|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,การท่องเที่ยว,ชุมชน,ความเชื่อ,เพชรบุรี |
Author |
มธุรส ปราบไพรี |
Title |
ศักยภาพของชุมชนในการจัดการแหล่งท่องเที่ยว: กรณีชุมชนไทยทรงดำบ้านเขาย้อย ตำบลเขาย้อย อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ไท(Tai) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
138 |
Year |
2543 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
ไทยทรงดำที่บ้านเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ยังคงมีประชากรบางส่วนดำเนินวิถีชีวิตตามแบบวัฒนธรรมประเพณีของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นระบบการผลิตทางการเกษตร เพื่อตอบบสนองความต้องการขั้นพื้นฐาน อย่างเช่น ข้าว และผ้าทอ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สำคัญของชาวไทยทรงดำ รวมไปถึงรูปแบบบ้านเรือนที่พักอาศัย ซึ่งการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่มีจุดเริ่มต้นมาจากเจ้าของวัฒนธรรมเอง และจากความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจของคนในชุมชน ก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมในการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และส่งผลดีให้กับชุมชนเอง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเศรษฐกิจ สังคม รวมไปจนถึงความภาคภูมิใจในการอนุรักษ์ ทำนุบำรุง ฟื้นฟูวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามของตน ให้ได้รับการถ่ายทอดอย่างถูกต้องสู่คนรุ่นต่อๆ ไป ดังจะเห็นได้จากการที่คนในวัยทำงานได้หันกลับมาทอผ้าแทนการไปรับจ้างในโรงงานมากขึ้น และเด็กๆ ในวัยเรียนได้รับการปลูกฝังวัฒนธรรมของตนเองผ่านการเรียนทั้งในระบบและนอกระบบอย่างเกื้อกูลซึ่งกันและกัน |
|
Focus |
ศักยภาพของชุมชนไทยทรงดำที่บ้านเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ในการจัดการการท่องเที่ยว |
|
Ethnic Group in the Focus |
ไทยทรงดำหรือลาวโซ่งที่บ้านเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี (หน้า 4) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ใช้ภาษาไทยทรงดำเพื่อการสื่อสารเฉพาะภายในกลุ่ม ส่วนมากเป็นกลุ่มผู้อาวุโสและวัยทำงาน ส่วนการเขียนและอ่านอักษรไทยทรงดำนั้นมีอยู่น้อยมาก (หน้า 83) |
|
Study Period (Data Collection) |
ตุลาคม 2542 – เมษายน 2543 (หน้า 28-30) |
|
History of the Group and Community |
|
Demography |
ในพื้นที่การศึกษาหมู่ 5 บ้านเขาย้อย จำนวนประชากรร้อยละ 60 ของประชากรที่อาศัยอยู่ภายในชุมชนเป็นชาวไทยทรงดำ (หน้า 115) |
|
Economy |
ในอดีตการผลิตที่สำคัญของชาวไทยทรงดำทำขึ้นเพื่อการตอบสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ทั่วไปโดยอาศัยวัสดุอุปกรณ์ที่มาได้ง่ายในภูมิประเทศที่อาศัยอยู่ ซึ่งมีการทำนา ทั้งนาข้าวเหนียวและนาข้าวเจ้า การทำไร่ ทำสวน หาปลา การถนอมอาหาร (หน้า 65) เลี้ยงสัตว์ การปลูกฝ้ายและเลี้ยงไหมสำหรับการทอผ้า การทำเครื่องจักสาน การหาของป่า การถนอมอาหาร ซึ่งเป็นการผลิตเพื่อการบริโภคภายในครัวเรือนเป็นหลัก หากผลผลิตมีมากพอจึงนำผลผลิตไปขายภายในชุมชน ผลผลิตที่นำไปขายส่วนใหญ่ คือ ข้าวเหนียว แต่ในปัจจุบันระบบการผลิตได้เปลี่ยนไปเป็นการผลิตเพื่อการค้ามากยิ่งขึ้น โดยสามารถทำนาได้ปีละ 2 ครั้ง โดยชาวไทยทรงดำหันมาปลูกข้าวเจ้ามากกว่าข้าวเหนียว ที่เป็นอาหารหลักในการบริโภคและทำพิธีกรรมภายในครัวเรือน (หน้า 62-63) ในปัจจุบันผู้มีรายได้จากการทำนาหรือค่าเช่าที่นาคือกลุ่มผู้อาวุโส แต่ก็ยังถือได้ว่าการทำนาเป็นอาชีพหลักของชุมชนไทยทรงดำ โดยมี 48 ครัวเรือนที่ทำการเกษตร (หน้า 115) ส่วนไทยทรงดำวัยทำงานนิยมออกไปทำงานนอกบ้าน เช่น ทำงานรับจ้างในโรงงานที่อยู่ละแวกใกล้เคียงชุมชนและรับราชการ (หน้า 86-87) ต่อมาเมื่อชุมชนได้พัฒนาให้มีกิจกรรมการท่องเที่ยว ก็มีการเพิ่มจำนวนของผู้ผลิตผ้าทอในชุมชนมากขึ้น (หน้า 64) ทางด้านแรงงานและวัตถุดิบในการผลิต จากแต่เดิมเป็นการรวมกลุ่มกันทำงาน ก็กลายเป็นการซื้อ-ขาย และรับจ้างมากขึ้น เนื่องจากการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น ทำให้ภูมิปัญญาดั้งเดิมถูกละทิ้งไป แต่ก็ยังคงมีการอาศัยแรงงานเพื่อการผลิตแบบวัฒนธรรมชุมชนอยู่ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการจัดการแหล่งท่องเที่ยวของชุมชน (หน้า 68) นอกจากนี้อุปกรณ์ภูมิปัญญาชาวบ้านก็ได้รับการบอกเล่าเรื่องราวและวิธีการใช้งานให้นักท่องเที่ยวได้รู้จัก (หน้า 71) ส่วนต้นทุนทางการผลิตในสังคมเกษตรกรรมในอดีตนั้นก็คือแรงงานในชุมชน แต่ในปัจจุบันนั้นก็คือเงินทุน ซึ่งมีสถาบันทางการเงินทั้งภายนอกและภายในชุมชนเป็นหน่วยความช่วยเหลือทางการเงิน แต่สำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวนั้น ชาวไทยทรงดำสามารถจัดกิจกรรมต่างๆ ให้เกิดการเคลื่อนไหว โดยอาศัยต้นทุนทางสังคมที่มีมาตั้งแต่อดีตโดยปราศจากค่าจ้าง หากแต่เป็นรายได้เพื่อชุมชนสำหรับเป็นทุนในครั้งต่อๆ ไป (หน้า 69) |
|
Social Organization |
ในอดีต การแต่งงานจะต้องเป็นเฉพาะไทยทรงดำด้วยกันเอง โดยหลังจากแต่งงานแล้ว ฝ่ายชายอาจไปช่วยพ่อแม่ฝ่ายหญิงทำงานในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เรียกว่า “ไปเขย” เมื่อพ้นระยะหนึ่งไปแล้วก็จะพาฝ่ายหญิงกลับไปอยู่บ้านตนเอง การนับถือผีก็จะนับถือผีบรรพบุรุษทางสามี ไม่สามารถกลับไปเข้าร่วมในพิธีกรรมหรือนับถือผีเดิมได้ แต่ในปัจจุบันการแต่งงานไม่ได้เคร่งครัดเหมือนอดีต แต่สมาชิกใหม่ก็ต้องเรียนรู้วัฒนธรรมของไทยทรงดำแม้ว่าจะไม่ได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านก็ต้องมีการนับถือผีอย่างเคร่งครัด พิธีกรรมของชาวไทยทรงดำใดๆ ก็ตามที่มีจำนวนเครือญาติและผู้มาร่วมงานมาก แสดงให้เห็นถึงความมีหน้ามีตาทางสังคม การยอมรับ ความมีชื่อเสียง และเป็นคนที่คนในชุมชนให้ความนับถือและมีไมตรีจิตที่ดี ไทยทรงดำมีการเล่นลูกช่วงและประเพณีลงข่วง ซึ่งเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวชาวไทยทรงดำได้พบปะพูดคุย ทำความรู้จักกัน เป็นการแสดงถึงปฏิภาณ ไหวพริบ และกิริยามารยาทของทั้งสองฝ่าย ทำให้รู้จักพฤติกรรมในตัวบุคคลได้ดีและเป็นไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงการแสดงอารมณ์ของแต่ละฝ่ายว่ามีความมั่นคงหนักแน่นหรือไม่ (หน้า 79) ความสัมพันธ์ในครัวเรือนมีการแบ่งแยกหน้าที่และบทบาทในการทำงาน กล่าวคือ ผู้อาวุโสของครอบครัวเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพและเป็นผู้นำครอบครัวรวมถึงการทำพิธีกรรม ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจของครอบครัว ผู้หญิงมีหน้าที่ทำงานบ้านดูแลเรือน ดูแลและผลิตเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มให้สมาชิกในครัวเรือน และทำงานในเรือกสวนไร่นาร่วมกับฝ่ายชาย ส่วนฝ่ายชายมีหน้าที่เป็นผู้นำครอบครัว สืบทอดและถ่ายทอดพิธีกรรม ประกอบอาชีพหลักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว (หน้า 71-74) |
|
Belief System |
ไทยทรงดำมี 2 ชนชั้น คือ ชมชั้นผู้ต๊าว ซึ่งเป็นชนชั้นปกครอง และชนชั้นผู้น้อย ซึ่งเป็นสามัญชน ชนชั้นผู้น้อยกับผู้ต๊าวมีสิ่งที่แตกต่างกันคือพิธีกรรมที่ใช้ในการนับถือผี รวมถึงข้อห้ามคำสอนบางอย่าง (หน้า 74) ชาวไทยทรงดำให้ความเคารพและนับถือแถนหรือผีฟ้า ผู้ซึ่งเป็นทุกสิ่งทุกอย่างและเป็นผู้กำหนดให้ทุกสิ่งบังเกิดมาในโลก การเชื่อฟังและกำหนดตามแถนสั่งจะทำให้เกิดความสุขแก่ครอบครัว แถนหลวงเป็นหัวหน้าแถนทั้งปวง ผีเรือนหรือผีบรรพบุรุษมีการทำพิธีเพื่อให้ผีเรือนกลับมาคุ้มครองปกปักรักษาให้กับสมาชิกในครอบครัว หากการทำการที่เป็นการล่วงละเมิดผีเรือนต้องมีการขอขมาผีเรือน การแสดงความเคารพ ความนับถือ และความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว ทำโดยการทำพิธีเสนเรือน ซึ่งจะทำ 2-3 ปีต่อครั้ง (ยกเว้นเดือน 9-11 เพราะเป็นช่วงที่ผีเรือนไปเฝ้าแถน) โดยมีหมอเสนเป็นผู้ทำพิธีที่กะล่อห่อง ซึ่งเป็นที่อยู่ของผีบรรพบุรุษ โดยหมอเสนเป็นผู้ทำพิธีเรียกผีเรือนหรือผีบรรพบุรุษจากปั๊บผีเรือน (รายชื่อผีบรรพบุรุษ) มารับเครื่องเซ่น ผู้ที่เข้าร่วมในพิธีต้องสวมเสื้อฮีและเป็นผู้ที่นับถือผีเดียวกันเท่านั้น และถ้าไม่ทำพิธีถือว่าได้สร้างความเดือดร้อนให้กับผีบรรพบุรุษและลูกหลานเองก็จะอยู่อย่างไม่เป็นสุข ส่วนพิธีปาดตงคือการเซ่นไหว้ผีเรือนของแต่ละครัวเรือนเพื่อให้มากินเครื่องเซ่น โดยจะทำทุกๆ 10 วัน แต่ละครัวเรือนอาจทำพิธีนี้ไม่ตรงกัน ขึ้นอยู่กับวันเชิญวิญญาณของผีบรรพบุรุษมาเป็นผีเรือนในครั้งแรก การละเว้นการเซ่นผีเรือนในวันที่กำหนด ผีเรือนอาจจะไม่อยู่และไม่ได้รับอาหารที่ลูกหลานได้นำมาเซ่น นอกจากนี้ไทยทรงดำยังมีความเชื่อว่ามีผีประจำอยู่ตามสถานที่ต่างๆ เช่น ผีเตาไฟ โดยเชื่อว่าห้ามข้ามเตาไฟเพราะจะทำให้เดือดร้อน ผีนาที่ทำหน้าที่ในการคุ้มครองดูแลผลผลิตให้เติบโตงอกงาม โดยมีการเซ่นผีนาก่อนการเกี่ยวข้าวเพื่อแสดงความขอบคุณผีนาโดยใช้เหล้ากับไก่เป็นเครื่องเซ่น ผีประจำหมู่บ้านจะมีการตั้งศาลและมีพิธีเซ่นไหว้ในเดือนหก และยังมีผีประจำตัวบุคคลที่เรียกว่าขวัญ ถ้าทำให้ผีขวัญตกใจก็จะทำให้ผู้นั้นเจ็บป่วยได้ และเมื่อมีการตายเกิดขึ้น ก็มีการจัดทำพิธีศพตามแบบพุทธศาสนิกชน โดยภายหลังจากเผาแล้วก็จะเก็บกระดูกเพื่อนำไปฝังแล้วปลูกเรือนหลังเล็กๆ ทับไว้ ที่เรียกว่าเรือนแก้วที่ป่าเฮ่วหรือป่าช้าของชาวไทยทรงดำ ซึ่งไทยทรงดำเชื่อว่า เมื่อคนตายไปแล้ว ขวัญหรือวิญญาณของผู้ตายจะเดินทางไปเฝ้าแถนก่อน หลังจากนั้นก็จะกลับมาประจำอยู่ที่บ้านเป็นผีเรือนประจำบ้าน ในการทำพิธี หมอเสนทำหน้าที่บอกทางให้กับขวัญหรือวิญญาณผู้ตายที่เรียกว่า เขยกก เพื่อชี้แนะเส้นทางในการเดินไปเฝ้าแถนได้ (หน้า 75-78) |
|
Education and Socialization |
เด็กในชุมชนได้เรียนหนังสือกันทุกครัวเรือน (หน้า 87) และยังมีการศึกษานอกระบบ โดยการเรียนรู้ผ่านวัฒนธรรมของชุมชน ได้แก่ ระบบการผลิต ระบบความสัมพันธ์ของครอบครัวและสังคม ทำให้เกิดการเรียนรู้และขัดเกลาทางสังคม และมีการถ่ายทอดและสืบต่อการปฏิบัติทางด้านวัฒนธรรมและพิธีกรรมต่อไป นอกจากนี้วัฒนธรรมชุมชนของชาวไทยทรงดำยังได้นำไปบูรณาการเข้ากับกระบวนการเรียนการสอนในระบบการศึกษาของไทยอีกด้วย (หน้า 92) |
|
Health and Medicine |
ในปัจจุบันชาวไทยทรงดำนิยมรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบัน แต่ก็ยังคงมีการจัดทำพิธีการรักษาแบบเก่าโดยมีหมอเยื้องทำหน้าที่ในการเสี่ยงทายว่าเกิดอะไรกับผู้เจ็บป่วย เมื่อพบว่ามีการทำผิดผีหรือทำสิ่งที่ไม่เป็นมงคลก็จะต้องทำพิธีสะเดาะเคราะห์หรือการรักษาโดยหมอเป่า ซึ่งมีการรักษาทั้งก่อนหรือหลังจากได้ไปหาหมอแผนปัจจุบันแล้ว นอกจากนี้ก็ยังมีหมอปรุง ซึ่งทำหน้าที่ในการปรุงยาสมุนไพร (หน้า 93) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
ลักษณะบ้านของชาวไทยทรงดำมีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว กล่าวคือ เป็นบ้านที่มุงหลังคาด้วยหญ้าคา ชายคาทอดยาวลงมาเป็นเสมือนฝาบ้าน ตัวเรือนยกพื้นสูงเพื่อให้อากาศถ่ายเท (หน้า 64) เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของไทยทรงดำมีสีดำ ซึ่งเป็นสีย้อมสีนิลดำจากต้นคราม แล้วนำมาไปแช่โคลนในทุ่งนา (หน้า 65-66) เสื้อผ้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันของผู้ชายชาวไทยทรงดำคือนุ่งกางเกงขาสั้นสีดำหรือครามเข้ม เรียกว่า “ส้วงขาเต้น” สวมเสื้อแขนกระบอกยาวสีดำรัดข้อมือ ผ่าหน้าตลอด มีกระดุมเงิน 10-15 เม็ด ผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่นสีดำหรือสีครามเข้ม มีลายขาวเป็นทางลงสลับดำเรียกว่าลายแตงโม มีเชิงผ้าเป็นขอบขวางกว้างประมาณ 2-3 นิ้ว ถ้าเป็นแม่ม่ายจะเอาเชิงออก ส่วนเสื้อ เป็นเสื้อแขนกระบอกแขนยาวสีดำรัดข้อมือผ่าหน้าตลอด ติดกระดุมเงินประมาณ 9-10 เม็ด เรียกว่า “เสื้อก้อม” ส่วนกลุ่มวัยรุ่นหรือเด็กเล็กไม่แต่งกายแบบไทยทรงดำในชีวิตประจำวัน แต่จะแต่งชุดไทยทรงดำเมื่อมีพิธีการสำคัญต่างๆ ทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับชาวไทยทรงดำ เสื้อผ้าที่ใช้ในโอกาสพิเศษสำหรับผู้ชายนุ่งกางเกงขายาวสีดำเรียกว่า “ส้วงขาฮี” สวม “เสื้อฮี” ตัวเสื้อเข้ารูปเล็กน้อย ผ่าหน้าตลอด ตัวยาวคลุมสะโพก ด้านข้างตัวเสื้อผ่าข้างขึ้นมาถึงเอว คอเสื้อเป็นคอกลมติดคอ กุ๊นรอบคอด้วยผ้าไหมสีแดงแล้วเดินเส้นทับด้วยไหมสีแสด สีเขียว สีขาว คอเสื้อมีกระดุมติดคล้องไว้ 1 เม็ด แขนเสื้อเป็นแขนกระบอกยาวปักตกแต่งตรงรักแร้ และด้านข้างของตัวเสื้อด้วยเศษผ้าไหมสีต่างๆ รวมทั้งติดกระจกชิ้นเล็กๆ เสื้อฮีของผู้หญิงมีลักษณะตัวใหญ่กว่าของผู้ชายมาก คอด้านหน้าปักแหลมลึกใช้สวมทางศีรษะ ปักตกแต่งด้านหน้าด้วยเศษไหมสีต่างๆ แขนเสื้อเป็นแขนกระบอกยาวสามส่วน นิยมปักตกแต่งปลายแขนเสื้อด้วยไหมสีแดง สีแสด สีเขียว และสีขาว เป็นส่วนใหญ่ เสื้อฮีเป็นเสื้อที่สามารถใส่ได้ทั้งสองด้าน การสวมใส่ด้านที่มีลวดลายมากใช้สำหรับงานอวมงคล ด้านที่มีลวดลายน้อยและตกแต่งบริเวณคอเสื้อหรือด้านข้างใช้สำหรับงานมงคล การสวมเสื้อฮีเพื่อร่วมในงานต่างๆ เป็นการแสดงถึงการให้เกียรติเจ้าภาพอย่างมาก (หน้า 80-82) เด็กหญิงและเด็กชายจะถูกกล้อนผมตั้งแต่เด็ก เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มสาว ผู้ชายจะตัดผมสั้นทรงดอกกระทุ่มหรือทรงสูง ผู้หญิงไว้ผมยาวได้แก่ ทรงสับปลิ้น (อายุ 14-15 ปี) ผมจะเริ่มยาวพอที่จะพับปลายผมม้วนขึ้น แล้วสับหวีที่ท้ายทอย ทรงจุกต๊บ ( 14-15 ปี) ผมมีความยาวมากพอที่จะขมวดเป็นก้อนแต่ยังไม่แน่น ทรงขอดกระต๊อก (16-17 ปี) ผมที่มีความยาวและสามารถรวบไว้ข้างหลัง สามารถผูกเป็นปมเหมือนผูกเชือก ปล่อยชายผมสูงมาข้างหน้าได้ ทรงขอดซอย (17-18 ปี) ทรงผมที่สามารถเกล้าผมได้แน่นและผูกเป็นปมเหมือนเงื่อนตามเอาชายไว้ข้างซ้านทำผมเป็นโบว์ทั้ง 2 ข้าง ทรงปั้นเกล้าซอย (19-20 ปี) หญิงสาวที่มีอายุในช่วงนี้จะมีผมที่ยาวมากพอที่จะผูกผมเหมือนเนคไทหูกระต่าย มีหางยาวออกมาทางขวา ทรงปั้นเกล้าหรือปั้นเหล้าล้วน (อายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป) ผมมีความยาวมากและสามารถเกล้ารวบมวยตลบไว้ถึงกลางศีรษะ ชายม้วนสอดเข้าไว้ด้านใน แล้วใช้ไม่ขัดเพื่อไม่ให้ผมหลุด ด้านหน้าจะเห็นเป็นลอนใหญ่ ทรงปั้นเกล้าต๊ก สำหรับหญิงที่สามีตาย โดยจะปล่อยผมปั้นเกล้าลงหทด ไม่ใส่เครื่องประดับใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อเผาศพแล้วต้องไว้ทุกข์หนึ่งปี ในช่วงการไว้ทุกข์ไม่ต้องปล่อยผมหมด ทำผมปั้นเกล้าไว้ด้านหลังเหนือท้ายทอยเล็กน้อย หลังจากที่พ้นจากการไว้ทุกข์แล้วสามารถทรงปั้นเกล้าธรรมดาได้ (หน้า 84) |
|
Folklore |
ไทยทรงดำมีการเล่นลูกช่วงหรืออิ้นกอน ซึ่งทำมาจากผ้าที่เย็บคล้ายหมอนสี่เหลี่ยมเล็กๆ ภายในบรรจุด้วยทรายหรือเมล็ดนุ่น มีพู่ห้อย 4 มุม มีการขับเพลงทอดคอน การเล่นแคน และการเกี้ยวพาราสีระหว่างหนุ่มสาว ในระหว่างการเล่นมีการพูดประชดประชัน เสียดสีและหยอกล้อให้ฝ่ายตรงข้ามโกรธ ฝ่ายใดไม่โกรธถือว่าเป็นบุคคลที่มีความเหมาะสมในการเลือกเป็นคู่ครอง ประเพณีนี้จะจัดขึ้นในเดือน 5-6 แต่ละหมู่บ้านจะจัดวันไม่ให้ตรงกัน นอกจากนี้ยังมีประเพณีลงข่วง ข่วงเป็นสถานที่ในบริเวณบ้านที่ใช้สำหรับทำกิจกรรมต่างๆ เมื่อถึงช่วงเวลาลงข่วง หนุ่มสาวทั้งภายในและภายนอกชุมชนจะมาที่ช่วงเพื่อพบปะพูดคุยกัน (หน้า 79-80) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
จากระบบกลไกตลาดในปัจจุบัน ส่งผลให้รูปแบบการผลิตเพื่อยังชีพของชาวไทยทรงดำเปลี่ยนแปลงไปเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายเป็นหลัก ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือการปลูกข้าวโดยใช้การจ้างแรงงานแทนการขอแรงกันอย่างในอดีต (หน้า 68) ซึ่งก็ทำให้มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อให้ได้ผลผลิตจำนวนมาก (หน้า 70) และมีการปลูกข้าวเจ้ามากกว่าข้าวเหนียว ทั้งที่ไทยทรงดำเองบริโภคข้าวเหนียวเป็นหลัก และยังเป็นสิ่งสำคัญในการทำพิธีกรรมต่างๆ อีกด้วย และเนื่องจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมที่ขยายบริเวณไปถึงบริเวณชุมชนไทยทรงดำ ไทยทรงดำส่วนใหญ่จึงรับจ้างทำงานในโรงงานมากกว่าการทำนา การเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านพฤติกรรมของชาวไทยทรงดำ รวมไปถึงรูปแบบการแต่งกายที่สวมใส่ชุดประจำถิ่นเฉพาะในพิธีกรรมสำคัญเท่านั้น จึงส่งผลให้การผลิตผ้าทอไทยทรงดำมีจำนวนลดลง อย่างไรก็ตามหลังจากมีการพัฒนาทางด้านการท่องเที่ยว ไทยทรงดำก็ได้หันกลับมาอนุรักษ์ภูมิปัญญาดั้งเดิมไว้และสืบทอดให้กับคนรุ่นหลัง ดังเช่นการที่มีบางครัวเรือนหันมาผลิตผ้าทอ มีการถ่ายทอดรูปแบบการปักผ้า การเรียนรู้เทคโนโลยีการเกษตรแบบดั้งเดิม (หน้า 62-64) แต่เป็นที่น่าเสียดายที่การเล่นลูกช่วงและประเพณีการลงข่วงนั้นได้สูญหายไปพร้อมกับการพัฒนาทางด้านต่างๆ ที่ทำให้หนุ่มสาวเปลี่ยนแปลงวิถีและรูปแบบการดำเนินชีวิตและการเลือกคู่ครอง จะมีก็เพียงแต่การจำลองการละเล่นให้นักท่องเที่ยวดูเท่านั้น (หน้า 79-80) |
|
Other Issues |
การจัดการการท่องเที่ยว หมู่บ้านท่องเที่ยวของไทยทรงดำบ้านเขาย้อย ก่อตั้งขึ้นในปี 2541 โดยคนในชุมชนเองที่ได้มีโอกาสต้อนรับบุคคลภายนอกที่เดินทางเข้ามาศึกษาดูงานสหกรณ์ และมีการค้างคืนตามบ้านไทยทรงดำ ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการทำเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยว เพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้เสริมและอนุรักษ์ประเพณีของไทยทรงดำไว้ให้ลูกหลานต่อไป โดยมีการรวมกลุ่มเพื่อจัดการบริการที่พักและอาหารรับรองนักท่องเที่ยวตามคุณสมบัติที่รัฐกำหนดขึ้น และยังได้สร้างเรือนลาวโซ่งเพื่อใช้เป็นศูนย์วัฒนธรรมไทยทรงดำ ที่ให้ประโยชน์ในด้านการศึกษาวัฒนธรรมของชุมชน มีพื้นที่แสดงเครื่องมืออุปกรณ์การทำมาหากินที่ไทยทรงดำใช้ในอดีต การจัดแสดงสินค้า สาธิตการทอผ้า และเป็นสถานที่รวมกลุ่มฝึกอาชีพให้แก่ไทยทรงดำอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะมีครัวเรือนที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้เพียง 7 ครัวเรือน แต่เมื่อภายในชุมชนมีกิจกรรมทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว คนในชุมชนก็เต็มใจให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ถึงแม้จะเป็นเพียงการเข้าร่วมประชุม ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ ก็ตาม (หน้า 104) ครัวเรือนที่ให้บริการที่พักแก่นักท่องเที่ยวจะต้องบอกผีเรือนก่อนที่นักท่องเที่ยวจะเข้าพัก และต้องบอกถึงบริเวณที่หวงห้าม เช่น ห้องผี เป็นต้น ในการจัดกิจกรรมการแสดงพิธีกรรมและการละเล่นต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ชมนั้น ผู้อาวุโสของชุมชนได้เข้ามามีบทบาทในการคัดเลือกพิธีกรรมเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวและประสบการณ์ที่ได้พบเห็น โดยไม่ส่งผลกระทบต่อประเพณีดั้งเดิม (หน้า 111) เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้ถึงวัฒนธรรมรูปแบบดั้งเดิมของชาวไทยทรงดำอย่างแท้จริง ผ่านการแสดงจากเด็กๆ ในชุมชน ซึ่งทำให้เด็กเองรู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ และได้เรียนรู้ถึงวัฒนธรรมประเพณีของตนเองได้ในเวลาเดียวกัน นอกจากการท่องเที่ยวภายในชุมชนแล้ว ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความร่วมมือจากชุมชนใกล้เคียงอย่างเช่น การนั่งวัวเทียมเกวียน หรือการไสกระดานหอย ของชาวอำเภอบ้านแหลม เป็นต้น นักท่องเที่ยวที่เข้าพักส่วนใหญ่เป็นชาวไทย โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อศึกษาวัฒนธรรมไทยทรงดำ (หน้า 49-61) ภายหลังจากการทำกิจกรรม สมาชิกในโครงการจะมีการประเมินการทำงานโดยการพูดคุยถึงปัญหาหรือข้อบกพร่องต่างๆ ที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขในครั้งต่อไป อย่างไรก็ตาม ผลประโยชน์ที่ชาวบ้านได้รับเป็นจำนวนเงินนั้น หลังจากหักค่าใช้จ่ายที่ต้องลงทุนไปแล้ว ชาวบ้านมีรายได้จากการท่องเที่ยวน้อยมาก แต่ทุกคนในชุมชนก็ยังคงเต็มใจที่จะช่วยเหลือและให้ความร่วมมือโดยเล็งเห็นถึงประโยชน์ในด้านการศึกษาและการอนุรักษ์วัฒนธรรมให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ถึงประวัติความเป็นมาและขั้นตอนที่ถูกต้องตามประเพณีเดิม (หน้า 113) |
|
|