สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ,วิถีชีวิต,ความเชื่อและประเพณี,เลย,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
Author เพชรตะบอง สิงห์หล่อคำ
Title หมู่บ้านไทดำ
Document Type หนังสือ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ไทดำ ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ไทยทรงดำ ไทดำ ไตดำ โซ่ง, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร Total Pages 52 Year 2548
Source หมู่บ้านไทดำ, เมืองเลยการพิมพ์
Abstract

ไทดำเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่รักอิสระ มีความเป็นอยู่เรียบง่าย มีจิตใจโอบอ้อมอารี รักความสงบ ไม่ขึ้นตรงต่อใคร ไทดำมีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน มีวัฒนธรรมประเพณี ภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นเอกลักษณ์ของตน ไทดำอพยพเข้ามาในประเทศไทยหลายครั้ง จากสาเหตุของศึกสงคราม ตั้งรกรากระจายอยู่ทั่วไปใน 12 จังหวัด ดำรงชีวิตกลมกลืนไปกับคนไท แต่ยังคงรักษาวัฒนธรรม ประเพณี พิธีกรรมและความเชื่อของตนไว้อย่างเหนียวแน่น

Focus

ประวัติความเป็นมา ประเพณี ความเชื่อ ของชาติพันธุ์ไทดำในหมู่บ้านนาป่าหนาด ตำบลเขาแก้ว อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย

Theoretical Issues

ไม่ได้ระบุ

Ethnic Group in the Focus

ไทดำ ไทดำเป็นชนชาติที่เรียกตัวเองว่า “ไต” หรือ “TAI” ซึ่งถูกเรียกในชื่อต่างๆ เช่น ลาวโซ่งไทยโซ่ง ลาวซงดำ ผู้ไทยดำ ผู้ไตซงดำ ไทยทรงดำ ไทยโว่งดำ แต่คำว่า “ไทยดำ” จะเป็นที่คุ้นเคยมากกว่า (หน้า 3)

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาไทดำ มีภาษาพูด และภาษาเขียน ตัวอักษรคล้ายลายสือไทย “พระเจ้าคำแลบ” เป็นผู้ประดิษฐ์คิดค้นอักษรไทดำขึ้นมา (หน้า 44)

Study Period (Data Collection)

ไม่ระบุ

History of the Group and Community

ถิ่นเดิมของไทดำอยู่ที่แคว้นสิบสองจุไท บริเวณแม่น้ำแดง (แม่น้ำแต หรือแม่น้ำต๋าว) แม่น้ำดำ และบริเวณแม่น้ำอู จนถึงแม่น้ำโขง แคว้นสิบสองจุไทมีเมืองแถง หรือเดียนเบียนฟูเป็นเมืองหลวง ปัจจุบันเมืองแถงตั้งอยู่ทางตอนเหนือของลาว และอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเวียดนาม แคว้นสิบสองจุไทตกอยู่ใต้การปกครองของเวียดนาม ไทดำมีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่สมัยน่านเจ้า มีโครงสร้างทางสังคม ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ภาษาพูด ภาษาเขียนเป็นของตนเอง ประวัติศาสตร์การอพยพเข้าสู่ประเทศไทยของไทดำมีหลายครั้งด้วยกัน ครั้งที่ 1 ปี พ.ศ 2323 สมัยธนบุรี สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ให้กองทัพหลวงพระบางยกไปตีเมืองหม้วย เมืองทันต์ ซึ่งเป็นเมืองของไทดำ แล้วกวาดต้อนครอบครัวไทดำลงมาประเทศไทย และโปรดเกล้าให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เพชรบุรี ครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2335 สมัยรัชกาลที่ 1 มีการกวาดต้อนครอบครัวไทดำจากเมืองพวน เมืองแถง และโปรดเกล้าให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เพชรบุรี ครั้งที่ 3 ปี พ.ศ. 2371 สมัยรัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯให้แม่ทัพยกไปปราบเมืองแถง และอพยพครอบครัวไทดำมาไว้ที่เพชรบุรีอีก ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ 2381 เจ้าราชวงศ์นำกองทัพหลวงพระบางไปปราบเมืองหึม เมืองคอย เมืองควร แล้วนำไทดำมาไว้ที่กรุงเทพฯ ครั้งที่ 5 ปี พ.ศ. 2423-2428 สมัยรัชกาลที่ 5 เกิดศึกฮ่อเข้าโจมตีเมืองพวน หลวงพระบาง เวียงจันทน์หลายครั้ง ไทยยกทัพไปปราบฮ่อและอพยพครอบครัวไทดำมาไว้ประเทศไทย ปัจจุบันไทดำกลุ่มนี้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านนาป่าหนาด ต. เชียงคาน จ.เลย ครั้งที่ 6 ปี พ.ศ. 2518 พรรคคอมมิวนิสต์ยึดครองประเทศลาว ทำให้ชาวไทดำอพยพหนีเข้ามาในประเทศไทย ที่ค่ายผู้ลี้ภัยในจังหวัดหนองคาย ก่อนเดินทางไปประเทศที่สาม กรณีไทดำที่บ้านนาป่าหนาดนั้น เป็นไทดำที่อพยพมาจากแคว้นสิบสองจุไท ในสมัยรัชกาลที่ 5 ผู้ที่อพยพมาเป็นไทดำจากเมืองแถง เมืองพวน และเมืองเชียงขวาง เมื่อเดินทางมาถึงหลวงพระบางเกิดอหิวาต์ระบาด ทำให้ไทดำล้มตายเป็นจำนวนมาก ไทดำที่เหลือข้ามโขงมาถึงปากแม่น้ำลาย ต่อไปท่าเสา ทำแพล่องแม่น้ำน่านลงมา ในปี พ.ศ. 2423 หยุดพักที่เมืองอินทร์ เมืองพรหม (อ.อินทร์บุรี พรหมบุรี จ.ลพบุรี) จากนั้นจึงล่องแพมาถึงกรุงเทพฯ เพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 5 โปรดฯ ให้ไปตั้งหลักแหล่งชั่วคราวที่คลองสนามแจง บ้านหมี่ ลพบุรี ต่อมาเจ้าเมืองบริคันมาขอราษฎรคืนกลับไปเมืองเดิม รัชกาลที่ 5 ทรงยินยอมและให้ไปตามความสมัครใจ เมื่อเดินทางมาถึงเมืองหล่มสัก เจ้าเมืองบริคันก็ปล่อยให้อยู่ที่เมืองหล่มสัก จ. เพชรบูรณ์ ส่วนเจ้าเมืองกลับไปเจรจากับฝรั่งเศส ไทดำกลุ่มนี้มีแสนพรมภักดีปกครองดูแลขึ้นอยู่กับพระยาพานทองเจ้าเมืองหล่มสัก ต่อมาฝรั่งเศสมาตามไทดำจากเมืองหล่มสักเพื่อนำกลับไปยังประเทศลาว มีไทดำ 50 ครอบครัวขอตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านห้วยปู ตำบลน้ำก้อ ที่เหลืออพยพกลับไปบ้านเดิม โดยมีชาวฝรั่งเศสเป็นผู้นำทาง เมื่อถึงเวียงจันทน์คนนำทางก็ปล่อยไทดำทิ้งไว้ มีประมาณ 15-16 ครอบครัวตกค้างอยู่เวียงจันทน์ที่เหลือเดินทางกันเอง ไปยังแคว้นสิบสองจุไท โดยตัดไม้ทำแพขนาดใหญ่ล่องไปตามแม่น้ำโขง ขึ้นที่ท่าบ้านกล้วยเหนือปากแม่น้ำซัน เดินเท้าต่อไปจนถึงเมืองบริคัน พักอยู่เมืองสามหมื่น 2 ปี เดินทางต่อไปเมืองบ่อ บ้านนาหัน บ้านตะเวียง บ้านเลิศ บ้านนาเลา บ้านนาดู่ เมืองฮ่ม เมืองทาระคม จนถึงทุ่งเชียงคำ และเมืองเชียงขวาง ที่เมืองเชียงขวางพบว่าไม่เหมาะที่จะตั้งบ้านเรือน จึงเดินทางต่อไป บางคนพบญาติพี่น้องและอยู่กับญาติ ส่วนคนที่ไม่พบญาติก็รวมตัวกันตั้งบ้านเรือน อยู่กันด้วยความยากลำบาก เพราะถูกฝรั่งเศสใช้งานหนัก ทำงานเดือนละ 20 วัน ถูกบังคับไม่ให้ทำพิธีกรรม และข่มเหงต่างๆ นานา ประกอบกับอหิวาต์ระบาด และถ้าตั้งบ้านเรือนนานเกิน 3 ปี ต้องเสียภาษีให้ฝรั่งเศส ไทดำกลุ่มนี้จึงอพยพกันเรื่อยมา และมักตั้งบ้านเรือนอยู่นานไม่เกิน 3 ปี ในที่สุดได้รวบรวมผู้คนทำแพล่องแม่น้ำซันลงมาขึ้นฝั่งที่บ้านหาดทรายงาม เดินทางมาที่บ้านนาก๋อ บ้านหาดพรม บ้านนาหลวง บ้านนายูง เมืองทาระคม มาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านกลาง ตาแสงทุ่งเพีย อยู่ได้ 3 ปี ฝรั่งเศสตามมารังควาญอีก จึงอพยพข้ามภูเขามาที่เมืองเฟือง เมืองหมื่น บ้านน้ำกุ่ม มาอยู่บ้านนายาว บ้านนาแซง บ้านวัง และส่วนหนึ่งได้ตัดสินใจข้ามแม่น้ำโขงมาฝั่งไทยที่บ้านสงาว อ.ปากชม จ.เลย แล้วเดินทางต่อมาที่บ้านปากปัด บ้านนาค้อ บ้านนาหงษ์ บ้านแก่งปลาปก ข้ามภูฟ้ามาที่บ้านท่าบม ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านท่าบม ต่อมาย้ายไปบ้านนาเบน แล้วจึงย้ายมาอยู่ที่บ้านนาป่าหนาดจนถึงปัจจุบัน (หน้า 4-7)

Settlement Pattern

การตั้งบ้านเรือนของไทดำในหมู่บ้านนาป่าหนาดจะตั้งเรียงรายอยู่ริมถนนสายบ้านนาบอน – บานสงเปือย ซึ่งตัดผ่านกลางหมู่บ้าน นอกจากนี้ยังมีซอยอีกนับสิบซอย (หน้า 3)

Demography

ไม่ระบุ

Economy

ไทดำในหมู่บ้านนาป่าหนาดมีอาชีพปลูกข้าว ซึ่งเป็นอาชีพดั้งเดิมของบรรพบุรุษ (หน้า 3)

Social Organization

การแต่งงาน เมื่อฝ่ายชายชอบฝ่ายหญิงคนใดก็จะให้พ่อแม่ไปสู่ขอ หมั้นหมายไว้ พิธีการนี้ชาวไทดำเรียกว่าการ “ส่อง” เมื่อฝ่ายหญิงตกลงรับหมั้นก็จะแจกจ่ายหมากพลูที่ฝ่ายชายนำไปให้กับญาติผู้ใหญ่ในบ้าน จากนั้นก็จะหาฤกษ์แต่งงาน เรียกว่า “สอ” ถึงวันแต่งฝ่ายชายจะนำหมู และไก่ ใส่พานไปไหว้ผีบ้านผีเรือนของฝ่ายหญิง หลังงานแต่งงานฝ่ายชายจะต้องไปอยู่บ้านฝ่ายหญิงพร้อมเสื้อผ้าและอุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือในการทำกิน พวกมีด จอบ งอบ เพื่ออาสาเลี้ยงดูช่วยงานระยะหนึ่ง เรียกว่า “สา” แต่การไปนี้เรียกว่า “นอนกว้าน” คือยังไม่ได้นอนกับฝ่ายหญิง หลังจากอยู่บ้านฝ่ายหญิงระยะหนึ่งแล้วก็จะย้ายครอบครัวกลับไปอยู่บ้านของตนตามประเพณี ซึ่งประเพณีของไทดำลูกชายจะต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ สืบผีเรือน หลังแต่งงานฝ่ายหญิงต้องมาอยู่บ้านฝ่ายชายตลอดชีวิต (หน้า 14) การนับญาติ นับตามฐานะของพ่อแม่ ลูกที่เกิดจากลุง จะต้องเป็นพี่หมด แม้ว่าจะอายุน้อยกว่าก็ตาม พ่อแม่จะคอยสอนลำดับญาติของตนแก่ลูก คนที่มีศักดิ์เป็นพี่จะต้องทำตัวเหมือนพ่อแม่ และเป็นที่พึ่งแก่น้องๆ พี่ต้องยอมน้องตลอด หากมีเรื่องทะเลาะกันพี่ต้องเป็นฝ่ายแพ้ ไทดำถือว่าน้องคนสุดท้องเป็นคนมีบุญ และคนแข็งแรงกว่าต้องคุ้มครองผู้ที่อ่อนแอ (หน้า 14) ผู้ชายไทดำเมื่อแต่งงานมีลูกแล้วจะเรียกชื่อลูกคนโตเป็นชื่อตน เช่น นายเกามีลูกชื่อนายคิม ก็จะเรียกนายเกาว่าคิม หรือลุงคิม อาคิม ตามสถานภาพ การเรียกเช่นนี้เรียกว่า หยำผี เชื่อว่าผีจะเอาวิญญาณไม่ถูก เพราะสับสนที่นายเกาถูกเรียกว่านายคิม (หน้า 14)

Political Organization

ที่บ้านนาป่าหนาด มีเพียงการแบ่งการปกครองเป็นหมู่บ้าน เป็นตำบลตามแบบของทางราชการไทย แต่ได้กล่าวถึงเรื่องการแบ่งการปกครองของไทดำในแคว้นสิบสองจุไทที่มีเมืองต่างๆ เป็นจำนวนมาก แต่จะมีเจ้าเมืองคนหนึ่งเป็น “เจ้าแผ่นคำ” หรือ “ปัว” เมื่อเจ้าแผ่นคำเสียชีวิตก็จะมีการเลือกตั้งเจ้าแผ่นคำคนใหม่จากเจ้าเมืองแต่ละเมือง เจ้าแผ่นคำจะต้องเป็นคนดี เก่ง ฉลาด จนเป็นที่ยอมรับของเจ้าเมืองต่างๆในแคว้น ตำแหน่งรองลงมาจากเจ้าแผ่นคำคือ 1. เจ้าเมือง เป็นผู้ปกครองแต่ละเมือง 2. เพีย เป็นตำแหน่งผู้ปกครองเมืองเพีย 3. องค์ หรือท้าวหลัง เป็นผู้ปกครองท้องถิ่นและกวนบ้าน หรือตาแสง แคว้นสิบสองจุไทอยู่มาอย่างสงบสุขจนถึงสมัยล่าอาณานิคมจึงเกิดเหตุระส่ำระสายขึ้น ระบบการปกครองเดิมถูกทำลาย (หน้า 26)

Belief System

ไทดำ มีความเชื่อที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะกลุ่มคือเชื่อเรื่องผีเรือน หรือผีบรรพบุรุษ ซึ่งความเชื่อเรื่องผีนี้เข้ามาเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต ประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ อย่างมาก ผีในความเชื่อของไทดำคือผีดี และผีร้าย ผีดีจะช่วยปกป้องคุ้มครอง แต่ถ้ามีการกระทำที่ผีไม่พึงพอใจ ไม่ให้ความเคารพ หรือลบหลู่ ผีก็จะทำโทษให้ประสบความเดือดร้อนตลอดเวลา และมีชีวิตที่ไม่มีความสุข ส่วนผีร้ายนั้นจะนำภัยพิบัติมาสู่มนุษย์ ผีเรือน คือบรรพบุรุษหรือคนในครอบครัวที่เสียชีวิตไปแล้ว เมื่อคนในบ้านตายจะมีพิธีเชิญวิญญาณให้กลับมาอยู่ในครอบครัว เรียกว่า “พิธีเอาผีขึ้นเรือน” ผีเรือนนี้จะอยู่ใน “กะล่อหอง” ซึ่งจัดไว้เป็นที่อยู่ของผีเรือนโดยเฉพาะ ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าไปเด็ดขาด เพราะถือว่าผิดผี หน้าที่ของผีเรือนคือปกป้องคุ้มครองคนในบ้าน การสืบผีเรือน ลูกชายจะเป็นผู้สืบผีเรือน หรือสืบวงศตระกูล ถ้าไม่มีลูกชายก็จะให้หลานชาย และเหลนชายเป็นผู้สืบผีเรือน เมื่อพ่อแม่เสียชีวิต ลูกชายจะต้อทำกะล่อหอง หรือกั้นห้องไว้ที่มุมบ้าน คล้ายห้องพระเพื่อเป็นที่อยู่ของวิญญาณบรรพบุรุษ เมื่อคนในบ้านเสียชีวิตจะต้องทำพิธีเชิญดวงวิญญาณกลับมาบ้าน เพื่อไม่ให้วิญญาณเดือดร้อน เร่ร่อนตากแดด ตากฝน และจะต้องจัดอาหารให้เป็นประจำใน “มื้อเวนตง” เพื่อไม่ให้วิญญาณอดอยาก (หน้า 9-10 ) การไหว้ผีเรือน ไทดำเรียกพิธีนี้ว่า “การปาดตง”มี 3 ลักษณะ คือ 1. การปาดแบบธรรมดา คือไว้เป็นประจำสม่ำเสมอ เช่นทุก 5 วัน 10 วัน หรือกำหนดตามวันครบรอบวันตาย 2. การปาดประจำปี ไทดำเชื่อว่าผีเรือนจะขึ้นไปเฝ้าแถน 1 เดือน คือตั้งแต่เดือนข้างแรมถึงเดือนสิบข้างแรม พอเดือนสิบข้างแรมตั้งแต่แรมแปดค่ำเป็นต้นไป วันใดตรงกับหรือมื้อฮาย (การนับวันของไทดำจะมี 10 วัน คือมื้อฮับ มื้อฮาย มื้อเมิง มื้อเปิ๊ก มื้อกัด มื้อคด มื้อฮ่วง มื้อเต๋ส มื้ก๋า มื้กาบ) ก็จะเป็นวันปาดตงแรก (หน้า 15) หอเจ้าบ้าน หรือศาลเจ้า เป็นที่อยู่ของผู้มีอิทธิฤทธิ์ และผู้มีพระคุณต่อไทดำ ในบ้านนาป่าหนาดมีหอเจ้าบ้านจำนวน 4 หลัง หอที่ 1 คือหอเจ้าไทดำ ที่อยู่เมืองแถงในแคว้นสิบสองจุไท ชาวบ้านไทดำเชื่อว่าเจ้าไทดำได้ตามมาช่วยคนไทดำ ดลบันดาลให้มีน้ำทำนา อุดมสมบูรณ์ไม่แห้งแล้ง หอที่ 2 เป็นหอเจ้าแผ่นดินไทย ที่ให้ที่ตั้งบ้านอยู่อาศัย หอที่ 3 เป็นหอเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ ไทดำที่บ้านนาป่าหนาดยกย่องเจ้าอนุวงศ์มาก และมีความเชื่อว่าวิญญาณเจ้าอนุวงศ์ได้ให้ความช่วยเหลือปกป้องคุ้มครองชาวไทดำ หอที่ 4 เป็นหอภูหวด ภูแก้ว เป็นภูเขาที่อยู่ทางทิศเหนือและทิศตะวันออกของหมู่บ้าน ซึ่งเชื่อว่ามีเทพเจ้าอาศัยอยู่ และคอยช่วยเหลือชาวบ้านในการเพาะปลูก ทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ไม่มีแมลงมารบกวน ทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ การดูแลรักษาหอเจ้าบ้านทั้ง 4 ให้สะอาดและทำหน้าที่รวบรวมดอกไม้ที่ชาวบ้านนำมาให้ทุกวันพระ มาไหว้หอเจ้าบ้านนั้น เป็นหน้าที่ของเจ้าจ้ำและเจ้าเสื้อ คนที่จะเป็นเจ้าจ้ำได้ต้องสืบทอดเชื้อสายเจ้าจ้ำมาจากบรรพบุรุษ ส่วนเจ้าเสื้อคือผู้ช่วยเจ้าจ้ำ ไม่มีการสืบเชื้อสาย แต่เจ้าจ้ำจะเป็นผู้แต่งตั้งเจ้าเสื้อ โดยได้รับความเห็นชอบจากชาวบ้าน ทุกปีชาวบ้านจะจัดงานเลี้ยงเจ้าบ้าน 2 ครั้ง ในเดือน 6 และเดือน 12 งานเลี้ยงเดือน 6 จะเป็นงานใหญ่ใช้หมูและไก่ในการบูชา ส่วนเดือน 12 ใช้ไก่เพียงอย่างเดียว (หน้า 11-12) เมื่อมีงานเลี้ยงเจ้าบ้าน ชาวไทดำทุกคนจะต้องหยุดทำงานทุกอย่าง และจะมีการฉลองกันทั้งหมู่บ้าน (หน้า 12) การปาดตง เป็นพิธีกรรมที่ชาวไทดำนำข้าวปลาอาหารมาเซ่นไหว้ผีเรือน หรือผีบรรพบุรุษ ญาติที่เสียชีวิต การปาดตงมี 3 แบบ คือ 1. การปาดตงธรรมดา จะทำเป็นประจำ เช่น ทุก 5 วัน หรือ 10 วัน 2. การปาดตงประจำปี จะทำในเดือนสิบ ตั้งแต่แรมแปดค่ำเป็นต้นไป และ 3. การหล่อเฮือน หรือเสนเฮือน จัดตามความพร้อมของเจ้าบ้าน คล้ายการทำบุญเลี้ยงพระ (หน้า 15-16) ความเชื่อเรื่องแถน แถนคือผู้ที่มีอำนาจเหนือทุกสิ่ง ทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต เป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง ในโลกและจักรวาล แถนมีอยู่ 10 แถน ที่จะคอยดลบันดาลสิ่งต่างๆ และปกป้องคุ้มครองให้คนที่บูชามีความสุข (หน้า 20) ความเชื่อเรื่องขวัญ ไทดำที่บ้านนาป่าหนาด นอกจากจะมีความเชื่อเรื่องผี และ แถนแล้ว ยังมีความเชื่อเรื่องขวัญของคนที่อยู่ตามอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย จำนวน 32 แห่ง หรือ 32 ขวัญ อวัยวะสำคัญต่างๆ ในร่างกายคนเราล้วนมีขวัญรักษาอยู่ หากตกใจ ขวัญหายไปก็จะทำให้เจ็บป่วย ดังนั้นจึงต้องมีการทำพิธีสู่ขวัญ เพื่อให้ขวัญกลับมาอยู่ที่เดิม (หน้า 21-22)

Education and Socialization

ไม่ระบุ

Health and Medicine

ไม่ระบุ

Art and Crafts (including Clothing Costume)

ไทดำมีการฟ้อนรำในโอกาส และพิธีต่างๆ ดังนี้ ฟ้อนแซไต เป็นงานประเพณีเล่นได้ทุกคน โดยจับมือเป็นวงกลม ฟ้อนแซติ่งเต้า แซผ้า และแซวี เป็นการต้อนรับผู้มาเยือน แสดงเป็นชุดๆ ฟ้อนแซปาง ฟ้อนในพิธีกรรมเสนมด หรือเสนตั่งปั้งหน่อ และฟ้อนแซแกน ต้อนรับผู้มาเยือนและแสดงในงานบุญประจำปีเพื่อความสนุกสนาน (หน้า 23) นอกจากนี้ยังมีการละเล่น ซึ่งไทดำเรียกว่า “การอิ้น” ในโอกาสต่างๆอีกมากมาย เช่น อิ้นกอน อิ้นมะแล้แป้น อิ้นอี่ก่อย อิ้นโยนขุม อิ้นมะจ้างคอม ขี่แจงแจ้ อิ้นจั้นจา อิ้นขี่ม้า อิ้นสะหล่ามป้ามปา อิ้นมะส่าง อิ้นละหวาย อิ้นฟ้อนแถน การอิ้นเหล่านี้นิยมเล่นกันในงานเลี้ยง และงานบุญประจำปี (หน้า 23) นอกจากการฟ้อนรำและการละเล่นแล้ว กลุ่มชาติพันธุ์ไทดำ ยังมีการขับร้องเป็นลำนำเพลง ด้วยทำนองอันอ่อนหวาน เพื่อบอกเล่าเรื่องราวทั้งความสุข ความทุกข์ ความรัก ความเศร้าโศก และการพลัดพรากได้อย่างกินใจ ดังตัวอย่างเพลงไทดำรำพันที่รู้จักกันดี การขับร้องของไทดำมีหลายอย่าง เช่น ขับสายนิ่งสายแนน เพื่อพรรณนาถึงความรักความผูกพันของคนไทดำในอดีต ขับบ่าวขับสาว เป็นการเกี้ยวกันของหนุ่มสาว ขัยให้พร ขับลา ขับสายหล้าสายแปง เป้นการขับถึงความรักความผูกพันที่มีต่อกัน ขับยามปี่ยามน้อง ถามข่าวคราวเมื่อมีผู้มาเยือน ขับหาบ้านเก่าเมืองเดิม รำพึงรำพันถึงบ้านเก่าในสิบสองจุไท ขับหาฮัตหาคอง บอกกล่าวให้รู้ถึงจารีตประเพณีของไทดำ และขับอิ้น เป็นการขับเล่นสนุกสนาน เป็นต้น (หน้า 24) เพลงไทดำรำพัน สิบห้าปี ที่ไตเอา ห่างแดนดิน (เยิกเข้าไป) จงอินดู หมู่ข้าน้อย ที่พอยพัดบ้าน เฮากนไต หยายกันไปตุกถิ่นตุกฐาน จงฮักกันเด้อ ไตดำเฮาหา สิบห้าปีตี่ไตเฮาเสียดายเด้ (เยิกเข้าไป) เมืองเฮาเพ แสนเสียดาย ปู่เจ้าเซินหล้า เฮือนเคยอยู่อู่เคยนอนต้องจรจำลา ปะไฮ่ปะนา น้ำตาไตไหล สิบห้าปีตี่ไตเฮาเสียแดนเมือง (เยิกเข้าไป) เคยฮุ่งเฮืองหมู่ข้าน้อยอยู่สุขสบาย ลุงแก่งตาได้สร้างสาบ้านเมืองไว้ให้ บัดนี้จากไก ไตเสียดายเด้ (หง่ำมา น้ำตาไหล ยามเมื่อจากไก ปู่เจ้าเซินลา อพยพหลบลี้ไพรีมา ไตดำตั่วหน้าหง่ำหาจุมื้อจุวัน) (หน้า 42)

Folklore

ไทดำ เป็นชาติพันธุ์ที่มีสุภาษิต หรือ “ความเจียนลาง” ซึ่งเป็นคำบอกสอนของคนไทดำสมัยก่อน มีการบันทึกไว้เป็นตัวอักษรไทดำ 9 บท สุภาษิตนี้บอกเล่าถึงความเป็นมาของแผ่นดินไทดำ การเมืองการปกครอง แนวทางการทำมาหากิน คำสอนหนุ่มสาว คำบอกสอนสามีภรรยา คำสอนเรื่องบุญคุณบิดามารดา คำสอนหน้าที่ของบุตร คำสอนญาติพี่น้อง และคำสอนคนทั่วไป (หน้า 34) สุภาษิตไทดำนี้จึงเหมือนแนวทางในการดำเนินชีวิตที่คนไทดำยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมา ในหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ยกสุภาษิตมาทั้งหมด เพียงยกตัวอย่างเรื่องแผ่นดินไทดำมาเท่านั้น

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่มี

Social Cultural and Identity Change

ปัจจุบันลูกหลานไทดำนิยมและรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามามาก ทำให้วัฒนธรรมไทดำถูกกระทบอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในเรื่องของภาษาไทดำ ที่ไม่ค่อยมีการใช้กัน และภาษาเขียนก็ดูเหมือนจะถูกละเลย (หน้า 43-45)

Map/Illustration

หน้า 49 แผนที่เดินทางบ้านนาป่าหนาด จ. เลย, หน้า 50 แผนที่การอพยพของชาวบ้านนาป่าหนาด

Text Analyst จุไรรัตน์ ปานนิล Date of Report 05 พ.ย. 2555
TAG ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง ผู้ลาว โซ่ง ไตดำ, วิถีชีวิต, ความเชื่อและประเพณี, เลย, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง