|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง),ค่ายอพยพชนกลุ่มน้อยผู้ลี้ภัย,ทัศนคติ,ยุทธศาสตร์,ชายแดนไทย - พม่า |
Author |
จีระศักดิ์ เพชรตรา |
Title |
ปัญหาที่ตั้งค่ายอพยพผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงตามแนวชายแดนไทย-พม่า ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
141 |
Year |
2541 |
Source |
วิทยานิพนธ์ตามหลักสูตรปริญญารัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการเมืองและการปกครอง บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ |
Abstract |
เนื้อหาศึกษาถึงความคิดเห็นของข้าราชการ ทหาร และพลเรือน ที่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับค่ายอพยพกะเหรี่ยงที่อยู่ตามบริเวณชายแดนไทย-พม่า และศึกษาความคิดเห็นว่าถ้าย้ายค่ายอพยพเข้าลึกมาในไทยประมาณ 10 กิโลเมตร และลดจำนวนค่ายผู้อพยพกะเหรี่ยงให้น้อยลงนั้นจะส่งผลกระทบด้านการเมือง สังคมและเศรษฐกิจของไทยหรือไม่ ซึ่งผลของการศึกษาพบว่าผู้ให้สัมภาษณ์มีความเห็นด้วยที่จะให้ค่ายอพยพกะเหรี่ยงอยู่ตามแนวชายแดนไทย-พม่า เพราะไทยช่วยเหลือแบบเฉพาะหน้าและช่วยตามหลักมนุษยธรรม เพราะหากเหตุการณ์สู้รบระหว่างพม่ากับชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดนสงบลง ไทยก็สามารถส่งกะเหรี่ยงอพยพกลับประเทศได้ง่าย และหากย้ายค่ายอพยพลึกเข้ามาในไทยก็จะเกิดปัญหาแย่งที่ทำกินของคนไทยที่อยู่ในพื้นที่ และจะเกิดปัญหาการแย่งงานถ้าผู้อพยพลักลอบออกมาขายแรงงาน นอกจากนี้หากมีการโจมตีค่ายอพยพจากกองกำลังต่างชาติก็จะทำให้คนไทยที่อยู่ใกล้เคียงกับค่ายอพยพได้รับอันตราย |
|
Focus |
ศึกษาทัศนคติของข้าราชการ ทหารและพลเรือน ต่อปัญหาที่ตั้งค่ายผู้อพยพของกะเหรี่ยง ตามแนวชายแดนไทย - พม่า และแนวคิดการย้ายที่ตั้งค่ายอพยพลึกเข้ามาในเขตแดนไทย และมุมมองในเรื่องยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศตามแนวชายแดน อันจะนำไปสู่การตัดสินใจเกี่ยวกับที่ตั้งค่ายผู้อพยพ และผลกระทบทางด้านการเมือง สังคม เศรษฐกิจ ความมั่นคง และภาพลักษณ์ของประเทศหากมีการย้ายที่ตั้งค่ายอพยพลึกเข้ามาในเขตแดนไทย (หน้า 9) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กะเหรี่ยงที่ลี้ภัยการสู้รบจากประเทศพม่ามาอยู่ตามค่ายอพยพต่างๆ ดังต่อไปนี้ 1) ค่ายอพยพบ้านโซโกร หมู่ 1 ต.แม่สอง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก 2) ค่ายอพยพบ้านแม่หละ หมู่ 9 ต.แม่หละ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก 3) ค่ายอพยพบ้านห้วยกะโหลก ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก 4) ค่ายอพยพบ้านมอร์เกอร์ หมู่ 6 ต.พบพระ อ.พบพระ จ.ตาก 5) ค่ายอพยพบ้านนุโพ หมู่ 4 ต.แม่จัน ต.แม่จัน อ.อุ้มผาง จ.ตาก (หน้า 35-42) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษาที่ใช้ในการเรียนการสอนในโรงเรียนในค่ายอพยพกะเหรี่ยง ได้แก่ ภาษากะเหรี่ยง ภาษาพม่า และภาษาอังกฤษ (หน้า 36 -42) |
|
Study Period (Data Collection) |
ระยะการทำวิจัยตั้งแต่ปี พ.ศ.2539-2540 กับสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ระดับสูง ตั้งแต่ ม.ค. 2541 - มี.ค.2541 (หน้า 57) |
|
History of the Group and Community |
ประวัติค่ายอพยพบ้านแม่หละ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก ค่ายอพยพแห่งนี้สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสถานที่ลี้ภัยการสู้รบระหว่างกองกำลังทหารของพม่าที่โจมตีที่ตั้งกองกำลังกะเหรี่ยงอย่างหนัก นับจากปลายปี พ.ศ.2537 จน พ.ศ.2538 ที่กองกำลังทหารพม่าสามารถยึดฐานที่มั่นของกองกำลังกะเหรี่ยงได้สำเร็จ ประชาชนกะเหรี่ยงจึงหนีอันตรายเข้ามาในพื้นที่ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก เมื่อทางการไทยจัดที่พักชั่วคราวให้กับกะเหรี่ยงอยู่หลายแห่งด้วยกัน ภายหลังกองกำลังของพม่าได้เข้ามาก่อความไม่สงบ และเผาค่ายอพยพของผู้ลี้ภัยหลายครั้ง (หน้า 36) ดังนั้นทางการไทยจึงทำการโยกย้ายกะเหรี่ยงที่หนีภัยการสู้รบ ออกจากพื้นที่ที่มีการต่อสู้ไปอยู่พื้นที่ซึ่งมีความปลอดภัยในพื้นที่คือที่ค่ายอพยพกะเหรี่ยง หมู่ 9 บ้านแม่หละ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก (หน้า 37) |
|
Settlement Pattern |
ที่พักค่ายอพยพ ที่พักใช้วัสดุจากธรรมชาติ ทำด้วยไม้มุงหลังคาด้วยใบตองตึง (หน้า 73) |
|
Demography |
ค่ายบ้านโซโกร มีประชากรผู้อพยพกะเหรี่ยงทั้งสิ้น 6,832 คน เป็นผู้ชายจำนวน 3,454 คน เป็นผู้หญิง จำนวน 3,378 คน (ยอดสำรวจ ตุลาคม 2540) (หน้า 35) ค่ายบ้านแม่หละ มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 25,601 คน แบ่งเป็นชายจำนวน 13,755 คน และเพศหญิงจำนวน 11,846 คน มีจำนวนครอบครัวทั้งหมด 5,285 ครอบครัว (หน้า 37) ค่ายบ้านห้วยกะโหลก มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 8,919 คน แบ่งเป็นชายจำนวน 4,465 คน แบ่งเป็นหญิงจำนวน 4,454 ครอบครัว (หน้า 39) ค่ายบ้านมอร์เกอร์ มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 8,881 คน แบ่งเป็นเพศชาย 4,619 คนและเพศหญิงจำนวน 4,262 คน และจำนวนครอบครัว 1,373 ครอบครัว (หน้า 40) ค่ายบ้านนุโพ มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 9,716 คน เป็นเพศชายจำนวน 5,177 คน เป็นเพศหญิงจำนวน 4,539 คน มีจำนวนครอบครัว 1,784 ครอบครัว (หน้า 42) |
|
Economy |
เศรษฐกิจ อ.แม่สอด จ.ตาก อ.แม่สอด เป็นเมืองท่องเที่ยวขึ้นชื่อของ จ.ตาก ซึ่งมีสินค้าส่งออกทั้งสินค้าอุปโภคและอุปโภคโดยผ่านทาง อ.แม่สอด ไปยังเมืองเมียวดี ประเทศพม่า เฉลี่ยในแต่ละปีอยู่ระหว่าง 200-300 ล้านบาทต่อปี ส่วนสินค้าที่นำเข้าจากพม่า มีมูลค่าต่อปีอยู่ระหว่าง 150-280 ล้านบาท สินค้าที่นำเข้าส่วนใหญ่จะเป็นอัญมณี และของป่า และอื่นๆ (หน้า 34) |
|
Political Organization |
ความเป็นมาของการอพยพของกะเหรี่ยงจากพม่าเข้าไทย กองกำลังทหารของรัฐบาลพม่าเริ่มทำการปราบปรามชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆตามแนวบริเวณชายแดนเมื่อประมาณ 50 ปีที่ผ่านมาหลังจากเป็นเอกราชจากการตกเป็นประเทศอาณานิคมของอังกฤษ แต่การปราบปรามชนกลุ่มน้อยของพม่าไม่อาจเป็นไปอย่างง่ายดายเนื่องจากหากชนกลุ่มน้อยเพลี่ยงพล้ำก็จะลักลอบเข้ามายังประเทศไทย สำหรับกะเหรี่ยงถือได้ว่าเป็นกลุ่มที่มีกองกำลังที่เข้มแข็ง ตัวอย่างเช่น กองกำลังอิสระ “สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง” (Karen National Union หรือ KNU) ที่มีนายพลโบเมี้ยะ เป็นผู้นำ ซึ่งในอดีตหากมองในด้านการทหารไทยถือว่ากองกำลังติดอาวุธของชนกลุ่มน้อย ที่อยู่ตามแนวชายแดนไทย-พม่าเปรียบเสมือน "รัฐกันชน" (Buffer State) (หน้า 1) หลังจากที่ไทยกับพม่าทำการค้ากันมากขึ้น เช่น การค้าไม้ และโครงการซื้อแก๊สในประเทศพม่าจึงทำให้รัฐกันชนสลายลงในที่สุด เมื่อค่ายคอมูร่าของกะเหรี่ยงที่อยู่ตรงข้ามกับอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ถูกกองกำลังทหารพม่ายึดได้สำเร็จในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2538 ประชาชนกะเหรี่ยงเป็นจำนวนมากจึงหลบหนีอันตรายเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ดังนั้นทางการไทยจึงให้ความช่วยเหลือโดยตั้งค่ายอพยพให้กับกะเหรี่ยงที่หลบหนีภัยการสู้รบ (หน้า 4-7) ค่ายบ้านโซโกร การปกครองจะมีหัวหน้าทำหน้าที่ปกครองค่ายอพยพ สำหรับการแบ่งการปกครองจะแบ่งออกเป็น 6 หมู่บ้าน โดยแต่ละหมู่บ้านจะมีผู้นำหรือผู้ใหญ่บ้านปกครองดูแลลูกบ้าน (หน้า 35) ค่ายบ้านแม่หละ การปกครองแบ่งเป็น 3 โซน คือ A,B,C ในโซนเหล่านี้แต่ละโซนจะแบ่ง 5 ส่วน การปกครองกะเหรี่ยงจะแบ่งการปกครองโดยมีกรรมการ ประธาน และรองประธาน เลขานุการ หัวหน้าโซน หัวหน้าเซ็กชั่น คณะกรรมการซึ่งจะทำหน้าที่ช่วยเจ้าหน้าที่ในส่วนของการปกครอง ลงทะเบียน และดูแลช่วยเหลือผู้อพยพที่อยู่ในค่าย (หน้า 37-38) ค่ายบ้านห้วยกะโหลก ไม่มีข้อมูลด้านการปกครอง ค่ายบ้านมอร์เกอร์ ฝ่ายปกครองของอำเภอพบพระจะทำหน้าที่ควบคุมและดูแลความปลอดภัยในค่ายอพยพ จัดสรรพื้นที่เป็นหมู่บ้านและแต่งตั้งหัวหน้าปกครองหมู่บ้านจัดทำทะเบียนผู้อพยพป้องกันการหลบหนีและอื่นๆ (หน้า 41) ค่ายบ้านนุโพ ไม่มีข้อมูลด้านการปกครอง |
|
Belief System |
ค่ายบ้านโซโกร ผู้หนีภัยกะเหรี่ยงที่อยู่ในค่ายนับถือศาสนาและความเชื่อดังนี้ ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลามกับเรเก้ ซึ่งเป็นความเชื่อที่นับถือดวงอาทิตย์ (หน้า 36) ค่ายบ้านแม่หละ ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการนับถือศาสนาหรือความเชื่อ ค่ายบ้านห้วยกะโหลก แบ่งแยกการนับถือศาสนาต่างๆ ได้ดังนี้ คนที่นับถือศาสนาพุทธจำนวน 60% คนที่นับถือศาสนาคริสต์ จำนวน 30% และนับถือศาสนาอิสลามอีกจำนวน10% (หน้า 39) ค่ายบ้านมอร์เกอร์ ส่วนมากจะนับถือศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ ในค่ายอพยพมีวัด 2 แห่ง วัดแห่งแรกมีพระกับเณร จำนวน 22 รูป วัดแห่งที่สองมีพระและเณร จำนวน 27 รูป นอกจากนี้ในค่ายยังมีมัสยิดอีก 1 แห่ง (หน้า 40) ค่ายบ้านนุโพ กะเหรี่ยงในค่ายนับถือศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม และมีวัด 1 แห่ง กับโบสถ์คริสต์ 3 แห่ง กับมัสยิด (หน้า 42) |
|
Education and Socialization |
ค่ายบ้านโซโกร ในพื้นที่ค่ายอพยพมีโรงเรียนจำนวน 6 แห่ง เปิดสอนในระดับชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ในการสอนจะสอนด้วยภาษาต่างๆ เช่น ภาษาพม่า กะเหรี่ยง อังกฤษ (หน้า 36) ค่ายบ้านแม่หละ ในค่ายอพยพมีองค์กรเอกชน ICCF (International Children Fund) INTERAID (Interaid International Thailand)กับ COERR (Catholic Office For Emergency Relief and Refugees)โดยทำการเปิดสอนในระดับต่างๆ ได้แก่ ระดับก่อนวัยเรียน, ประถมศึกษาและมัธยมศึกษา (หน้า 37) ค่ายบ้านห้วยกะโหลก ในพื้นที่ค่ายอพยพมีโรงเรียนจำนวน 1 แห่ง โดยเปิดสอนในระดับชั้น ป.1- ม.4 โดยมีวิชาที่เปิดสอน ได้แก่ วิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาพม่า และภาษากะเหรี่ยง นอกจากนี้ในค่ายอพยพยังมีสถานที่เลี้ยงเด็กอ่อนอีก 2 แห่ง (หน้า 39) ค่ายบ้านมอร์เกอร์ ในค่ายอพยพมีสถานศึกษาจำนวน 2 แห่ง ได้แก่โรงเรียนเด็กเล็ก 1 แห่ง มีครูทำหน้าที่จำนวน 3 คน และโรงเรียนตามหลักสูตรปกติ 1 แห่ง โดยมีครูประจำอยู่ 34 คน โดยเปิดสอนภาษาพม่าและภาษาอังกฤษ (หน้า 40) ค่ายบ้านนุโพ ในค่ายอพยพมีโรงเรียนจำนวน 4 แห่ง โดยเปิดสอนภาษากะเหรี่ยง ภาษาพม่า และภาษาอังกฤษ (หน้า 42) |
|
Health and Medicine |
ค่ายบ้านโซโกร มีโรงพยาบาล 1 แห่ง และหน่วยมาลาเรีย 1 แห่ง ค่ายบ้านแม่หละ ในศูนย์ให้บริการโดยองค์กร MSF(Medicines Sans Frontiers) ทำหน้าที่รักษาพยาบาลและป้องกันโรคติดต่อ และจัดอวัยวะเทียมให้กับคนพิการ (หน้า 36-37) ค่ายบ้านห้วยกะโหลก มีโรงพยาบาล 1 แห่ง (หน้า 39) ค่ายบ้านมอร์เกอร์ มีสถานพยาบาล 1 แห่ง ซึ่งอยู่ในความดูแลขององค์กร MSF จากประเทศฝรั่งเศส มีหมอประจำอยู่จำนวน 3 คน เจ้าหน้าที่และพยาบาลอีก 18 คน (หน้า 40) ค่ายบ้านนุโพ มีโรงพยาบาล 2 แห่ง และมีองค์กรที่ดูแลความเป็นอยู่ เช่น KRC โดยทำหน้าที่ดูแลพื้นที่พักพิงทั้งหมด IMI ทำหน้าที่โดยช่วยเหลือด้านยารักษาโรค ARC ช่วยเหลือทางด้านผดุงครรภ์ และ BBC ดูแลด้านอาหาร (หน้า 42) ปัญหาสุขภาพอันเนื่องมาจากการอพยพของกะเหรี่ยงเข้ามาอยู่ในประเทศไทย การอพยพเข้ามาในไทยของกะเหรี่ยง ทำให้เกิดการระบาดของโรคร้ายต่างๆ ที่พบตามแนวชายแดนและบริเวณใกล้ค่ายอพยพ เช่น โรคมาลาเรีย อุจจาระร่วง โรคเท้าช้าง และอื่นๆ ติดต่อมายังคนไทย (หน้า 20) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Other Issues |
ทัศนคติเรื่องค่ายอพยพ คือ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ผู้วิจัยได้สัมภาษณ์ทั้งข้าราชการ ทหาร และพลเรือน เช่น สื่อมวลชน และเจ้าหน้าที่องค์กรพัฒนาเอกชนที่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับค่ายกะเหรี่ยงที่ลี้ภัยการสู้รบจากประเทศพม่า และสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-พม่า ซึ่งผลการสัมภาษณ์จากกลุ่มประชากรศึกษาจำนวน 18 คน ปรากฏผลดังต่อไปนี้ ตอนที่ 1 การมีที่ตั้งค่ายอพยพกะเหรี่ยงตามแนวชายแดนไทย-พม่า อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก (ตาราง 1-8) ผลของการศึกษานั้นผู้ให้สัมภาษณ์แสดงความคิดเห็นแบบเห็นด้วยมากกว่าไม่เห็นด้วย กรณีที่มีการตั้งค่ายอพยพกะเหรี่ยงตามแนวชายแดนไทย-พม่า ว่าเหมาะสม เพราะไทยช่วยเหลือกะเหรี่ยงเป็นไปตามหลักมนุษยธรรม เป็นการแก้ไขเฉพาะหน้าและไม่อยากให้ค่ายอพยพของกะเหรี่ยงอยู่ในไทยแบบถาวร และเมื่อเหตุการณ์การสู้รบสงบลงแล้วก็เป็นเรื่องง่ายที่จะส่งกะเหรี่ยงอพยพกลับประเทศ (หน้า 59-79) ตอนที่ 2 แนวคิดการย้ายค่ายอพยพกะเหรี่ยงเข้ามาตั้งลึกในเขตแดนไทย 10 กม.และให้จำนวนค่ายอพยพลดน้อยลง ผลการศึกษาพบว่าผู้ให้สัมภาษณ์มีความคิดเห็นแบบเห็นด้วยมากกว่าไม่เห็นด้วย เนื่องจากการย้ายค่ายอพยพกะเหรี่ยงลึกเข้ามาในไทย ถ้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองให้ความดูแลเป็นอย่างดีก็จะช่วยป้องกันกะเหรี่ยงอพยพที่อยู่ในค่ายลักลอบออกมาขายแรงงานซึ่งเป็นแย่งงานของคนไทยในพื้นที่และทำให้คนไทยในพื้นที่ตกงาน ส่วนการลดจำนวนค่ายให้น้อยลงก็จะเป็นผลดีต่อไทยเพราะจะได้ดูแลกะเหรี่ยงอพยพอย่างทั่วถึงและไม่ต้องใช้เจ้าหน้าที่เป็นจำนวนมากในการดูแลกะเหรี่ยงในค่ายอพยพ (หน้า 80-91) ตอนที่ 3 ผลกระทบทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ และภาพลักษณ์ของไทยกับการย้ายที่ตั้งค่ายอพยพกะเหรี่ยงตามแนวชายแดนให้ลึกเข้ามาในเขตแดนไทย ผู้ให้สัมภาษณ์ส่วนใหญ่เห็นด้วยมากกว่าไม่เห็นด้วย ว่าการย้ายค่ายอพยพกะเหรี่ยงเข้ามาอยู่ลึกในประเทศไทย ก็จะส่งผลกระทบต่อที่ทำกินของคนไทยเพราะต้องจัดที่ให้กับกะเหรี่ยงอพยพและจะทำให้คนไทยขาดความปลอดภัย หากกะเหรี่ยงอพยพลักลอบออกมาปล้นจี้คนไทยนอกจากนี้หากมีกองกำลังต่างชาติโจมตีค่ายอพยพของกะเหรี่ยง คนไทยที่อยู่ใกล้เคียงอาจจะได้รับอันตรายหากเกิดเหตุร้ายขึ้น (หน้า 93-104) |
|
Map/Illustration |
แผนที่ ประเทศไทย-พม่า (หน้า 2) การวางกำลังกะเหรี่ยงคริสต์ (หน้า 8) การวางกำลังทหารพม่าชายแดนด้านตะวันตก เหนือ (หน้า 32,43) พื้นที่พักพิงชั่วคราวผู้หลบหนีภัยจากการสู้รบ จ.ตาก ระยะห่างของค่ายอพยพ (หน้า 76,100) แผนผัง ที่ตั้งพื้นที่พักพิงฯ ผภร.(หน้า 5) พื้นที่พักพิงชั่วคราวผู้หลบหนีภัยจากการสู้รบ (หน้า 51) ที่ตั้งพื้นที่พักพิงฯ (จว.ม.ส.-จว.ต.ก.) (หน้า 91) ความสัมพันธ์การประสานงานชายแดนไทย-พม่า (ภาคผนวก ง) โครงสร้างของพรรคการเมืองชนกลุ่มน้อยที่ต่อต้านรัฐบาลพม่า (ภาคผนวก จ) ตาราง จำนวนกลุ่มตัวอย่าง (หน้า 58) ความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับความเหมาะสมในการตั้งค่ายอพยพอยู่ตามแนวชายแดน (หน้า 60, 62, 64) ความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการควบคุมดูแลค่ายอพยพ (หน้า 66, 68, 70, 72, 74) ความคิดเห็นเรื่องการย้ายค่ายอพยพที่เกี่ยวกับการควบคุมโรค, การควบคุมการหลบหนีมาขายแรงงานผิดกฎหมาย, การลดจำนวนค่ายอพยพให้น้อยลง (หน้า 80, 82, 84) ความคิดเห็นเรื่องการย้ายค่ายอพยพ ให้ลึกเข้ามาในชายแดนไทย 10 กม.,บทบาทของทหารต่อการตัดสินใจของพลเรือน จะทำให้รัฐบาลพม่าระแวงไทย ความปลอดภัยของราษฎรไทย ผลดีด้านเศรษฐกิจ ,เรื่องมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน, ภาพลักษณ์ของไทย (หน้า 86, 88, 93, 95, 97, 99, 101) จำนวนยอดผู้หลบหนีภัยการสู้รบ (ภาคผนวก ฉ) ข้อมูลผู้หลบหนีภัยการสู้รบใน จ.ตากและแม่ฮ่องสอน (ภาคผนวก ซ ) |
|
|