|
Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database |
|
Record |
|
 |
Subject |
กวย,กูย,ประวัติความเป็นมา,วัฒนธรรม,บุรีรัมย์ |
Author |
วุฒินันท์ พระภูจำนงค์ |
Title |
วัฒนธรรมไทยกวย อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ |
Document Type |
รายงานการวิจัย |
Original Language of Text |
ภาษาไทย |
Ethnic Identity |
กูย กุย กวย โกย โก็ย,
|
Language and Linguistic Affiliations |
ออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) |
Location of
Documents |
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร |
Total Pages |
51 |
Year |
2535 |
Source |
ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม สถาบันราชภัฏบุรีรัมย์ |
Abstract |
ชาวไทยกวยใน อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ มีประมาณ 28 หมู่บ้าน จากหมู่บ้านทั้งหมดของอำเภอสตึก 208 หมู่บ้าน ชาวไทยกวยกลุ่มนี้ในอดีตมีความเป็นอยู่เรียบง่าย มีอาชีพหาของป่าล่าสัตว์ ในปัจจุบันได้หันมาประกอบอาชีพทางด้านเกษตรกรรม มีการรับเอาวัฒนธรรมของกลุ่มไทยลาว ไทยเขมร มาใช้ทำให้เกิดการผสมกลมกลืนด้านวัฒนธรรม ชาวไทยกวยมีภาษา และวรรณกรรมจัดอยู่ในภาษา มอญ – เขมร มีภาษาพูดเป็นของตนเองไม่มีอักษรเขียน มีวรรณกรรมเป็นแบบมุขปาฐะ การปรับตัว การเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ตลอดจน การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมนั้นชาวไทยกวยจะปรับตัวเข้ากับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นได้ดี และมีการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรม และมีวิถีชีวิตที่ผสมกลมกลืนกันกับกลุ่มชาติพันธุ์ใกล้เคียงด้วย (หน้า 50–51) |
|
Focus |
ประวัติความเป็นมา และวัฒนธรรมของชาวไทยกวย ในด้านประเพณี ความเชื่อ ภาษา และวรรณกรรม (หน้า 2-47) |
|
Ethnic Group in the Focus |
คำว่า “กวย “(kui) เป็นคำที่กวยเรียกตัวเองโดยทั่วไป ซึ่งในพื้นที่ต่าง ๆ จะออกเสียงไม่เหมือนกัน เช่น กวย กูย โกย หรือ กุย ก็มีบ้าง ในพื้นที่ศึกษามีชาติพันธุ์อื่น คือ ไทยอีสาน ไทยเขมร ไทยอีสาน เรียกกวยว่า “ส่วย” (soai) ไทยเขมร เรียกกวย ว่า “กูย” (หน้า 6) |
|
Language and Linguistic Affiliations |
กลุ่มชาติพันธุ์กวยมีภาษาพูดเป็นของตนเองจัดอยู่ในกลุ่มภาษาตระกูลมอญ-เขมร (Mon–Khmer) ไม่มีภาษาเขียน สืบทอดวัฒนธรรมโดยการบอกเล่า (Oral Tradition) (หน้า 13–14) การปรับตัวของกวยทำให้พบว่าหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงกับหมู่บ้านไทยลาว หรือ เขมร จะสามารถใช้ภาษานั้น ๆ ได้ กลุ่มชาติพันธุ์กวยในกรณีศึกษามี 3 กลุ่ม คือ (หน้า 4) -กลุ่มที่ใช้ภาษา กวย อย่างเดียว -กลุ่มที่ใช้ภาษา เขมร–กวย -กลุ่มที่ใช้ภาษา ลาว–กวย |
|
Study Period (Data Collection) |
ระยะเวลาศึกษาข้อมูลกรณีศึกษาวัฒนธรรมไทยกวย อำเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ 1 ปี แบ่ง ดังนี้ (หน้า 4) - สำรวจข้อมูลหมู่บ้านชาวไทยกวย อำเภอสตึก เพื่อเลือกหมู่บ้านเป้าหมายการศึกษาใช้เวลา 1 เดือน (เอกสารไม่ระบุช่วงเดือน) - สังเกตและสัมภาษณ์ข้อมูลบุคคลใช้เวลา 2 เดือน (เอกสารไม่ระบุช่วงเดือน) -เก็บข้อมูลในหมู่บ้านเป้าหมายเพิ่มเติมเป็นครั้งคราว เพื่อประกอบการเขียนอธิบายในเชิงพรรณาวิเคราะห์ เป็นเวลา 1 เดือน - นำข้อมูลที่ได้จากการศึกษาภาคสนามและการค้นคว้าเอกสารมาเขียนรายงาน |
|
History of the Group and Community |
ภูมิลำเนาเดิมของชาวไทยกวยในประเทศอาศัยอยู่ในประเทศลาว บริเวณแขวงอัตตปือ จำปาศักดิ์ และสาละวัน จนกระทั่งสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กลุ่มชาติพันธุ์กวยได้มีการอพยพเข้ามาเรื่อยๆ จนถึงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา ดังนั้นในบริเวณเขตอีสานใต้ โดยเฉพาะจังหวัดสุรินทร์จะมีกลุ่มชาวไทยกวยอยู่เป็นจำนวนมาก ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ทางเมืองหลวงต้องการของป่าเพื่อค้าขายกับต่างประเทศจึงได้นำระบบไพร่ส่วยมาใช้ โดยให้มีการส่งของป่ามาที่เมืองหลวงหรือถ้าหาไม่ได้ต้องส่งเงินมาแทน แต่ครั้นเมื่อหาของมาส่งไม่ได้ คนเขมรป่าดงจึงจับคนพื้นเมืองไปขายเพื่อส่งส่วย จึงเรียกคนที่ลงมาเป็นส่วยว่า “คนส่วย” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา (หน้า 9-11) กลุ่มชาวไทยกวยในเขต อำเภอสตึก ส่วนใหญ่อพยพมาจาก จังหวัดสุรินทร์ โดยเข้ามาตั้งถิ่นฐาน เมื่อประมาณกว่า 100 ปีมาแล้ว กลุ่มแรกได้ตั้งรกรากที่บ้านหนองบัวเจ้าป่าโดยการนำของหมอด้วงซึ่งเป็นหมอช้างเดิมมีบ้านอยู่ที่บ้านกระโพธิ์ ต.กระโพธิ์ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ บริเวณหมู่บ้านหนองบัวเจ้าป่าเป็นที่อุดมสมบูรณ์ ห่างจากลำน้ำมูลประมาณ 4 กม.เมื่อคล้องช้างได้จาก อ.ประคำ หรือจากกัมพูชา จะนำมาเลี้ยงไว้ที่ท่าน้ำ ต่อมาเรียกบริเวณนั้นว่า “ท่าช้าง “ถึงปัจจุบัน (หน้า 12) นอกจากนี้ยังมีชาวไทยกวยจาก อ.รัตนบุรี อ.จอมพระ จ.สุรินทร์ มาตั้งบ้านเรือนที่ อ.สตึก บริเวณบ้านหนองม่วง บ้านคูขาด บ้านขาม บ้านหนองนกเกรียน บ้านนกยูง บ้านสระกระจาย ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ในอดีตมีป่าทึบมาก ๆ และบริเวณบ้านเสม็ด ต.ร่อนทอง ชาวไทยกวยจะมีอาชีพหาของป่า ล่าสัตว์ในบริเวณดงแสนตอ (ปัจจุบันคือ บ้านดงยายเภาไปจนถึงบ้านแคนดง) และดงชุมพวง ในเขตจังหวัดนครราชสีมา ชาวไทยกวยบางส่วนได้อพยพมาจาก อ.ศีขรภูมิ จ.ศรีสะเกษ มาตั้งบ้านเรือนที่บ้านกอก บ้านดอนแก้ว บ้านหัวช้าง (หน้า 12) |
|
Settlement Pattern |
รูปแบบและลักษณะการสร้างบ้านเรือนของชาวไทยกูยจะมีลักษณะเป็นบ้านยกสูง ปลูกสร้างเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อความสะดวกในการติดต่อไปมาหาสู่กันในหมู่บ้าน การปลูกเรือนของชาวกูยมีลักษณะความเชื่อ คือ สร้างบ้านโดยหันหน้าบ้านและบันไดไปทางทิศตะวันออก ห้ามหันไปทางทิศตะวันตก เพราะเชื่อว่าทางทิศตะวันตกเป็นทิศผีสาง การออกเรือนใหม่ของสมาชิกในบ้าน ห้ามปลูกสร้างบ้านเรือนใหม่ทางทิศใต้ของบ้านหลังเดิม ยุ้งฉางนิยมจะปลูกไว้ในบริเวณบ้านโดยจะไม่หันหน้าไปทางทิศเหนือและทิศตะวันตก เพราะเชื่อว่าทิศทั้งสอง ดังกล่าว เป็นที่อยู่ของโขลงช้าง ช้างจะมากินข้าวในยุ้ง การทำบันไดเรือน นิยมทำขั้นบันไดเป็นจำนวนคี่ เช่น 5 ขั้น 7 ขั้น เพราะมีความเชื่อตามคำโบราณว่า “คู่บันไดผี ขั้นคี่ บันไดคน“ (หน้า 30) บ้านของไทยกวยทุกหลังคาจะมีของรักษาเมื่อถึงวันพระ ภรรยาจะต้องเตรียมกรวยดอกไม้ทำพิธีบูชาของรักษาที่บ้านของตน หรือนำไปให้เจ้าโคตร คือ พ่อใหญ่ (คำกวยว่า “เนาะเฒา”) ทำพิธีบูชาของรักษาการปฏิบัติดังนี้สม่ำเสมอถือว่าจะทำให้บ้าน คือ คนในครอบครัวอยู่สุขสบาย บ้านกวยในอดีตไม่มีพระพุทธรูปบูชา แต่ในปัจจุบันบ้านที่มีฐานะดีจะมีพระพุทธรูปเพื่อสักการะบูชาด้วย (หน้า 17) |
|
Demography |
จากรายงานการศึกษา ไทยกวยใน อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ได้กล่าวถึงประชากรของไทยกวยว่ามีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับประชากรทั้งหมดของภาคอีสานซึ่งพบว่า 85% ของประชากรภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยพูดภาษาอีสาน นอกจากนี้ ยังพบกลุ่มภาษาในภาคพื้นนี้อีกจำนวนมากคือ ภูไท แสก ย่อ โซ่ โย้ย ข่า และเขมร ใน อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ (หน้า 1, 50) อย่างไรก็ตาม รายงานการศึกษาชี้ว่ามีชาวไทยทั้งหมดในปัจจุบันพูดภาษากวยไม่น้อยกว่า 3 แสนคน ในเขต อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ มีกวยอาศัยอยู่ทั้งหมด 28 หมู่บ้านจากหมู่บ้านทั้งหมด 208 หมู่บ้าน มีหมู่บ้านในกรณีศึกษา 15 หมู่บ้านแบ่งเป็นส่วย 5 หมู่บ้าน, ลาวส่วย 5 หมู่บ้าน, เขมรส่วย 5 หมู่บ้าน |
|
Economy |
ไทยกวยในอดีตมีอาชีพหาของป่า ล่าสัตว์ และการคล้องช้าง เพราะในช่วงแรก ๆ ที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยนั้น ภูมิประเทศยังเป็นป่าอุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ป่า และของป่า จากนั้นเปลี่ยนการดำรงชีพโดยการเพาะปลูกทำไร่เลื่อนลอย การผสมผสานกันของกลุ่มวัฒนธรรมกับลาว และกับเขมร ทำให้ชาวไทยกวยมีการปรับตัว และทำการเกษตรวิธีอื่น ๆ เช่น การทำนาข้าว นอกจากนั้น (โกรสริเย่และไซเดนฟาเดน (Groslier and Seidenfaden Erik) 1952 อ้างในรายงานการศึกษา หน้า 13) ชาวไทยกวยได้รับเทคนิคการตีเหล็กและถลุงโลหะตามแบบอินเดียมาตั้งแต่พุทธกาลอีกด้วย และการแลกเปลี่ยน – ผสมกลมกลืนกันทางวัฒนธรรมส่งผลให้ชนชาวไทยกวยเรียนรู้อาชีพการจักรสาน การเลี้ยงไหม ซึ่งถือว่าเป็นอาชีพสำคัญมาจนถึงปัจจุบัน (หน้า 12–14) |
|
Social Organization |
โครงสร้างทางสังคมของชาวไทยกวยส่วนใหญ่จะเป็นสังคมระบบที่ยึดถือผู้อาวุโสให้ความนับถือเคารพ นอบน้อม ซึ่งการปฏิบัติดังกล่าวนั้นจะประกอบไปด้วยความเชื่อที่ถูกอบรมมาทุกรุ่นจนถือเป็นขนบธรรมเนียม จารีตที่ต้องประพฤติตาม เป็นต้นว่าประเพณีการถือผี ซึ่งเป็นความเชื่อที่ว่า ผี คือ คนเฒ่าคนแก่ที่ตายไปแล้วได้วางระเบียบบ้านและโคตรเอาไว้ คนในโคตรจะต้องเชื่อฟังคำสั่งสอนที่ตกทอดกันมาด้วยความเคารพ ถ้าทำผิดถือว่าผิดผี คือ ผิดคำสั่งสอนของเจ้าโคตรนั่นเอง ในโคตรหนึ่ง ๆ จะมีผู้ชายและเป็นผู้อาวุโสที่สุด มีความประพฤติดี สามารถว่ากล่าวทุกคนในโคตรได้ คนคนนี้จะได้รับตำแหน่งแต่งตั้งเป็นโคตรใหญ่ (หน้า 14–30) พิธีการแต่งงานของไทยกวยเริ่มต้นจากการคุยสาว จนไปถึงการได้เสียจนตั้งครรภ์ ไม่ว่าการกระทำใดๆ ในระหว่างนี้จะมีอัตราการเสียผี หญิงใดที่มีการเสียผีบ่อยถือว่าบ้านนั้นมีลูกสาว “หมาน” นำลาภมาให้บ้านโดยไม่ถือว่าเป็นการเสียหายประการใด ส่วนเด็กที่เกิดมาถือเป็นสมบัติของตระกูล เมื่อเกิดความพอใจกันระหว่างหนุ่มสาวแล้วก็ถึงขั้นการสู่ขอและการแต่งงานกัน มีการแห่ขบวนขนสมบัติไปบ้านเจ้าสาว การสวดให้ศีลให้พรเป็นภาษาส่วย ลูกเขยใหม่นั้นต้องปรับตัวให้เข้ากับพ่อตาแม่ยายให้ได้เพราะมิฉะนั้นแล้วจะเกิดการเสียผีจนถึงขั้นถูกขับออกจากบ้านได้ นอกจากนี้ในสังคมกวยห้ามญาติแต่งงานกันหากพากันหนีไปก็จะถูกตามตัวกลับมา เซ่นผี และแยกกัน ในปัจจุบันประเพณีเหล่านี้ได้เปลี่ยนแปลงไปจากสังคมกวยซึ่งมีไม่กี่คู่ที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์เดิมไว้ (หน้า 18-23) |
|
Political Organization |
ไทยกวยในเขต อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ มีการปกครองเป็นไปตามรูปแบบกฎหมายการปกครองของประเทศไทย คือ แบ่งการปกครองแบบ จังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ส่วนในรายละเอียดของชุมชนนั้นจะพบว่า นอกจากผู้นำที่ถูกแต่งตั้งตามระบบกฎหมาย คือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แล้ว ยังมีผู้นำทางด้านจิตวิญญาณ ผู้นำในพิธีกรรม ซึ่งเรียกกันในหมู่บ้านว่า “หมอเฒ่า“ จะเป็นคนที่รู้ขนบจารีต และพิธีกรรมต่าง ๆ ในประเพณี ความเชื่อของชาวไทยกวยในอดีตที่มีการอพยพจาก อัตตะปี จำปาศักดิ์ และสาลวัน ของประเทศลาวนั้น แสดงให้เห็นว่าชาวไทยกวย ได้มีการปกครองแบบเจ้านาย คือ มีหัวหน้าในการคิดการณ์ต่าง ๆ และตัดสินใจ ดังที่กล่าวในเนื้อหาของรายงานการศึกษานี้ว่า ในการอพยพเป็นกลุ่ม ๆ มานั้นมีหัวหน้าซึ่งเป็นผู้นำในการอพยพมาตั้งหลักแหล่ง ดังนี้ เชียงปุมกับเชียงปืด ตั้งที่เมืองที เชียงสี ตั้งที่กุดหวาย เชียงมะตั้งที่อัจจะปะนึง (หน้า 9, 15–30) |
|
Belief System |
ไทยกวยมีความนับถือผีโคตร คือ ผีบรรพบุรุษในแต่ละตระกูลซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการว่ากล่าว ตั้งกฎเกณฑ์ในตระกูล ความเชื่อนี้นำมาซึ่งพิธีกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่การเกิด การดำรงชีวิตจนถึงการตาย ชาวไทยกวย มีความนับถือเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์และการนับถือพิธีกรรม อย่างไรก็ตามความเชื่อและการปฏิบัติต่างๆ ก็เป็นเช่นเดียวกับประชากรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั่วๆ ไป คือ มีพิธีกรรม และความเชื่อทางไสยศาสตร์กับพุทธศาสตร์ควบคู่กัน แม้แต่พระในวัดพุทธเองยังพบว่ามีการลงอักขรเลขยันต์ในแผ่นโลหะเพื่อทำตะกรุดสำหรับเป็นเครื่องราง แต่ความเชื่อและการปฏิบัติต่างๆ ก็เป็นไปโดยขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ซึ่งถือเป็นการยึดเหนี่ยวด้านจิตใจ และเป็นการรักษาไว้ซึ่งรูปแบบของวัฒนธรรมและโครงสร้างทางสังคมนั้นด้วย ความเชื่อต่างๆ ได้สะท้อนให้เห็นประเพณีเกี่ยวกับวัฏจักรชีวิต เช่นการเกิด การตาย และการเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ ดังนี้คือ การเกิด ประเพณีการเกิดที่ชาวไทยกวยเรียกว่า “กัวอู้ว” เป็นประเพณีที่ยังถือปฏิบัติกันอยู่แม้ว่าเทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปมาก ไทยกวยยังคงพึ่ง “จม็อบ” (หมอตำแย) ในการทำพิธีต่างๆ การเลี้ยงดูบุตร เด็กที่เกิดใหม่จะได้รับการปกป้องภัยจากของดีที่เชื่อว่าคุ้มกันผีได้ ส่วนการให้การศึกษาเด็กจะได้รับการถ่ายทอดประสบการณ์จากบรรพบุรุษเป็นการถ่ายทอดตามประเพณีร่วมกับการศึกษาในโรงเรียน การแต่งงาน ไทยกวยมีขั้นตอนในการแต่งงานตั้งแต่การพูดคุยสาว จนถึงการสู่ขอแต่งงาน ในระหว่างนี้ถ้ามีการผิดผีก็ต้องทำพิธีเสียผีตามแต่ความผิด ประเพณีการตาย เมื่อมีคนตายในหมู่บ้าน ในอดีตชาวกวยจะไม่ตำข้าว ไม่นำฟืนเข้าบ้าน ไม่ทอหูกจนกว่าจะนำศพไปฝังหรือเผา เพราะถือว่าเป็นการขะลำ ศพที่ตายธรรมดาจะฝังไว้ 1-2 ปี จึงจะทำบุญ ส่วนศพที่ตายโหงจะเผาและประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป นอกจากนี้ก็ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับการนับถือผีบรรพบุรุษ เช่น พิธีการเซ่นประกำ พิธีประสะ พิธีแกลมอ พิธีแกลออ ประเพณีถือของ(ขะลำ) รวมทั้งความเชื่อในเรื่องการสร้างบ้านเรือนและศาลประกำ (หน้า 15-30) |
|
Education and Socialization |
จากรายงานการศึกษาระบุว่า ชาวไทยกวยยังคงรักษาเอกลักษณ์ของตนเอง แต่ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และการผสมกลมกลืนกันทางด้านวัฒนธรรมหลัก ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากพุทธศาสนาทำให้มีขนบธรรมเนียม และพิธีกรรม คล้ายกับของชาวไทยพุทธโดยทั่วไปแต่ลักษณะดั้งเดิมก็ทำให้มีความแตกต่างไปจากวัฒนธรรมของชาวไทยลาว และถึงแม้รัฐบาลจะได้จัดการศึกษาภาคบังคับ ป.6 ทุกหมู่บ้านแล้ว แต่คุณภาพการศึกษายังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ทำให้โอกาสในการศึกษาต่อระดับมัธยมของกลุ่มชาติพันธุ์กวยนี้อยู่ในวงจำกัดมาก (หน้า 2) การศึกษาอบรมเด็กในแต่ละครอบครัวจะเป็นการอบรมจากประสบการณ์จริงที่พ่อแม่ ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ พ่อแม่จะอบรมลูกของตนให้มีความขยัน อดทน ในการทำมาหากิน ประกอบอาชีพ เช่น ถ้าบ้านไหนพ่อเป็นช่างไม้ ลูกชายก็เป็นช่างไม้ ถ้าแม่เป็นคนเลี้ยงไหม ทอผ้าสวย ลูกสาวก็จะปฏิบัติตามได้ดีเหมือนแม่ด้วย (หน้า 18) |
|
Health and Medicine |
วิธีชีวิตของชาวไทยกวยขึ้นอยู่กับประเพณี ความเชื่อเป็นส่วนใหญ่ ในเรื่องของสาธารณสุข ยารักษาโรค และสุขภาพนั้นโดยมากจะเป็นการปฏิบัติแบบโบราณ คือ เป็นการปฏิบัติในแง่ของข้อห้าม และข้อที่ต้องประพฤติ อาจคิดได้ในแง่ของปรัชญาคติ เช่น ต้องถือการอยู่ไฟของหญิงคลอดบุตรให้เคร่งครัดนั้น มีคติในการหลังรักษาแผลหลังคลอด และการกินอาหารที่ไม่เป็นของแสลงนั้นมีผลต่อสุขภาพด้านการระวังตัวจากโรคแทรกซ้อน การปฏิบัติทั้งสองประการถือเป็นการเร่งให้น้ำนมของมารดามีมาก ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน ทางราชการก็ได้อำนวยความสะดวก มีโรงพยาบาลและ สาธารณสุขในหมู่บ้านแล้วก็ตาม ชาวไทยกวยในหมู่บ้านยังพึ่งหมอตำแยในการคลอด (หน้า 15) |
|
Art and Crafts (including Clothing Costume) |
|
Folklore |
ชาวไทยกวยไม่มีอักษรใช้เป็นของตนเองมีแต่ภาษาที่อยู่ในตระกูล มอญ-เขมร วรรณกรรมต่าง ๆ จะถูกถ่ายทอดโดยการเล่าสืบต่อกันมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน (หน้า 31–47) วรรณกรรมต่าง ๆ ได้แก่ - ภาษิตคำสอนต่าง ๆ ที่ถ่ายทอดแบบมุขปาฐะโดยผู้เฒ่าผู้แก่ เช่น หวังมลออน คิดกลอยคิดมะแนะ/จะทำอะไรให้คิดหน้า คิดหลังก่อน - ปริศนาคำทาย ซึ่งจะชี้ให้เห็นความเป็นอยู่สภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมใกล้ตัว และยังเป็นส่วนหนึ่งที่ใช้ประลองปัญญาของชาวกวยจากผู้ใหญ่ต่อเด็ก ปริศนาคำทาย แบ่งได้เป็นหมวดเช่น หมวดเกี่ยวกับสัตว์ หมวดเกี่ยวกับอวัยวะในร่างกาย หมวดพืชผัก ผลไม้ และหมวดทั่วไป - นิทานสอนใจ |
|
Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation) |
กลุ่มชาติพันธุ์ไทยกวย มีการปรับตัวเพื่อให้เกิดความกลมกลืนด้านต่างๆ กับกลุ่มชาติพันธุ์รอบๆ ใกล้เคียง คือ ความกลมกลืนด้านวัฒนธรรม ภาษา ขนบธรรมเนียม และวิถีชีวิต เป็นการผสมกลมกลืนด้านการแต่งกาย ความเชื่อทางด้านศาสนา ทัศนคติ ค่านิยม และพฤติกรรมการรวมกลุ่ม กล่าวคือ กลุ่มชาติพันธุ์ไทยลาว ไทยเขมร และไทยกวย จะใช้ภาษาตนเองสื่อสารในกลุ่มของตนเอง แต่การสื่อสารนอกกลุ่มจะมีการปรับเข้าหากันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเป็นการให้เกียรติกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ในด้านสังคม ชาวไทยกวยใน อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ เป็นชาติพันธุ์กลุ่มน้อยได้พยายามปรับตัวโดยการเรียนรู้ และอดทน เพื่อให้เป็นที่ยอมรับ การปรับตัวดังกล่าว อาจมีผลมาจากการจัดการเรียนการสอนร่วมกันในระบบโรงเรียนของเยาวชนรุ่นใหม่ด้วย (หน้า 48-49) ชาวอีสานมีความเชื่อว่า ในปัจจุบันวัฒนธรรมของชาวไทยกวยยังด้อยกว่าวัฒนธรรมกลุ่มอื่น ๆ ทั้งนี้เพราะชาวไทยกวยมีจำนวนน้อย มีภาษาพูดและความเชื่อเป็นลักษณะที่แตกต่างจากชนกลุ่มอื่น ดังนั้น การศึกษากลุ่มชาติพันธุ์ไทยกวยจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและจำเป็นต้องมีการศึกษาด้านพื้นฐานความเชื่อและการปรับตัว (หน้า 3, 51) การศึกษาทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในภาคอีสานยังมีน้อยมากจึงสมควรที่นักวิชาการควรให้ความสนใจ และศึกษาอย่างเร่งด่วน ก่อนที่วัฒนธรรมและเอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์นั้นๆ จะถูกกลืนโดยวัฒนธรรมของชนภาคอื่นๆ จากหลายมุมโลกที่เผยแพร่เข้ามาตลอดเวลา (หน้า 3, 51) |
|
Social Cultural and Identity Change |
การปรับตัว การเปลี่ยนของโลกด้านต่าง ๆ ตลอดจนการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมนั้น ชาวไทยกวย จะปรับตัวเข้ากับกลุ่มชาติพันธุ์ได้ดี มีการแลกเปลี่ยน และผสมกลมกลืนจากวัฒนธรรมของกลุ่มอื่นที่อยู่ใกล้เคียง ชาวไทยกวยใน อ.สตึก มีวัฒนธรรมเป็นของตนเองเป็นค่านิยมและเอกลักษณ์ที่เด่น ๆ คือ (หน้า 50–51) - ค่านิยมพื้นฐาน คือ การพึ่งตนเอง ความขยันหมั่นเพียร ความรับผิดชอบ ในการประกอบอาชีพโดยใช้ความสามารถของตนเอง - การเชื่อผู้นำ และผู้อาวุโส ซึ่งเป็นผู้ชี้นำแนวทางในการดำเนินชีวิต และเป็นผู้ปลูกฝังความรู้ มุมมองให้แก่ตน |
|
|