สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject เย้า,ศาสนาความเชื่อ,ลัทธิเต๋า,มณฑลกวางสี,ประเทศจีน
Author Zhang Youjuan
Title A Simple Explanation of Taoism among the Yao of the One Hundred Thousand Mounts
Document Type บทความ Original Language of Text ภาษาอังกฤษ
Ethnic Identity อิ้วเมี่ยน เมี่ยน, Language and Linguistic Affiliations ม้ง-เมี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 35 Year 2534
Source The Yao of South China: Recent International Studies. Jacques Lemoine and Chiaน Chien(eds.) Paris: Pangu
Abstract

บทความนี้ผู้เขียนพยายามแสดงให้เห็นการนับถือลัทธิเต๋าที่มีลักษณะเฉพาะของเย้าแห่งแสนขุนเขาในมณฑลกวางสีตอนใต้ โดยกล่าวถึงกำเนิดและพัฒนาการของเต๋าอย่างคร่าวๆ เพื่อแสดงว่าเต๋าได้แพร่เข้าไปในหมู่เย้าตั้งแต่ก่อนที่จะอพยพลงมาทางใต้แล้ว ผู้เขียนอธิบายให้เห็นความคิดความเชื่อรวมทั้งการปฏิบัติในลัทธิเต๋าที่เย้าแห่งหมื่นขุนเขานำมาปฏิบัติรวมกันกับความเชื่อดั้งเดิม ซึ่งทำให้ลัทธิเต๋ามีลักษณะเฉพาะแบบเย้า ที่มีทั้งความเชื่อดั้งเดิมและศาสนาสมัยใหม่ปรากฏอยู่ ผู้เขียนเห็นว่าการรับความเชื่อในลัทธิเต๋าของเย้าแห่งหมื่นขุนเขาเหมาะสมกับความต้องการของสังคมเย้าที่ยังคงมีการเพาะปลูกแบบเลื่อนลอย (shifting cultivation) และมีพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมล้าหลัง

Focus

ศึกษาลัทธิความเชื่อเต๋าของเย้าแห่งแสนขุนเขา (the Yao of the One Hundred Thousand Mounts) 2 กลุ่ม คือ บานเย้า (Ban Yao) และชานซีเย้า (Shanzi Yao)

Theoretical Issues

ไม่มี

Ethnic Group in the Focus

บานเย้า (Ban Yao) และชานซีเย้า (Shanzi Yao) อยู่ในมณฑลกวางสีตอนใต้ (Southern Guangxi) ประเทศจีน

Language and Linguistic Affiliations

เย้าแห่งแสนขุนเขามีกลุ่ม 2 กลุ่มที่พูดภาษาถิ่นต่างกัน คือ กลุ่มบานเย้า (Ban Yao) พูดภาษาถิ่นเมี่ยน(the mien dialect) และกลุ่มชานซีเย้า (Shanzi Yao) พูดภาษาถิ่นคิมมุน(the kim mun dialect) (หน้า 312)

Study Period (Data Collection)

ค.ศ. 1982 (หน้า 317)

History of the Group and Community

เย้าอยู่ในบริเวณวู่หลิง-วู่ชี่ (Wuling - Wuqi area) ตั้งแต่ก่อนสมัยราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ่ง (The Tang and Song dynasties) ซึ่งเป็นดินแดนที่เต๋าเชื่อว่าเป็นสถานที่ตั้งของคูหาสวรรค์ (dong tina หรือ cavern-heavens) และในสมัยราชวงศ์ถังและซ่ง คูหาสวรรค์ก็ถูกเปลี่ยนแปลงเป็นวัดเต๋า (official Taoist abbeys) ต่อมาหลังสมัยถังและซ่ง เย้าก็ค่อยๆ เคลื่อนย้ายลงมาทางใต้ จนกระทั่งสมัยราชวงศ์หมิง เย้าก็กระจายตัวอยู่ในดินแดนกวางตุ้ง (Guangdong) และกวางสี (Guangxi) แล้ว (หน้า 320)

Settlement Pattern

ไม่มี

Demography

เย้าแห่งแสนขุนเขามีประชากรประมาณ 176,000 คน แบ่งกลุ่มตามภาษาพูดได้ 2 กลุ่ม ได้แก่ บานเย้า (Ban Yao) และชานซีเย้า (Shanzi Yao) หรือ ลานเตียนเย้า (Lan Dian Yao) (หน้า 312)

Economy

ก่อนคริสตทศวรรษ 1950 การผลิตของเย้าแห่งแสนขุนเขาอยู่ในระดับต่ำ ชานซีเย้ายังเพาะปลูกแบบถางและเผา (slash-and burn-agriculture) ใช้ขวาน มีด (chopper) และเสียม (digging stick) เป็นเครื่องมือเพาะปลูก ส่วนบานเย้าแม้จะยังเพาะปลูกแบบถางและเผา แต่พวกเขาก็ใช้จอบขุดดินในพื้นที่เพาะปลูกครั้งที่สอง (secondary farming plots) และปลูกข้าวแบบทดน้ำบ้างเล็กน้อย ดังนั้นวิถีการผลิตของบานเย้าจึงสูงกว่าชานซีเย้า แต่ก็ยังต่ำกว่าจ้วง (Zhuang) และฮั่น (Han) ที่ปลูกข้าวแบบทดน้ำเป็นหลักและค้าขายงานหัตถกรรม (หน้า 313)

Social Organization

ไม่มี

Political Organization

ไม่มี

Belief System

แนวความคิดเกี่ยวกับขวัญ (the concept of soul) ก่อนคริสตทศวรรษ 1950 แม้เย้าแห่งแสนขุนเขาจะนับถือเต๋าเป็นหลักสำคัญ แต่ก็ยังคงรักษาความเชื่อส่วนสำคัญดั้งเดิมไว้ ความเชื่อพื้นฐานส่วนที่สำคัญที่สุดในความคิดทางศาสนาคือ ขวัญ ซึ่งบานเย้าเรียกว่า “uen” และชานซีเย้าเรียกว่า “huan” เย้าทั้งสองกลุ่มเชื่อว่า ในช่วงระหว่างมีชีวิต ขวัญจะซ่อนอยู่ในทุกส่วนของร่างกาย หลังจากตายไปแล้ว ขวัญจะเปลี่ยนเป็นวิญญาณ(spirit) ซึ่งเย้าเรียกว่า “mien” หรือ “man” และยังเชื่อว่าไม่เฉพาะมนุษย์เท่านั้นที่มีขวัญและวิญญาณ วัตถุต่างๆ เครื่องมือเครื่องใช้ของมนุษย์และธรรมชาติล้วนมีขวัญหรือวิญญาณด้วยเช่นกัน ตามปกติพลังอำนาจวิญญาณ(the spiritual powers)ในโลกธรรมชาติมีความสัมพันธ์อันดีกับมนุษย์ แต่ถ้ามนุษย์ทำให้โกรธ พลังอำนาจเหล่านี้ก็อาจจะทำร้ายมนุษย์ได้ ดังนั้นการทำกิจกรรมต่างๆ จึงต้องทำพิธีเซ่นไหว้ (หน้า 313-314) จักรวาลวิทยา นอกจากขวัญกับวิญญาณและการเซ่นไหว้แล้ว เย้าแห่งแสนขุนเขายังรับแนวความคิดเรื่อง “เทพเจ้า” และ “เซียน” (“gods” and “saints”) มาจากลัทธิเต๋าด้วย โดยแบ่งโลกออกเป็น 2 ส่วน คือ โลกนี้กับโลกอื่น โลกนี้เป็นที่อยู่ของมนุษย์ ส่วนโลกอื่นยังแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนบนฟ้าหรือสวรรค์ ซึ่งมีสวรรค์ชั้นสูงกับชั้นต่ำ เป็นที่อยู่ของเทพเจ้ากับเซียน ส่วนใต้พิภพ เป็นที่อยู่ของวิญญาณ (หน้า 314-315) การปฏิบัติตามความเชื่อเต๋าแบบเย้า เมื่อเย้าแห่งแสนขุนเขาติดต่อกับฮั่นและจ้วง พวกเขาได้รับวิธีการต้อนรับเทพเจ้าและขับไล่ภูตผีปิศาจแบบเต๋าเข้ามาปฏิบัติ ซึ่งส่งผลทำให้เกิดการสังเคราะห์การปฏิบัติแบบดั้งเดิมเข้ากับเต๋า และในช่วงคริสตทศวรรษ 1950 เย้าแห่งแสนขุนเขาก็ยังคงรักษาความเชื่อดั้งเดิมเรื่องขวัญวิญญาณและธรรมชาติไว้ และยังมีคนทรง(shamans) กับคนทำพิธีเซ่นไหว้ปฏิบัติหน้าที่ตามความเชื่อดั้งเดิมอยู่ ซึ่งในสังคมเย้าแห่งแสนขุนเขาทั้งสองกลุ่มมีหน้าที่ต่างกัน (หน้า 315) คนทรง คือ ผู้มีหน้าที่ขอร้องผี/วิญญาณและขับไล่ผีเพื่อรักษาโรคเท่านั้น ไม่สามารถประกอบพิธีกรรมสำคัญได้เพราะขาดคุณสมบัติบางประการ มี 2 ประเภท ได้แก่ 1. seers (ในภาษาอังกฤษ)ซึ่งบานเย้าเรียกว่า “Bo’ kwaa” ส่วนชานซีเย้าเรียกว่า “Yi kwaa” คนทรงประเภทนี้เป็นตำแหน่งที่ไม่เป็นทางการ คุณสมบัติของคนทรงประเภทนี้เพียงแค่ติดต่อกับวิญญาณได้ (หน้า315-316) 2. exorcists (ในภาษาอังกฤษ) เป็นคนทรงที่สามารถขับไล่ผีร้ายได้ ซึ่งบานเย้าเรียกว่า “sip mien” และชานซีเย้าเรียกว่า “yi pa” การขับไล่ผีร้ายจะมีตำราเวทมนต์ ซึ่งคนที่อ่านหนังสือได้จะศึกษาด้วยตนเองจากตำรา แต่คนที่อ่านเขียนไม่ได้อาจจะเรียนรู้จากการทำงานและการท่องจำ (หน้า315-316) คนทำพิธีเซ่นไหว้ ทำหน้าที่ประกอบพิธีเซ่นไหว้ในนามของหมู่บ้านหรือสายตระกูล มักเป็นคนที่มาจากกลุ่มผู้อาวุโสหรือหัวหน้าสายตระกูล เรียกว่า Masters of the community, Heads of the community หรือ Heads of the burning incense เป็นตำแหน่งที่ได้รับเลือกอย่างเป็นทางการจากคนส่วนใหญ่ และต้องได้รับการยอมรับจากเทพเจ้าแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถประกอบพิธี zhai (fast) และ jiao (sacrifice) ใหญ่ๆ ได้ ต้องเป็นชี่กง (shi gong) หรือ ต่าวกง (dao gong)และผ่านการบวชก่อนจึงจะทำพิธีกรรมเหล่านั้นได้ เพราะเย้าเชื่อว่าคนที่ไม่ผ่านการบวชจะไม่มี “ป้ายอาญาสิทธิและการช่วยเหลือของเทพเจ้า” (the “right shield and support of the gods”) จึงอาจจะถูกผีร้ายทำอันตรายได้ง่าย (หน้า 315-316) นอกจากคนทรงและคนทำพิธีเซ่นไหว้ตามความเชื่อดั้งเดิมแล้ว เย้าแห่งแสนขุนเขายังมีนักบวชในลัทธิเต๋า ได้แก่ ชี่กง (shi gong) และต่าวกง (dao gong) ซึ่งเป็นผู้มีความรู้อักษรจีน ทำหน้าที่และควบคุมพิธีกรรมทางศาสนาที่สำคัญทั้งหมด (หน้า 317) ผู้เขียนเห็นว่า การปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนาภายใต้ความคิดเต๋าของเย้าแห่งแสนขุนเขา สอดคล้องกับความต้องการที่เป็นรูปธรรม ลักษณะการทำพิธีกรรมที่แตกต่างกันเป็นการใช้เทคนิควิธีเต๋ารูปแบบต่างๆ (หน้า 335) การขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ ความล้าหลังในการผลิต ทำให้พวกเขาไร้อำนาจต่อสู้กับธรรมชาติ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการการสนับสนุนช่วยเหลือจากเทพเจ้าเต๋า รวมถึงเทคนิคในการประกอบพิธีกรรมและเวทมนต์เต๋าเพื่อควบคุมและป้องกัน เช่น ต้องการเทพ San Yuan มาขับไล่ผีต่างๆ เมื่อพวกเขาถางไร่ ย้ายหมู่บ้านหรือปลูกบ้านใหม่ และยามเจ็บป่วย (หน้า 336) พิธีถือศีล (zhai ritual) ในลัทธิเต๋าการถือศีล (the fasting precept) เป็นหลักปฏิบัติอย่างหนึ่ง มี 3 แบบ แบบแรก เป็นการถือศีลเพื่อแสดงความรู้สึกผิดในสิ่งที่กระทำ แบบที่สอง เป็นการถือศีลตามกำหนดซึ่งจะทำให้มีชีวิตยืนยาว และแบบที่สาม เป็นการถือศีลภายในใจ (the zhai of the mind) เพื่อกำจัดความโลภและกิเลสตัณหา (หน้า 337) ซึ่งทั้ง 3แบบนี้ เย้าแห่งแสนขุนเขาเย้าให้ความสำคัญกับแบบแรก โดยจะทำพิธีในช่วงวันการเฉลิมฉลอง (festival days) ด้วยการนำของมาไหว้คนตายกับบรรพบุรุษ เทพเจ้าบนสวรรค์และบนโลก (หน้า 338) การบวช ผู้เขียนกล่าวว่า ในหนังสือตำราพิธีกรรมของเย้าบันทึกพิธีบวชไว้จำนวนมาก แต่หนังสือเหล่านั้นได้สูญหายไปในช่วงการอพยพ เหลือเพียงการบวชตะเกียงและการบวชบันได 5 ขั้น (the “Lamps” and the “Five Terraces” ordination) เท่านั้นในหมู่เย้าแห่งแสนขุนเขา ซึ่งการบวชตะเกียงก็คือ การบวชกว่าตั้ง(kwaa tang) นั่นเอง โดยแบ่งการบวชออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ พิธีแขวนตะเกียงดาว 3 ดวง พิธีแขวนตะเกียงดาว 7 ดวง พิธีแขวนตะเกียงดาว 9 ดวง และพิธีแขวนตะเกียงดาว 12 ดวง (หน้า 332-333) พิธีแขวนตะเกียงดาว 3 ดวง เป็นการบวชระดับแรก ผู้บวชระดับนี้จะได้ชื่อทางศาสนาว่า “ฟะ”(fa) และประกอบพิธีเล็กๆ ได้เท่านั้น ไม่สามารถตีกลองยาวในพิธีได้ พิธีแขวนตะเกียงดาว 7 ดวง ผู้บวชระดับนี้สามารถเป็นชี่กงได้ มีชื่อทางศาสนาว่า “ล่าง”(lang) และใช้กลองยาวในการประกอบพิธีได้ ผู้เขียนเห็นว่า พิธีแขวนตะเกียงดาว 7 ดวงนี้มาจากอิทธิพลของลัทธิเต๋า เพราะในหนังสือ “Hymns to King Pan” ของบานเย้ามีบทหนึ่งที่เรียกว่า “For taking out the Seven Lamps” ได้เอ่ยชื่อตะเกียงทั้ง 7 ดวง ซึ่งชื่อเหล่านั้นเป็นชื่อดาวเหนือ 7 ดวง (the Seven Stars of the Northern Dipper) ที่ลัทธิเต๋าบูชา (หน้า 333-334) ส่วนการปีนบันได 5 ขั้นและการเดินบนเมฆ(the Five Terraces and the Cloudy Mountain modes) มีการทำในการบวชของชี่กงชานซีเย้า ทั้งนี้ชานซีเย้าเชื่อว่า ผู้บวชที่ผ่านการเดินบนเมฆ เป็นผู้มาจากสวรรค์ สามารถดูแลวิญญาณได้ (หน้า 334-335)

Education and Socialization

ไม่มี

Health and Medicine

การรักษาคนเจ็บ เมื่อมีผู้ป่วย จะให้ bo’ kwaa ตรวจก่อน จากนั้นจึงไปเชิญ sip mien หรือ yi pa ให้มาขับไล่ผี ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น ก็จะเชิญชี่กง (shi gong) หรือ ต่าวกง (dao gong ) มาตั้งศาล (a tribune of Tao) ทำพิธีขับไล่สิ่งชั่วร้าย (หน้า 316-317)

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ความแตกต่างระหว่างชานซีเย้ากับบานเย้า บานเย้าเชื่อในธรรมเนียมปฏิบัติของ the early Celestial Master ร่วมกับ the Southern Celestial Master sect และ Zheng Yi School พร้อมทั้งปฏิบัติตามชี่กง ส่วนชานซีเย้า แยกธรรมเนียมปฏิบัติของ the early Celestial Master ออกจาก Zheng Yi School และปฏิบัติตามทั้งชี่กงและต่าวกง (หน้า320-321) ชางซีเย้า ชี่กงและต่าวกงปฏิบัติตามธรรมเนียมของ the early Celestial Master นับถือเทพเจ้า Three Primordials, Three Officials (san yuan, san Guan) เป็นเทพสูงสุด(supreme beings) และเคารพนับถือ Celestial Master Zhang เป็นผู้ให้กำเนิด(their patriarch)ร่วมกับ Jiulang ซึ่งเป็นเซียนผู้ยิ่งใหญ่และผู้คุมกฎแห่งเขาเหมยซาน(the Great Saint, Master of the Law of Meishan) ในฐานะผู้ก่อตั้งลัทธิ (หน้า 321) เมื่อบวชให้ศิษย์ ชี่กงจะมอบป้าย shang yuan (an “Upper Primordial” seal) ให้ศิษย์ ในการทำพิธีกรรม ชี่กงจะเต้นและสวมหน้ากาก พร้อมกับตีกลองยาวทำจากไม้และฆ้อง ในพิธีจะแขวนภาพ Shang Yuan, Zhong Yuan และ Xia Yuan พร้อมทั้งภาพเทพเจ้า 4 ภาพ เมื่อประกอบพิธีชี่กงจะขอให้นักร้องผู้หญิงร้องเพลงเชิญเทพเจ้า ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าการให้ผู้หญิงร้องเพลงนี้แสดงว่า ชี่กงของชางซีเย้ายังคงรักษาลักษณะพิเศษของเวทมนต์แบบดั้งเดิม และแสดงให้เห็นถึงการรวมลัทธิเต๋าเข้ากับความเชื่อดั้งเดิมของเย้า (หน้า322) ต่าวกงเป็นนักบวชเต๋า ไหว้บูชา Yu Qing, Shang Qing และ Tai Qing ในฐานะเทพสำคัญที่สุด และยังนับถือ The Jade Emperor (Yu Huang) ในฐานะผู้ควบคุมเทพบนสวรรค์ เมื่อบวชให้ศิษย์ ต่าวกงจะมอบป้าย Yu Huang ให้แก่ศิษย์ ต่าวกงนับถือZhang Tianshi ว่าเป็นผู้ให้กำเนิดพวกเขา(their patriarch) ไม่ใช่ Jiulang เซียนเทพผู้คุมกฎแห่งเหมยซาน (หน้า 323) หน้าที่หลักของต่าวกง คือ 1) จัดพิธีถือศีล(fasts)และ jiao ceremonies 2) ปลดปล่อยวิญญาณคนตาย ระหว่างการทำพิธี ต่าวกงจะอ่านตำราพิธีเป็นภาษากวางตุ้ง(Cantonese) ในการเต้นไหว้เทพเจ้า พวกเขาไม่ต้องการให้ผู้หญิงช่วยร้องเพลง และไม่สวมหน้ากากขณะเต้น ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า การปฏิบัติของต่าวกงเป็นธรรมเนียมแบบ Zheng Yi อย่างไรก็ดี แม้การปฏิบัติของชี่กงกับต่าวกงจะต่างกัน แต่ทั้งสองก็ทำพิธีกรรมร่วมกันได้ โดยชี่กงจะยืนด้านซ้าย ต่าวกงยืนด้านขวา และในการบวช เย้าจะเข้าพิธีบวชแบบใดแบบหนึ่งหรือทั้งสองแบบก็ได้ (หน้า 326) บานเย้า ได้ผสมธรรมเนียมชี่กงและต่าวกงเข้าด้วยกัน บานเย้าเรียกนักบวช(sai jia)ว่า sai gong แม้ว่าตัวนักบวชจะเรียกตนเองว่า dao shi (dao gong) พวกเขานับถือ Lao Jun, Zhang Tianshi และ Jiulang of Meishan เป็นผู้ให้กำเนิดและผู้ก่อตั้งหลักการคำสอน นอกจากนี้ยังนับถือ Jiulang เป็นผู้พิทักษ์พิธีกรรมเหมยซานด้วย พวกเขานับถือ The Three Pure Ones และ The Jade Emperor เป็นเทพสูงสุด ในการประกอบพิธีจะใช้ภาษาจีนกลางตะวันตกเฉียงใต้ (Southwest Mandarin)หรือกวางตุ้ง (หน้า 327) นอกจากนี้ ผู้เขียนยังเห็นว่าความแตกต่างระหว่างเย้าทั้งสองกลุ่มนี้มาจากการต่อสู้อย่างเข้มแข็งเพื่อความอยู่รอดของระบบชุมชนดั้งเดิมในหมู่ชานซีเย้า ซึ่งการเซ่นไหว้ส่วนมากของชานซีเย้าจะปฏิบัติร่วมกันทั้งชุมชนโดยมีผู้อาวุโสหมู่บ้าน ชี่กงและต่าวกงเป็นผู้นำ ขณะที่บานเย้าจะมีพิธีเซ่นไหว้ร่วมกันของชุมชนจำนวนไม่มากนัก เช่น ทุกๆ ปีชานซีเย้าจะเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ผีท้องถิ่นและผีธัญพืชร่วมกัน 4-6 ครั้ง ขณะที่บานเย้าจะทำพิธีเซ่นไหว้ผีเหล่านี้เฉพาะครัวเรือน (หน้า 328)

Other Issues

กำเนิดและพัฒนาการความเชื่อของเต๋า ลัทธิเต๋าก่อตั้งในปีสุดท้ายของราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ช่วงเวลานั้นในภาคเหนือจางจื้อ(Zhang Jue) ได้ใช้ประโยชน์จากการเผยแพร่ลับๆ ของ Tai Ping Qing Ling Shu ในหมู่ประชาชนเพื่อสถาปนาวิถีแห่งความสงบสุขอันยิ่งใหญ่(the Way of Great Peace) ส่วนจางหลิง (Zhang Ling) ในแคว้นปาและฉู่ (the states of Pa and SHu) ซึ่งใช้ the Laozi และ the Tai Ping Jing นั้น ก็ก่อตั้ง the Way of the Five Pecks of Rice หรือ the Celestial Master sect (หน้า 318) ในระยะแรก the Celestial Master sect นับถือเล่าซื่( Laozi) เป็นผู้ก่อตั้งคนแรก(First Patrarch) มี the Three Primordials เป็นศูนย์รวมความเชื่อ ซึ่งได้แก่ สวรรค์ โลกและน้ำ หลังสมัยราชวงศ์เว่ยและจิ๋น (the Wei and Jin dynasties) ลัทธิเต๋าก็แพร่ขยายทั่วประเทศและปรากฏเทพแห่งสวรรค์ทั้งสาม (the Three Heavenly Worthies) ได้แก่ the Pure one of Jade, the Upper Pure one และ the Supreme Pure One รวมทั้งปรากฏ the various Heavenly divinities of the Jade Emperor ด้วย ลัทธิเต๋าแบ่งออกเป็นธรรมเนียมประเพณีทางเหนือและทางใต้(the Northern and Southern Celestial Master traditions) ซึ่งต่อมาหลังจากสมัยราชวงศ์ถังและซ่ง ทั้งสองฝ่ายก็ค่อยๆ มารวมกันกลายเป็น the Zheng Yi Dao (Tao of the Correct One) และนับตั้งแต่ก่อตั้งลัทธิเต๋าจนถึงสมัยราชวงศ์ถังและซ่ง ศูนย์กลางการประกอบกิจกรรมสำหรับบรรพบุรุษเย้าในจีนก็อยู่ในแนวเขตจิงถึงเหอหนาน (a belt extending Jing to Hunan) และแหล่งตั้งถิ่นฐานหลักของเย้าก็อยู่ในเขตวู่หลิงและทะเลสาบถ่งถิง (the region of Wuling and the Tongting lake) ในมณฑลเหอหนาน การเผยแพร่ลัทธิเต๋าและพุทธศาสนาในดินแดนเย้าอาจจะเกิดขึ้น ตั้งแต่เย้ายังอยู่ในเขตวู่หลิง (Wuling) วู่ชี่(Wuqi) ก่อนที่พวกเขาจะถูกผลักดันให้เริ่มการอพยพครั้งใหญ่ ดังปรากฏหลักฐานในหนังสือทางศาสนา ตำนานเรื่องเล่า ธรรมเนียมประเพณีที่พวกเขายังคงรักษาไว้ (หน้า319)

Text Analyst อธิตา สุนทโรทก Date of Report 19 เม.ย 2564
TAG เย้า, ศาสนาความเชื่อ, ลัทธิเต๋า, มณฑลกวางสี, ประเทศจีน, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง