|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
ปกาเกอะญอ จกอ คานยอ (กะเหรี่ยง),โพล่ง โผล่ง โพล่ว ซู (กะเหรี่ยง), การอพยพ,สังคม,วัฒนธรรม,ความเป็นอยู่,การเมือง,ค่ายอพยพ,ตาก |
Author |
สรพงษ์ วิชัยดิษฐ |
Title |
กระบวนการก่อรูปอัตลักษณ์ของผู้อพยพชาวกะเหรี่ยง : ศึกษากรณีกะเหรี่ยงในพื้นที่พักพิงชั่วคราว บ้านแม่หละ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก |
Document Type |
วิทยานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
โพล่ง โผล่ง โผล่ว ซู กะเหรี่ยง, ปกาเกอะญอ,
|
Language and Linguistic Affiliations |
จีน-ทิเบต(Sino-Tibetan) |
Location of
Documents |
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
223 |
Year |
2547 |
Source |
หลักสูตรปริญญามานุษยวิทยามหาบัณฑิต สาขาวิชามานุษยวิทยา ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
Abstract |
กะเหรี่ยงในพื้นที่พักพิงบ้านแม่หละเหล่านี้ได้มีการสร้างประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของตนเองตั้งแต่พม่ายังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ กระทั่งพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษก็ได้เกิดการสู้รบระหว่างกองกำลังทหารรัฐบาลพม่ากับกองกำลังทหารของกะเหรี่ยง จนทำให้มีประชากรกะเหรี่ยงได้หลบหนีภัยการต่อสู้ที่เกิดขึ้นตามแนวบริเวณชายแดนไทยพม่าเข้ามาอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวในหลายๆ แห่งในประเทศไทย กระทั่งกองกำลังทหารพม่าและกะเหรี่ยงพุทธได้ลักลอบเข้ามาเผาทำลายพื้นที่พักพิงในหลายพื้นที่ ดังนั้นทางการไทยจึงได้ยุบรวมพื้นที่พักพิงฯต่างๆ มารวมกันอยู่ที่พื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก เพื่อให้เกิดความสะดวกในการดูแลผู้หลบหนีภัยการสู้รบจากประเทศพม่า |
|
Focus |
ศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาเกี่ยวกับชาติพันธุ์กะเหรี่ยงและความเป็นมาของการอพยพ การดำรงชีวิต ศึกษาและวิเคราะห์การก่อรูปของอัตลักษณ์เชิงชาติพันธุ์ของกะเหรี่ยงในพื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก (หน้า 5) |
|
Ethnic Group in the Focus |
ชาติพันธุ์กะเหรี่ยงแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้ 1. สะกอร์ (Sgaw ) 2. โปว์ (Pwo) 3. ปะโอหรือปะโอะ (Pa-O) 4. คะยา(Kayah) สกอร์กับโปว์ถูกเรียกรวมๆ ว่า กะเหรี่ยงขาว (White Karen) อาศัยอยู่ตามพื้นราบ ชอบแต่งตัวด้วยชุดสีขาว สำหรับกะเหรี่ยงปะโอ สันนิษฐานมาจากคำว่า “โป” แต่พม่าเรียกกลุ่มนี้ว่า ตองสู (TaungThu/Tong Su) ส่วนกลุ่มกะเหรี่ยงคะยา พม่าเรียกว่า คะยินนี(Kayinni/Karenni) ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Red Karen (หน้า 18) ตำนานการจำแนกกลุ่มของกะเหรี่ยง จากบันทึกของจีนและชาติตะวันตกได้กล่าวถึงชาติพันธุ์คันยอ (Kanyaw) ซึ่งนักวิชาการกะเหรี่ยงคาดว่าเป็นบรรพบุรุษของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ตามตำนานมีชายหญิงชาติพันธุ์คันยอ ฝ่ายชายชื่อ Pha Saghaw กับฝ่ายหญิงชื่อ Naw Pa oh แต่งงานกันได้มีลูก 7 คน เป็นชาย 4 คน ได้แก่ Saw Paku Saw Momybwa, Saw Wai, Saw Chen (Chin) และลูกผู้หญิงอีก 3 คน ได้แก่ Naw Padew Naw Baw Klaw และ Naw Pa-ah แต่ในเวลาต่อมาทั้งสองได้มีเรื่องทะเลาะกันหลายครั้งจึงหย่าร้างกันและแบ่งลูกไปเลี้ยงดู (หน้า 45) พ่อเป็นฝ่ายเลี้ยงดู (Pah Hteet) ลูกชาย 4 คน และแม่เป็นผู้ดูแล (Moh Hteet) ลูกผู้หญิง 3 คน ในการเรียกชื่อกลุ่มกะเหรี่ยงสะกอว์กับกะเหรี่ยงโปว์คาดว่าชื่อของกะเหรี่ยงสะกอว์ น่าจะมาจากคำว่า Pha Hteet หรือ Pah Saghaw หมายถึง กลุ่มที่สืบเชื้อสายมาจากทางพ่อ และกลุ่มกะเหรี่ยงโปว์มาจากชื่อของ Moh Hteet หรือ Naw Pa oh ซึ่งหมายถึงกลุ่มที่สืบเชื้อสายมาจากทางแม่ (หน้า 46) ภายหลังเมื่อลูกหลานย้ายไปอยู่ที่อื่นและแต่งงานกันข้ามกลุ่มดังนั้นจึงเกิดกลุ่มใหม่ซึ่งเป็นกลุ่มเลือดผสมที่มาจากสายพันธุ์พ่อและแม่ คือ กลุ่ม Sabweh หรือ Thabweh ต่อมาได้เพี้ยนเสียงเรียกว่า บเว (Bweh ) ซึ่งเรียกตนเองว่า "คะยา" (Kayah) หรือ คันญอ (Kanyah) ซึ่งเป็นชื่อเดิมของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ภายหลังได้เกิดความขัดแย้งในกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงเนื่องจากการเพิ่มของประชากรและปัญหาแย่งที่ดินทำกินของแต่ละกลุ่ม ดังนั้นทั้งสามกลุ่มจึงมีการแตกกลุ่มเป็นกลุ่มย่อยๆ และสร้างภาษาที่ไม่เหมือนกัน ชาติพันธุ์กะเหรี่ยงได้แบ่งเป็นกลุ่มต่างๆ ดังนี้ 1.กะเหรี่ยงโปว์ (Pwo หรือ Moh Theet) กลุ่มนี้เรียกตนเองว่า โปลน โฌ (Plone Shoh) ถูกพม่าเรียกว่า ตะเลี่ยง คะยิน(Talaing Kayin) กลุ่มนี้แยกเป็นกลุ่มย่อย ดังนี้ 1.1. กลุ่มที่เป็นเชื้อสายของบอว์กโล Baw Klaw ลูกสาวคนโต กลุ่มนี้อยู่ในพื้นที่ที่ราบแม่น้ำปเล ตลอดจนชายฝั่งทะเลด้านใต้ เป็นกลุ่มที่ใหญ่กว่ากลุ่มอื่นและได้สร้างเมืองของตนชื่อเมืองโปว์ (Pwo City) หรือ เมืองโปลม(Plome) หรือ พยิ (Pyi) (หน้า 46-47) 1.2. กลุ่มที่เป็นเชื้อสายของ นอว์ ผา เด Naw Pah deh ตั้งที่อยู่ที่เมืองท่าตอน เมืองมะละแหม่ง เมืองมูยู หรือ แม่สะเรียง และเชียงใหม่ (หน้า 46) 1.3. กลุ่มที่เป็นเชื้อสายของผาอะ (Pa–ah) ลูกสาวคนที่สาม กลุ่มนี้ คือ กะเหรี่ยงตองสู (Taung Thu) ในไทยจะอยู่ในภาคกลาง ตะวันตกและเหนือ และในพม่าพบที่เมืองท่าตอน รัฐฉาน และเมืองตองอู 1.4 โมบวา(Mowbwa) อยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองตองอู 1.5 โทคี(Thokee) อยู่ที่เมืองทะวายกับในประเทศไทย 1.6 เยสกอร์(Yehshaw) อยู่ทางทิศเหนือของจังหวัดเชียงใหม่ 1.7 เมกอร์(Mehgaw) หรือเลโก(Layko) อยู่ในพื้นที่เขาดอร์นา 1.8 กามูท (Kamook) อยู่ที่เมืองตอนคินกับเมืองคยักโด 1.9 ลูลู (Lolo) อยู่ด้านทิศตะวันตกของมณฑลยูนนานของจีน 1.10 ปะหล่อง(Palaung) อยู่ในภาคเหนือของไทย (หน้า 46-47 แผนผังหน้า 51) 2. กะเหรี่ยงสกอว์ (Sgaw/Pah Hteet) คือ กลุ่มที่เป็นเชื้อสายทางพ่อ มีกลุ่มย่อย ดังนี้ 2.1 สกอว์ปากู (Paku) เป็นเชื้อสายที่มาจากลูกชายคนที่ 4 อยู่อาศัยบริเวณด้านทิศตะวันตกกับตะวันออกเมืองตองอู เมืองผาปูน เมืองแม่สะเรียงหรือมูยู เชียงใหม่ และเขตชายแดนไทยกับพม่า 2.2 สกอว์โมนี่ บวา มีเชื้อสายมาจากชอว์ โมนี่บวา ตั้งบ้านเรือนอยู่ในพื้นที่เมืองตองอู เบหละ เลอโต ฮอว์ที ท่าตอน มะละเหม่ง ทะวาย มะริด เป็นต้น 2.3 สกอว์ไว วอว์ (Wai Waw) อาศัยอยู่พื้นที่เมืองพะโค อานธาวดี อินเสน ธราวดี และที่อื่นๆ 2.4 สกอว์เฉ/ชอว์ (Cheh/Chaw) เป็นเชื้อสายของชอว์เฉ ลูกชายคนเล็กอยู่ในพื้นที่ทิศตะวันตกของประเทศพม่า ทางใต้ของรัฐอารากัน ทางเหนือของรัฐคะฉิน (หน้า 49 แผนผัง หน้า 52) 3. กะเหรี่ยงบเว (Bweh Karen) แบ่งเป็น 13 กลุ่ม ได้แก่ บเว กอว์ (Bweh Ghaw) บเว วา (Bweh Wah) บเว ตู (BwehThu) ปะดอง หรือ กะเหรี่ยงคอยาว (Paduang) ชอว์ โกะ (Hsaw Koh) เก บา (Gheh Bah) เปร หรือ บเร (Preh/Breh) เย บอว์ (Yeh Baw) สาเยย (Sayay) ชิชิ (SiSi) มาโน (Mano) มานุ-มานอว์ (Manu Manaw) (หน้า 50) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
ภาษากะเหรี่ยง อยู่ในตระกูลจีน – ธิเบต (Sino-Tibetan) ตัวอักษรกะเหรี่ยงเจ้าหน้าที่ของคณะอเมริกันแบ๊บติสต์คริสเตียน ได้ประดิษฐ์ขึ้นโดยเทียบเสียงจากอักษรพม่าใน ค.ศ.1832 การเรียงประโยคจะคล้ายคลึงกับภาษาอังกฤษ สำหรับภาษาพูดจะใกล้เคียงกับภาษาจีนและภาษาไทย (หน้า 66-67) |
|
Study Period (Data Collection) |
พฤศจิกายน 2546 - มีนาคม 2548 |
|
History of the Group and Community |
ประวัติศาสตร์กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพม่า กะเหรี่ยงเริ่มสร้างประวัติศาสตร์ความเป็นชาติของตนเองในยุคที่อังกฤษเข้ามาเป็นเจ้าอาณานิคมปกครองพม่า เมื่อคณะมิชชั่นนารีได้เข้ามาเผยแพร่ศาสนาในพม่า กะเหรี่ยงเป็นจำนวนมากได้เข้านับถือศาสนาคริสต์ และเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาการสร้างชาติของกะเหรี่ยง (หน้า 37,119) และได้มีการสร้างความแตกต่างระหว่างกลุ่มพม่ากับกะเหรี่ยงในช่วงเป็นอาณานิคมของอังกฤษ กะเหรี่ยงได้อาศัยลักษณะด้านชาติพันธุ์โดยได้พื้นที่การปกครองขึ้นโยได้ก่อตั้งรัฐกะเหรี่ยง/กอว์ธูเลย์ และจัดตั้งกองกำลังทหารของตนเอง (หน้า 121) และสร้างรูปแบบการปกครองรัฐอิสระในสังคมพม่าซึ่งผู้นำรัฐกะเหรี่ยงมีนโยบายที่จะคงกำลังกำลังติดอาวุธและยืนยันที่จะเป็นรัฐอิสระและตัดสินใจทางการเมืองด้วยตนเอง (หน้า 122) ประวัติของพื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละหรือแบเกราะแค้มป์ พื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ กะเหรี่ยงเรียกว่าบ้านแบเกราะ แปลว่า “ไร่ฝ้าย” เนื่องจากในอดีตกะเหรี่ยงในหมู่บ้านปลูกฝ้ายและทอผ้า ตอนนั้นมีกะเหรี่ยงอยู่ 16 ครอบครัวมีประชากรประมาณร้อยกว่าคน ที่นับถือผี ศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ คนในหมู่บ้านได้ทอผ้าขายให้คนไทยและและพม่า เมื่อเกิดการสู้รบระหว่างทหารพม่ากับกองกำลังชนกลุ่มน้อยตามแนวบริเวณชายแดนไทย-พม่า จึงมีการตั้งค่ายผู้อพยพหลายแห่งตามแนวชายแดน แต่ก็มีกองกำลังทหารรัฐบาลพม่าและกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธได้ลักลอบเข้ามาเผาค่ายอพยพหลายแห่ง จนในที่สุดก็ได้มีการรวมค่ายอพยพต่างๆ มารวมกันอยู่ที่พื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละในทุกวันนี้ (หน้า 83) |
|
Settlement Pattern |
ที่อยู่อาศัยในพื้นที่พักพิงชั่วคราว ใช้วัสดุที่รื้อถอนง่าย เช่น ไม้ไผ่ ไม้สักกับใบตองตึงบ้านส่วนมากสร้างยกพื้นสูง ด้านหน้าของตัวบ้านบางหลังจากทำเป็นร้านขายของ ห้องนอนจะมี 1 ถึงสองห้อง ประตูกั้นด้วยผ้าม่าน พื้นที่ด้านหน้าและตรงกลางบ้านใช้เป็นที่ต้อนรับแขก ห้องครัวบางครั้งจะทำไว้หลังบ้าน หรือทำบ้านหลังขนาดเล็กเพื่อเป็นพื้นที่เก็บอาหารและเป็นที่กินข้าว ห้องส้วมจะเป็นส้วมซึมในบ้านที่มีเงินก็จะทำห้องน้ำส่วนตัวหากบ้านใดไม่มีห้องน้ำก็จะใช้ห้องน้ำส่วนรวม สำหรับบ้านทหาร หรือ ผู้นำกะเหรี่ยงบางครั้งจะซื้ออุปกรณ์อื่นเสริมไม่ว่าจะเป็น ไม้สัก หรือเทปูนซีเมนต์ (หน้า 100-101) |
|
Demography |
ประชากรในพื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ มีจำนวนประชากร 50,728 คนประกอบด้วยชาติพันธุ์ต่างๆ ได้แก่ กะเหรี่ยงสกอว์ กะเหรี่ยงโปว์ มุสลิม(โรฮิงยา) กะเรนนี พม่า ปะหล่อง ไทใหญ่ ตะแว แม๊ป มีจำนวนครอบครัว 7,540 ครอบครัว ซึ่งในจำนวนประชากรทั้งหมดยังไม่รวมคนที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน (หน้า 84,93 ตารางหน้า 94) |
|
Economy |
อาชีพของกะเหรี่ยงในพม่า การประกอบอาชีพของกะเหรี่ยงหากอยู่ในเมืองจะประกอบอาชีพต่างๆ เช่น หมอ ครู ทหารและอื่นๆ ส่วนกะเหรี่ยงที่อยู่ในชนบทจะทำงานเพาะปลูก เช่น ทำนา ทำไร่ ปลูกผัก และเลี้ยงสัตว์ อาหารของกะเหรี่ยงในพม่า การปรุงอาหารของกะเหรี่ยงส่วนมากจะปรุงแบบง่ายๆ เช่น ต้ม หรือผัด การปรุงอาหารจะทำมื้อเช้ากับมื้อเย็น สำหรับอาหารกลางวันจะกินอาหารที่เหลือจากอาหารมื้อเช้าหากไม่พอกินก็จะทำเพิ่ม (หน้า 68) อาหารกะเหรี่ยงในพื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ แบ่งเป็น 2 อย่างดังนี้ 1. อาหารที่ได้จากการบริจาค ได้แก่ ถั่วเหลือง จะนำมาทำซุป แกง ผัด และปลาร้าจะนำมาทอด ทำปลาร้าสับ น้ำพริกปลาร้า 2. อาหารที่ซื้อหรือมาจากเพาะปลูกเอง ที่เป็นอาหารกะเหรี่ยง เช่น น้ำพริกมะเขือเทศ มันฝรั่งต้มแกงเผ็ด ซุปใบส้มฝอยกับปลาแห้ง และอาหารทั่วไป เช่น ไข่เจียว ปลากระป๋อง บะหมี่สำเร็จรูป แกงปลา แกงฮังเล ฯลฯ ในการปรุงอาหารกะเหรี่ยงชอบใส่เกลือกับผงชูรส อาหารจะใช้น้ำมันกับขมิ้นและเครื่องเทศอื่นๆ เป็นส่วนประกอบ และกินผักเกือบทุกมื้อสำหรับรสชาติกะเหรี่ยงไม่ค่อยชอบอาหารรสหวาน (หน้า 102) หากมีงานพิธีสำคัญก็จะฆ่าวัว ควาย หมู ไก่ เพื่อทำอาหารเลี้ยงแขกเหรื่อ กรณีในครอบครัวนายทหารหากมีงานสำคัญบางครั้งก็จะฆ่าแพะทำอาหาร (หน้า 103) อาชีพของกะเหรี่ยงในศูนย์พักพิงชั่วคราวบ้านแม่แหละ มีดังนี้ - ค้าขาย ได้แก่ เปิดร้านขายของขนาดเล็กที่หน้าโรงเรียน เปิดร้านขายส่ง ทำอาหารขาย และทำอาชีพโรงภาพยนตร์ - รับจ้าง เช่นรับจ้างสร้างบ้าน ขนของและอื่นๆ เกษตรกรรม เช่น ปลูกผัก ผลไม้ เลี้ยงสัตว์ เช่น หมู ไก่ แพะ - ครูและนักวิชาการ กลุ่มนี้จะสอนหนังสือที่โรงเรียน หรือ รับงานแปลเอกสารค่าแรงอาจจะได้ หรือไม่ได้อยู่ที่กิจกรรม หรือองค์กรอุตสาหกรรมในครัวเรือน ทำงานทอผ้า จักสาน ขายให้องค์กรระหว่างประเทศ และขายในพื้นที่พักพิง เจ้าหน้าที่ขององค์กรทั้งภายในภายนอก เช่น อาสาสมัคร และเจ้าหน้าที่องค์กรพัฒนาเอกชนและอื่นๆ (หน้า 106-107) |
|
Social Organization |
อาชีพของกะเหรี่ยงในพม่า การประกอบอาชีพของกะเหรี่ยงหากอยู่ในเมืองจะประกอบอาชีพต่างๆ เช่น หมอ ครู ทหารและอื่นๆ ส่วนกะเหรี่ยงที่อยู่ในชนบทจะทำงานเพาะปลูก เช่น ทำนา ทำไร่ ปลูกผัก และเลี้ยงสัตว์ (หน้า 68) อาหารของกะเหรี่ยงในพม่า การปรุงอาหารของกะเหรี่ยงส่วนมากจะปรุงแบบง่ายๆ เช่น ต้ม หรือผัด การปรุงอาหารจะทำมื้อเช้ากับมื้อเย็น สำหรับอาหารกลางวันจะกินอาหารที่เหลือจากอาหารมื้อเช้าหากไม่พอกินก็จะทำเพิ่ม (หน้า 68) อาหารกะเหรี่ยงในพื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ แบ่งเป็น 2 อย่างดังนี้ 1. อาหารที่ได้จากการบริจาค ได้แก่ ถั่วเหลือง จะนำมาทำซุป แกง ผัด และปลาร้าจะนำมาทอด ทำปลาร้าสับ น้ำพริกปลาร้า 2. อาหารที่ซื้อหรือมาจากเพาะปลูกเอง ที่เป็นอาหารกะเหรี่ยง เช่น น้ำพริกมะเขือเทศ มันฝรั่งต้มแกงเผ็ด ซุปใบส้มฝอยกับปลาแห้ง และอาหารทั่วไป เช่น ไข่เจียว ปลากระป๋อง บะหมี่สำเร็จรูป แกงปลา แกงฮังเล ฯลฯ ในการปรุงอาหารกะเหรี่ยงชอบใส่เกลือกับผงชูรส อาหารจะใช้น้ำมันกับขมิ้นและเครื่องเทศอื่นๆ เป็นส่วนประกอบ และกินผักเกือบทุกมื้อสำหรับรสชาติกะเหรี่ยงไม่ค่อยชอบอาหารรสหวาน หากมีงานพิธีสำคัญก็จะฆ่าวัว ควาย หมู ไก่ เพื่อทำอาหารเลี้ยงแขกเหรื่อ กรณีในครอบครัวนายทหารหากมีงานสำคัญบางครั้งก็จะฆ่าแพะทำอาหาร (หน้า 102-103) อาชีพของกะเหรี่ยงในศูนย์พักพิงชั่วคราวบ้านแม่แหละ มีดังนี้ - ค้าขาย ได้แก่ เปิดร้านขายของขนาดเล็กที่หน้าโรงเรียน เปิดร้านขายส่ง ทำอาหารขาย และทำอาชีพโรงภาพยนตร์ - รับจ้าง เช่นรับจ้างสร้างบ้าน ขนของและอื่นๆ เกษตรกรรม เช่น ปลูกผัก ผลไม้ เลี้ยงสัตว์ เช่น หมู ไก่ แพะ - ครูและนักวิชาการ กลุ่มนี้จะสอนหนังสือที่โรงเรียน หรือ รับงานแปลเอกสารค่าแรงอาจจะได้ หรือไม่ได้อยู่ที่กิจกรรม หรือองค์กรอุตสาหกรรมในครัวเรือน ทำงานทอผ้า จักสาน ขายให้องค์กรระหว่างประเทศ และขายในพื้นที่พักพิง เจ้าหน้าที่ขององค์กรทั้งภายในภายนอก เช่น อาสาสมัคร และเจ้าหน้าที่องค์กรพัฒนาเอกชนและอื่นๆ (หน้า 106-107) |
|
Political Organization |
การปกครองของกะเหรี่ยงในพม่า กะเหรี่ยงในพม่าประกอบด้วยกะเหรี่ยงแดงหรือยางแดง (Red Karens) กับกะเหรี่ยงขาวหรือยางขาวอยู่ในรัฐต่างๆ ได้แก่ 1. บอว์เลค (Bawlake) 2. คันธาระวดี (Kantarawadi) 3. ยีโบกี (Kyebogyi) เมื่อก่อนนี้แต่ละรัฐจะปกครองโดย เมียวซ่า (Myosa)หรือเจ้าฟ้าน้อย (หน้า 19) หากเป็นชุมชนขนาดเล็กก็จะปกครองด้วยจารีตประเพณีที่มีความเชื่อเรื่องผี โดยมีผู้นำชุมชนหรือผู้สูงอายุเป็นผู้นำในการประกอบพิธี กระทั่งอังกฤษเข้ามาปกครองพม่าและมีการแบ่งเขตเมืองกับชนบทดังนั้นจึงทำให้ชุมชนกะเหรี่ยงมีรูปแบบการปกครองมากขึ้น แต่ในพื้นที่แนวชายแดนหรือภูเขาการปกครองส่วนมากยังคงใช้แบบจารีตประเพณี (หน้า 72) การปกครองและการบริหารจัดการพื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ กะเหรี่ยงที่หลบหนีการสู้รบเข้ามาอยู่ในไทยทางการไทยได้กำหนดสภาพเป็น "ผู้หนีภัยจากการสู้รบ" (Displaced Persons from Fighting) โดยถือว่าเป็นผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย (illegal Entrant) และไม่ได้รับความคุ้มครองภายใต้กฎหมายแต่ประการใด สำหรับพื้นที่รองรับกะเหรี่ยงที่หลบหนีการสู้รบเรียกว่า “พื้นที่พักพิงชั่วคราว”หรือ Temporary Shelter (หน้า 76) สำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปกครองและบริหารพื้นที่พักพิงฯแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ 1. หน่วยงานของรัฐบาลไทย ได้แก่ ศูนย์ประสานงานพื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ กระทรวงมหาดไทย, หน่วยงานทางทหาร (ชป.43) หน่วยงานด้านข่าวและความมั่นคงของสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ในการทำงานในพื้นที่พักพิงชั่วคราว จะมีศูนย์ประสานงานพื้นที่พักชั่วคราว ซึ่งเป็นหน่วยงานภูมิภาค อยู่ในสังกัดสำนักปลัดกระทรวงมหาดไทย ขึ้นกับฝ่ายอำนายการ สำนักงานจังหวัดตาก โดยมีหัวหน้ารองรับผู้หลบหนีภัยสงครามทำหน้าที่ดูแลการทำงานของราชการ โดยมีปลัดพื้นที่พักพิงประจำการอยู่ในพื้นที่ เพื่อทำหน้าที่ดูแลและประสานงานกับองค์กรการกุศลที่เข้ามาทำงาน (หน้า 86) 2. กลุ่มองค์กรระหว่างประเทศมีทั้งหมด 17 องค์กร ได้แก่ - UNHCR ทำหน้าที่ประสานงานกับองค์กรอื่นจัดทำทะเบียนและติดตามการทำงานเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยกับหน่วยงานในพื้นที่ (หน้า 86,87) - BBC (Burmese Border Consortium) ทำหน้าที่แจกอาหารและอุปกรณ์ก่อสร้าง - ZOA Refugee Care สนับสนุนการเรียนการสอนของผู้ลี้ภัย ตั้งแต่ชั้นเด็กเล็กถึงชั้นมัธยมปลาย, Consortium จัดการการเรียนการสอนชั้นหลังมัธยม อบรมครูและติดตามการทำงานของครู - ICS (International Christelik Steufonds) สนับสนุนการดำเนินงานของเด็กก่อนประถมศึกษา ช่วยเหลืออุปกรณ์ศึกษาและอุปกรณ์ยังชีพ - TOPS (Taipei Overseas Peace Services) ทำหน้าที่อบรมครูและนักเรียนและให้ทุนการศึกษา - BDEP (Burmese Distance Education Program) จัดการเรียนการสอนทางไกลทั้งภาษาพม่าทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่พักพิงฯ - ANDRA (Adventist Development and Relief Agency) จัดการศึกษาแบบออสเตรเลีย เวลาสอนจะสอนเป็นภาษาอังกฤษตั้งแต่ชั้นมัธยมต้นถึงระดับเตรียมอุดม - SVA (Santhi Volunteer Association) สนับสนุนเอกสารสิ่งพิมพ์ กับสร้างห้องสมุด - COERR (Catholic Office for Emergency Relief Refugee) ทำงานสังคมสงเคราะห์ ได้แก่ ส่งเสริมกลุ่มสตรี บ้านพักคนชรา กิจกรรมเยาวชน และสิ่งแวดล้อม - MSF (Medicins Sans Frontiere) ดูแลด้านสุขภาพและแจกยารักษาโรคดูแลโรงพยาบาลที่อยู่ในพื้นที่ 2 แห่ง - SMRU (Shoklo Malaria Research Unit) ตรวจและรักษาโรคมาลาเรียและโรคที่พบบริเวณชายแดน เช่น โรคเท้าช้าง - ICRC(International Red Cross) ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ได้รับความเดือดร้อนจากสงคราม จัดอบรมและจัดกิจกรรมเยาวชน - IRC (International Reiuce Committee) ช่วยเหลือด้านสายตา ตรวจวัดสายตา ตัดแว่นตา - HANDICAP International ช่วยเหลือคนพิการ ทำขาเทียม และอุปกรณ์สำหรับคนพิการ ให้ความรู้เรื่องการระวังอันตรายจากกับระเบิด , สวท. หรือ สมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย ทำหน้าที่อบรมและรณรงค์ด้านการคุมกำเนิด - WEAVE สนับสนุนการทำงานของกลุ่มสตรีและกิจกรรมเยาวชน (หน้า 86-88) 2. หน่วยงานคณะกรรมการกะเหรี่ยงประสานงานของผู้ลี้ภัยสำนักงานแม่หละ (Karen Refugee Committee, KRC) ทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานของไทยกับองค์กรต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยและดูแลการจัดการภายในพื้นที่โดยได้มีการแบ่งพื้นที่เขตปกครองออกเป็น 3 โซน 16 กลุ่มบ้าน ได้แก่ กลุ่มโซน A มี 5 กลุ่มบ้าน ได้แก่ A1, A2, A3, A4, A5 กลุ่ม B มี 5 กลุ่มบ้าน ได้แก่ B1, B2, B3, B4, B5 กลุ่มโซน C ประกอบด้วย 6 กลุ่มบ้าน ได้แก่ C1/A, C1/B, C2, C3, C4, C5 (หน้า 88-89) |
|
Belief System |
ศาสนาและความเชื่อของกะเหรี่ยงในพม่า เมื่อก่อนนี้กะเหรี่ยงนับถือผี กระทั่งศาสนาพุทธเข้ามาเผยแพร่ในพม่า จนในปี ค.ศ.1820 คณะมิชชั่นนารีกลุ่มอเมริกันแบ๊บติสต์ (American Baptist) ได้เข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ขณะนั้นกะเหรี่ยงกลุ่มสะกอว์ได้เข้ามานับถือเป็นจำนวนมากอาทิ กลุ่มกะเหรี่ยงสะกอว์ที่อยู่ในตัวเมือง และในเวลานั้นคณะมิชชันนารีได้เขียนเรื่องราวเพื่อใช้อธิบายเรื่องพระเจ้าในศาสนาคริสต์หรือ “Ywa” เพื่อปรับแนวคิดของกะเหรี่ยง แต่การนับถือศาสนาของกะเหรี่ยงนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ทุกกลุ่ม เพราะยังมีกะเหรี่ยงโปว์ส่วนหนึ่งที่อยู่บริเวณที่ราบลุ่มอิระวดี ตอนใต้ของพม่า ที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ แม้ว่ากะเหรี่ยงโปว์บางส่วนจะเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ก็ตาม แต่ก็ยังมีกะเหรี่ยงบางส่วนที่อยู่ในพื้นที่หุบเขาที่ยังคงนับถือผีและไม่ค่อยได้มาติดต่อกับกะเหรี่ยงที่อยู่ในพื้นที่ราบหรืออยู่ในเมือง (หน้า 70,137) ศาสนาและความเชื่อของกะเหรี่ยงในพื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ ประชากรในพื้นที่พักพิงฯ นับถือศาสนาหลายอย่างดังนี้ กลุ่มที่นับถือศาสนาคริสต์มีมากที่สุด คิดเป็น 50% ของประชากรทั้งหมดโดยแยกเป็นนิกายต่างๆ ดังนี้ Baptist มีโบสถ์ 15 แห่ง และโรงเรียนพระคัมภีร์, S.D.A.(Seven Day Adventists) หรือ คริสเตียนวันเสาร์ มีโบสถ์ 6 แห่ง, Catholic มีโบสถ์ 3 แห่ง, Anglican มีโบสถ์ 2 แห่ง, J.W.มีโบสถ์ 1 แห่ง, Holy Family เวลาประชุมจะไปที่บ้านผู้นำพิธี ฯลฯ (หน้า 112,123,125) กลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธ มีวัด 4 แห่ง (หน้า 112) คิดเป็น 35% ของจำนวนประชากร ชาวพุทธส่วนใหญ่จะสร้างบ้านอยู่บริเวณรอบวัดในพื้นที่โซนเอ บีและซี เพราะเชื่อว่าวัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จะช่วยรักษาชีวิตและทรัพย์สมบัติต่างๆ (หน้า 125) กลุ่มที่นับถือวิญญาณบรรพบุรุษกับธรรมชาติ โดยแบ่งเป็นแบ่งเป็นกลุ่มที่ประสมประสานกับความเชื่อทางศาสนาพุทธ และกลุ่มที่นับถือวิญญาณ (หน้า 112) กลุ่มที่นับถือศาสนาอิสลามหรือมุสลิมพม่า/โรฮิงยา มีสุเหล่า 4 แห่ง มีคนที่นับถือ 15% ของจำนวนประชากร (หน้า112,126) แต่เดิมมุสลิมพม่าอยู่ที่รัฐอาระกัน ทิศตะวันตกของประเทศพม่าติดกับประเทศบังกลาเทศ เมื่อมาอยู่ในพื้นที่พักพิงคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะทำอาชีพค้าขาย (หน้า 127) และกลุ่มที่นับถือศาสนาฮินดู ไม่มีสถานที่ประกอบศาสนาพื้นที่พักพิง (หน้า 112) |
|
Education and Socialization |
การศึกษาของกะเหรี่ยงในพม่า โรงเรียนในเขตเมืองทางการพม่าจะให้เรียนเป็นภาษาพม่า กับภาษาอังกฤษ ห้ามเรียนภาษากะเหรี่ยงในโรงเรียน ส่วนในเขตชนบทหรือเขตภูเขาในบางพื้นที่ก็สามารถเรียนเป็นภาษากะเหรี่ยงได้ ส่วนการจัดการศึกษาของกะเหรี่ยงจะใช้ตามแบบอังกฤษที่ทำเอาไว้ในยุคที่พม่ายังเป็นอาณานิคม ประกอบด้วยระดับการศึกษาต่างๆ ดังนี้ ระดับชั้นก่อนเด็กเล็ก ระดับชั้นประถม 5 ปี ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 3 ปี และระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 2 ปี และระดับวิทยาลัย 2 ปี และเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย (หน้า 69) แต่กะเหรี่ยงส่วนใหญ่จะได้เรียนถึงในระดับชั้นมัธยมปลายหรือชั้น 10 เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการเรียนมหาวิทยาลัยในพม่าต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงมีนักเรียนบางส่วนเข้ามาเรียนที่แค้มป์หรือเรียนมหาวิทยาลัยในประเทศไทย (หน้า 70) การศึกษาของกะเหรี่ยงในพื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ ส่วนมากองค์กรระหว่างประเทศจะเป็นกลุ่มที่ให้การสนับสนุนด้านการศึกษาในพื้นที่พักพิงฯ การจัดการศึกษาจะใช้รูปแบบตั้งแต่อังกฤษยังเป็นเจ้าอาณานิคมปกครองพม่า แบ่งเป็นระบบ 10 ชั้นได้แก่ ระดับประถมศึกษา 5 ชั้น ระดับมัธยมต้น 3 ชั้น และมัธยมปลาย 2 ชั้น และชั้นก่อนวัยเรียน การเรียนการสอนส่วนมากจะใช้ภาษากะเหรี่ยง ในบางวิชาจะสอนด้วยภาษาอังกฤษ พม่า ไทย เมื่อเรียนจบนักเรียนกะเหรี่ยงจะเรียนต่อในชั้นก่อนอุดมศึกษา โรงเรียนชั้นพิเศษ สายวิชาชีพ เรียนพระคัมภีร์ที่แม่สอด หรือที่เชียงใหม่ ทั้งนี้ในพื้นที่พักพิงฯมีโรงเรียนต่างๆ ดังนี้ โรงเรียนระดับชั้นเด็กก่อนวัยเรียน 24 แห่ง โรงเรียนประถมศึกษา 16 แห่ง โรงเรียนมัธยมต้น 4 แห่ง โรงเรียนมัธยมปลาย 5 แห่ง นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนชั้นหลังมัธยมปลายและวิชาชีพพิเศษ โรงเรียนพระปริยัติธรรม โรงเรียนพระคัมภีร์ และ M.O.I. Thai Language School สังกัดสำนักงานพื้นที่พักพิงชั่วคราว (หน้า 103-104) |
|
Health and Medicine |
สุขภาพและอนามัยของกะเหรี่ยงในพื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ ในพื้นที่พักพิงฯจะเกิดโรคระบาดหลายอย่างซึ่งมาจากผู้ที่ได้รับเชื้อจากป่าในประเทศพม่า กับเชื้อโรคที่มีอยู่ในพื้นที่พักพิง โรคที่พบ ได้แก่ อหิวาตกโรคเนื่องมาจากมีการปล่อยน้ำเสียลงแหล่งน้ำและส้วมไม่เพียงพอกับจำนวนผู้ใช้ สำหรับโรคระบาดที่พบอยู่ในช่วงต่างๆ ได้แก่ ในหน้าแล้งพบโรคท้องร่วง ในหน้าฝนคนจะป่วยเป็นโรคมาลาเรียเป็นกันมาก ส่วนโรคอื่นที่พบ ได้แก่ วัณโรค ไวรัสตับอักเสบเอ, บี โรคปากนกกระจอก โรคผิวหนัง ฯลฯ สำหรับการรักษาจะมีโรงพยาบาล 2 แห่งกับโรงพยาบาลมาลาเรีย 2 แห่ง หากป่วยหนักก็จะส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลแม่สอด (หน้า 108-109) นอกจากนี้ยังรักษาจากหมอสมุนไพรโดยได้นำรากไม้ เปลือกไม้ อวัยวะของสัตว์ นำมาดองเหล้าหรือฝนกับหินเพื่อรักษาผู้ป่วย (หน้า 110) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
การแต่งกายของกะเหรี่ยงในพม่า แต่งกายด้วยชุดผ้าฝ้ายที่ทอเอง เมื่อทอเสร็จแล้วก็จะนำผ้าสองชิ้นมาเย็บติดกัน บางครั้งก็จะประดับประดาเสื้อผ้าด้วยเม็ดเดือย ลูกปัด และประดับเสื้อด้วยพู่ ผู้ชาย ชอบสวมเสื้อสีแดงและสีอื่นๆ สวมผ้าโสร่งเป็นลายเส้น ผู้หญิงโสด สวมเสื้อยาวสีขาว กับสวมเสื้อสีขาว สวมผ้าซิ่น ผู้หญิงที่สมรสแล้ว สวมเสื้อผ้าสีสันต่างๆ โพกหัวด้วยผ้า สะพายย่าม (หน้า 67-68) การแต่งกายของกะเหรี่ยงในพื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ กะเหรี่ยงบางส่วนยังชอบแต่งกายด้วยชุดประจำเผ่า และมีการรณรงค์ให้สวมชุดกะเหรี่ยงทุกวันพฤหัสบดี (หน้า 131) การแสดงของกะเหรี่ยงในพม่า ศิลปะการแสดงของกะเหรี่ยงพม่าส่วนใหญ่จะได้รับอิทธิพลจากชาติพันธุ์อื่นไม่ว่าจะเป็น มอญ พม่า ไทย จีน การแสดงไม่ค่อยหลากหลาย เช่น กะเหรี่ยงสกอว์ จะมีผลงานทางวรรณกรรม เป็นบทกวี หรือ ทะ(Hta) ซึ่งเล่าเรื่องเกี่ยวกับคนและธรรมชาติ ความรักสันติ ศาสนา (หน้า 71,132) เวลาแสดงจะนำบทกวีมาร้องประกอบกับเครื่องดนตรีสากล เช่น กีตาร์ เปียโน และอื่นๆ ส่วนกะเหรี่ยงโปว์ส่วนใหญ่จะใช้เครื่องดนตรีของกะเหรี่ยง เช่น พิณ กีต้าร์กะเหรี่ยง กระบอกไม้ไผ่ กลอง แคน แตร และอื่นๆ การแสดงจะร้องในพิธีที่เกี่ยวกับการนับถือผีและศาสนาพุทธ ได้แก่ พิธีกินข้าวห่อ งานผูกข้อมือ ปีใหม่ และอื่นๆ นอกจากนี้ยังใช้เครื่องดนตรีที่รับมาจากชาติพันธุ์อื่น เช่น ฆ้องวง กลองตะโพน ปี่ โดยจะนำมาเล่นในการแสดง เช่น ระบำกะเหรี่ยง (K.Done) ระบำไม้ไผ่(Gee Kree) และละครจ่า(Ja) (หน้า 71) ศิลปะและการแสดงของกะเหรี่ยงในพื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ แบ่งเป็น 2 แบบ คือ ศิลปะและการแสดงแบบดั้งเดิม โดยจะมีกลุ่มที่มีความรู้ด้านศิลปะกะเหรี่ยงจะมารวมกลุ่มกันเพื่อสอนเยาวชน ได้แก่ การเต้นระบำ เล่นดนตรี และเล่นละคร กับศิลปะ และการแสดงแบบสมัยใหม่ ได้แก่ การแสดงในโบสถ์ อาทิ การร้องเพลงประสานเสียง เพลงกะเหรี่ยงสากล การเต้นเชียร์ลีดเดอร์และอื่นๆ (หน้า 114) |
|
Folklore |
นิทานกะเหรี่ยงกลุ่มผาอะไม่กินเนื้อเม่น นานมาแล้วกะเหรี่ยงกลุ่มผาอะชอบเข้าป่าล่าสัตว์ เมื่อล่ามาได้ก็จะนำเนื้อสัตว์ป่ามาแบ่งให้กับพี่น้อง ได้แก่ กลุ่มสกอว์และกลุ่มโปว์ เมื่อถึงวันหนึ่งกลุ่มสกอว์จับเม่นได้หนึ่งตัว โดยนำมาแบ่งให้กับพี่น้อง แต่กลุ่มผาอะได้รับเพียงชิ้นบางๆ เท่านั้น กลุ่มผาอะจึงโกรธเคืองกลุ่มสกอว์และทิ้งเนื้อเม่นที่เป็นส่วนแบ่ง จากเรื่องที่เกิดขึ้นนี้กลุ่มสกอว์จึงเรียกกลุ่มผาอะว่า พวกตองตู (Ta-Aw Thu) หมายถึง คนไม่กินเนื้อเม่น (หน้า 47-48) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
ชาติพันธุ์กะเหรี่ยงได้เริ่มสร้างอัตลักษณ์ของตนเองในยุคที่อังกฤษเป็นเจ้าอาณานิคมปกครองพม่า ซึ่งในครั้งแรกนั้นกะเหรี่ยงจะไม่ค่อยยอมรับอังกฤษแต่เมื่อได้รับการปฏิบัติทางสังคมที่ดีจึงมีแนวโน้มเอียงไปเข้าข้างฝ่ายอังกฤษมากกว่าพม่า เช่น อังกฤษให้การสนับสนุนส่งเสริมด้านการศึกษาให้แก่กะเหรี่ยง เผยแพร่ศาสนาคริสต์โดยสร้างประวัติศาสตร์ร่วมซึ่งเป็นความเกี่ยวพันระหว่างกะเหรี่ยงและศาสนาคริสต์ และสร้างตัวหนังสือให้กับกะเหรี่ยง ดังนั้นในสังคมกะเหรี่ยงจึงเกิดความเป็นชาตินิยมและมีการศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์ของตนอย่างจริงจังว่ามีความเป็นมาอย่างไร ซึ่งแตกต่างจากก่อนยุคอาณานิคมที่พม่าจะไม่ให้ความสำคัญกับการศึกษาประวัติศาสตร์กะเหรี่ยงและทำให้เห็นว่ากะเหรี่ยงไม่มีประวัติศาสตร์และอารยธรรมของตนเอง (หน้า 166) ดังนั้นกะเหรี่ยงจึงเริ่มทำการเคลื่อนไหวทางสังคมในรูปแบบทางการเมืองและการทหารเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลพม่าโดยเริ่มในยุคที่เป็นอาณาคมและเริ่มต่อสู้กับพม่ามากขึ้นในช่วงหลังยุคอาณานิคมของอังกฤษดังนั้นจึงทำให้กะเหรี่ยงในพม่าต้องกลายสถานภาพเป็นผู้หนีภัยสงคราม, ผู้ลี้ภัย และผู้อพยพในประเทศไทย ดังนั้นแม้ว่าจะเข้ามาอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวในประเทศไทยก็ได้รวมกลุ่มกันเพื่อแสดงความสำนึกความเป็นชาติพันธุ์กะเหรี่ยง แต่ก็ได้มีการปรับเปลี่ยนบางส่วนเช่นการต้องรับอาหารที่ได้รับบริจาค กลุ่มกะเหรี่ยงได้สร้างเครือข่ายสังคมออกเป็น 3 ส่วนประกอบด้วย กลุ่มกะเหรี่ยงในพม่า กลุ่มกะเหรี่ยงในไทย และกลุ่มกะเหรี่ยงในประเทศที่สาม โดยมีกลุ่มกะเหรี่ยงที่อยู่ในประเทศไทยเป็นกลุ่มศูนย์กลางในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ (หน้า 167) สำหรับกะเหรี่ยงที่อยู่ในพื้นที่พักพิงฯแม่หละก็เป็นพื้นที่รวมกลุ่มของอัตลักษณ์ทางสังคมของกะเหรี่ยงในรูปแบบขององค์กรต่างๆ (หน้า 167) เนื่องจากพื้นที่พักพิงแม่หละเป็นองค์กรที่ได้รับการสนับสนุนและการระดมทุนช่วยเหลือต่างๆ มาตลอดดังนั้นจึงทำให้เกิดการเชื่อมโยงทางสังคมการสำนึกความเป็นชาติพันธุ์กะเหรี่ยงและการพัฒนา อัตลักษณ์ของกะเหรี่ยงและให้คงอยู่ในสังคมในพื้นที่พักพิงแม่หละและที่อื่นๆ (หน้า 168) |
|
Social Cultural and Identity Change |
|
Map/Illustration |
แผนผัง แนวคิดการศึกษาชุมชนและอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ (หน้า 29) กะเหรี่ยงโปว์และพวกที่สืบพันธุ์ทางแม่ (Pwo) (หน้า 51) กะเหรี่ยงสกอว์และพวกที่สืบพันธุ์ทางพ่อ (Sgaw) (หน้า 52) กลุ่มกะเหรี่ยงบเวและพวกที่สืบสายพันธุ์ผสม (Bweh) (หน้า 53) การปฏิบัติงานของหน่วยงานต่างๆ ภายในพื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ (หน้า 91) สรุปพัฒนาการและบทบาทองค์กรประชาสังคมในพื้นที่พักพิง (หน้า 165) สรุปกระบวนการก่อรูปและพัฒนาการของอัตลักษณ์กะเหรี่ยง (หน้า 169) แผนที่ การอพยพของกะเหรี่ยงเข้าสู่พม่า(หน้า 41) การอพยพเข้าสู่เขตภูเขาของรัฐกะเหรี่ยงทางตะวันออกของพม่า (หน้า 60) ที่อยู่อาศัยของกลุ่มกะเหรี่ยงในพม่า (หน้า64) พื้นที่พักพิงชั่วคราวในไทย (หน้า 77) การอพยพจากจุดต้นทางมาสู่พื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ (หน้า 78) พื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ (หน้า 79) เขตการปกครองในพื้นที่พักพิงบ้านแม่หละ (หน้า 80) ภาพ เมืองแหลงบเว (หน้า 61) งานประชุมประจำปีและกลุ่มแองลิกันคริสเตียนกับวัดพุทธ (หน้า 124) งานเดินเรี่ยไรเงินทำบุญ (หน้า 126) สถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอิสลามในพื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ (หน้า 128) แม่น้ำเมย (ภาคผนวก ก หน้า 178) ที่อยู่อาศัยถูกเผา, ที่อยู่ชั่วคราวในป่าของพม่า (หน้า 179) ภาพขณะกำลังวิ่งหนีในป่า, ภาพการบังคับใช้แรงงานสร้างทางรถไฟ (หน้า 180) โรงเรียนชั่วคราวในป่า, ผู้พลัดถิ่นที่ถูกฆ่าตายในป่า (หน้า 181) ทหารKNU ในป่าฝั่งพม่า, ค่าทหารKNU (หน้า 182) แคมป็กะเหรี่ยงในเขตทหาร KNU หลังจากถูกเผา,ถนนสายกับระเบิด (หน้า 183) หมู่บ้านกะเหรี่ยงแห่งหนึ่งห่างจากชายแดนไทย 15 กิโลเมตร, บ้านหลังถูก DKBA เผาทำลาย(หน้า 184) ฐานที่ตั้งกองกำลัง DKBA, กับระเบิด (หน้า 185) ผู้พลัดถิ่นถูกกับระเบิด (หน้า 186) ค่ายอพยพบ้านแม่หละ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก (หน้า 187) ตลาดในค่ายอพยพแม่หละ(หน้า 188) โรงพยาบาลในค่ายอพยพ, แปลงปลูกผัก (หน้า 189) โรงเรียน,เจดีย์วัดพุทธในค่ายอพยพ (หน้า 190) โบสถ์คริสต์, สถานที่ประกอบพิธีของศาสนาอิสลามในค่าแม่หละ (หน้า 191) โรงเรียนและวิทยาลัยสอนพระคัมภีร์ภายในค่ายอพยพ, ศูนย์ฝึกอาชีพสตรีในค่ายอพยพ (หน้า 192) การเล่นกีฬา,หนังกลางแปลง (หน้า 193) โรงภาพยนตร์ในค่ายอพยพ, การขนอาหารจากโกดัง (หน้า 194) นักเรียนในวันเรียนจบ, การซ่อมแซมบ้าน (หน้า 195) กิจกรรมผู้พิการ,ร้านน้ำชามุสลิม (หน้า 196) ร้านค้า, ห้วยแม่ผารู (หน้า197) กิจกรรมของคณะมิชชั่นนารีต่างประเทศ, คณะแพทย์และมิชชั่นนารี (หน้า 198) การเรี่ยไรเงินของศาสนาพุทธ, งานบวชลูกแก้วในค่ายอพยพ(หน้า 199 ) งานแต่งงาน,งานฝังศพแบบคริสเตียน (หน้า 200) การร้องเพลงประสานเสียงในโบสถ์, การจัดทำทะเบียนผู้อพยพ (หน้า 201) กิจกรรมสตรี 7 ชนเผ่า, งานเลือกตั้งกรรมการโซน (หน้า 202) กิจกรรมซ้อมหนี DKBA, บ่ออาบน้ำรวม (หน้า 203) ปีใหม่กะเหรี่ยง, ระบำไม้ไผ่ (หน้า 204) ลิเก,ระบำกะเหรี่ยง (หน้า 205) การสวนสนามของกองทหารกะเหรี่ยง, นายพลโบเมี๊ยะ (หน้า 206) บา ทิน อ่านประกาศในวันงานอิสรภาพกะเหรี่ยงฝั่งพม่า (หน้า 207) ผู้วิจัยขณะเข้าเยี่ยมนายพลโบเมี๊ยะสำนักงานใหญ่หน่วยงานความมั่นคงกะเหรี่ยง (หน้า 208) ทหารเข้าร่วมงานวันอิสรภาพกะเหรี่ยง (หน้า 209) ตาราง สถิติจำนวนผู้อพยพ (หน้า 94) การเพิ่มและลดของประชากร (หน้า 94) รายการแจกจ่ายอาหาร (หน้า 98) |
|
|