สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู,ไทยมุสลิม,ความมั่นคง,นโยบายผสมกลมกลืน,ศาสนาอิสลาม,อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์,จังหวัดชายแดนภาคใต้
Author พิเชฏฐ์ ทองศรีนุ่น
Title ไทยมุสลิมกับความมั่นคงแห่งชาติ : ศึกษากรณีชาวไทยมุสลิมในอำเภอรามัน จังหวัดยะลา
Document Type วิทยานิพนธ์ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity มลายู ออแฆนายู มลายูมุสลิม ไทยมุสลิม, Language and Linguistic Affiliations ออสโตรเนเชี่ยน
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 240 Year 2536
Source หลักสูตรปริญญารัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการเมืองและการปกครอง บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Abstract

สถานการณ์และปัญหาความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาที่ต่อเนื่องมาจากอดีตและยังคงมีอยู่ในปัจจุบันโดยไม่มีทีท่าว่าจะหมดไป และยิ่งทวีความซับซ้อน เห็นได้จากปรากฏการณ์ที่รุนแรง เช่น การปฏิบัติการเคลื่อนไหวก่อกวนสร้างความวุ่นวาย ข่มขู่ คุกคาม เรียกคาไถ่ เรียกค่าคุ้มครอง ลอบทำร้าย และก่อวินาศกรรม รูปแบบต่อมา คือ ปรากฏการณ์และเหตุการณ์ที่มีแนวโน้มนำไปสู่ความรุนแรง ได้แก่ การชุมนุม การประท้วง หรือรูปแบบปรากฏการณ์ที่ไม่รุนแรง ซึ่งเป็นเรื่องการแสวงหาผลประโยชน์ทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย ยังผลให้เกิดปัญหาความไม่สงบ ไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ปัญหาความหวาดระแวงและรู้สึกแปลกแยก ปัญหาอิทธิพลและการแทรกแซงจากต่างประเทศ สาเหตุของปัญหา เกิดจากนโยบายผสมกลมกลืนของรัฐบาลไม่สอดคล้องกับโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรมของชาวไทยมุสลิม และข้าราชการทุจริตประพฤติมิชอบ ดังนั้น การแก้ไขปัญหาความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ควรเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆทั้งทางตรงและทางอ้อม (หน้า ค-ฆ)

Focus

สถานการณ์และปัญหาความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (หน้า 4-9,132-206)

Theoretical Issues

ไม่ระบุ

Ethnic Group in the Focus

ไทยมุสลิมที่อาศัยอยู่ในอำเภอรามัน จังหวัดยะลา

Language and Linguistic Affiliations

ไทยมุสลิมที่อาศัยอยู่ในอำเภอรามัน จังหวัดยะลา พูดภาษามาเลย์ท้องถิ่น หรือภาษายาวี เป็นภาษาหลัก มีส่วนน้อยที่สามารถพูดภาษาไทยได้ แต่ก็ไม่เป็นที่นิยม (หน้า 50)

Study Period (Data Collection)

พ.ศ. 2535 - พ.ศ. 2536

History of the Group and Community

ไทยมุสลิม คือ เชื้อสายของชาวมลายูที่อพยพเข้ามาในบริเวณปลายแหลมมลายูตั้งแต่ประมาณ พ.ศ.1708 และตั้งเมืองสิขอปุระหรือสิงคโปร์ขึ้น ต่อมาประมาณ พ.ศ.1750 พวกชวาสามารถตีสิงคโปร์ซึ่งอยู่บริเวณปลายแหลมมลายูได้ ทำให้ชาวมลายูต้องถอยร่นขึ้นมาตอนบน ศูนย์กลางของชาวมลายูเหล่านี้อยู่ที่มะละกา ในระยะนั้นชาวมลายูนับถือศาสนาพราหมณ์บ้าง ศาสนาพุทธบ้าง จนกระทั่งเจ้าเมืองมะละกาคนหนึ่งได้นับถือศาสนาอิสลามเมื่อ พ.ศ.1819 ศาสนาอิสลามจึงแพร่หลายในบริเวณดังกล่าวนับแต่นั้นเป็นต้นมา ชาวมลายูในบริเวณดังกล่าวต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของชนชาติอื่นๆ ในภูมิภาคนี้หลายชนชาติตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นชาวจีน ชาวเกาะแห่งอาณาจักรศรีวิชัย ชาวไทย ชาวโปรตุเกส และชาวอังกฤษ จนกระทั่งประมาณ พ.ศ.2023 จึงเริ่มปรากฏชื่ออาณาจักร “ปัตตานี” ขึ้นมา โดยมีกษัตริย์ซึ่งครองเมือง “โกตามะห์ลีกัย” ทรงพระนามว่า “พยาตูอันตารา” และได้มีกษัตริย์ปกครองสืบเนื่องมา โดยมีกษัตริย์ราชวงศ์ปัตตานี และราชวงศ์กลันตัน ผู้ปกครององค์สุดท้ายของราชวงศ์ปัตตานี คือ รายากูนิง (พระเจ้าเหลือง) จากนั้นก็เป็นราชวงศ์กลันตัน คือ รายาบากัลปกครองความวุ่นวายในทางการเมืองเป็นเวลานาน นับจากนี้ไปปัตตานีต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรสุโขทัยบ้าง เป็นอิสระบ้าง ขึ้นอยู่กับการถ่วงดุลอำนาจกับอาณาจักรอื่นๆ ส่วนสมัยอาณาจักรอยุธยานั้น ปัตตานีก็ค่อนข้างมีอิสระ เพียงต้องส่งเครื่องราชบรรณาการ ดอกไม้เงินดอกไม้ทองทุกๆ 4 ปี และต้องส่งทหาร อาวุธ และเครื่องอุปโภคบริโภคในยามศึกสงคราม จนกระทั่งสมัยตากสิน ไทยได้เจ้าไปจัดระเบียบการปกครองการบริหารแผ่นดิน และฝ่ายไทยได้มีอำนาจเหนือปัตตานีอย่างแท้จริงเมื่อสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงมีพระราชบัญชาให้พระยากลาโหมราชเสนา และพระยาจ่าแสนยากรยกทัพไปตีเมืองปัตตานี และทรงแต่งตั้งให้ตนกูละมิดีเป็นเจ้าเมืองปัตตานี และพระราชทานนามว่า พระยาวิชิตภัคดีศรีสุรวังษา และจัดระเบียบการปกครองหัวเมืองปัตตานีใหม่ใน พ.ศ.2359 โดยแบ่งออกเป็นเจ็ดหัวเมือง ได้แก่ ปัตตานี หนองจิก ยะหริ่ง สายบุรี ระแงะ ยะลา รามัน โดยมีพระยาหรือเจ้าเมืองปกครองซึ่งแต่งตั้งจากคนพื้นเมือง แต่มีบางคนที่แต่งตั้งจากชาวพุทธ ระยะนี้เริ่มมีการอพยพชาวพุทธเจ้าไปในทั้งเจ็ดหัวเมือง เพื่อถ่วงดุลอำนาจหรือป้องกันการก่อกบฏแข็งเมือง แต่ก็ยังมีการกบฏอยู่บ้างเนืองๆ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้ออกกฎข้อบังคับสำหรับปกครองบริเวณเจ็ดหัวเมือง จึงก่อให้เกิดกบฏของพระยาแขกเจ็ดหัวเมือง โดยเฉพาะพระยาตานี จน พ.ศ.2449 ได้ยุบหัวเมืองทั้งเจ็ดลง และให้มีการปกครองในรูปของมณฑล และส่งข้าราชการจากกรุงเทพฯ ลงไปปกครองแทนเจ้าเมืองเก่า ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้จัดระเบียบการปกครองใหม่ โดยประมวลหัวเมืองทั้งเจ็ดเป็นมณฑลปัตตานี ประกอบด้วยปัตตานี สายบุรี บางนรา และยะลา การขยายอำนาจของไทยไปยังตอนเหนือของมลายูทำให้เกิดการเผชิญหน้ากับอังกฤษ จึงทำให้เกิดสนธิสัญญา Anglo-Thai Treaty of 1909 โดยไทยยอมเสียไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู ปะลิศ และเกาะไกล้เคียงให้อังกฤษ เพื่อแลกกับสิทธิสภาพนอกอาณาเขตของอังกฤษในไทย และอังกฤษก็ยอมรับอำนาจอธิปไตยของไทยเหนือดินแดนซึ่งปัจจุบันเป็นจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูลในปัจจุบัน (หน้า 41-45)

Settlement Pattern

ไม่ระบุ

Demography

ไม่ได้ระบุจำนวนประชากร แต่ได้ระบุว่าทำการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างสามกลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มข้าราชการซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับความมั่นคงในพื้นที่โดยตรง และผู้ชำนาญการซึ่งเป็นนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 2.สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดยะลาที่เป็นมุสลิม และมีบทบาทโดดเด่น และผู้นำทางศาสนาอิสลามของชุมชนในพื้นที่ ได้แก่ คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด คณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด (อิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น) ดาโต๊ะยุติธรรม โต๊ะครู และผู้อาวุโสในชุมชน 3.ชาวไทยมุสลิมที่อาศัยอู่ในอำเภอรามัน จังหวัดยะลา

Economy

โครงสร้างทางด้านเศรษฐกิจในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีฐานการผลิตที่แคบ ขึ้นอยู่กับการเกษตรเป็นหลัก ได้แก่ ยางพารา ข้าว และการประมง เกษตรกรมีเนื้อที่ถือครองขนาดเล็ก เฉลี่ย 19 ไร่ต่อครัวเรือน การผลิตส่วนใหญ่เป็นแบบดั้งเดิม มีประสิทธิภาพต่ำ การขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรมอยู่ในอัตราที่ต่ำ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเกษตรที่ใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น มูลค่าการผลิตด้านอุตสาหกรรมมีแนวโน้มลดลง มีรายได้เฉลี่ยเพียง 16,955 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำกว่าของทั้งประเทศที่มีรายได้เฉลี่ย 24,000 บาทต่อคนต่อปี (หน้า 100)

Social Organization

ไม่ระบุ

Political Organization

จากประวัติศาสตร์ความเป็นมา จะเห็นได้ว่าความพยายามในการสร้างชาติของรัฐไทยด้วยการรวบรวมดินแดนต่างๆ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้น รัฐไทยต้องมีสถาบันรองรับในการที่จะดำรงไว้ซึ่งรัฐไทย โดยมีสถาบันกษัตริย์ สถาบันพุทธศาสนา และระบบราชการเป็นโครงสร้างฐานอำนาจ ในทางกลับกัน รัฐไทยก็ต้องเผชิญปัญหาความแตกต่างกันระหว่างชนกลุ่มใหญ่กับชนกลุ่มน้อย ทั้งในทางภาษา เผ่าพันธุ์ ศาสนา วัฒนธรรม และสำนึกทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ปัญหาเหล่านี้บางครั้งถึงขั้นวิกฤติ (หน้า 51) 1.โครงสร้างแนวคิดทางด้านนโยบายของรัฐ 1.1 แนวคิดทางด้านนโยบายของรัฐไทยในระยะเริ่มแรก รัฐไทยได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งแต่สมัยสุโขทัย และดินแดนแถบนี้ก็มีฐานะเป็นอาณาจักรคืออาณาจักรปัตตานี โดยปัตตานีมีฐานะเป็นประเทศราช ความสัมพันธ์ดังกล่าวต่อเนื่องมาจนถึงสมัยอยุธยา ในฐานะที่เป็นประเทศราช มีหน้าที่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการทุกๆ สามหรือสี่ปี จนกระทั่งกรุงศรีอยุธยาแตกใน พ.ศ.2310 ปัตตานีก็แยกตัวเป็นอิสระอีกครั้งหนึ่ง จะเห็นได้ว่า ในระยะเริ่มแรกนี้ แนวคิดด้านนโยบายของรัฐไทยต่อดินแดนแถบนี้ยังไม่ปรากฏชัดเจน ยังไม่มีการปกครองโดยตรง มีเพียงการอ้างสิทธิ์นอกอาณาเขตแย่งชิงความเป็นใหญ่แข่งกับอาณาจักรอื่นเท่านั้น (หน้า 51-52) 1.2 แนวคิดทางด้านนโยบายของรัฐไทยในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ – พ.ศ. 2475 ในช่วงนี้รัฐไทยได้ใช้อำนาจเหนือดินแดนนี้อย่างชัดเจน มีการจัดระเบียบการปกครองแบ่งออกเป็นรัฐเล็กรัฐน้อย มีการส่งเจ้านายจากส่วนกลางลงไปปกครองเพื่อถ่วงดุลอำนาจและป้องกันการก่อกบฏแข็งเมือง ระเบียบการปกครองดังกล่าวจะเห็นได้ชัดจากการแบ่งพื้นที่การปกครองออกเป็นเจ็ดหัวเมือง นโยบายปฏิรูปการปกครองของรัชกาลที่ 5 ในรูปมณฑลเทศาภิบาลทำให้ดินแดนแถบนี้เปลี่ยนฐานะจากประเทศราชมาเป็นส่วนหนึ่งของรัฐไทย และเริ่มเข้าไปมีบทบาทเกี่ยวข้องกับกิจการภายในมากขึ้น นโยบายแบ่งแยกและปกครองถูกนำมาใช้เพื่อลดอำนาจของผู้นำท้องถิ่น เปลี่ยนฐานะจากหัวเมืองมาเป็นมณฑล อยู่ภายใต้ระบบราชการที่มีระเบียบแบบแผนและศูนย์กลางการบังคับบัญชามากขึ้น แต่ยังคงยอมรับในความเป็นเชื้อชาติมลายู ศาสนาอิสลาม สัญชาติสยาม ธรรมเนียมประเพณี ศาสนา วัฒนธรรม และภาษาท้องถิ่น ในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงกำหนดหลักรัฐประศาสโนบายสำหรับการปฏิบัติราชการในมณฑลปัตตานี ซึ่งเป็นไปในลักษณะของการใช้แนวคิดนโยบายบูรณาการ (Integration) ถึงแม้จะยังไม่เข้มข้นนัก (หน้า 52-54) 1.3 แนวคิดทางด้านนโยบายของรัฐไทยในช่วง พ.ศ. 2476 – พ.ศ. 2520 ในช่วงนี้แนวคิดทางด้านนโยบายเป็นไปในลักษณะของการผสมกลมกลืน (Assimilation) และบูรณาการ (Integration) จะเห็นได้จากนโยบาย “บีบบังคับเพื่อผสมกลมกลืนทางเชื้อชาติ” โดยการใช้อุดมการณ์เรื่อง “รัฐนิยม” (Statism) ของจอมพล ป.พิบูลสงคราม และการส่งเสริมเรื่อง “นิคมสร้างตนเอง” ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยสนับสนุนให้ชาวไทยพุทธในภาคอื่นๆ ลงไปตั้งถิ่นฐานในแถบนี้ ซึ่งชาวไทยมุสลิมมองว่าเป็นการกลืนชาติของพวกเขา นโยบายดังกล่าวประสบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงได้หันมาใช้นโยบายเชิงบูรณาการ ภายใต้อุดมการณ์แห่งการพัฒนา อยู่ในรูปของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งมุ่งเน้นการปรับปรุงฐานะความเป็นอยู่ของไทยมุสลิม ลดช่องว่างระหว่างไทยพุทธและมุสลิม เป็นการพยายามทำให้ไทยมุสลิมเห็นข้อดีของการเป็นพลเมืองไทยอย่างเป็นรูปธรรม นโยบายดังกล่าวดำเนินไปเพื่อผ่อนคลายคุณค่าทางสังคม และสถาบันประเพณีต่างๆ ที่เคยเป็นเกราะป้องกันความพยายามของรัฐที่จะเข้าไปควบคุมสังคมไทยมุสลิม ผลพวงของการใช้อุดมการณ์แห่งการพัฒนารองรับนโยบายผสมผสาน ส่งผลให้พลังต่างๆ ทางสังคมและเศรษฐกิจได้ถูกปลดปล่อยออกมาเผชิญหน้ากันบนเวทีการเมืองอย่างหมดสิ้นและเต็มไปด้วยความรุนแรงในยุคหลังปี พ.ศ.2516 ความตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนชาวไทยทุกระดับและบทบาทของเยาวชน นิสิต นักศึกษา ไม่จำกัดอยู่เฉพาะในเมืองหลวงแต่รวมถึงไทยมุสลิมด้วย (หน้า 54-56) 1.4 แนวคิดทางด้านนโยบายของรัฐไทยในช่วง พ.ศ. 2521 – ปัจจุบัน ช่วงนี้รัฐบาลได้พยายามศึกษาหาจุดอ่อนและทบทวนนโยบายที่ผ่านมา ให้ความสำคัญกับนโยบายความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นหลัก โดยมีนโยบายย่อยรองรับ ใช้กลไกของรัฐซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อรับผิดชอบโดยตรงต่อปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ หน่วยงานหรือสถาบันที่สำคัญ คือ ศอ.บต. และ พตท.43 โดยประสานกับหน่วยราชการอื่นๆ เป็นที่น่าสังเกตว่า ช่วงนี้ได้มีการเปิดกว้างระดมความคิดเพื่อกำหนดเป็นนโยบายในการแก้ปัญหา แต่หากพิจารณาพื้นฐานทางด้านแนวคิดด้านนโยบายแล้วก็ยังใช้แนวคิดบูรณาการด้วยการเปิดโอกาสให้ผู้แทนของพลเมืองที่นับถือศาสนาอิสลามเข้าร่วมในกระบวนการทางการเมือง แม้ว่าจะไม่ได้ผลมากนัก แต่ก็ช่วยลดความกดดันลงได้บ้าง นอกจากนี้รัฐบาลยังพยายามผสมผสาน โดยใช้อุดมการณ์รัฐนิยมและกฎวัฒนธรรมตลอดจนปฏิรูปการใช้กฎหมายให้สอดคล้องกับศาสนาอิสลาม รวมทั้งมาตรการในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมพัฒนาการศึกษาและการปฏิรูปการบริหารราชการ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเหมือนกันในแง่แนวคิดทางด้านนโยบายกับยุคก่อนหน้านี้ (หน้า 56-63) 2.ความสัมพันธ์ระหว่างไทยมุสลิมกับรัฐบาล 2.1 มิติความสัมพันธ์ทางการเมือง ความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างไทยมุสลิมกับรัฐบาลอยู่บนเงื่อนไขความเหลื่อมล้ำที่ไม่เท่าเทียมกันในการใช้อำนาจและการตัดสินใจ ขณะเดียวกันเป้าหมายแห่งการใช้อำนาจและการตัดสินใจก็อยู่บนเงื่อนไขที่แตกต่างกัน กล่าวคือ ในส่วนของรัฐบาล มีการผูกขาดอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง เป้าหมายของอำนาจคือความเป็นปึกแผ่น ความมั่นคง ความเป็นเอกภาพของรัฐ จึงพยายามผนวกดินแดนกลุ่มชนต่างๆ มาอยู่ในรัฐไทยในระยะแรก ใช้กำลังบีบบังคับให้มีการยอมรับในอำนาจแห่งรัฐ รวมทั้งความพยายามเข้าไปควบคุมสถาบันทางสังคมและแปรเปลี่ยนคุณค่า และสัญลักษณ์ต่างๆ ให้เป็นผลประโยชน์แห่งรัฐให้มีความชอบธรรม (Legitimacy) เกิดขึ้นกับอำนาจรัฐ กระบวนการครอบงำทางอำนาจ และการผูกขาดการตัดสินใจจึงเกิดขึ้น และมักเป็นไปในทิศทางที่เอื้อต่อความต้องการ ความคาดหวังในเป้าหมายแห่งรัฐนั่นเอง แต่รัฐก็ถูกท้าทายจากชนกลุ่มน้อย (Ethnic Minorities) ที่เป็นมุสลิมทำการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอกราชและความเป็นอิสระในการปกครองตนเองในระยะเริ่มแรกนั่นคือปฏิกิริยาตอบโต้ที่ไม่ยอมรับการผูกขาดและการครอบงำทางอำนาจแห่งรัฐ ขณะเดียวกันการดิ้นรนต่อสู้เพื่อปกป้องเอกลักษณ์ของชุมชน และเพื่อความอยู่รอดทางวัฒนธรรม (Cultural Survival) การต่อสู้มักดำเนินไปในลักษณะการตื่นตัวทางวัฒนธรรม (Cultural Revivalism) เพื่อทัดทานอำนาจรัฐโดยใช้วิธีทางการเมืองตามกฎหมาย และบางครั้งก็ใช้วิธีเหนือกฎหมาย (Extra Legal) (หน้า 65-67) 2.2 มิติความสัมพันธ์ทางสังคมวัฒนธรรม ความสัมพันธ์ทางสังคมวัฒนธรรมระหว่างไทยมุสลิมกับรัฐบาลเป็นลักษณะความสัมพันธ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางด้านความคิด ความเชื่อ ค่านิยม หลักการปฏิบัติ แนวทาง วิถีการดำเนินชีวิต ดังนั้นส่งผลต่อการดำรงอยู่ร่วมกันในสังคม เพราะรัฐบาลต้องการขจัดความแตกต่าง และพยายามให้กลายเป็นเบ้าหลอมเดียวกันกับสังคมไทยส่วนใหญ่ ในขณะที่ไทยมุสลิมต้องการรักษาและดำรงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ความเป็นตัวของตัวเอง และเมื่อไหร่ก็ตามที่รัฐบาลพยายามเข้าไปแทรกแซง ควบคุม ล้มล้าง ปฏิกิริยาตอบโต้จากไทยมุสลิมก็จะเกิดขึ้น และที่สำคัญไทยมุสลิมมีความตื่นตัวทางวัฒนธรรม ที่พยายามทุกวิถีทางในการที่จะกระทำการให้มีความอยู่รอดทางวัฒนธรรม และกระทำการให้วัฒนธรรมกระชับแน่นอยู่กับสังคมตลอดไป ดังนั้นถ้าหากว่ารัฐบาลยังคงยึดแนวคิดทางด้านนโยบาย โดยใช้ภาวะการผสมกลมกลืนและการบูรณาการต่อไทยมุสลิม เพื่อให้ไทยมุสลิมยอมสวามิภักดิ์อย่างสิ้นเชิงต่อรัฐ โดยการละทิ้งเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะกลุ่ม เช่น ภาษา วัฒนธรรม ความเชื่อ ศาสนา เราก็จะเห็นได้โดยไม่ยากว่า รัฐบาลไม่บรรลุเป้าหมาย และหากว่ารัฐยังคงดำเนินการต่อไป รังแต่จะสร้างปัญหา และทำให้ปัญหาผนึกแน่นอยู่อย่างไม่มีวันจะหมดสิ้นไป นั่นหมายถึงว่ารัฐบาลควรหันกลับมาพิจารณาและมองข้อเท็จจริงว่าภาวะของความแตกต่างหลากหลายในด้านเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม และศาสนานั้น แท้จริงไม่ได้เป็นปัญหาด้านความมั่นคงของรัฐแต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะความมั่นคงแห่งรัฐ ไม่จำเป็นที่สมาชิกของรัฐแต่ละกลุ่มแต่ละพวกจะต้องมีลักษณะ “เป็นเนื้อเดียวกัน” (Homogeneous) แต่สามารถมีลักษณะแตกต่าง (Differentiation) ในด้านต่างๆ ได้เช่น การจงรักภักดีต่อกลุ่ม ต่อเผ่าพันธุ์ การยึดถือความเชื่อ ศาสนา ภาษา วัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มแต่ละพวกได้ แต่ความแตกต่างเหล่านี้ควรจะอยู่ในระดับที่รัฐยังสามารถดำรงอธิปไตยและดำรงเอกราชแห่งรัฐได้ (หน้า 97-98) 2.3 มิติความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ สิ่งที่แตกต่างในแง่ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลกับไทยมุสลิม เมื่อเปรียบเทียบกับนโยบายของรัฐบาลต่อส่วนอื่นๆ ของประเทศคือ การที่รัฐเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อแก้ปัญหาความมั่นคงในดินแดนแถบนี้ ส่งผลให้นโยบายเศรษฐกิจบางอย่างของรัฐบาลได้รับการต่อต้านจากไทยมุสลิมว่ารัฐบาลใช้นโยบายเศรษฐกิจเข้าไปแทรกแซงโครงสร้างทางสังคม วัฒนธรรม โดยเฉพาะการจัดตั้งนิคมสร้างตนเองพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างไรก็ดี หากพิจารณาโดยภาพรวมแล้ว มิติความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลกับไทยมุสลิมในปัจจุบันเป็นไปในเชิงบวก การขูดรีด การเอารัดเอาเปรียบไทยมุสลิมจะมีบ้างก็เป็นบุคคลที่อยู่ในกลไกของรัฐอาศัยช่องว่างอาศัยตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์กับกลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มอิทธิพลในท้องถิ่น ซึ่งก็มีอยู่ทั่วไปเช่นเดียวกับส่วนอื่นของประเทศ (หน้า 98-105) 3. ทางเลือกด้านพฤติกรรมภายใต้ข้อจำกัดทางโครงสร้าง 3.1 ทางเลือกด้านพฤติกรรมของไทยมุสลิม ผลจากความพยายามของรัฐบาลที่จะเข้าไปแทรกแซงและควบคุมสถาบันทางสังคม ตลอดทั้งแปรเปลี่ยนความคิด ความเชื่อ ค่านิยม ประเพณีปฏิบัติ กำหนดวิถีชีวิตของชาวไทยมุสลิม ส่งผลให้ชาวไทยมุสลิมพยายามค้นหาทางเลือกด้านพฤติกรรมเพื่อดำรงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของตน ซึ่งมีทั้งรูปแบบพฤติกรรมที่อยู่เหนือกฎหมายและใต้กฎหมาย รูปแบบพฤติกรรมที่อยู่เหนือกฎหมาย เช่น ขบวนการใต้ดิน กลุ่มอิทธิพล กลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มโจรมิจฉาชีพ รูปแบบพฤติกรรมดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยมุสลิมกับรัฐบาล ก่อให้เกิดปัญหาความมั่นคง ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างที่ดำรงอยู่ รูปแบบพฤติกรรมที่อยู่ใต้กฎหมาย ตัวอย่างกรณีกลุ่มพลังทางการเมืองคือกลุ่มเอกภาพ เป็นกลุ่มพลังทางการเมืองที่รวมกลุ่มขึ้นจากสมาชิกที่มีความหลากหลาย กล่าวคือ มีนักการเมือง ผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่น นักวิชาการ และประชาชนทั่วไป เพื่อสร้างพลังทางการเมืองในการต่อรอง และผลักดันนโยบายต่างๆ อันจะนำประโยชน์มาสู่การแก้ไขปัญหาของ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และปัญหาของมุสลิมโดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม การดำเนินงานของกลุ่มเอกภาพจะเป็นไปตามวิถีทางการเมืองในระบบรัฐสภา และอยู่บนหลักการของ “การเมืองนำศาสนา” (หน้า105-125)

Belief System

ไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้นับถือศาสนาอิสลาม และถือเอาศาสนาอิสลามเป็นธรรมนูญแห่งชีวิต (Code of Life) ซึ่งครอบคลุมวิถีการดำรงชีวิตไว้ในทุกๆ ด้าน แนวความคิดหลักของศาสนาอิสลามที่สำคัญมีดังนี้ - แนวความคิดเรื่องบาป บาปเกิดจากการละเมิดกฎหมายของพระผู้เป็นเจ้าโดยเจตนา การกระทำที่เกิดโดยสัญชาติญาณตามธรรมชาติอย่างแท้จริง หรือเพราะแรงกระตุ้นที่ไม่อาจควบคุมได้นั้นไม่ถือเป็นบาป - แนวความคิดเรื่องเสรีภาพ ไม่มีการเข่นฆ่ากันด้วยเรื่องศาสนา ความขัดแย้งระหว่างชนชั้น หรืออคติในเชื้อชาติ - แนวความคิดเรื่องความเสมอภาค เชื้อชาติ สิผิว สถานภาพทางสังคมเป็นเพียงความแตกต่างที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ไม่ถือเป็นความแตกต่างในศาสนาอิสลาม ความแตกต่างมีเพียงอย่างเดียวคือความแตกต่างในความศรัทธา - แนวความคิดเรื่องภราดรภาพ ความเป็นพี่น้องกันของชาวมุสลิม ชาวมุสลิมศรัทธาในศาสดาโดยปราศจากการแบ่งแยก - แนวความคิดเรื่องสันติภาพ บุคคลใดเข้าหาอัลเลาะห์โดยใช้อิสลามเป็นทางนำจะประสบความสันติในตนเอง และกับเพื่อนร่วมโลก - แนวความคิดเรื่องประชาชาติ ประชาชาติอิสลามไม่ได้ถูกจำกัดไว้ด้วยขอบเขตทางด้านเชื้อชาติ สัญชาติ ท้องถิ่น อาชีพ เครือญาติ ผลประโยชน์ พรมแดนธรรมชาติหรือการเมือง ประชาชาติอิสลามเกิดขึ้นได้เมื่อปฏิบัติตามหลักการอิสลามเท่านั้น ประชาชาติอิสลามมีหน้าที่เหนือกว่าการอยู่รอด การมีอำนาจ การสืบพันธุ์ หรือการดำรงเผ่าพันธุ์มนุษย์ไว้ ประชาชาติอิสลามมีหน้าที่แสดงให้เห็นถึงความถูกต้อง ความบริสุทธิ์ คุณงามความดี ฯลฯ (หน้า 45-49)

Education and Socialization

มุสลิมทุกคนจะมีภาระหน้าที่ที่จะต้องเรียนรู้เผยแพร่ศาสนาวัฒนธรรมของตน อิสลามถือว่ามุสลิมทุกคนเป็นผู้รับผิดชอบทางศาสนาเท่ากันหมด จึงมีสถาบันที่จะทำหน้าที่สืบทอดศาสนาวัฒนธรรม คือ ปอเนาะ ซึ่งมีโต๊ะครูเป็นผู้เผยแพร่ถ่ายทอด นอกจากนี้ยังมีสถาบันผู้นำทางศาสนาในมัสยิดต่างๆ (หน้า 49)

Health and Medicine

ไม่ระบุ

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไม่ระบุ

Folklore

ไม่ระบุ

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

หากเปรียบเทียบกับชาวไทยในภูมิภาคอื่นๆ แล้ว ไทยมุสลิมเป็นกลุ่มชนที่มีอัตลักษณ์ของตนเองทั้งในเรื่องศาสนา ภาษา วัฒนธรรม เชื้อชาติ และความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ (หน้า 235) โดยเฉพาะศาสนาอิสลามที่ไทยมุสลิมถือเป็นธรรมนูญแห่งชีวิต (Code of Life) ซึ่งครอบคลุมวิถีการดำรงชีวิตไว้ในทุกๆ ด้าน (หน้า 48) และเมื่อเปรียบเทียบกับชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ในประเทศไทยแล้ว ลักษณะเฉพาะที่สำคัญอีกประการหนึ่งของไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ไทยมุสลิมรู้สึกหวงแหนในอัตลักษณ์ของตนก็คือ การเป็นชนกลุ่มน้อยที่ตั้งรกรากอยู่ในบริเวณดังกล่าวมาเป็นเวลานานแล้ว ไม่ได้อพยพเข้ามาเหมือนชนกลุ่มน้อยอื่นๆ (หน้า 22)

Social Cultural and Identity Change

ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม-วัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดจากความพยายามของรัฐบาลที่จะเข้าไปแทรกแซงและควบคุมสถาบันทางสังคม ตลอดทั้งแปรเปลี่ยนความคิด ความเชื่อ ค่านิยม ประเพณีปฏิบัติ กำหนดวิถีชีวิตของไทยมุสลิม นั่นหมายถึงว่ารัฐพยายามเข้าไปครอบงำทางสังคมวัฒนธรรม เห็นได้จากการใช้นโยบาย “บีบบังคับเพื่อผสมกลมกลืน (Assimilation) ทางเชื้อชาติ ใช้อุดมการเรื่องรัฐนิยม (Statism)” สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม (หน้า 91) หรือนโยบาย “บูรณาการ (Integration)” ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (หน้า 92) นโยบายดังกล่าวนับว่ากระทบกระเทือนต่อบทบัญญัติทางศาสนา ตลอดจนวิถีชีวิตทางสังคม-วัฒนธรรมของไทยมุสลิมอย่างมาก ยิ่งทำให้ไทยมุสลิมผู้มีพื้นฐานทางสังคม-วัฒนธรรมแบบอิสลามอย่างเคร่งครัด เกิดความรู้สึกแปลกแยกจากรัฐไทยมากยิ่งขึ้น(หน้า 92)

Other Issues

วิเคราะห์สถานการณ์และปัญหาความมั่นคง ปรากฏการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและมีอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงเหตุการณ์และลักษณะปัญหาความมั่นคง นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 เป็นต้นมา จนกระทั่งถึงปัจจุบัน รัฐบาลพยายามที่จะใช้กลไกของรัฐ โดยมีองค์กรที่รับผิดชอบโดยตรง ในการศึกษาหามาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาตามแนวทางด้านนโยบายความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการแก้ปัญหาความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยรัฐได้มีการส่งเสริม ช่วยเหลือประชาชนผ่านโครงการต่างๆ มีการแก้ไขปัญหาทั้งในรูปของการปราบปรามและเปิดโอกาสให้กลุ่มและขบวนการเข้ามาร่วมพัฒนาชาติไทย แต่ประเด็นที่ควรศึกษาพิจารณาก็คือ รูปแบบพฤติกรรมของบุคคล กลุ่มบุคคล มีทั้งพฤติกรรมที่ส่อไปในทางที่ใช้ความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการขู่คุกคาม การเรียกค่าไถ่ การเรียกค่าคุ้มครอง การก่อวินาศกรรม การลอบทำร้าย รวมไปถึงการชุมนุมประท้วง และรูปแบบพฤติกรรมอีกลักษณะหนึ่งที่ไม่รุนแรงมากนัก ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ การเอารัดเอาเปรียบผู้ด้อยโอกาส การกดขี่ข่มเหง การขูดรีด เบียดบัง เป็นต้น รูปแบบพฤติกรรมของบุคคล กลุ่มบุคคลที่ใช้ความรุนแรง ประกอบด้วยกลุ่มหลักๆ คือ ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ กลุ่มข้าราชการทุจริตประพฤติมิชอบ กลุ่มโจรมิจฉาชีพ กลุ่มขบวนการโจรก่อการร้าย กลุ่มและขบวนการจากต่างประเทศ บุคคลและกลุ่มบุคคลเหล่านี้เองที่เป็นตัวกระทำการ 1. รูปแบบพฤติกรรมของบุคคล กลุ่มบุคคลที่ใช้ความรุนแรง 1.1 ผู้วิจัยนำเสนอปรากฏการณ์และเหตุการณ์ที่มีความรุนแรงในช่วง พ.ศ. 2521 - พ.ศ.2524 และช่วงปี พ.ศ.2531-2534 เมื่อเปรียบเทียบจำนวนปรากฏการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสองช่วงเวลาดังกล่าว พบว่าสถานการณ์และปัญหาความมั่นคงมิได้มีทีท่าว่าจะคลีคลายไปในทางที่ดีขึ้น กลับตรงกันข้ามเลวร้ายลงกว่าเดิม 1.2 บุคคล กลุ่มบุคคล สถาบันหรือขบวนการที่ปฏิบัติการ ส่วนใหญ่จะเป็นการกระทำของขบวนการโจรก่อการร้ายคือขบวนการ PLO และ BRN กลุ่มโจรภาคใต้ กลุ่มผู้ก่อการร้ายภาคใต้ กลุ่มคนร้าย และกลุ่มก่อกวน ในช่วงแรกสามารถระบุได้ว่าเป็นการกระทำของกลุ่มไหนได้เป็นส่วนใหญ่ แต่ในช่วงหลังปรากฏว่าไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นการกระทำของกลุ่มไหนถึง 15 ครั้งจากทั้งหมด 25 ครั้ง กรณีนี้อาจสืบเนื่องจากสถานการณ์และปัญหาเริ่มมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น และหากเป็นการกระทำของของขบวนการโจรก่อการร้าย มักจะอ้างความรับผิดชอบ ในขณะที่กลุ่มอื่นไม่ได้อ้างความรับผิดชอบ ย่อมแสดงว่าในช่วงหลังเป็นการกระทำของกลุ่มที่หลากหลายมากขึ้น จนผู้ที่รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาไม่สามารถแยกแยะและพิสูจน์ได้ว่าเป็นการกระทำของกลุ่มไหน 1.3 ลักษณะการปฏิบัติความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นช่วงแรกและช่วงหลัง ลักษณะการปฏิบัติใช้ความรุนแรงไม่ต่างกัน 1.4 สถานการณ์และสถานที่ปฏิบัติการ ช่วงแรกจะอยู่ในจ.ยะลาและกรุงเทพมหานคร ส่วนในจ.ปัตตานีและนราธิวาสจะมีน้อยกว่า ในขณะที่ช่วงหลังจะปฏิบัติการครอบคลุมในพื้นที่สามจังหวัด คือ จ.ยะลา จ.ปัตตานี และจ.นราธิวาส 1.5 ผลจากการปฏิบัติการ ส่วนใหญ่จะมีผลในลักษณะเดียวกันทั้ง 2 ช่วง คือจะมีผู้เสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บ สถานที่ได้รับความเสียหายเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ยังมีปรากฏการณ์และเหตุการณ์ที่มีแนวโน้มนำไปสู่ความรุนแรง กล่าวคือ ปรากฏการณ์และเหตุการณ์ที่อยู่ในรูปของการเรียกร้องและการชุมนุมประท้วงซึ่งอาจนำไปสู่ความรุนแรงได้ รูปแบบการชุมนุมประท้วงมีทั้งลักษณะการชุมนุมประท้วงทั่วๆ ไป เช่น ประท้วงเรื่องราคาพืชผล ประท้วงค่าแรงกรรมกร อีกลักษณะหนึ่งเป็นการชุมนุมประท้วงโดยหวังผลทางการเมือง ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องสิทธิเสรีภาพ ความยุติธรรม หรืออาจรุนแรงถึงขั้นเรียกร้องให้แบ่งแยกดินแดนโดยจัดตั้งรัฐปัตตานีอิสระ การดำเนินการในรูปแบบนี้จะอาศัยเงื่อนไขด้านความแตกต่างเรื่องศาสนา ภาษา สังคม วัฒนธรรมมาเป็นเงื่อนไข และบางครั้งก็อาศัยเงื่อนไขการการกระทำของเจ้าหน้าที่ประพฤติตัวในลักษณะการกดขี่ข่มเหง รังเกียจ ดูถูกเหยียดหยามไทยมุสลิม นั่นหมายถึงว่าสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้สะท้อนให้เห็นว่ายังมีเงื่อนไขที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายและกระทบต่อความมั่นคงอย่างชัดเจน ปรากฏการณ์และเหตุการณ์ในรูปแบบเรียกร้องและการชุมนุมประท้วงดังกล่าว หากดูผิวเผินจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยคือเกี่ยวข้องกับ4เรื่องหลัก ได้แก่ เรียกร้องเกี่ยวกับการแต่งกายชุดอิญาบ การเพิกถอนมัสยิดกรือเซะออกจากการเป็นโบราณสถาน เรื่องการที่รัฐบาลนำเอาพระพุทธรูปไปไว้ในโรงเรียนที่มีนักเรียนเป็นชาวไทยมุสลิม และเรื่องเรียกร้องให้ดำเนินการจับกุม และชดใช้การทำศพรวมทั้งทรัพย์สิน กรณีทหารพรานสังหารราษฎรที่เป็นมุสลิมและชิงทรัพย์ แต่ประเด็นทั้ง 4 กลายเป็นเงื่อนไขที่รองรับการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องและยาวนาน สะท้อนให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนของปัญหาความมั่นคงในแถบนี้ 2. รูปแบบพฤติกรรมของบุคคล กลุ่มบุคคลที่ไม่ใช้ความรุนแรง บุคคล กลุ่มบุคคลที่แสดงพฤติกรรมในลักษณะไม่ใช้ความรุนแรง แต่ก็ส่งผลต่อสถานการณ์และปัญหา ประกอบด้วย ข้าราชการบางคนบางกลุ่ม กลุ่มพ่อค้านักธุรกิจ กลุ่มนักเลงอันธพาล และผู้มีอิทธิพล กลุ่มบุคคลเหล่านี้เป็นกลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มอิทธิพล ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนกลาง (Intermediaries) เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างชุมชนกับรัฐบาล บุคคล กลุ่มบุคคลเหล่านี้ใช้ความได้เปรียบในตำแหน่งหน้าที่ อำนาจทางกฎหมาย อำนาจทางเศรษฐกิจ อำนาจทางการเมือง แสวงหาผลประโยชน์และแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันอย่างเป็นขบวนการ จะเห็นได้ว่าบุคคล กลุ่มบุคคลที่ไม่ใช้ความรุนแรง เป็นตัวการที่ทำให้สถานการณ์และปัญหาความมั่นคงยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน 3. วิเคราะห์ลักษณะปัญหาความมั่นคง 3.1 ปัญหาความไม่สงบเรียบร้อยและความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ปรากฏการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นติดต่อกันมาเป็นเวลายาวนาน นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2521 ถึงปัจจุบันนั้นไม่ได้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น บางช่วงกลับยิ่งรุนแรงยิ่งขึ้นกว่าเดิมนั้นน่าจะสืบเนื่องมาจาก ประการแรก บุคคล กลุ่มบุคคลที่เคลื่อนไหวปฏิบัติการได้มีการพัฒนาตัวเองให้มีความซับซ้อน มีความคล่องตัว มีสายสัมพันธ์เครือข่ายที่กว้างขวางมากขึ้น ประกอบกับเริ่มมีผู้ที่ได้รับการศึกษาในระดับสูงเข้าเป็นแนวร่วมมากขึ้น ประการที่สอง ข้าราชการบางกลุ่มเป็นผู้สร้างปัญหาเสียเอง ความศรัทธาที่ประชาชนที่มีต่อข้าราชการจึงติดลบ ข้าราชการจึงไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนเท่าที่ควร ประการที่สาม การแก้ไขปัญหาขาดความต่อเนื่อง ประการสุดท้าย การแก้ไขปัญหามีข้อจำกัด เนื่องจากเป็นปัญหาใหญ่สลับซับซ้อนเกี่ยวพันกันเป็นลูกโซ่ ทั้งปัญหาการเมือง การปกครอง ปัญหาสังคมจิตวิทยา ปัญหาเศรษฐกิจ และการทหาร เป็นปัญหาทั้งระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระหว่างประเทศ 3.2 ปัญหาความหวาดระแวงและรู้สึกแปลกแยก ความเป็นจริงในสังคมไทย เป็นสังคมที่มีความหลากหลายเป็นลักษณะพหุสังคม กรณีไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็เช่นเดียวกัน ที่มีลักษณะทางสังคมวัฒนธรรมแตกต่างไปจากสังคมไทยส่วนใหญ่ ดังนั้นรัฐบาลต้องเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างสังคมไทยมุสลิมกับสังคมไทยส่วนใหญ่ ยอมรับพื้นฐานของความแตกต่าง ต้องให้เกียรติ ส่งเสริม ช่วยเหลือเกื้อกูลต้องปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ต้องให้ความยุติธรรม ความเสมอภาคเฉกเช่นสังคมไทยส่วนใหญ่และสังคมส่วนอื่นๆของประเทศ เมื่อไหร่ที่รัฐบาลละเลยสิ่งเหล่านี้ ความรู้สึกหวาดระแวงแปลกแยกจะเกิดขึ้นทันที และจะเอื้อให้บุคคล กลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีต่อประเทศชาติในการเผยแพร่ความคิด อุดมการณ์ ง่ายต่อการโฆษณาชวนเชื่อ ประชาชนบางส่วนกลายเป็นแนวร่วมของขบวนการเหล่านี้ไปโดยปริยาย เมื่อเป็นเช่นนั้นย่อมส่งผลกระทบต่อสถานการณ์และปัญหาความมั่นคงในที่สุด (หน้า 144-175)

Map/Illustration

ผู้เขียนได้ใช้แผนที่ แผนผัง ตาราง และกราฟ เพื่อแสดงความคิดเห็นต่างๆ เกี่ยวกับปัญหาความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งผู้เขียนได้ทำการสำรวจจากกลุ่มเป้าหมาย ทั้งข้าราชการที่รับผิดชอบทางด้านความมั่นคงและเหตุการณ์ต่างๆ ในพื้นที่โดยตรง ผู้ชำนาญการ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำมุสลิม ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ที่ทำการศึกษา รวม 17 ตาราง (หน้า 107,109,135,146,149,172,176,190,191,193,196,200,204,228,231,232,233)

Text Analyst อภิชน รัตนาภายน Date of Report 29 มิ.ย 2560
TAG ออแรนายู มลายูมุสลิม มุสลิมมลายู, ไทยมุสลิม, ความมั่นคง, นโยบายผสมกลมกลืน, ศาสนาอิสลาม, อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์, จังหวัดชายแดนภาคใต้, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง