สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject เมี่ยน, อิวเมี่ยน, เย้า,วัฒนธรรม,การปรับตัว,ภาคเหนือ
Author Peter K. Kandre
Title Passing through the Countries: The Years and Life
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity อิ้วเมี่ยน เมี่ยน, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 38 Year 2534
Source The Yao of South China: Recent International Studies. Edited by Jacques Lemoine and Chiao Chien. Paris: Pangu.
Abstract

บทความนี้มี 3 ส่วน ส่วนแรก เป็นการปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมเพื่อแสดงให้เห็นการเลือกและการตัดสินใจของเย้าที่สัมพันธ์กับการอพยพและการตั้งถิ่นฐาน รวมทั้งการจัดระเบียบการปกครองระดับท้องถิ่นในระบบความเชื่ออำนาจเหนือธรรมชาติ ซึ่งเกี่ยวพันกันระหว่างอำนาจทางการเมืองการปกครอง ประวัติศาสตร์ และปรากฏการณธรรมชาติ ส่วนที่สอง เป็นการจัดระเบียบทางวัฒนธรรมโดยมองผ่านพิธีกรรมประจำปีตามปฏิทินการเพาะปลูกแบบโค่นถางเผา และส่วนที่สามซึ่งเป็นส่วนสุดท้าย เป็นกรณีตัวอย่างสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงของเย้าคนหนึ่งในสังคมเย้าแบบดั้งเดิม (หน้า 273-274)

Focus

ศึกษาเย้าในแง่การปรับตัว ซึ่งผู้เขียนแสดงให้เห็นถึงการเลือกและการตัดสินใจที่สัมพันธ์กับการอพยพ การตั้งถิ่นฐาน และความคิดในการจัดระเบียบการเมืองการปกครองท้องถิ่น โดยพิจารณาจากระบบความคิดเรื่องอำนาจเหนือธรรมชาติ ซึ่งเกี่ยวพันกันระหว่างอำนาจทางการปกครอง ประวัติศาสตร์ และปรากฏการณ์ธรรมชาติ และยังให้ความสนใจการจัดระเบียบทางวัฒนธรรมโดยพิจารณาจากพิธีกรรมประจำปีตามปฏิทินการเพาะปลูกแบบโค่นถางเผา ซึ่งเป็นพื้นฐานการยังชีพของเย้าในบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ (หน้า 273)

Ethnic Group in the Focus

เย้าอิ่วเมียน (the Iu-Mien Yao) โดยใช้ข้อมูลเย้าในบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ และเย้าในอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย (หน้า 273-274, 303, 309)

Study Period (Data Collection)

ผู้เขียนใช้ข้อมูลภาคสนามในช่วงปี ค.ศ.1965, 1966 และ 1972 (หน้า 274, 304,309)

History of the Group and Community

จากบันทึกจ้าฟินต้าน (kjaa fin taan) ของเย้าตระกูลตัง (tang) ซึ่งบันทึกรายชื่อบรรพบุรุษและสถานที่ฝังศพของคนในตระกูล แสดงให้เห็นเส้นทางการอพยพว่า เย้าตระกูลนี้แต่เดิมอยู่ในมณฑลกวางสี (Kwangsi) ค่อยๆอพยพลงมาทางใต้สู่มณฑลยูนนาน แล้วเข้าสู่ประเทศพม่าและประเทศไทยในที่สุด ทั้งนี้มีหลักฐานจากบันทึกที่ตั้งหลุมศพดังนี้ หลุมศพของบรรพบุรุษตั้งแต่รุ่นที่ 1 จนถึงรุ่นที่ 5 ว่าอยู่ในเขตกวางสี หลุมศพบรรพบุรุษรุ่นที่ 6 และ 7 อยู่ในเขตมณฑลยูนนาน หลุมศพบรรพบุรุษรุ่นที่ 8 ถึง 12 อยู่ในอาณาบริเวณเมืองเชียงตุง (Kengtung) ประเทศพม่า และหลุมศพบรรพบุรุษรุ่นที่ 13 อยู่ที่เมืองงาว (Muang Ngao) จังหวัดลำปาง ประเทศไทย (หน้า 274-278)

Settlement Pattern

การเลือกพื้นที่ตั้งหมู่บ้านจะต้องพิจารณาว่า พื้นดินปลูกพืชได้และดินมีคุณภาพดี และที่สำคัญ ต้องอยู่ใกล้แหล่งน้ำ สามาถทำรางไม้ไผ่นำน้ำมายังหมู่บ้านได้ (หน้า 287)

Demography

ไม่มี

Economy

เมื่อเริ่มฤดูเพาะปลูกใหม่ เจ้าของบ้านแต่ละคนจะประชุมกันที่บ้านหัวหน้าหมู่บ้าน เพื่อพูดคุยเรื่องพื้นที่เพาะปลูก การร่วมมือกันระหว่างครัวเรือนมีขึ้นเพื่อความสะดวกในการทำงาน ความสัมพันธ์ทางเครือญาติระหว่างครัวเรือนแม้จะมีความสำคัญในสถานการณ์วิกฤติหรืออันตราย หากก็ไม่ใช่ช่องทางการร่วมมือกันเชิงเศรษฐกิจ (หน้า 290) ปฏิทินการเพาะปลูก แม้เย้าจะนับวันเดือนปีตามแบบจันทรคติของจีนโบราณ แต่เย้าในดินแดนสามเหลี่ยมทองคำก็ปรับการเพาะปลูกให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศมรสุมเขตร้อนชื้น โดยยังคงใช้คำเรียกวันเดือนปีตามลักษณะภูมิอากาศจีนตอนเหนืออยู่ (หน้า 288) ในแต่ละปีเย้ามีการเพาะปลูก ดังนี้ กุมภาพันธ์ เก็บฝิ่น มีนาคม เก็บฝิ่นแล้วเสร็จ กำหนดพื้นที่เพาะปลูกฤดูต่อไป และถางเผาไร่ เมษายน ถางเผาไร่แล้วเสร็จ ปลูกข้าวโพดและพืชผักชนิดอื่นผสมในไร่ข้าวโพด และเพาะกล้ายาสูบสำหรับปลูกในฤดูฝน พฤษภาคม หว่านข้าว และกำจัดวัชพืชในไร่ มิถุนายน กำจัดวัชพืช กรกฎาคม กำจัดวัชพืช สิงหาคม กำจัดวัชพืช เตรียมดินในไร่ฝิ่น กันยายน กำจัดวัชพืช หว่านเมล็ดฝิ่น ตุลาคม กำจัดวัชพืช เก็บข้าวโพดและพืชผักในไร่ข้าวโพด พฤศจิกายน เกี่ยวข้าว กำจัดวัชพืชในไร่ฝิ่น ธันวาคม เกี่ยวข้าวแล้วเสร็จ กำจัดวัชพืชในไร่ฝิ่น มกราคม ไม่มีกิจกรรมเพาะปลูก (หน้า 290-300)

Social Organization

ความสัมพันธ์ในชุมชน วัฒนธรรมเย้าไม่เน้นความสำคัญของการมีลักษณะร่วมของหมู่บ้าน เช่น หมู่บ้านไม่มีประตูพิธีกรรม ไม่มีพิธีการเล่นร่วมกันของหนุ่มสาว ไม่มีวัด ไม่มีศาลากลางบ้าน ไม่มีเขตแดนหมู่บ้านชัดเจน และแม้จะมีการรวมกันเป็นกลุ่มความร่วมมือ (a confederacy) ภายใต้ผู้นำที่เข้มแข็ง หากทว่าแต่ละครัวเรือนก็มีอิสระเป็นหน่วยเศรษฐกิจหน่วยหนึ่ง (หน้า 290)

Political Organization

ระเบียบการปกครองท้องถิ่น ผู้เขียนอธิบายความคิดเกี่ยวกับระเบียบการปกครองผ่านความคิดการจัดลำดับการเป็นเจ้าของดินแดน - tei tsiu (owner of the land) ซึ่งรวมทั้งโลกมนุษย์และโลกแห่งวิญญาณเข้าไว้ด้วยกัน คำ tei หมายถึง แผ่นดิน หรือ โลก ซึ่งตรงข้ามกับ คำ tin หรือ lung ที่แลว่า สวรรค์ การใช้คำ tei มีดังนี้ ใช้ในความหมายของที่อยู่(habitat) เช่น ที่อยู่ของสิ่งมีชีวิต - yaang tei ถ้าใช้ในความหมายที่เป็นรูปธรรมคำนี้จะหมายถึง ขอบเขตของ “พื้นที่” (a territory of ‘tract’) และยังใช้ในความหมายที่หมายถึง พื้นดิน(ground) ที่เป็นที่อยู่ เช่น พื้นบ้าน - peao tei หลุมศพ – yom tei หรือ tsou tei (หน้า 279) คำ tsiu หมายถึง เจ้าของ หรือ หัวหน้า (owner or chief) ใช้ประกอบกับคำอื่นบ่งบอกความเป็นผู้นำหรืออำนาจระดับต่างๆ ดังนี้ 1. ขอบเขตระดับครัวเรือน ได้แก่ peao tsiu - หัวหน้าหรือเจ้าของบ้าน และ kjaa fin tsiu – คู่ของเจ้าของบ้านในหมู่วิญญาณบรรพบุรุษ 2. ขอบเขตการยังชีพในเพาะปลูก ได้แก่ liang tsiu – เจ้าของพื้นที่ที่โค่นถางเผา 3. การปกครองระดับท้องถิ่นภายในหมู่บ้าน ได้แก่ laang tsiu – เจ้าของหมู่บ้าน ซึ่งคือ หัวหน้าหมู่บ้าน 4.การรวมกลุ่มปกครองระดับสูงกว่าหมู่บ้าน ได้แก่ tei tsiu – เจ้าของแผ่นดิน ซึ่งคือ ผู้ปกครอง และ tupung tei tsiu หรือ tei tsiu mien ซึ่งเป็นผีในโลกแห่งวิญญาณปกครองดูแลหมู่บ้านคู่กับผู้ปกครองมนุษย์ 5. การปกครองระดับสูงสุด คือ ศูนย์กลางการปกครองของโลกแห่งวิญญาณ ซึ่ง Nyut Hung, the Jade of Emperor และ Sing tsiu ปกครอง (หน้า 279-280)

Belief System

ผี มีหลายชนิด มีทั้งผีดีและผีร้าย - ผีเจ้าของ/ผู้ปกครอง (owner spirits) เย้าเชื่อว่า ผู้ปกครองที่มีอำนาจไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มชาติพันธุ์ใด หลังจากสิ้นชีวิตแล้วจะกลายเป็นผีผู้ปกครองดินแดนนั้นๆ(Owner Spirits of the Land) เช่น เย้าในบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ จะทำพิธีเซ่นไหว้วิญญาณผู้นำที่เป็นคนไทยใหญ่ หรือวิญญาณชาวเขาที่มีตำแหน่งการปกครองของไทยใหญ่เป็นประจำทุกปี ดูแลควบคุมสัตว์ป่า พืชพันธุ์ในท้องถิ่นนั้นๆ เกี่ยวข้องกับมนุษย์น้อย ไม่ได้ปกป้องมนุษย์จากอันตราย (หน้า 279-281) - ผีไร่นา (field spirits) ดูแลที่ดินเพาะปลูก (หน้า 282) - ผีทหาร (Banner Cavalry) เป็นผีที่ข้องเกี่ยวกับการควบคุมการปกครองรวมถึงการตรวจตราดูแล เรียกผีกลุ่มนี้ว่า ‘Five Banners of Cavalry’ of the traditional agents of central political power (หน้า 282) -ผีเล็ก (small spirits หรือ fiu mien) เป็นผีระดับต่ำ ได้แก่ ผีลำห้วย ผีที่อยู่ตามดินโคลนและไม้ใหญ่ ผีที่ตายไม่ปกติ เช่น ตายโดยอุบัติเหตุ หรือถูกฆ่าตาย ทำเลที่ตั้ง เย้ามีความเชื่อเรื่องทำเลภูมิประเทศเกี่ยวกับ “ลมและน้ำ” – fung shui (‘wind and water geomantics) ซึ่งเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งของจีนเกี่ยวกับความคิดเรื่องคู่ตรงข้าม หยิน-หยาง อันหมายถึง “พลังชีวิต”ของภูเขากับกระแสน้ำของสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ เย้าให้มังกรเขียวเพศผู้เป็นหยาง และเสือขาวเพศเมียเป็นหยิน ตัวแทนธรรมชาติคู่นี้มีความสำคัญมากในชีวิตประจำวัน สุขภาพและความเจริญรุ่งเรืองของเย้า หลักความคิดนี้คือ การแบ่งพื้นที่ซ้าย-ขวา โดยยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง ในตำแหน่งยืนหันหลังให้ภูเขา ด้านซ้ายมือจะเป็นมังกร (tsing luang) ด้านขวามือเป็นเสือขาว (pa’hou) ลักษณะที่สัมพันธ์กันเช่นนี้เป็นการรับรองการมีชีวิตที่ดี ซึ่งได้แก่ มีความกลมกลืนทางสังคม มีชีวิตยืนยาว มีลูกหลานมากและมีความร่ำรวย (หน้า 283-284) ความเชื่อเกี่ยวกับมังกร เย้าเชื่อว่ามังกรอาจจะปรากฏร่างเป็นชายชราผมยาวหนวดขาว ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า เรื่องเล่าที่รวบรวมมาจากจังหวัดแพร่น่าสนใจเป็นพิเศษ เพราะได้ผูกเรื่องความคิดที่แพร่หลายเกี่ยวกับอำนาจเหนือธรรมชาติของเย้าเข้ากับนิทาน/เรื่องเล่าที่แพร่หลายของจีนเข้าด้วยกัน ทั้งนี้เนื้อหาคำสอนเชิงจริยธรรมของเรื่องเล่าเย้าจะตรงกันข้ามกับเนื้อหาเรื่องเล่าจีน ในเรื่องเล่าเย้า ความฉลาดของมนุษย์ที่พยายามจะเอาชนะผู้ปกครองแห่งน้ำกลายเป็นบทเรียนอันเจ็บปวดที่ทำให้เห็นความไร้พลังอำนาจของมนุษย์และหายนะที่เป็นผลมาจากการขาดความเชื่อในพลังอำนาจของธรรมชาติ มนุษย์ต้องเคารพมังกรในฐานะบทบาทของพ่อและผู้ชายที่มีอำนาจ (หน้า 285) การเสี่ยงทาย ในการเลือกพื้นที่เพาะปลูกและอยู่อาศัย นอกจากใช้เกณฑ์ทำเลที่ตั้งแล้ว เย้ายังใช้การเสี่ยงทายสำหรับตัดสินใจด้วย ทั้งพื้นที่ตั้งหมู่บ้าน (tiing taang tei) พื้นที่ตั้งบ้าน (tiing peao tei) พื้นที่อยู่อาศัย (tiing yang tei) และที่ตั้งหลุมศพ(tiing yom/tsou tei) สิ่งของที่ใช้เสี่ยงทายได้แก่ ข้าวโพดข้าวที่ไม่ได้เอาเปลือกออก (unhusked rice corn) หรือไข่ไก่ พร้อมกันนี้ผู้เสี่ยงทายจะขอความช่วยเหลือจากผีต่างๆ ได้แก่ ผีผู้ปกครองและเจ้าของพื้นที่ที่ตนอาศัย ผีเจ้าเมือง ผีบรรพบุรุษของครอบครัว และมังกร (the pulse/vein of the Dragon) การเสี่ยงทายเลือกที่ตั้งหลุมศพส่วนมากจะใช้ไข่โยนลงพื้นดิน ถ้าไข่แตกแสดงว่าผียอมรับสถานที่แห่งนั้น ส่วนการเสี่ยงทายที่ตั้งหมู่บ้านและที่ตั้งบ้านจะซับซ้อนกว่า (หน้า286-287) ในการเสี่ยงทายพื้นที่ตั้งหมู่บ้าน ผู้นำกลุ่มอพยพเป็นผู้เสี่ยงทาย ส่วนพื้นที่ปลูกบ้าน ผู้นำครัวเรือนเป็นผู้เสี่ยงทาย โดยใช้ข้าวโพดข้าวมาวางบนพื้นดินเป็นวงกลมให้ปลายหันออกนอกวงกลม แล้วนำชามมาปิด จำนวนข้าวโพดที่ใช้เสี่ยงทายจะขึ้นอยู่กับจำนวนคำถามที่ผู้เสี่ยงทายขอให้ผีช่วย การเสี่ยงทายจะทำเวลาใดก็ได้ แต่ปกติแล้วจะวางข้าวโพดเสี่ยงทายในตอนเย็นหลังดวงอาทิตย์ตก และต้องทิ้งไว้หนึ่งคืนจึงมาดูผลเสี่ยงทาย และถ้ามีสัตว์ป่า นกหรือแมลงมารบกวนของเสี่ยงทาย จะถือว่าที่แห่งนั้นไม่ดี ต้องเลือกสถานที่ใหม่ซึ่งอาจจะห่างจากที่เดิม 10 เมตรก็ได้ (หน้า 288-289) พิธีกรรมประจำปีปฏิทิน มี 2 แบบ พิธีกรรมแบบแรกเป็นการถือกรรม ห้ามทำกิจกรรมในไร่ ห้ามออกนอกบ้าน ซึ่งเย้ากำหนดตามวันรอบนักษัตร พิธีกรรมแบบที่สอง เป็นการเซ่นไหว้เลี้ยงผีประจำปี มี 4 พิธี ได้แก่ พิธีเลี้ยงผีในเดือนเมษายน - tsing meng มี 2 พิธี คือ การเลี้ยงผีบรรพบุรุษ เพื่อขอให้ช่วยเหลือปกป้องคุ้มครองไร่นาจากสัตว์ป่า และช่วยดูแลต้นข้าวให้เติบโตงอกงามรวมทั้งดูแลไม่ให้ขวัญข้าว (beao ion) หนีหาย (หน้า 293) การเลี้ยงผีเจ้าของที่ดิน ผู้ชายตัวแทนของครัวเรือนมาทำพิธีนี้ร่วมกันบนยอดเขาของหมู่บ้าน ทุกคนออกค่าใช้จ่ายร่วมกัน กินอาหารร่วมกัน และหลังจากเสร็จพิธีแล้วจะฝังของกินทุกอย่าง ณ ที่นั้น ไม่นำกลับหมู่บ้าน (หน้า 294) พิธีเลี้ยงผีในเดือนพฤษภาคม ได้แก่ พิธีไหว้ผีบรรพบุรุษหลังหว่านข้าว พิธีนี้จะคล้ายกับการเลี้ยงผีบรรพบุรุษในเดือนเมษายน ทั้งนี้แต่ละตระกูลจะทำพิธีต่างกัน ทุกตระกูลจะเตรียมขนมปังข้าวเจ้า แล้วแบ่งให้ผีบรรพบุรุษกับทหารผีของบรรพบุรุษ ลูกหลานจะขอให้ผีบรรพบุรุษปกป้องไร่นาจากสัตว์ป่า ขอให้ป้องกันไม่ให้ขวัญข้าวหนีหาย และขอให้สอนต้นข้าวให้เจริญเติบโต สอนให้ดื่มน้ำตอนกลางวันเมื่อร้อน และกินดินในตอนกลางคืนเมื่อเย็น ตระกูล Lei Hei เรียกพิธีนี้ว่า การไหว้ผี – siang mien ขณะที่ตระกูลอื่นๆ เรียกพิธีนี้ว่า การเข้าไร่นา – pia’ tshun ซึ่งในพิธี pia’ tshun นี้ ผู้ทำจะบอกครูผีของตน (sai mien) ให้พาขวัญข้าวกลับมา พร้อมกับค้นหาและพาทหารผีของครอบครัวที่หายไปหรือถูกทิ้งกลับมาด้วย ขั้นตอนนี้ไม่มีในตระกูล Lei Hei พิธีเลี้ยงผีในเดือนสิงหาคม ได้แก่ พิธีปีใหม่ผี ปีใหม่ผีตรงกับช่วงเวลาการผ่านวันที่ 14 เดือน 7 เป็นช่วงที่ผีมีความสุขที่สุด ขณะที่มนุษย์ไม่มีความสุขที่สุด เพราะอาหารขาดแคลน ผีบรรพบุรุษและทหารผีจะรับเลี้ยงฉลองและถูกขอให้ดูแลความเป็นอยู่ของลูกหลาน ในวันนี้เมื่อพระจันทร์เต็มดวง วิญญาณคนตายที่โชคร้ายซึ่งถูกลงโทษในนรกจะถูกปล่อยชั่วคราว ในช่วงนี้ห้ามยิงสัตว์หรือนกโดยเด็ดขาด (หน้า 298) พิธีปีใหม่ในเดือนมกราคม เป็นการขอบคุณผีที่ช่วยเหลือพวกเขาในช่วงปีที่ผ่านมา และยังขอให้ผีช่วยเหลือและปกป้องคุ้มครองในปีต่อไปด้วย (หน้า 300-301)

Folklore

ไม่มีรายละเอียด

Other Issues

การนับวันเดือนปี เย้านับวันเดือนปีตามปฏิทินแบบจันทรคติของจีนโบราณ หนึ่งเดือนมี 29-30 วัน หนึ่งปีมี 24 ปักษ์ ปักษ์ละ 15 วัน ขณะเดียวกันก็แบ่งฤดูกาลออกเป็น 4 ฤดู ได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ –tsun kuei ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน ฤดูร้อน- haa kuei ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม ฤดูใบไม้ร่วง- tsieu kuei ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม และฤดูหนาว- tung kuei ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม (หน้า 290-300)

Text Analyst อธิตา สุนทโรทก Date of Report 04 ต.ค. 2567
TAG เมี่ยน, อิวเมี่ยน, เย้า, วัฒนธรรม, การปรับตัว, ภาคเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง