|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กูย,วัฒนธรรม,พิธีกรรม,บทสู่ขวัญ,สุรินทร์ |
Author |
ปิยพันธุ์ สรรพสาร |
Title |
วิเคราะห์บทสู่ขวัญของชาวกูย อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ |
Document Type |
ปริญญานิพนธ์ |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
กูย กุย กวย โกย โก็ย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม) |
Total Pages |
121 |
Year |
2546 |
Source |
หลักสูตรปริญญาศิลปกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ |
Abstract |
การศึกษาวิเคราะห์บทสู่ขวัญของชาวกูยในบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของชาวกูย อำเภอศีขรภูมิ จังหวัด สุรินทร์ โดยศึกษาข้อมูลจากทางเอกสารและข้อมูลมุขปาฐะ ผลการศึกษาพบว่า พิธีกรรมสู่ขวัญของชาวกูย อำเภอศีขรภูมิจ.สุรินทร์ กระทำสืบเนื่องกันมาเป็นเวลานานโดยมีหมอขวัญเป็นผู้ประกอบพิธี คุณลักษณะของหมอขวัญที่ได้รับความเชื่อถือนั้นมีลักษณะที่คล้ายกันคือ เป็นเพศชาย อายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป ผ่านการบวชเรียนเป็นเวลานาน และเคยประกอบพิธีกรรมการสู่ขวัญมาก่อนแล้วจนเชี่ยวชาญ เนื้อหาของบทสู่ขวัญจัดแบ่งตามโอกาสที่ใช้ประกอบพิธีกรรม 3 ประเภท คือ การสู่ขวัญในช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิต พิธีสู่ขวัญในการเซ่นสรวง และพิธีกรรมสู่ขวัญสำหรับผู้ป่วย บทสู่ขวัญ มีบทบาทหน้าที่ในการให้การศึกษา สร้างความจรรโลงใจ ทำให้วัฒนธรรมสมบูรณ์และเข้มแข็งขึ้น สร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของบุคคลในชุมชน และบทบาทในการเป็นเครื่องมือควบคุม และรักษาแบบแผนของชุมชน ลักษณะการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมพบว่า พิธีกรรมการสู่ขวัญมีลักษณะของการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมในชุมชนชาวกูย 4 ด้าน คือ ภาษา ความเชื่อ การแต่งงานข้ามชาติพันธุ์ และด้านประเพณีพิธีกรรม ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบมี 5 ด้าน คือ ความคล้ายคลึงด้านความเชื่อและค่านิยม คล้ายคลึงด้านชาติพันธุ์ คล้ายคลึงด้านการประกอบอาชีพ และการขยายความเจริญด้านต่าง ๆ เช่น การศึกษา การปกครอง การสื่อสาร โทรคมนาคม และการแต่งงานข้ามชาติพันธุ์ |
|
Focus |
วิถีชีวิตของกูยที่ผูกพันอยู่กับพิธีกรรมต่าง ๆ มากมายเช่น พิธีกรรมสู่ขวัญซึ่งมีความสำคัญต่อชุมชนเป็นอย่างมากในแง่การสร้างขวัญ ให้กำลังใจ และการแสดงความปรารถนาดี จรรโลงใจแก่กันภายในชุมชน ทำให้วัฒนธรรมมีความสมบูรณ์และเข้มแข็งขึ้น (หน้า 41-121) ผู้เขียนได้ใช้วิธีศึกษาโดยการลงพื้นที่เก็บข้อมูลในชุมชนเป้าหมาย การเข้าไปสังเกต เรียนรู้วัฒนธรรมและค่านิยม การสัมภาษณ์จากวิทยากรผู้ที่มีความรู้ (หน้า 39-117) การลงเก็บข้อมูลภาคสนามจะเป็นการได้สัมผัสถึงรูปแบบของสังคมชาวกูย ซึ่งมีความเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง อันเป็นผลจากสภาพแวดล้อม วัฒนธรรมและจารีตขนบธรรมเนียมต่าง ๆ นั่นเอง นอกจากนี้ การสืบสาวถึงบทสู่ขวัญและความเป็นมา รวมทั้งการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นนั้น ผู้เขียนยังได้ศึกษารวบรวมทั้งจากปากคำบอกเล่าของหมอขวัญ และข้อมูลประกอบอื่นๆ ที่ได้จากการค้นคว้าเอกสาร ก่อนจะนำมาวิเคราะห์ และสังเคราะห์ให้ได้เนื้อของข้อเท็จจริงโดยหลักปฏิบัติของชาวกูยด้วย (หน้า 3-117) |
|
Ethnic Group in the Focus |
กลุ่มชาติพันธุ์ กูย (Kui) หรือ กวย ในกรณีศึกษานี้ใช้คำ กูย หมายถึง กูยในอำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งพูดภาษากูย คนทั่วไปมักเรียกคนกลุ่มนี้ว่า ส่วย (หน้า 7) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
กูยในกรณีศึกษานี้จะใช้ภาษากูย ในการพูดสื่อสารเป็นหลักภายในชุมชนของตนเอง แต่เนื่องจากต้องมีการติดต่อกับสังคมอื่นจึงสามารถใช้ภาษาพูดตามภาษาของสังคมที่ไปติดต่อนั้นได้ เช่น การพูดภาษาไทยเขมร และการพูดภาษาไทยลาว (หน้า 36) กูยมีภาษาพูดเป็นของตนเองซึ่งอยู่ในตระกูลออสโตรเอเชียติคและมีคำศัพท์ร่วมกับภาษาเขมรจำนวนไม่น้อย(หน้า28) แต่ไม่มีภาษาเขียน ในปัจจุบันโดยทั่วไปแล้วกูยใช้อักษรไทย ในระบบการจัดการศึกษาของ อำเภอศีขรภูมิ ซึ่งมีตั้งแต่ก่อนประถมศึกษา จนถึงระดับอนุปริญญา และยังมีศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนของอำเภอศีขรภูมิ จึงเป็นโอกาสทางการศึกษาสำหรับกูยในเขตนี้ (หน้า 23) |
|
Study Period (Data Collection) |
เก็บข้อมูลภาคสนามในช่วง เดือนมกราคม 2543 ถึง เดือนธันวาคม 2544 (หน้า 118) |
|
History of the Group and Community |
อ. ศีขรภูมิ เดิมมีชื่อเรียกว่า ศีขรภูมิพิสัย แต่ผู้คนมักเรียกสั้น ๆ ว่า ศีขรภูมิ เป็นที่อยู่ของกูยที่อพยพมาจากฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง สู่ภาคอีสานของประเทศไทยทางจังหวัดอุบลราชธานีและย้ายมาจนถึงจังหวัดสุรินทร์ ในรัชกาลสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เปลี่ยนวิธีปกครองเป็นแบบตะวันตก จึงยุบเมืองศีขรภูมิพิสัยเป็นอำเภอ ขึ้นต่อจังหวัดสุรินทร์ มณฑลอุบลราชธานี หลังจากปี พ.ศ. 2469 หลวงจรุงจิตประชา ได้เป็นนายอำเภอศีขรภูมิ เล็งเห็นประโยชน์เนื่องจากการตัดทางรถไฟจากกรุงเทพจนถึงอุบลราชธานี จึงย้ายที่ว่าการอำเภอจากบ้านอนันต์ ไปอยู่ที่บ้านระแงง ตำบลระแงง ดังปัจจุบัน (หน้า 19-21) |
|
Settlement Pattern |
เดิมทีกูยอาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำมูล เรื่อยไปจนถึงจำปาศักดิ์ สารวัน อัตตปือ รวมไปถึงบางส่วนของกัมพูชา แต่แนวความคิดในเรื่องการตั้งถิ่นฐานนั้นมีทั้งแนวคิดที่ว่าเดิมชาวกูยอยู่บริเวณตอนเหนือของอินเดีย ภายหลังอพยพมาที่พม่าจนถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยในปัจจุบัน อีกแนวคิดเชื่อว่า กูยอาศัยอยู่ในบริเวณภาคอีสานของไทยจนถึงตอนใต้ของลาวและทางตอนเหนือของกัมพูชาซึ่งก็คือที่อยู่ปัจจุบันมานานแล้ว (หน้า 25-26) กูยใน อ. ศีขรภูมิ นิยมตั้งบ้านเรือนในที่ราบลุ่ม สำหรับชุมชนเมือง บ้านเรือนจะกระจายตามความเหมาะสมของการประกอบกิจการค้าขายและบริการ ในชนบทนิยมตั้งบ้านเรือนเป็นกลุ่มคุ้ม หมู่บ้านที่ตั้งใหม่จะตั้งกระจายไปตามทางสัญจร บ้านเรือนนิยมหันหน้าบ้านออกสู่ถนน ชุมชนเมืองจะมีแนวรั้ว หรือถ้าเป็นตัวตึกจะมีการเว้นเขตพื้นที่ดินไว้ ส่วนในชนบทจะไม่มีรั้ว จะเป็นการปลูกไม้ยืนต้นหรือปลูกพืชเป็นแนวรั้ว (หน้า 23) ลักษณะบ้านเรือน ชุมชนเมืองจะเป็นตึก อาคารพาณิชย์ ชนบทโดยมากจะเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ใต้ถุนสูง เพื่อประโยชน์ในการเลี้ยงสัตว์ ทอผ้า และยังมีบ้านแบบชั้นเดียวไม่มีใต้ถุน (หน้า 23) |
|
Demography |
รายงานการศึกษาอ้างถึงข้อมูลปี พ.ศ.2543 ว่า อ.ศีขรภูมิมีประชากรทั้งสิ้น 106,822 คน ประชากรที่เป็นเชื้อสายกูย 38,264 คน คิดเป็นร้อยละ 36 ของประชากรทั้งหมด ตำบลที่มีประชากรชาวกูยอาศัยอยู่หนาแน่นมาก 7 ตำบล (หน้า 21-22) คือ ตำบลแตล 6,373 คน, ตำบลคาละแมะ 5,259 คน, ตำบลตรึม 8,056 คน, ตำบลหนองบัว 3,660 คน, ตำบลนารุ่ง 4,727 คน, ตำบลตรมไพร 4,682 คน, ตำบลผักไหม 2,2244 คน |
|
Economy |
อาชีพของชาวกูยใน อำเภอศีขรภูมิอาจแบ่งได้ดังนี้ - การเกษตร ที่หลัก ๆ ได้แก่ การทำนา การเลี้ยงสัตว์ - อุตสาหกรรมในครัวเรือน มีไม่มากนัก ที่มีชื่อเสียงคือการทำกาละแม การทอผ้า - การพาณิชย์และบริการ เป็นการลงทุนขนาดเล็กจำหน่ายสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค ได้แก่ ร้านค้าขนาดเล็ก ร้านอาหาร ธนาคาร รถเช่า และรถโดยสาร (อ้างตามหน้า 22, 37) |
|
Social Organization |
สังคมของชาวกูย มีความสัมพันธ์แบบเครือญาติอย่างแน่นแฟ้น เนื่องจากการสมรสกันภายในหมู่บ้านทำให้สภาพสังคมมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ชาวบ้านในสังคมกูยจะมีฐานะเป็นปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา ลูก หลาน ของกันและกัน ผู้นำในสังคมหมู่บ้านที่กูยยอมรับนับถือจะเป็นผู้ที่เคยบวชเรียนมานาน หรือผู้ที่มีตำแหน่งสำคัญในหมู่บ้านเช่น กำนัน ผู้ใหญ่ ครู อาจารย์ สัญลักษณ์ของสังคมหมู่บ้านชาวกูยที่สำคัญคือ วัด ศาลปู่ตา ซึ่งถือเป็นศูนย์รวมจิตใจ และการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ วัดเป็นสัญลักษณ์การนับถือศาสนาพุทธ ศาลปู่ตาประจำหมู่บ้านเป็นสัญลักษณ์ในการนับถือผี และสิ่งศักดิ์สิทธิ์รวมทั้งความสัมพันธ์ที่มีต่อบรรพบุรุษ (หน้า 36-37) |
|
Political Organization |
อำเภอศีขรภูมิแบ่งการปกครองเป็น 15 ตำบล 213 หมู่บ้าน มี 1 เทศบาล คือ เทศบาลตำบลระแงง (หน้า 23) กูยใน อำเภอศีขรภูมิมีวิถีชีวิตที่ประกอบด้วยขนบธรรมเนียมที่เป็นเอกลักษณ์ นอกจากจะอยู่ภายใต้สังคมที่แบ่งการปกครองตามอำนาจรัฐแล้ว ชาวกูยยังมีความเชื่อที่ถือปฏิบัติกันมาช้านาน ตามโอกาสต่าง ๆ ตั้งแต่การเกิด การดำเนินชีวิต การเปลี่ยนวัย การครองเรือน จนกระทั่งถึงการตาย สิ่งเหล่านี้ชาวกูยจะถือปฏิบัติสืบทอดกันมาอย่างเคร่งครัด (หน้า 23) |
|
Belief System |
ชาวกูยนับถือศาสนาพุทธควบคู่กับความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์อำนาจเหนือธรรมชาติอย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะเรื่องผี ที่ผูกพันกับชุมชนอย่างแน่นแฟ้น ชาวกูยจะประกอบพิธีเซ่นสรวงบูชาผีปู่ตาเป็นประจำทุกปี โดยมีการปรุงแต่งเครื่องเซ่นเป็นพิเศษ เพื่อจะบอกกล่าวขอความคุ้มครอง ขอพรบันดาลให้มีความสุขความเจริญอย่างสม่ำเสมอ (หน้า 23-34) แม้ว่าจะนับถือศาสนาพุทธ แต่ก็ยังมีความเชื่อในเรื่องอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะเรื่องผี ซึ่งกูยจะเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์และระดับความสำคัญจะแตกต่างกันไป เช่น 1) ผีปะกำ จะเป็นอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีความหมายต่อกลุ่มชาวกูยผู้เลี้ยงช้าง เพราะถือว่าเป็นผีบรรพบุรุษของชาวกูยผู้เลี้ยงช้าง 2) ผีปู่ตา เป็นผีบรรพบุรุษที่ล่วงลับไป ซึ่งแต่เดิมเป็นความเชื่อของกลุ่มชาวไทยอีสาน แต่เนื่องจากความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันจึงทำให้เกิดการถ่ายทอดความเชื่อประกอบกับกูยมีความเชื่อเรื่องผีอย่างแน่นแฟ้น จึงรับเอาแนวความเชื่อเรื่องนี้อย่างไม่ยากนัก 3) ผีเข้าทรง เป็นผีที่ช่วยในการเสี่ยงทาย พิสูจน์ความกระจ่างเมื่อเกิดเหตุการณ์ภายในชุมชน 4) ผีปอบ เป็นผีชั้นต่ำ เป็นวิญญาณร้ายที่เกิดจากอาคม ไสยศาสตร์ หรืออาจสืบทอดจากเชื้อสายตามตระกูล ทำให้เกิดความเจ็บป่วย ความเชื่อเรื่องที่ชุมชนยอมรับก่อให้เกิดการประกอบพิธีกรรม เพื่อสนับสนุนความเชื่อ การประกอบพิธรกรรมตามความเชื่อได้รับการยอมรับกันมากในชุมชน ในการประกอบพิธีกรรมของกูย มักเป็นการผสมผสานความเชื่อที่แพร่หลายกระจายมาจากกลุ่มชาติพันธุ์ข้างเคียงจนปัจจุบันไม่สามารถแบ่งและอธิบายได้ว่า ดั้งเดิมนั้นพิธีกรรมประเพณีใดที่เป็นของกูยอย่างแท้จริง (หน้า 31-36,109) อย่างเช่นบทสู่ขวัญที่เชื่อว่าขวัญมีความสำคัญต่อชีวิต มีอำนาจเหนือร่างกายเป็นตัวแทนของจิตใจมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์จะมีความสุขได้ก็ต่อเมื่อจิตใจและร่างกายสัมพันธ์กันอย่างดี มนุษย์ทุกคนมีขวัญประจำตัวทุกคนเมื่อขวัญไม่ได้ประจำในร่างกายมนุษย์ก็จะอ่อนแอ เจ็บป่วยและเสียชีวิต ดังนั้นจึงมีพิธีในการสู่ขวัญให้กลับเข้ามาในร่างกาย (หน้า 79) พิธีกรรมการสู่ขวัญของชาวกูย จำแนกได้ตามลักษณะและโอกาสในการประกอบพิธี 3 ประเภท คือ พิธีสู่ขวัญในช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิต พิธีสู่ขวัญในการเซ่นสรวง และพิธีกรรมสู่ขวัญสำหรับผู้ป่วย ประเภทของบทสู่ขวัญ มีเนื้อหาสำคัญตามโอกาสต่าง ๆ เช่นการสู่ขวัญเด็กแรกเกิดจะเป็นการกล่าวถึงการขอพรให้เด็กมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ บทสู่ขวัญนาค เนื้อหาจะกล่าวสั่งสอนให้นาครู้จักบุญคุณบิดามารดา และกล่าวสอนให้ปฏิบัติตามเพศบรรพชิต เป็นต้น ภาพสะท้อนทางสังคมวัฒนธรรมที่ปรากฏจากบทสู่ขวัญมี 2 ด้านที่สำคัญ คือ - ด้านความเชื่อ สะท้อนถึงความเชื่อเรื่องขวัญ เรื่องอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรื่องเกี่ยวกับฤกษ์ยาม โชคลาง - ด้านโครงสร้างทางสังคม สะท้อนถึงความแน่นแฟ้นของเครือญาติ บทสู่ขวัญกล่าวถึงความช่วยเหลือกันในเครือญาติทุกบท บทบาทหน้าที่ของพิธีกรรมการสู่ขวัญจำแนกได้ คือ บทบาทในการให้การศึกษาแก่ชุมชน บทบาทในการสร้างความจรรโลงใจ ทำให้วัฒนธรรมสมบูรณ์เข้มแข็ง สร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และเป็นเครื่องมือรักษาแบบแผนของชุมชน ความผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม ที่ปรากฏในสังคมกูยคือด้านบทบาท ความเชื่อ การแต่งงานข้ามชาติพันธุ์ และประเพณีพิธีกรรม การผสมกลมกลืนทางด้านวัฒนธรรมเกิดจากการปะทะของวัฒนธรรม 3 กลุ่ม ของชนที่อาศัยอยู่ข้างเคียงกัน ได้แก่ ไทยเขมร ไทยอีสาน และกูย กูยมีความสามารถในการปรับตัวยอมรับวัฒนธรรมข้างเคียงได้รวดเร็ว และนำมาปรับให้กลมกลืนกับวัฒนธรรมเดิมของตนทำให้ไม่เกิดความแปลกแยกในกลุ่มชน (หน้า 118-120) |
|
Education and Socialization |
กูยในอำเภอศีขรภูมิอยู่ภายใต้การปกครองและกฎหมายของรัฐ มีระบบการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษา จนถึงระดับอนุปริญญา และมีศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนของ อำเภอศีขรภูมิเพื่อให้โอกาสสำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเข้าศึกษาในระบบโรงเรียน การเลี้ยงดูอบรมบุตรเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะปลูกจิตสำนึกที่ดี เพื่อให้ลูกเติบโตอย่างมีคุณภาพ ในสังคมกูยเมื่อบุตรเจริญเติบโตขึ้น พ่อแม่จะพาบุตรไปพบพระภิกษุ หรือผู้มีความรู้ทางไสยศาสตร์ เพื่อให้ช่วยปกป้องรักษาบุตรหลานให้รอดพ้นจากการถูกกระทำคุณไสย และโรคภัยไข้เจ็บ บุตรในสังคมของชาวกูยนอกจากจะได้ศึกษาอบรมในโรงเรียนแล้ว ยังได้รับการเรียนรู้ในการทำมาหากิน โดยคนรุ่นผู้ใหญ่เช่น พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตรา ยาย ปฏิบัติให้เห็นเป็นตัวอย่าง ในส่วนของการสู่ขวัญยังมีการสืบทอดการเป็นหมอขวัญ ซึ่งมีวิธีคือ 1) การเรียนรู้ด้วยตนเอง หมอขวัญจะผ่านการบวชเรียนอย่างน้อย 1 พรรษา ยิ่งบวชนานยิ่งมีความแตกฉานในภาษาบาลีและภาษาไทยมากขึ้น หมอขวัญเหล่านี้จะอ่านบทสู่ขวัญจากตำรา ประกอบกับใบลาน ซึ่งชาวบ้านจะเห็นว่ามีความรู้ความสามารถจึงยกให้เป็น “อาจารย์สู่ขวัญ” 2) เล่าเรียนโดยมีอาจารย์เป็นผู้ถ่ายทอด การสืบทอดการเป็นหมอขวัญอีกวิธีหนึ่งคือการสืบทอดจากอาจารย์ซึ่งอาจเป็น ปู่ ตา พ่อ หรือญาติที่เป็นหมอขวัญจะคัดเลือกบุตรหลานที่มีคุณสมบัติเหมาะสม และถ่ายทอดวิชาสู่ขวัญให้ โดยมากผู้เรียนจะสังเกตการประกอบพิธีกรรมของอาจารย์และจดจำเอง ในปัจจุบัน มีผู้ที่เหมาะสมตามคุณสมบัติผู้จะเป็นหมอขวัญนั้นน้อยมาก ผู้ชายบวชเรียนเพียงระยะเวลาสั้น ๆ และผู้ที่มีความสนใจจะสืบทอดการเป็นหมอขวัญก็น้อยลงไปด้วย (หน้า 23, 25, 29) |
|
Health and Medicine |
ในงานศึกษาวิเคราะห์บทสู่ขวัญชาวกูยนี้ กล่าวถึงระบบการปกครองแบบแบ่งเขตเป็นเทศาภิบาล ซึ่งในแต่ละตำบล อำเภอ จะต้องมีสาธารณูปโภคอย่างพอเพียง ดังนั้นใสส่วนของสาธารณสุขชุมชนน่าจะมีในเขตของกลุ่มเป้าหมายกรณีศึกษานี้ ในส่วนของภูมิปัญญาและความเชื่อนั้น ชาวกูยเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โชคลาง จึงมีบทบาทต่าง ๆ ที่สื่อถึงความปรารถนาดีเพื่อจะดำเนินชีวิตอย่างสุขสบาย ตั้งแต่ประเพณีการเกิดที่มีการจัดแจงเรื่องการอยู่ไฟของมารดา เพื่อรักษาแผลจากการคลอด และเร่งให้น้ำนมมีมาก ประเพณีการแบ่งเด็กให้แม่กำเนิด จะมีการป้อนไข่แดงให้ทารก ซึ่งเป็นพิธีที่สื่อถึงการเลี้ยงดูและปกป้องทารก นอกจากนี้ พิธีการต่าง ๆ ในระหว่างช่วงผ่านชีวิต คือ การบวช การอบรมเลี้ยงดูบุตร การสมรส และพิธีเกี่ยวกับการตาย ที่สื่อถึงความปรารถนาดีที่จะคุ้มครอง อวยพรให้ชีวิตมีมงคล มีความเป็นอยู่ที่ดี จนกระทั่งการสู่ขวัญ ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่ชัดเจนมากในการปัดเป่าโรคภัย และเป็นการปลอบใจ ให้กำลังใจแก่ผู้อยู่ใต้ปกครองในชุมชนของชาวกูยเอง (หน้า24-36, 41-105) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
เสื้อผ้า ชุดแต่งกาย ขณะอยู่บ้านของผู้หญิงสูงอายุของกูย ส่วนใหญ่จะนุ่งผ้าถุงลาย เสื้อคอกระเช้า สวมสร้อยคอลูกปัดพลาสติกหรือเงิน นิยมเสียบดอกไม้ที่ดิ่งหูที่เจาะรูไว้ ส่วนผู้ชาย สวมกางเกงหม้อฮ่อมขาสั้น ไม่สวมเสื้อ เวลามีงานบุญต้องไปเข้าร่วมพิธี ผู้หญิงจะสวมเสื้อมีแขน มีผ้าสไบพาดผ่านลำคอลงมาถึงช่วงเอว ผ้าถุงสวมเช่นเดิม ผู้ชายสวมกางเกงหม้อฮ่อมขายาว เสื้อแขนยาว บางครั้งมีผ้าขาวม้าพาดคอ ส่วนชายวัยกลางคนนิยมกางเกงและเสื้อแขนยาว ส่วนผู้หญิงจะสวมเสื้อคอกระเช้าขณะอยู่บ้าน และสวมเสื้อทับที่ตัดด้วยผ้าไหมมีแขน และสวมผ้าถุงที่ตัดด้วยผ้าไหม เด็กเล็กและวัยรุ่นนิยมเสื้อผ้าตามสมัยนิยม (หน้า 30) |
|
Folklore |
ลักษณะคำประพันธ์ในบทสู่ขวัญไม่ตายตัวเนื่องจากเป็นวรรณกรรมประเภทมุขปาฐะไม่ได้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรจะสืบทอดโดยการบอกเล่าและมีความคล้ายคลึงกับ “ร่าย” ในแง่ที่จำนวนวรรค และคำกับการสัมผัสไม่แน่นอนตายตัว ในส่วนเนื้อหาจะเริ่มด้วยบทชุมนุมเทวดา บทไหว้ครู บทเริ่มต้น บทเชิญขวัญ บทปลอบขวัญ บทสอนขวัญ และบทให้พร ซึ่งจะแตกต่างกันตามประเภทและวัตถุประสงค์ของบทสู่ขวัญ (หน้า 67-78) |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
การปะทะกันทางวัฒนธรรมก่อให้เกิดการผสมกลมกลืนระหว่างสังคมสองแห่ง สังคมหนึ่งย่อมจะได้รับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาจากวัฒนธรรมภายนอก วัฒนธรรมที่ยืมมาอาจเป็นที่ยอมรับและรวมเข้ากับของผู้ยืมจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยสมบูรณ์ กูยมีการเปลี่ยนแปลงสภาพสังคมวัฒนธรรมอย่างมาก โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงการใช้ภาษา คือหันมาพูดไทยอีสานหรือไทยเขมรกันมาก เพราะเกิดจากการดูถูกทางชาติพันธุ์เช่นการพูดส่อเสียดว่า “ทำอะไรเหมือนพวกกวย พวกส่วย” ลักษณะที่สำคัญที่กูยปรับตัวได้เร็ว เนื่องจากสังคมยอมรับการเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ๆ ได้ไม่ยาก เช่นการตั้งชื่อบุตรหลาน เลียนแบบละครโทรทัศน์ การแต่งกายแบบดารานักร้อง เป็นต้น (หน้า 106) |
|
Social Cultural and Identity Change |
สังคมกูยเกิดการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมกับกลุ่มชาติพันธุ์ข้างเคียง ทำให้ลักษณะของวัฒนธรรมเกิดการเปลี่ยนแปลง การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของกูยเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ มีทั้งวัฒนธรรมของกูย ชาวไทยอีสาน ชาวไทยเขมร ผสมผสานกันอยู่มากน้อยไม่จำกัด สังคมและวัฒนธรรมที่กล่าวถึงได้แก่ ความเชื่อ ค่านิยม ซึ่งแสดงออกเป็นรูปธรรมโดยผ่านลักษณะการประกอบพิธีกรรม ความแตกต่างของสังคมและวัฒนธรรมที่ผสมผสานเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นวัฒนธรรมใหม่ โดยการติดต่อกันระหว่างบุคคลหรือกลุ่มมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแทบทั้งสิ้น การผสมกันของวัฒนธรรมเช่น การปฏิบัติตามประเพณีและวัฒนธรรมของชาวไทยเขมรและไทยอีสานแล้วนั้น ส่งผลให้ลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมมีความหลากหลาย คือ คนในสังคมสามารถเลือกปฏิบัติได้โดยไม่ผิดกฎเกณฑ์ประชาคม จากงานศึกษานี้จะเห็นว่า กูยไม่ได้ยอมรับวัฒนธรรมของกลุ่มข้างเคียงเข้ามามีอิทธิพลจนพวกเขาลืมวัฒนธรรมเดิมของตนไปจนหมดสิ้น แต่กูยเลือกที่จะปรับเปลี่ยนให้มีความผสมกลมกลืนเป็นลักษณะใหม่ในวัฒนธรรมของพวกเขาที่ยังคงปฏิบัติกันมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน (หน้า 99-117) |
|
Map/Illustration |
ผู้เขียนได้ใช้แผนที่ แผนผัง และตารางเพื่ออธิบายข้อมูลเชิงปริมาณให้เห็นภาพรวมอย่างชัดเจน โดยเฉพาะข้อมูลด้านประชากร การใช้พื้นที่ ที่ตั้งและตำแหน่งของพื้นที่กรณีศึกษาในเขตจังหวัด นอกจากนี้ยังมีภาพแสดงรูปแบบของสังคมวัฒนธรรมที่สะท้อนออกมาในลักษณะที่เป็นรูปธรรม เช่น การตั้งบ้านเรือนและการแต่งกาย เป็นต้น (หน้า 12,18, 21-38, 29-58) ชื่อภาพและแผนที่ที่ปรากฏในงานคือ แผนที่ - แผนที่แสดงอาณาเขตจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดใกล้เคียง หน้า 12 - แผนที่แสดงอาณาเขตของอำเภอศีขรภูมิ หน้า 18 ภาพ - ลักษณะบ้านใต้ถุนสูงภายในหมู่บ้านชาวกูย หน้า 29 - ลักษณะบ้านติดดิน หน้า 30 - การแต่งกายชาย – หญิงชาวกูย หน้า 31 - ภาพประกอบพิธีกรรมการสู่ขวัญนาค หน้า 46 - ภาพประกอบพิธีกรรมการสู่ขวัญพระภิษุสงฆ์ หน้า 47 - ภาพประกอบพิธีกรรมการสู่ขวัญแต่งงาน หน้า 49 - ภาพประกอบพิธีกรรมการสู่ขวัญ พระพุทธรูป หน้า 51 - ภาพประกอบพิธีกรรมการสู่ขวัญศิริมงคล หน้า 52 - ภาพประกอบพิธีกรรมการสู่ขวัญขึ้นปีใหม่ หน้า 56 - ภาพประกอบพิธีกรรมการสู่ขวัญสะเดาะเคราะห์ หน้า 58 ตาราง - จำนวนประชากรชาวกูยแยกตำบล อำเภอศีขรภูมิ จ. สุรินทร์ หน้า 21 - จำนวนประชากรชาวกูย อำเภอศีขรภูมิ จ. สุรินทร์ หน้า 27 - ภาษาเขมรและภาษากูย หน้า 28 - ภาษาไทยอีสานและภาษากูย หน้า 28 - ภาษากูยที่ใช้เรียกเครือญาติ หน้า 37 - จำนวนหมอขวัญชาวกูยในเขตหมู่บ้านชาวกูย อ.ศีขรภูมิ หน้า 38 |
|
|