|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
มลาบรี, มราบรี,พันธุกรรม,เชื้อชาติ,การตรวจทางการแพทย์,ภาคเหนือ,น่าน |
Author |
Gebhard Flatz |
Title |
The Mrabri : Anthropometric Genetic and Medical Examination |
Document Type |
บทความ |
Original Language of Text |
ภาษาอังกฤษ |
Ethnic Identity |
มละบริ ยุมบรี มลาบรี มละบริ มลา มละ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
14 |
Year |
2506 |
Source |
Journal of Siam Society, part 2, pp. 161–177 |
Abstract |
จากการตรวจสอบมลาบรีจำนวน 18 คน ในทางการแพทย์ ผู้เขียนพบว่า มลาบรีอาจเป็นชนผิวเหลืองยุคโบราณเนื่องจากลักษณะทางกายภาพบ่งชี้ว่าพวกเขาอาศัยอยู่ในอนุทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาช้านานแล้ว แต่ยังจำเป็นต้องหาหลักฐานทางภาษามายืนยันข้อสรุปดังกล่าวต่อไป (หน้า 171) โดยเมื่อเปรียบเทียบกับยัมบรีในงานของ Bernatsik แล้วผู้เขียนวิเคราะห์ว่าน่าจะเป็นชนกลุ่มเดียวกันกับมลาบรี แต่อาจมีลักษณะบางประการต่างกันบ้างเนื่องจากระยะห่างของเวลาที่ทำวิจัย (หน้า 170) ผู้เขียนยังระบุว่ามลาบรีคงไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับตำนานการปล่อยทาสเข้าป่าของเจ้าเมืองน่าน เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับว่ามลาบรีลดระดับวิวัฒนาการของตนเองลง ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ (หน้า 171) อย่างไรก็ตามผู้เขียนได้ตั้งข้อสังเกตว่ามลาบรีอาจสูญพันธุ์ไปในเวลาไม่ช้า เนื่องจากพวกเขามีแนวโน้มว่าอาจรวมหรือผสมผสานเข้ากับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นที่อยู่ใกล้เคียงกัน เช่น ม้ง ละหู่ จนกระทั่งกลายเป็นคนไทยไปในที่สุด (หน้า 175) |
|
Focus |
การศึกษามลาบรี ณ บ้านขุนสะท้าน จ.น่าน โดยวิธีการทางการแพทย์ เช่น การตรวจเลือด การตรวจลักษณะทางกายภาพ จากกลุ่มตัวอย่างชาวมลาบรีจำนวน 18 คน เพื่อหาข้อมูลด้านเชื้อชาติว่าชาวมลาบรีเป็นชนผิวเหลืองยุคโบราณที่อพยพมาเมื่อหลายพันปีก่อนหรือไม่ มีความเกี่ยวข้องกับชาวเนกริโตหรือไม่ ตลอดจนการตรวจสอบตำนานที่ว่ามลาบรีมีต้นกำเนิดมาจากทาสที่ถูกเจ้าเมืองน่านปล่อยเข้าป่าว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน (หน้า 161) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ตลอดบทความผู้เขียนพยายามศึกษามลาบรีที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง 18 คนจากจำนวนทั้งหมด 24 คน ณ บ้านขุนสะท้าน จ.น่าน (หน้า 161) โดยมีการเปรียบเทียบลักษณะทางกายภาพ เช่น ลักษณะของจมูก ดวงตากับชนกลุ่มอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียง เช่น ไทน้อย ม้ง รวมทั้งเปรียบเทียบกับชาวเยอรมันอันเสมือนเป็นตัวแทนของชาวยุโรปด้วย (หน้า 162–163) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ในบทความยังไม่มีข้อยุติว่ามลาบรีพูดภาษาในตระกูลใด แต่มีข้อเสนอว่าหากสามารถทำการตรวจสอบทางภาษาได้ว่าภาษาของพวกเขาอยู่ในตระกูลออสโตรเอเชียติค (มอญ – เขมร) ก็อาจทำให้ข้อสรุปที่ว่ามลาบรีเป็นชนผิวเหลืองยุคโบราณและอาศัยในบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากว่า 2,000 ปีแล้วมีความเป็นไปได้ (หน้า 171) |
|
Study Period (Data Collection) |
เก็บข้อมูลภาคสนามในช่วงเดือนมกราคม ค.ศ. 1963 โดยทีมงานวิจัยของสยามสมาคม |
|
History of the Group and Community |
ผู้เขียนได้ทำการตรวจสอบด้วยเทคนิคทางการแพทย์แล้วทำให้พอสรุปได้ในระดับหนึ่งว่า มลาบรีอาจเป็นชนผิวเหลืองยุคโบราณที่อพยพสู่ดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปัจจุบันเมื่อนานมาแล้ว อีกทั้งลักษณะทางกายภาพของมลาบรี โดยเฉพาะลักษณะของจมูกที่มีปีกจมูกกว้างซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของกลุ่มชนที่อาศัยแถบศูนย์สูตรมาเป็นเวลานาน จึงทำให้ทราบว่ามลาบรีอาศัยในบริเวณนี้มาเป็นเวลานานแล้ว (หน้า 173) นอกจากนี้บทความยังได้โต้แย้งกับตำนานต้นกำเนิดของมลาบรีที่ว่ามาจากทาสที่ถูกเจ้าเมืองน่านปล่อยเข้าป่าว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เนื่องจากตามปกติมนุษย์คงจะไม่ลดวิวัฒนาการของตนลงมาจนกลายเป็นคนป่าเช่นมลาบรี (หน้า 171) อีกประการหนึ่งจากผลที่ได้ผ่านการตรวจสอบทางการแพทย์พบว่ามลาบรีและเนกริโตไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันในทางพันธุกรรมดังที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตไว้ (หน้า 174) |
|
Settlement Pattern |
จากผลการตรวจสอบทางการแพทย์พบว่ามลาบรีทุกคนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างมีภาวะหัวใจเต้นช้า อันเนื่องมาจากการที่ต้องใช้แรงกายมาก ซึ่งเกิดขึ้นได้ในกลุ่มชนที่ต้องเร่ร่อนเก็บของป่าล่าสัตว์เช่นพวกเขา (หน้า 165) ตลอดจนสภาพผิวหนังที่มีรอยไหม้บริเวณหลังของสมาชิกกลุ่มตัวอย่างประมาณ 4 – 5 คนนั่นแสดงว่าสภาพที่อยู่อาศัยของพวกเขามีกองไฟอยู่ใกล้ ๆ และอาจเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ตัวได้ในขณะนอนหลับ (หน้า 166) |
|
Demography |
ไม่สามารถกำหนดจำนวนประชากรที่แท้จริงของมลาบรีได้ แต่อนุมานว่าพวกเขาน่าจะมีจำนวนทั้งสิ้นประมาณไม่เกิน 100 คน อย่างไรก็ตามผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า มลาบรีน่าจะมีจำนวนมากกว่านี้ ด้วยเหตุที่มลาบรีมีการแต่งงานภายในกลุ่ม ดังนั้นหากประชากรจำนวนน้อย การแต่งงานภายในสายเลือดเดียวกันจะมีสูง ซึ่งก่อให้เกิดโรคทางพันธุกรรมต่าง ๆ ตามมาจนส่งผลให้เกิดการเสียชีวิตก่อนเวลาอันควรได้ แต่จากการตรวจเลือดพบว่าผู้ที่มีลักษณะของโรคทางพันธุกรรมอันเกิดจากพ่อแม่มีสายเลือดเดียวกันนั้นไม่มากนัก จึงเป็นไปได้ว่ามลาบรีจะมีจำนวนมากกว่าที่คาดไว้ (หน้า 172) นอกจากนี้ผู้เขียนยังพบปัญหาตรงที่ไม่อาจสรุปเกี่ยวกับอายุที่แท้จริงของชาวมลาบรีได้ โดยที่มลาบรีซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างมีอายุประมาณ 25–35 ปี ในการวิจัยครั้งนี้ได้พบหญิงชาวมลาบรีที่อายุมากที่สุดด้วย คือ 50 ปีส่วนผู้ชายที่อายุมากที่สุดมีอายุประมาณ 45–55 ปี อีกทั้งยังไม่มีการพบทารกหรือเด็กเล็ก ๆ เลย (หน้า 166) |
|
Education and Socialization |
|
Health and Medicine |
โดยทั่วไปแล้วมลาบรีที่เป็นกลุ่มตัวอย่างมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี โดยเฉพาะกล้ามเนื้อแขนขาที่พัฒนาไปได้สูงสุด อันเนื่องมาจากกิจกรรมที่ต้องใช้แรงกายมาก อย่างไรก็ตามชาวมลาบรีหลายคนมีภาวะโลหิตจาง การติดเชื้อประเภทมาลาเรีย เชื้อรา ภาวะม้ามโต แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังมีภูมิคุ้มกันที่สามารถต้านทานโรคจากไวรัสอันก่อให้เกิดภาวะตกเลือดหรือโรคไข้เลือดออกได้ จึงทำให้มลาบรีมีอัตราการอยู่รอดได้ตามสมควร อีกประการหนึ่งผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า มลาบรีมีสุขภาพฟันที่ดีอย่างประหลาด แม้แต่คนชราก็ยังสามารถใช้ฟันกรามบดเคี้ยวอาหารได้ดี (หน้า 164–170) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
จากการตรวจสอบทางการแพทย์ที่พยายามจะตอบคำถามต่อข้อสังเกตที่ว่า มลาบรีเป็นชนผิวเหลืองยุคโบราณหรือไม่นั้น ยังทำได้เพียงแค่การยืนยันว่าพวกเขาเป็นมองโกลอยด์เท่านั้น แต่การสรุปว่าเป็นชนผิวเหลืองโบราณอาจต้องหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์กันต่อไปเนื่องจากอาจมีปัญหาด้านการยอมรับ (หน้า 173) นอกจากนี้จากการวัดขนาดร่างกายและการตรวจสอบด้านต่าง ๆ ทำให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างมลาบรีและลาวกับม้งได้ โดยแสดงผ่านทางลักษณะของกะโหลกและจมูกของมลาบรี 2–3 คนที่แตกต่างจากคนอื่นอย่างเด่นชัด (หน้า 174) Bernatsik ยังได้พูดถึงการข่มขืนหญิงมลาบรีโดยชนต่างเผ่า ซึ่งนับว่าเป็นวีธีการหนึ่งอันก่อให้เกิดการผสมผสานทางชาติพันธุ์ นอกจากนี้ยังมีการผสมผสานทางชาติพันธุ์กับละหู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย ที่อาจส่งผลให้มลาบรีต้องสูญพันธุ์ไปได้ในที่สุดด้วย (หน้า 175) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้แสดงรูปวาดเพื่อเปรียบเทียบลักษณะจมูกของมลาบรีกับม้ง ไทน้อยและเยอรมัน เพื่อให้เห็นความแตกต่างของจมูกอันมีความเกี่ยวพันกับความเป็นมองโกลอยด์และการอาศัยอยู่ในแถบศูนย์สูตรมาเป็นเวลานาน นอกจากนี้ยังมีภาพถ่ายของมลาบรีในอิริยาบถต่าง ๆ เพื่อแสดงลักษณะพิเศษที่ปรากฏในกลุ่มมลาบรีด้วย |
|
|