่ บ้านแม่หลอดใต้มีจำนวนประชากร 117 คน 29 หลังคาเรือน บ้านผาแตก มีจำนวนประชากร 135 คน 34 ครัวเรือน บ้านทุ่งหลวง มีจำนวนประชากร 292 คน 49 หลังคาเรือน บ้านห้วยตอง จำนวนประชากร 350 คน คิดเป็น 62 หลังคาเรือน บ้านแม่แฮเหนือ จำนวนประชากร 436 คน คิดเป็น 63 หลังคาเรือน (หน้า 2 – 3, 25) จำนวนกะเหรี่ยงที่พบในประเทศไทยจากข้อมูลของหน่วยควบคุมมาลาเรีย กรมอนามัยปี พ.ศ. 2504 ทำสถิติตัวเลขในพื้นที่ 5 จังหวัด พบว่ามีจำนวน 93,924 คน แต่จากข้อมูลล่าสุดปี พ.ศ. 2528 จากหนังสือ “ชาวเขาในไทย” บุญช่วย ศรีสวัสดิ์ประมาณชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงในไทยว่ามีอยู่ 110,000 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าข้อมูลจากการสำรวจเมื่อปี พ.ศ.2508 – 2509 โดยวิธีสุ่มตัวอย่าง (หน้า 11) เป็นที่น่าสังเกตว่า ประชากรกะเหรี่ยงที่อพยพเข้ามากระจายอยู่ตลอดแนวพรมแดน ไทย – พม่าทางทิศตะวันตก ตั้งแต่ จ.แม่ฮ่องสอนลงมาถึง จ.ระนอง พบประชากร กะเหรี่ยงมากที่สุดคือ ที่ จ. แม่ฮ่องสอน ที่ อ. แม่สะเรียง รองลงมาคือที่ อ. อมก๋อย จ. เชียงใหม่ (หน้า 11) กะเหรี่ยงสะกอพบมากที่สุดกระจายอยู่ตาม จ.เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เชียงรายและกาญจนบุรี กะเหรี่ยงโปว์ พบมากที่ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ จ.ลำพูน กาญจนบุรี าชบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ กะเหรี่ยงบเวยพบเพียง 15 หมู่บ้าน ทางทิศตะวันตกของ จ.แม่ฮ่องสอนติดเขตแดนไทย-พม่า โดยเฉพาะที่เขต อ. ขุนยวม กะเหรี่ยงตองตูหรือปะโอ พบในจ. แม่ฮ่องสอนเพียง 5 หมู่บ้าน มีจำนวนเพียง 600 คนเท่านั้น (หน้า 10) |
|
Economy |
ระบบเศรษฐกิจของกะเหรี่ยงพึ่งพาอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก กะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่บนเขาจะปลูกข้าวไร่ ส่วนกะเหรี่ยงพื้นราบหุบเขาจะทำนาแบบขั้นบันได ข้าวที่ผลิตพอสำหรับการบริโภค ไม่ได้นำไปขาย ยกเว้นถ้ามีผลผลิตสูง ส่วนเกินจากการบริโภคภายในครัวเรือนจะนำไปขายหรือแลกเปลี่ยนสิ่งของงที่ต้องการ นอกจากการปลูกข้าวแล้วยังปลูกพืชอื่น ๆ เช่น ข้าวโพด ฟักทอง มะเขือ พริก ซึ่งนำมาใช้ประกอบอาหาร กะเหรี่ยงส่วนใหญ่ไม่ปลูกฝิ่น นอกจากการเพาะปลูกแล้ว กะเหรี่ยงยังนิยมเลี้ยงสัตว์อีกด้วย เช่น วัว ควาย ไก่ หมู หรือช้าง เงินรายได้จากการขาย สัตว์เลี้ยงนำไปใช้เป็นทุนซื้อสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ การซื้อขายทำในหมู่กะเหรี่ยงด้วยกัน บ้างก็มีการรับจ้างทำงานให้คนไทย หรือทำงานบนภูเขาให้กะเหรี่ยงหรือชาวเขาเผ่าอื่นๆ หมู่บ้านกะเหรี่ยงบางแห่งมีการทำเครื่องปั่นด้าย ทำเครื่องครัวจากไม้และทอผ้า นอกจากนำของป่าไปขาย (หน้า 22) ระบบการเกษตร กะเหรี่ยงมีการใช้ระบบเกษตรแบบตัดฟันโค่เผา (swidden) แต่จะ ตัดฟันไม้ในป่าที่ถูกทิ้งให้พักตัวหลังจากที่ถูกใช้ประโยชน์มาแล้วช่วงเวลาหนึ่ง หมู่บ้าน ทุ่งหลวง ห้วยตองและแม่แฮ จะเว้นระยะพักตัวปีหนึ่ง ส่วนหมู่บ้านแม่หลอดใต้และ บ้านผาแตกจะเว้นระยะ 3 – 5 ปี ใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างหมุนเวียน การตัดฟันโค่นไม้จะ เริ่มปลายเดือนกุมภาพันธ์ โดยจะตัดเฉพาะไม้ขนาดกลาง ไม่ใหญ่มาก ตัดให้มีตอสูง จะเว้นไม่ตัดไม้ใหญ่ แต่ลิดกิ่งให้สั้นเพื่อไม่ให้กิ่งบังแสงแดด เมื่อโค่นไม้แล้วมักปล่อย ตากแดดไว้ 6 สัปดาห์ ปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเมษายนจึงค่อยเผา ไม้ที่ขนาดพอเหมาะทำฟืนจึงเก็บกลับบ้าน หลังเตริยมพื้นที่แล้วจะเพาะปลูกต้นเดือนเมษายน โดยปลูกข้าวไร่ผสมพืชผักอื่น ๆ เช่น พริก แตง เผือก มัน ข้าวโพด งา เป็นต้น ปัจจุบัน การใช้ที่ดินแบบหมุนเวียนมีน้อยลง กะเหรี่ยงมักปลูกพืชที่ใดที่หนึ่งเหมือนชาวพื้นเมือง โดยเฉพาะพืชเศรษฐกิจ และมีการใช้ปุ๋ย (หน้า 22 – 23) |
|
Social Organization |
ครอบครัวกะเหรี่ยงส่วนใหญ่มักเป็นครอบครัวเดี่ยว (Nuclear Family) แต่ละครัวเรือน มีไร่ของตนเอง หัวหน้าครอบครัวเป็นผู้จัดแรงงานของตนเอง มียุ้งข้าวเป็นของตนเองยกเว้นในยามเจ็บป่วยหรือตายจะมีการรวมแรงงานช่วยกันทำไร่ คู่สมรสนิยมตั้งครอบครัวของตนเอง ภายหลังจากไปอยู่อาศัยกับพ่อแม่ฝ่ายหญิง 1 ปี การแต่งงาน เป็นแบบผัวเดียวเมียเดียว การหย่าร้างมีน้อย ไม่ค่อยมีการแต่งงานใหม่ ผู้หญิงใน สังคมกะเหรี่ยงมีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ เช่น ซื้อขายที่ดิน จะแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นกันภายในหมู่บ้านเสมอ สังคมกะเหรี่ยงถือเรื่องความมั่งคั่งและอาวุโส เป็นเครื่องแสดงสถานภาพสูงในสังคม การประกอบอาชีพไม่มีความสำคัญต่อสถานะ ทางสังคมเพราะกะเหรี่ยงส่วนใหญ่ (เกือบทั้งหมด) ประกอบอาชีพทางเกษตรกรรม แทบทั้งสิ้น (หน้า 18 – 19) การเลือกคู่ครอง กะเหรี่ยงจะถือความพึงพอใจส่วนตัวเป็นหลัก ชายในอุดมคติต้องขยันทำมาหากิน และต้องได้ยอมรับจากญาติผู้ใหญ่และสังคม กะเหรี่ยงไม่นิยมแต่งงานกับคนนอกเผ่า หมู่บ้านห้วยตองที่นับถือคริสต์ไม่ค่อยเคร่งครัดเรื่องนี้ ผู้หญิงในหมู่บ้านบางคนจึงไปแต่งงานกับม้งหมู่บ้านอื่น มีการเจรจาสู่ขอและกำหนดพิธีการซึ่งมักทำในช่วงเดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ เป็นช่วงว่างจากงาน มีการเลี้ยงแขกและจัดพิธีแต่งงาน มีพิธีป้อนข้าว เซ่นไหว้บูชาผีร่วมด้วย (หน้า 20 – 21) |
|
Belief System |
กะเหรี่ยงส่วนใหญ่ยังนับถือผี มีบางส่วนที่นับถือศาสนาพุทธ หรือคริสต์ด้วย กะเหรี่ยง มีความเชื่อเรื่องผีคล้ายกับชาวเขาเผ่าอื่น ๆ คือเชื่อว่าทุกหนแห่ง ในป่า ไร่ หรือหมู่บ้าน มีผีสิงสถิตอยู่ อาทิ ผีบ้านผีเรือน เป็นผีบรรพบุรุษที่เสียชีวิตแล้วคอยวนเวียนดูแลปก - ปักรักษาให้อยู่อย่างสงบสุข จึงมีการเลี้ยงผีปีละ 2 ครั้ง ครั้งแรกในฤดูฝน ครั้งที่สองจัดเมื่อสิ้นฤดูการเกษตร นอกจากนี้ยังมี ผีเจ้าเมืองหรือผีเจ้าที่ มีหน้าที่ดูแลพืชผลการ - เกษตร และพิธีกรรมที่ช่วยให้คนทั้งหมู่บ้านอยู่ดีกินดี ผีอีกจำพวกคือผีร้ายที่ สิงสถิตตามป่าเขา แม่น้ำลำธารซึ่งอาจทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เมื่อเกิดเจ็บไข้จึงต้องทำพิธีเลี้ยงผี มีหมอผีในหมู่บ้านเลี้ยงผีเพื่อขอขมาผีให้หายโกรธแค้น หากมีผู้ไปลบหลู่อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ กะเหรี่ยงจึงผูกพันกับพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น พิธีเซ่นสรวงผีเจ้าที่หรือประเพณีการมัดมือ พบในหมู่บ้านที่นับถือพุทธ ทำหลังจากปลูกข้าวและหลังเก็บเกี่ยว (หน้า 19 – 20) บ้านทุ่งหลวงและ แม่แฮเหนือนับถือศาสนาพุทธ และมีประเพณีมัดมือ บ้านห้วยตองนับถือศาสนาคริสต์ บ้านแม่หลอดใต้และบ้านผาแตกนับถือ ศาสนาพุทธ แต่ไม่พบประเพณีดังกล่าว (หน้า 20) งานศพ เมื่อมีการตายเกิดขึ้นจะนำศพไปทำพิธีทางศาสนา ถ้านับถือคริสต์ จะมีการเดินวนรอบหีบศพพร้อมสวดเป็นเพลงเศร้าภาษากะเหรี่ยง มักตั้งศพไว้ 3 – 5วัน แล้ว จึงนำไปฝัง มีข้อแม้ว่าห้ามฝังศพวันเสาร์-อาทิตย์ หากนับถือพุทธจะมีการตั้งศพไว้ 3 -5 วัน ทำพิธีสวด อาจมีการร้องซอ แล้วแต่ฐานะเจ้าภาพแล้วจึงนำศพไปเผา (หน้า 21) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
จากรายงานการสำรวจพืชกะเหรี่ยงปี 2525 ของจันทบูรณ์ สุทธิ พบพืชที่ปลูกเพื่อใช้ประโยชน์ด้านต่าง ๆ เช่น พืชที่ปลูกแบบจารีตประเพณี เช่น ข้าวไร่ ถั่วแดง แตง มัน ฝ้าย ยาสูบ พริก พืชสมุนไพร เช่น ใบแมงลักใช้รักษาอาการเสาะท้อง ผักเผ็ดใช้ถ่ายพยาธิ พืชที่ใช้ปรุงแต่งอาหารเช่น ไพล ขมิ้นชัน ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับระบบทางเดิน อาหาร บางหมู่บ้านใช้หงอนไก่ ดาวเรือง ดาวกระจาย บานไม่รู้โรย ประกอบการทำ ขวัญข้าว (หน้า 26 - 27) ในงานสำรวจของปิยวรรณ ได้แบ่งกลุ่มพืชออกเป็น 5 ประเภทคือ พืชสมุนไพร พืชอาหาร พืชที่ใช้สร้างที่อยู่อาศัย พืชเศรษฐกิจ และพืชที่ใช้ประโยชน์อื่น ๆ เป็นเครื่องใช้ หรือใช้ในเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อต่าง ๆ (หน้า 33) สรุปได้คร่าว ๆ ดังนี้ หมู่บ้านแม่หลอดใต้ 1) พืชสมุนไพรพบ 84 ชนิด (หน้า 34) อาทิ ส้มป่อย ใช้ยอดเป็นยาห่มรวมกับยอดมะนาว ส้มลม มะกรูด มะขาม ส้มโอ ส้มจั๊วะ รักษาอาการไข้ระยะพักฟื้น (หน้า 35) หญ้าพันงู (นองือเถะ) ใช้ทั้งต้น จากแห้งแล้วนำไปต้มน้ำรวมกับผักโขมหนามขาว หญ้าถอดปล้อง รากมะละกอตัวผู้ มะเดือย และมะเฟือง ต้มดื่มรักษาโรคนิ่ว ว่านน้ำใหญ่ (เต๊อะสิเปอะดอ) ใช้รากตากแห้ง ฝนจนเป็นผง ชงน้ำที่แช่ใบว่านน้ำใหญ่ ให้เด็กดื่มรักษาไข้หวัด (หน้า 36) มะเม่าดง ใช้รากต้มน้ำรวมกับรากหรือกิ่งโนรา หัวข่าและปูเลย รากมะไฟป่าหรือพืชขนิดอื่นๆ ใช้ดื่มรักษาอาการปวดหลังปวดเอว ว่านกีบแรด (โด่เคงโค) ใช้ลำต้นตำรวมกับข้าวสารพอกศีรษะแก้ปวดหัว (หน้า 38) หญ้าหนวดแมว ใช้ทั้งต้นต้มน้ำดื่มรักษาโรคนิ่ว (หน้า 75) เป็นต้น 2) พืชอาหารพบ 53 ชนิด (หน้า 34) เช่น ผักแปม ใช้ยอดกินสดเป็นผักกับลาบ (หน้า 35) ปุดใหญ่ (เปาะซี่) แกนในของลำต้นอ่อน ต้มกินกับน้ำพริก แก๊ก ใช้หน่ออ่อนกินสดกับน้ำพริก(หน้า 36) หอมซู ใช้รากหรือใบประกอบอาหาร (หน้า 37) บุก ใช้เป็นอาหารทั้งก้านใบหรือช่อดอก ลอกเปลือกออกนำไปลวกรับประทานเป็นผักหรือใส่แกง (หน้า 38) มะหาดใช้เปลือกต้นเคี้ยวกับหมาก (หน้า 39) หวายไส้ไก่ ใช้แกนในลำต้นอ่อนประกอบอาหาร เช่นแกงกับปลา (หน้า 46) 3) พืชสร้างที่อยู่อาศัยพบ 10 ชนิด (หน้า 34) เช่น ไผ่ข้าวหลาม ลำต้นใช้ทำโครง หลังคาและฝาบ้าน (หน้า 41) ตองสาด ใบตากแห้งนำมาใช้มุงหลังคา (หน้า 76) ต้นประดู่ ใช้ลำต้นทำเสา พื้น ฝา (หน้า 81) 4) พืชเศรษฐกิจพบ 7 ชนิด (หน้า 34) ชนิด เช่น ถั่วแขก ปลูกขายฝักอ่อน (หน้า 76) เป็นต้น 5) พืชที่ใช้ประโยชน์อื่น ๆ พบ 15 ชนิด (หน้า 34) เช่น ตองสาดใช้ใบห่อของ (หน้า 76) ชาสีทอง ปลูกเป็นไม้ประดับ (หน้า 58) เป็นต้น หมู่บ้านผาแตก 1) พืชสมุนไพรพบ 36 ชนิด เช่น ผักแปมใช้รากต้มน้ำรวมกับรากมะเดือย มะเฟือง กะเม็ง ใบสับปะรด ขนเม่นและเกล็ดลิ่น ดื่มรักษาโรคนิ่ว (หน้า 35) เม่าสร้อย (ฮอชวะ) ใช้ยอดหรือใบอ่อนกินสด ลดอาการวิงเวียนศีรษะ (หน้า 39) หนาด (พอเปือสา)ใช้ยอด หรือใบอังไฟรวมกับใบเปล้าหลวง นำไปรองนั่งหลังคลอด ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็ว (หน้า 43) ชุมเห็ดเทศ ต้นน้ำดื่มเป็นยาถ่ายหรือนำไปตกแล้วทารักษากลากเกลื้อน หรือนำไป ตากแห้งต้มน้ำดื่มรักษาโรคริดสีดวง (หน้า 47) ครุฑกนก ใช้ใบต้มน้ำรวมกับรากกะเม็งผักแปม และมะเฟือง ขนเม่นและเกล็ดลิ่น ดื่มรักษาโรคนิ่ว (หน้า 80) ฝรั่ง ใช้ใบอังไฟนำไปต้มน้ำดื่มรักษาอาการท้องร่วง (หน้า 81) เป็นต้น 2) พืชอาหารพบ 32 ชนิด เช่น น้อยโหน่ง ผลสุกกินเป็นผลไม้ (หน้า 38) ขนุนผลอ่อน เป็นผักใส่แกง ผลสุกทานเป็นผลไม้ (หน้า 39) เม่าสร้อย (ฮอชวะ) ใช้ยอดต้มกินกับน้ำพริก (หน้า 39) ต้าง (กีลอละ) ดอกอ่อนต้มกินกับน้ำพริก หรือเป็นผักใส่แกง (หน้า 45) พริกชี้ฟ้า พริกขี้หนู (หน้า 47) ปิ้งขาว (ควอควอเด๊าะ) ใช้ยอดต้มกินกับ น้ำพริก ตำลึงยอดและใบต้มกินกับน้ำพริก เป็นผักใส่แกง (หน้า 49, 50) มะขามใช้ ยอดอ่อนหรือผัก ประกอบอาหาร เช่น แกง (หน้า 89) เป็นต้น 3) พืชสร้างที่อยู่อาศัย 10 ชนิด เช่น ไม้ทะโล้ (ตะลือซะ,เส่คือซะ) ไม้สัก ไม้พยอม ไม้ประดู่ ใช้ลำต้นทำเสา พื้น ฝา (หน้า 81,84,86,89) เป็นต้น 4) พืชเศรษฐกิจ 7 ชนิด เช่น หน่อไม้ฝรั่งปลูกขายหน่อ (หน้า 40) กะหล่ำปมปลูกขาย เป็นผัก (หน้า 45) เมี่ยง (ละหมุมี) ปลูกขายยอดอ่อน (หน้า 46) พลับพลึงปลูกเป็นไม้ประดับ (หน้า 52) ข้าวโพดปลูกขายฝัก (หน้า 92) 5) พืชที่ใช้ประโยชน์อื่น 12 ชนิด เช่น ส้มป่อย ฝักแก่นำมาตากแห้งแล้วนำไปแช่น้ำ ใช้ล้างหน้าในพิธีศพ (หน้า 35) หางนกยูงไทย แพงพวย รำเพย บานชื่น ปลูกเป็นไม้ประดับ (หน้า 46,48,89,92) เป็นต้น หมู่บ้านห้วยตอง 1) พืชสมุนไพรพบ 33 ชนิด เช่น ตีนเป็ด เปลือกต้นใช้ต้มน้ำดื่มรักษาโรคริดสีดวง (หน้า 37) ม้าสามต๋อน ใช้รากต้มน้ำดื่มช่วยบำรุงกำลัง (หน้า 40) กำลังเสือโคร่ง ใช้เปลือกต้นด้านใน คั้นน้ำแล้วนำไปทารักษาอาการวิงเวียนศีรษะ หนาด ใช้รากต้มน้ำดื่ม รักษาอาการเจ็บอก ไอเป็นเลือด ใบใช้รองนั่งหลังคลอดช่วยห้ามเลือด (หน้า 43) ราชาวดีป่า ลำต้นหรือกิ่งต้มน้ำรวมกับกิ่งส้มป่อยใช้อาบหลังคลอด (หน้า 46) เปล้า ใช้ส่วนใบเป็นยาห่มหลังคลอด เปลือกต้มน้ำอาบรักษาอาการเวียนศีรษะ (หน้า53) ขมิ้นชัน ใช้เหง้าต้มน้ำรวมกับใบส้มป่อย สระผมเวลาอ่อนเพลีย (หน้า 54) บ่ากล้วย ฤาษี (เลโคมอ) ใช้กิ่งและใบต้มน้ำรวมกับกิ่งส้มป่อยและราชาวดีป่าอาบน้ำหลังคลอด (หน้า 56) ใบสาบหมานำไปวางไว้บนศีรษะ รักษาอาการเวียนศีรษะ (หน้า 61) มะลิป่า ใช้รากต้มน้ำดื่มรักษาอาการปวดประจำเดือน (หน้า 67) กะตังใบ ใบตำรวมกับใบ ทักกะโพใช้พอกรักษาอาการปวดเข่า (หน้า 69) เป็นต้น 2) พืชอาหารพบ 20 ชนิด เช่น มะไฟป่า ผลสุกกินเป็นผลไม้ (หน้า 41) งิ้วแดง ใช้เกสร ตัวผู้ตากแห้งแล้วนำไปใส่แกง (หน้า 44) ต้นเขืองใช้แกนในบริเวณยอดอ่อนเป็นผักใส่ แกง (หน้า 47) ก่อหลวง ผลแก่คั่วกินเป็นของว่าง (หน้า 48) ตุ้มเต๋น (โก่) และขางครั่ง ใช้ดอกอ่อนต้มกินกับน้ำพริก (หน้า 58) มะเดื่อ กินยอดอ่อนสด ๆ เป็นผักใส่แกง เคล้อเด๊าะ ผลสุกกินสดเป็นผลไม้ (หน้า 62) พะวา ผลสุกกินสดเป็นผลไม้ (หน้า 63) ข่าใช้รากเป็นเครื่องเทศ ประกอบอาหาร (หน้า 69) เป็นต้น 3) พืชสร้างที่อยู่อาศัยพบ 6 ชนิด เช่น ตองตึงใช้ลำต้นทำพื้นหรือฝาบ้าน ใบใช้มุง หลังคา (หน้า 57) หญ้าคา ใช้ใบตากแห้ง ทำแฝกมุงหลังตา (หน้า 66) สนสามใบใช้ ลำต้นทำเสา พื้น ฝา (หน้า 77) ต้นรังใช้ลำต้นทำเสา และพื้น (หน้า 86) เป็นต้น 4) พืชเศรษฐกิจพบ 13 ชนิด เช่น หอมญี่ปุ่น แครอท ซุกินี ถั่วลันเตา ปลูกขายเป็นผัก (หน้า 37,54, 55,79 ) ผักกาดหางหงษ์ ปลูกขายเป็นผักพืชเศรษฐกิจ (หน้า 45) เบญจมาศปลูกตัดดอกขาย (หน้า 49) พลับ ปลูกขายเป็นไม้ผล (หน้า 57) แกลดิโอลัส ปลูกขายเป็นไม้ตัดดอก (หน้า 64) ผีกกสดหอมคอสและผักกาดหอมใบแดง ปลูกขายเป็นผัก (หน้า 68) บ๊วย สาลี่ ปลูกขายผลสด (หน้า 80, 81) เป็นต้น 5) พืชที่ใช้ประโยชน์อื่นพบ 6 ชนิด เช่น โทลอจิ ต้นอังไฟนำไปตำให้ละเอียดพอก แผลไก่ชน (หน้า 42) ตองสาด ใบใช้ห่อของ (หน้า 77) เป็นต้น หมู่บ้านทุ่งหลวง 1) พืชสมุนไพร 39 ชนิด เช่น กระทุ่ม นำเปลือกมาต้มน้ำดื่มรักษาอาการ ปวดเมื่อย ไอหรือเจ็บหน้าอก (หน้า 37) หนาด (พอเปือสา) ใช้รากต้มน้ำดื่มหลังคลอด นำไปต้มน้ำรวมกับใบส้มป่อย หรือพืชสมุนไพรอื่น ๆ ดิ่มและอาบรักษาไข้ไทฟอยด์หรือนำใบไปอังไฟรองนั่งหลังคลอด ช่วยห้ามเลือด นำไปอังไฟรวมกับหัวขมิ้นและต้น ตะไคร้พอกบริเวณที่กระดูกหัก (หน้า 44) ตาสู่แม้อะหมื่อสากวิ เป็นสมุนไพรใช้ราก ต้มน้ำดื่มบำรุงกำลังผู้สูงวัย (หน้า 46) ขี้เหล็กไทย ใช้ใบต้มน้ำดื่มหลังคลอด รักษา อาการตัวเหลือง ตัวบวม (หน้า 48) บัวบก (ซีโภะคาลาเด๊าะ) ต้นรับประทานสดหรือ ต้มน้ำดื่มรักษาอาการปวดเมื่อย ช้ำใน (หน้า 48) ขมิ้นชันใช้เหง้าอังไฟรวมกับใบหนาดและต้นตะไคร้ พอกรักษาโรคกระดูกหัก (หน้า 54) โด่ไม่รู้ล้ม รากนำมาต้มน้ำดื่มแก้ไข้ ต้มรวมกับรากไผ่บงใหญ่ เปลือกต้นกำลังช้างเผือก ดื่มแก้ปวดเมื่อย (หน้า 59) เป็นต้น 2) พืชอาหาร 22 ชนิด เช่น สับปะรด รับประทานผลเป็นผลไม้ (หน้า 38) ยาเปอซูเด๊าะ รับประทานยอดอ่อนเป็นผักใส่แกง (หน้า 39) ปิ้งขาว (ควอควอเด๊าะ) ใช้ยอดอ่อนต้มกินกับน้ำพริก (หน้า 49) กุ่มบก (ห่อทะถี่) ใช้ยอดอ่อนดองรับประทาน ผักกาดช้าง (เตอะบุ๊แค่) ใช้ยอดต้มกินกับน้ำพริก (หน้า 52) เป็นต้น 3) พืชสร้างที่อยู่อาศัย 6 ชนิด เช่น ตองตึงใช้ใบมุงหลังตา ลำต้นทำพื้นหรือฝา (หน้า 57) เป็นต้น 4) พืชเศรษฐกิจ 13 ชนิด เช่น หอมญี่ปุ่น ปลูกขายเป็นผัก (หน้า 37) ผักกาด หางหงษ์ ปลูกขายเป็นผัก (หน้า 45) เบญจมาศ ปลูกตัดดอกจำหน่าย (หน้า 49) ซุกินี ปลูกขายเป็นผัก (หน้า 54) แครอทปลูกขายเป็นผัก (หน้า 55) พลับปลูกขายเป็นไม้ผล (หน้า 57) เป็นต้น 5) พืชที่ใช้ประโยชน์อื่น 11 ชนิด เช่น ปืนนกไส้ (ซอดีโบ๊ะ, ฝอดงอ) ลำต้นใช้เป็นอาหารหมู (หน้า 43) ผักกาดช้างใช้ต้นเป็นอาหารหมู (หน้า 52) ไผ่บงใหญ่ ลำต้นสานเป็นเครื่องรางกันผี หรือใช้ทำเครื่องใช้ สานตะกร้าหลังหรือ กระด้ง (หน้า 55) หางไหล ใช้รากตำให้ละเอียดแล้วนำไปเบื่อปลา (หน้า 56) เป็นต้น หมู่บ้านแม่แฮเหนือ 1) พืชสมุนไพร พบ 38 ชนิด เช่น ต้นตีนเป็ด (นอพะโดะ) เปลือกต้นอมรักษาอาการ เจ็บคอ (หน้า 37) มะขามแป (แส่แม้ช้า,สะทุแมะ) ใบใช้ต้มน้ำอาบแก้ไข้ (หน้า 39) ม้าสามต๋อน (ตะซู) รากสะสมอาหาร ต้มน้ำอาบรักษาอาการปวดเมื่อย (หน้า 40) เสี้ยว (เป๊อะนามือถู่) ใช้เครือต้มน้ำดื่มบำรุงกำลังคนสูงวัย (หน้า 42) กำลังเสือโคร่งเปลือกต้นนำมาดองเหล้าหรือต้มน้ำดื่มบำรุงกำลัง (หน้า 43) หนาด ใบตำละเอียดนำ ไปพอกศีรษะสตรีหลังคลอด รักษาอาการวิงเวียนศีรษะ ใบใช้รองนั่งหลังคลอดช่วย ห้ามเลือด (หน้า 44) อบเชย เป็นสมุนไพรเปลือกต้น ทานสดรักษาอาการไอเป็นหวัด (หน้า 49) มะเดือยหิน (เบอะมือที) เป็นสมุนไพรใช้ส่วนรากต้มน้ำรวมกับมะเขือขื่น ดื่มรักษาโรคนิ่ว (หน้า 51) เอื้องหมายนา (ซูเลโบ , สู่เล) ลำต้นเหนือดิน ตำให้ละเอียด นำไปพอกบาดแผลแก้พิษงู (หน้า 52) ซอโพเควะ, พอซอก๊วย เป็นสมุนไพรใบตำละเอียดพอกบาดแผลใช้ห้ามเลือด (หน้า 61) เป็นต้น 2) พืชอาหาร พบ 26 ชนิด เช่น เฟิร์นข้าหลวงหลังลาย (ห่อทีเซ) ใบใช้ปรุงแต่งรส อาหาร (หน้า 40) มะไฟป่า ผลสุกกินเป็นผลไม้ (หน้า 41) โทลอจิ ก้านใบลอกเปลือก ออกกินสด ๆ มีรสเปรี้ยว (หน้า 42) ต้าง (กีลอละ) ดอกอ่อนต้มกินกับน้ำพริก หรือเป็น ผักใส่แกง (หน้า 45) เมี่ยง (ละหมุมี) ใช้ยอดอ่อนต้มน้ำผสมเกลือดื่ม (หน้า 46) เต่าร้าง ใช้แกนในตรงยอดทานเป็นผักสดหรือใส่แกง (หน้า 47) บัวบกใบต้มกินกับน้ำพริก ทานสด ๆ หรือทานกับลาบ (หน้า 48) ปิ้งขาว ยอดอ่อนทานสดกับน้ำพริก (หน้า 49) บอน ก้านใบลอกเปลือกออกนำมาแกง (หน้า 51) ผักกาดช้าง ใช้ยอดเป็นผักใส่แกง (หน้า 52) ตุ้มเต๋น ดอกอ่อนต้มกินกับน้ำพริก (หน้า 58) สะบ้า ยอดอ่อนต้มกินกับ น้ำพริก (หน้า 60) ลำไยป่า ผลสุกทานเป็นผลไม้ (หน้า 62) เป็นต้น 3) พืชสร้างที่อยู่อาศัย พบ 7 ชนิด เช่น ไผบงใหญ่ นำลำต้นไปทำโครงหลังคา ฝา (หน้า 55) ตองตึงใช้ใบมุงหลังคา ลำต้นทำพื้นหรือฝา (หน้า 57) หญ้าคาใบตากแห้ง ทำแฝกมุงหลังคา (หน้า 66) เป็นต้น 4) พืชเศรษฐกิจ พบ 17 ชนิด เช่น กะเทียมต้นและหอมญี่ปุ่น ปลูกขายเป็นผัก (หน้า 37) ว่านกีบแรด ลำต้นใช้ต้มน้ำดื่มรักษาอาการช้ำใน (หน้า 38) กะหล่ำปลีแดง พริกยักษ์ ปลูกขายเป็นผัก (หน้า 45,47) แตงกวาญี่ปุ่น แครอท ผักกาดหอมปลูกขาย เป็นผัก (หน้า 53,55,68) เยบีร่า แกลดิโอลัส ปลูกตัดดอกขาย (หน้า 63, 64 ) เป็นต้น 6) พืชที่ใช้ประโยชน์อื่น พบ 3 ชนิด เช่น หางไหล (เลบือเลบึ,เกล่) รากตำ ให้ละเอียดนำไปเบื่อปลา (หน้า 56) เป็นต้น |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เครื่องแต่งกายของกะเหรี่ยง จากข้อมูลของกองสำรวจทรัพยากรธรรมชาติด้วยดาวเทียม และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติกล่าวไว้ว่า กะเหรี่ยงสะกอ ชายนิยมโพกศีรษะด้วยผ้าสีต่าง ๆ สวมเสื้อแขนสั้นสีแดง ใช้เชือกพู่รัดเอว หญิงที่ยังไม่ต่างงานนิยมนุ่งกระโปรงยาวสีขาว พวกที่แต่งงานแล้วนิยมใส่เสื้อแขนสั้นสีน้ำเงินเข้ม กระโปรงสีแดงลายตัดสีขาว ประดับด้วยลูกปัด โพกศีรษะด้วยผ้าแดง กะเหรี่ยงโปว์ ชายแต่งตัวคล้ายชาวนา สวมเสื้อแขนยาวสีดำกางเกงขายาว หญิงที่แต่งงานแล้วจะสวมเสื้อคลุมเหมือนกะเหรี่ยงสะกอแต่ยาวกว่า มีสีแดงชัดกว่าท่อนบนปักลวดลาย กระโปรงดำหรือน้ำเงินเข้ม หญิงที่ยังไม่แต่งงานนิยมสวมกระโปรงยาวคลุมข้อเท้า มีปักลวดลายใช้ลูกปัดสีต่าง ๆ เกล้าผมปักปิ่น และใช้พู่ห้อย ใส่กำไลมือและแขน หรืออาจมีเครื่องเงินสวมคอ มักแต่งกายครบเครื่องในโอกาสสำคัญต่าง ๆ กะเหรี่ยงบเว ชายนิยมนุ่งกางเกงขาสั้นสีแดงและโพกศีรษะ มักสักข้างหลังเป็นรูป ต่าง ๆ ไว้ หญิงนิยมสวมกำไลไม้ไผ่ที่ข้อเท้า นุ่งกระโปรงสั้นมาก (หน้า 12) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ลักษณะทางกายภาพของกะเหรี่ยงบรรยายไว้ว่า กะเหรี่ยงมีความสูงปานกลาง กะเหรี่ยงพื้นราบมีความสูงเฉลี่ย 160 เซนติเมตร ส่วนกะเหรี่ยงบนเขาจะมีความสูง น้อยกว่า อาจเนื่องมาจากกะเหรี่ยงบนเขาต้องทำงานหนักและมีโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เช่น ไข้มาลาเรีย ซึ่งทำให้ร่างกายแคระแกรน กะเหรี่ยงที่ราบต่ำลงมามีร่างกายแข็งแรง สันทัดกว่า หญิงร่างตั้งตรงเพราะต้องแบกของไว้บนศีรษะหรือบนหลังเสมอ แม้จะมีรูป ร่างอวบ กะเหรี่ยงยังนิยมกินหมากอยู่ทำให้ฟันมีรอยเปื้อนเป็นคราบหมาก สีผิวของกะเหรี่ยงจะต่างกันไป มีตั้งแต่สีเหลืองไปจนถึงผิวสีน้ำตาลคล้ำ กะเหรี่ยงมีรูปหน้าค่อนข้างแบนคล้ายชนเผ่ามองโกเลียนทั่ว ๆ ไป กะเหรี่ยงบนเขาไม่นิยมอาบน้ำและ ไม่นิยมห้อยเครื่องราง (หน้า 11 – 12) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
ภาพแผนที่ จ. เชียงใหม่ (หน้า 4) ภาพแผนที่แสดงตำแหน่งหมู่บ้านแม่หลอดใต้และผาแตก (หน้า 5) ภาพแผนที่ตำแหน่งหมู่บ้านห้วยตอง ทุ่งหลวง และแม่แฮเหนือ (6) ภาพภูมิประเทศที่เหมาะแก่การตั้งหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยง (14) ภาพแผนผังภายในบ้านของชาวกะเหรี่ยง(15) ตารางจำนวนพืชที่พบในแต่ละหมู่บ้าน (34) รายชื่อและเปรียบเทียบการใช้พืช (35) ภาพหมู่บ้าน 4 แห่ง (247) ภาพพื้นที่การเกษตร (248) ภาพลักษณะบ้าน (บ้านแม่หลอดใต้และบ้านทุ่งหลวง)/ภาพใต้ถุนบ้าน (บ้านแม่หลอดใต้) (249) ร้านน้ำ(บ้านผาแตก) / ที่นอนและเตาไฟ (บ้านแม่หลอดใต้) / ใต้ถุนบ้าน-การเลี้ยงสัตว์ (บ้านผาแตก) (250) ภาพการแต่งกาย (251) ภาพการประกอบอาชีพต่าง ๆ (252 - 253) ภาพเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ (หน้า 254 – 256) ภาพหญ้าคาที่ใช้ทำแฝกมุงหลัง -คาภาพ / ไม้กวาด (หน้า 257 – 258) ภาพภาชนะที่ใช้หมักเมี่ยง / รถไม้ของเล่น /อุปกรณ์เครื่องใช้ภายในครัว (258) ส้มป่อย / ผักแปม (259) ปุดใหญ่ / แก๊ก (260) หญ้าพันงู /ว่านน้ำใหญ่ (261) ว่านน้ำเล็ก / กระทุ่ม / มะลิลา (262) หอมญี่ปุ่น / กระเทียมต้น (263) หอมชู / ตีนเป็ด (264) ผักโขม/ผักโขมหนามขาว /บุก / สัปปะรด(265) ว่านเก็บแรด / น้อยโหน่ง (266) มะเม่าดง / เม่าสร้อย / มะขามแป (267) ยาเปอซูเด๊าะ / ขนุน / มะหาด (268) ม้าสามต๋อน / หน่อไม้ฝรั่ง (269) เฟิร์นข้าหลวงหลังลาย/กูดน้ำ / มะเฟือง (270) มะไฟป่า (271) เปล้าตองแตก / ไผ่ข้าวหลาม (272) ไผ่ไร่ / ไผ่ซาง (273) ฮ่อม/เสี้ยว /เสี้ยวขาว (274) โทลอจิ / ว่านหางช้าง (275) กำลังเสือโคร่ง/ปืนนกไส้ (276) หนาด / กระชาย (277) งิ้วแดง (278) ด้าง / กะหล่ำปม (279) กะหล่ำปลีแดง /ผักกาดหางหงส์ / มะม่วงหัวแมงวัน (280) ราชาวดีป่า /หางนกยูงไทย / หวายไส้ไก่ (281) หวายหลวง (282) เมี่ยง / พุทธรักษา /ตาสู่แม้อะหมื่อสากวิ (283) พริกยักษ์ / พริกชี้ฟ้า / พริกขี้หนู (284) ปุย /มะละกอตัวผู้ (285) เขือง / เต่าร้าง (286) ชุมเห็ดเทศ / ลมแส้ง (287) ขี้เหล็กไทย /ก่อหลวง /แพงพวย (288) หงอนไก่ไทย/บัวบก(289) เบญจมาศ / อบเชย / มะนาว (290) มะกรูด / ส้มโอ (291) ปิ้งขาว /ปิ้งแดง (292) กาสามปีก (หลัวสามเกวียน) /ตำลึง /กาแฟ (293) มะเดือยหิน / บอน (294) เผือก/บอนผา/ หมากผู้หมากเมีย (295) เอื้องหมายนา / ผักกาดช้าง /กุ่มบก (296) พลับพลึง/หญ้ามะก่ำ (297) เปล้าใหญ่ / เปล้า / แตงกวาญี่ปุ่น (298) ซุกินี / ขมิ้นชัน (299) กุ๊กดอย / ขมิ้นดำ (300) ตะไคร้ / แครอท/ ไผ่บุงใหญ่ (301) หางไหล/ยาแก้ฮากเหลือง (302) มะตาด / ส้านหิ่ง (303) มันเสา/มันมือเสือ (304) บ่าก้วยฤาษี / พลับ (305) เหียง /ตองตึง (306) เกล็ดนาคราช / ว่านหัวสืบ / ถั่วแปบ (307) ตุ้มเต๋น / ขางครั่ง /ชาสีทอง (308) กะเม็ง / มะหลอด (309) โด่ไม่รู้ล้ม / หญ้าปากควาย (310) ว่านหอมแดง/ สะบ้า (311) หญ้าถอดปล้อง / แห้วประดู่ (312) นอโภค่ะ / สาบหมา (313) สาบเสือ/ลำไยป่า (314) มะเดื่อปล้อง / มะเดื่อ (315) เคล้าเด๊าะ / มะเดื่อเล็ก /มะเดื่อใหญ่ (316) มะเกว๋น (317) มะป่อง / พะวา (318) เยบีรา / แกลดิโอลัส (319) มันปลา/ซ้อ (320) บานไม่รู้โรยขาว/ตาเหินเหลือง/กาฝากลมแล้ง (321) กาฝากต้นติ้ว / กระเจี๊ยบแดง (322) โนรา (ฮ่อสะพานควาย) กำลังช้างเผือก (323) ตะเคียนทอง / ผักข้าวตอง(324) หญ้าคา/ มะลิป่า (พอเส่ลี) (325) มะลิป่า (พอเนอซี) / ละหุ่งรั้ว (326) กระชายดำ/เปราะป่า (327) ว่านหางนกยูง (328) ตึ่งน้ำใส/ ผักกาดหอมบัตเตอร์เฮด/ผักกาดหอมคอส (329) ผักกาดหอมใบแดง / ผักกาดหอม / น้ำเต้า (330) ยี่เข่ง / อินทนิลบก/ ข่า (331) ผักหนาม / กะตังใบ (332) ลิ้นจี่ / สามร้อยยอด (333) กูดก๊อง / กาฝากส้มโอ(334) มะม่วง / มะม่วงป่า / มันสำปะหลัง (335) แคหางค่าง / จุกนารี (336) เลี่ยน / สะระแหน่ / จำปีป่า (337) ไมยราบ / บานเย็น (338) มะแฮะนก/ มะระขี้นก / ยอดิน (339) หม่อน / ตะขบฝรั่ง (340) กล้วยป่า / กล้วยน้ำว้า (341) กล้วยนวล/แก้มขาว (342) ยาสูบ / บัวสาย/ช้างน้าว (343)กะเพราะช้าง/ผักชีล้อม/เพกา (344) หญ้าหนวดแมว / ข้าวเจ้า / ส้มกบ (345) พังโหม / เตยหนาม (346) ฝิ่น /เสาวรส /แสยก (347) พราสเรย์ / ถั่วแขก (348) ตองสาด / มะยม (349) มะขามป้อม / สนสามใบ (350) ดีปลี/ พริกไทย (351) จะค้าน / ช้าพลู / ถั่วลันตา (352) หญ้าเอ็นยืด / ชายผ้าสีดา (353) เจตมูลเพลิงแดง / เจตมูลเพลิงขาว /เอื้องเพ็ดม้า (354) ครุฑกนก /จอชื่อ/ มะแฟน (355) พลัม / บ๊วย (356) ท้อ / ฝรั่ง / ประดู่ (357) ทับทิม/แอปเปิล (358) สาลี่/ ทองพันชั่ง (359) ละหุ่งแดง / กุหลาบ / ไข่ปูใหญ่ (360) โกวาสะ /มะไข่ปู๋ (361) อ้อยดำ / มะซัก/ พอลอแจ (362) ผักหวานบ้าน / พี่จื๊อยา / หนุมานประสานกาย (363) ทะโล้ / มะโจ้ก (364) ปีกแมลงวัน / กาฝากมะนาว (365) กาฝากมะเฟือง/แตงกะเหรี่ยง(366) ก้างปลาแดง/งา/เต็ง (367) พยอม / รัง (368) หญ้าจัด/ ห่อเกออ๊ะ (369) ซ้าแป้ง / มะแว้งต้น / มะแว้งนก (370) ผักดีด/มะเขือพวง / มะเขือขื่น (371) ผักเผ็ด/ มะกอกไทย (372) ปงมดง่าม / สำโรง (373) มะตึง/ มะขาม (374) สัก (375) สมอพิเภก / รำเพย / รางจืด (376)ตองกง/ บอระเพ็ด (377) บัวตอง / ฝอยลม / ยาแก้ (คลาปอ)(378) ถั่วฝักยาว/ผีเสี้อ/ไม้แดง (379) ข้าวโพด/ แตงหนู (380) บัวจีน/ ปูเลย (381) ขิง/บานชื่น/ตะครอง (382) |
|
|