สมัครสมาชิก   
| |
ค้นหาข้อมูล
ค้นหาแบบละเอียด
  •   ความเป็นมาและหลักเหตุผล

    เพื่อรวบรวมงานวิจัยทางชาติพันธุ์ที่มีคุณภาพมาสกัดสาระสำคัญในเชิงมานุษยวิทยาและเผยแผ่สาระงานวิจัยแก่นักวิชาการ นักศึกษานักเรียนและผู้สนใจให้เข้าถึงงานวิจัยทางชาติพันธุ์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

  •   ฐานข้อมูลจำแนกกลุ่มชาติพันธุ์ตามชื่อเรียกที่คนในใช้เรียกตนเอง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ

    1. ชื่อเรียกที่ “คนอื่น” ใช้มักเป็นชื่อที่มีนัยในทางเหยียดหยาม ทำให้สมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ รู้สึกไม่ดี อยากจะใช้ชื่อที่เรียกตนเองมากกว่า ซึ่งคณะทำงานมองว่าน่าจะเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ของการเป็นมนุษย์

    2. ชื่อเรียกชาติพันธุ์ของตนเองมีความชัดเจนว่าหมายถึงใคร มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างไร และตั้งถิ่นฐานอยู่แห่งใดมากกว่าชื่อที่คนอื่นเรียก ซึ่งมักจะมีความหมายเลื่อนลอย ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงใคร 

     

    ภาพ-เยาวชนปกาเกอะญอ บ้านมอวาคี จ.เชียงใหม่

  •  

    จากการรวบรวมงานวิจัยในฐานข้อมูลและหลักการจำแนกชื่อเรียกชาติพันธุ์ที่คนในใช้เรียกตนเอง พบว่า ประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 62 กลุ่ม


    ภาพ-สุภาษิตปกาเกอะญอ
  •   การจำแนกกลุ่มชนมีลักษณะพิเศษกว่าการจำแนกสรรพสิ่งอื่นๆ

    เพราะกลุ่มชนต่างๆ มีความรู้สึกนึกคิดและภาษาที่จะแสดงออกมาได้ว่า “คิดหรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นใคร” ซึ่งการจำแนกตนเองนี้ อาจแตกต่างไปจากที่คนนอกจำแนกให้ ในการศึกษาเรื่องนี้นักมานุษยวิทยาจึงต้องเพิ่มมุมมองเรื่องจิตสำนึกและชื่อเรียกตัวเองของคนในกลุ่มชาติพันธุ์ 

    ภาพ-สลากย้อม งานบุญของยอง จ.ลำพูน
  •   มโนทัศน์ความหมายกลุ่มชาติพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาต่างๆ กัน

    ในช่วงทศวรรษของ 2490-2510 ในสาขาวิชามานุษยวิทยา “กลุ่มชาติพันธุ์” คือ กลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมเฉพาะแตกต่างจากกลุ่มชนอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นการกำหนดในเชิงวัตถุวิสัย โดยนักมานุษยวิทยาซึ่งสนใจในเรื่องมนุษย์และวัฒนธรรม

    แต่ความหมายของ “กลุ่มชาติพันธุ์” ในช่วงหลังทศวรรษ 
    2510 ได้เน้นไปที่จิตสำนึกในการจำแนกชาติพันธุ์บนพื้นฐานของความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยตัวสมาชิกชาติพันธุ์แต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ... (อ่านเพิ่มใน เกี่ยวกับโครงการ/คู่มือการใช้)


    ภาพ-หาดราไวย์ จ.ภูเก็ต บ้านของอูรักลาโว้ย
  •   สนุก

    วิชาคอมพิวเตอร์ของนักเรียน
    ปกาเกอะญอ  อ. แม่ลาน้อย
    จ. แม่ฮ่องสอน


    ภาพโดย อาทิตย์    ทองดุศรี

  •   ข้าวไร่

    ผลิตผลจากไร่หมุนเวียน
    ของชาวโผล่ว (กะเหรี่ยงโปว์)   
    ต. ไล่โว่    อ.สังขละบุรี  
    จ. กาญจนบุรี

  •   ด้าย

    แม่บ้านปกาเกอะญอ
    เตรียมด้ายทอผ้า
    หินลาดใน  จ. เชียงราย

    ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ถั่วเน่า

    อาหารและเครื่องปรุงหลัก
    ของคนไต(ไทใหญ่)
    จ.แม่ฮ่องสอน

     ภาพโดย เพ็ญรุ่ง สุริยกานต์
  •   ผู้หญิง

    โผล่ว(กะเหรี่ยงโปว์)
    บ้านไล่โว่ 
    อ.สังขละบุรี
    จ. กาญจนบุรี

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   บุญ

    ประเพณีบุญข้าวใหม่
    ชาวโผล่ว    ต. ไล่โว่
    อ.สังขละบุรี  จ.กาญจนบุรี

    ภาพโดยศรยุทธ  เอี่ยมเอื้อยุทธ

  •   ปอยส่างลอง แม่ฮ่องสอน

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ปอยส่างลอง

    บรรพชาสามเณร
    งานบุญยิ่งใหญ่ของคนไต
    จ.แม่ฮ่องสอน

    ภาพโดย เบญจพล  วรรณถนอม
  •   อลอง

    จากพุทธประวัติ เจ้าชายสิทธัตถะ
    ทรงละทิ้งทรัพย์ศฤงคารเข้าสู่
    ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อแสวงหา
    มรรคผลนิพพาน


    ภาพโดย  ดอกรัก  พยัคศรี

  •   สามเณร

    จากส่างลองสู่สามเณร
    บวชเรียนพระธรรมภาคฤดูร้อน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   พระพาราละแข่ง วัดหัวเวียง จ. แม่ฮ่องสอน

    หล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” 
    ณ เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
    ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็นพระพุทธรูป
    คู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม

  •   เมตตา

    จิตรกรรมพุทธประวัติศิลปะไต
    วัดจองคำ-จองกลาง
    จ. แม่ฮ่องสอน
  •   วัดจองคำ-จองกลาง จ. แม่ฮ่องสอน


    เสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
    เมืองไตแม่ฮ่องสอน

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ใส

    ม้งวัยเยาว์ ณ บ้านกิ่วกาญจน์
    ต. ริมโขง อ. เชียงของ
    จ. เชียงราย
  •   ยิ้ม

    แม้ชาวเลจะประสบปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย
    พื้นที่ทำประมง  แต่ด้วยความหวัง....
    ทำให้วันนี้ยังยิ้มได้

    ภาพโดยเบญจพล วรรณถนอม
  •   ผสมผสาน

    อาภรณ์ผสานผสมระหว่างผ้าทอปกาเกอญอกับเสื้อยืดจากสังคมเมือง
    บ้านแม่ลาน้อย จ. แม่ฮ่องสอน
    ภาพโดย อาทิตย์ ทองดุศรี
  •   เกาะหลีเป๊ะ จ. สตูล

    แผนที่ในเกาะหลีเป๊ะ 
    ถิ่นเดิมของชาวเลที่ ณ วันนี้
    ถูกโอบล้อมด้วยรีสอร์ทการท่องเที่ยว
  •   ตะวันรุ่งที่ไล่โว่ จ. กาญจนบุรี

    ไล่โว่ หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่า ผาหินแดง เป็นชุมชนคนโผล่งที่แวดล้อมด้วยขุนเขาและผืนป่า 
    อาณาเขตของตำบลไล่โว่เป็นส่วนหนึ่งของป่าทุ่งใหญ่นเรศวรแถบอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 

    ภาพโดย ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
  •   การแข่งขันยิงหน้าไม้ของอาข่า

    การแข่งขันยิงหน้าไม้ในเทศกาลโล้ชิงช้าของอาข่า ในวันที่ 13 กันยายน 2554 ที่บ้านสามแยกอีก้อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
 
  Princess Maha Chakri Sirindhorn Anthropology Centre
Ethnic Groups Research Database
Sorted by date | title

   Record

 
Subject ผู้ไท,คติความเชื่อ,ระบบสังคม,เรือน,ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
Author นพดล ตั้งสกุล, จันทนีย์ วงศ์คำ
Title คติความเชื่อและระบบสังคมกับการปลูกสร้างเรือนพื้นบ้านและชุมชนผู้ไท
Document Type หนังสือ Original Language of Text ภาษาไทย
Ethnic Identity ผู้ไท ภูไท, Language and Linguistic Affiliations ไท(Tai)
Location of
Documents
ห้องสมุดศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
(เอกสารฉบับเต็ม)
Total Pages 130 Year 2548
Source ศูนย์วิจัยพหุลักษณ์สังคมลุ่มน้ำโขง มหาวิทยาลัยขอนแก่น
Abstract

การศึกษาการสร้างเรือนพื้นถิ่นของชาวผู้ไทที่สอดคล้องกับคติความเชื่อนั้นสามารถบอกได้ถึงการการเลือกพื้นที่การสร้างเรือน จัดวางลักษณะของตัวเรือน การจัดแบ่งพื้นที่ใช้สอยในตัวเรือน ซึ่งสัมพันธ์กับธรรมชาติและสอดคล้องกับความเป็นอยู่ของคนในครอบครัว ในการศึกษาเรือนพื้นถิ่นของชาวผู้ไททั้ง 6 ชุมชนพบว่ามีคติความเชื่อในการปลูกสร้างเรือนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เช่น ห้ามเงาของเฮือนนอนทับเล้าข้าว แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาของชาวผู้ไทที่ทำให้เล้าข้าวได้รับแสงแดดทำให้ข้าวไม่ขึ้นรา รวมถึงการใช้พื้นที่ในเรือน เช่น ห้องเปิงหรือห้องพระเป็นส่วนที่ให้ลูกชายนอนมีหิ้งพระและกระดูกของบรรพบุรุษห้ามหญิงสาวหรือคนแปลกหน้าเข้ามาในส่วนนี้ ส่วนที่ลูกสาวนอนจะอยู่ใกล้กับครัวเพื่อสะดวกในการทำงานบ้าน ชุมชนผู้ไทจะมีความเชื่อที่กำหนดระเบียบวิถีทางสังคมและประเพณีในการปลูกสร้างเรือน เช่น ต้องทำพิธีเสี่ยงทายหาพื้นที่ปลูกเรือน มีการทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ ปัจจุบันชาวผู้ไทได้มีการเปลี่ยนแปลงการสร้างบ้านเรือนเนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ความเจริญที่เข้ามาสู่หมู่บ้าน เช่น การตัดถนน ทำให้ภูมิปัญญาในการปลูกสร้างเรือนตามคติความเชื่อแต่ดั้งเดิมค่อยๆ เลือนหายไป

Focus

การปลูกสร้างบ้านของชุมชนผู้ไทตามคติความเชื่อและระบบสังคม

Theoretical Issues

ไม่ได้ระบุไว้ในงานวิจัย

Ethnic Group in the Focus

ชุมชนผู้ไทที่อาศัยอยู่ในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

Language and Linguistic Affiliations

ภาษาผู้ไทคล้ายกับภาษาอีสานแต่จะออกเสียง อัว เป็น โอ เอีย เป็น เอ และ เอือ เป็น เออ (หน้า 16)

Study Period (Data Collection)

เก็บข้อมูลภาคสนามในช่วง 24 กุมภาพันธ์ 2545-25 สิงหาคม 2545

History of the Group and Community

ผู้ไทแต่เดิมอยู่ทางตอนเหนือของประเทศลาวและเวียดนาม อาศัยอยู่ที่เมืองนาน้อยหนู เมืองไลและเมืองแถง และอพยพลงมาทางใต้อยู่ที่เมืองวัง เนื่องจากพื้นที่ขาดความอุดมสมบูรณ์และความขัดแย้งระหว่างผู้นำ จากนั้นชาวผู้ไทถูกกวาดต้อนมายังประเทศไทย ผู้ไทในภาคอีสานมาจากเมืองวัง เมืองตะโปน (เซโปน) และเมืองกระป๋อง (กะปอง) เนื่องจากเกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ (พ.ศ. 2369-2371) และเกิดสงครามระหว่างไทยกับเวียดนาม (พ.ศ. 2376-2490) ในสมัยรัชกาลที่ 3 (หน้า 14)

Settlement Pattern

ผู้ไทส่วนใหญ่จะตั้งถิ่นฐานอยู่บนที่ราบใกล้ภูเขาเพื่อสะดวกในการทำไร่ทำนาและตั้งบ้านเรือนอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ ลักษณะเรือนเป็นหลังคาทรงสูง ใต้ถุนสูง ส่วนหลังคาใช้แฝกมุงหลังคา ฝาบ้านจะใช้ไม้ไผ่สาน (หน้า 15) ชุมชนมักจะอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำตามธรรมชาติ (หน้า 28-29)

Demography

1. ชุมชนบ้านกลาง ตำบลกุดสิม อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร มีบ้านพักอาศัยประมาณ 500 หลังคาเรือน 2. ชุมชนบ้านค้อน้อย ตำบลกุดสิม อำเภอกุกบาก จังหวัดสกลนคร มีบ้านพักอาศัยประมาณ 360 หลังคาเรือน 3. ชุมชนบ้านหนองยาง ตำบลคำชะโนดน้อย อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ไม่ได้ระบุไว้ในงานวิจัย 4. ชุมชนบ้านหนองหนาว ตำบลหนองบัว อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ไม่ได้ระบุไว้ในงานวิจัย 5. ชุมชนบ้านหนองหนาวงาม ตำบลหนองบัว อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร 6. ชุมชนบ้านโนนยาง ตำบลโนนยาง อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร ไม่ได้ระบุไว้ในงานวิจัย

Economy

ผู้ไทในภาคอีสานมีอาชีพทำนา ทำไร่ เป็นหลัก อาชีพเสริมสำหรับพึ่งพาตนเองมากกว่าที่จะทำเป็นธุรกิจ คือ การทอผ้า เลี้ยงไหม ทำไร่ฝ้าย เลี้ยงวัว ควาย (หน้า 16)

Social Organization

ผู้ไทเป็นครอบครัวขยาย เคารพในเพศชายซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว (หน้า 111) และให้ความเคารพต่อบรรพบุรุษ (หน้า 64)

Political Organization

ผู้ไทจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ให้ความช่วยเหลือ และซื่อสัตย์ต่อกัน เชื่อฟังหัวหน้ากลุ่มเป็นอย่างมาก เนื่องจากในอดีตผู้ไทมีการอพยพหลายครั้ง ทำให้ต้องมีผู้นำในการเดินทาง จึงเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชนกลุ่มนี้ในเวลาต่อมา (หน้า 16)

Belief System

แต่เดิมชาวผู้ไทจะนับถือผี แต่เมื่อมีการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในภาคอีสานจึงมีการนับถือผีผสมกับนับถือศาสนาพุทธ ในการนับถือผีเรือนหรือผีบรรพบุรุษจะพบการทำหิ้งบูชาไว้ในเรือน (หน้า 16-17) ในการปลูกเรือนต้องหาที่ดินที่เหมาะสม โดยการวางข้าวสารเอาขันคว่ำทับไว้ ถ้ารุ่งขึ้นข้าวไม่กระจัดกระจายถื่อว่าเป็นที่ที่ดี (หน้า 76,87) นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับการปลูกเรือน (หน้า 76,88) และพิธีการขึ้นบ้านใหม่ (หน้า 89)

Education and Socialization

ในการศึกษาถึงวิถีชีวิตและวัตนธรรม จะสืบต่อกันจากการสั่งสอน การจารึกในคัมภีร์ ตำรา และการจดจำ (หน้า 66)

Health and Medicine

เมื่อไม่สบายไปหาหมอที่โรงพยาบาลแล้วรักษาไม่หาย จะพากลับมาบ้านให้หมอเหยารักษา (หน้า 94)

Art and Crafts (including Clothing Costume)

รูปแบบเรือนของผู้ไท แบ่งได้เป็น 3 รูปแบบได้แก่ 1 เฮือนหัวลอย หรือเรือนแฝดทรงไทย เรือนเป็นหลังคาจั่วคู่ มีอาคาร 2 ส่วน คือส่วนเฮือนนอนจะเปิดโล่ง ส่วนเฮือนหลังคาหัวลอย จั่วจะเตี้ยกว่าและแนวยาวของอาคารขนานกับเฮือนนอน หากเฮือนทั้งสองแยกออกจากกันจะเรียกว่า เฮือนโข่ง ส่วนที่เชื่อมต่อกันคือฮางริน (รางน้ำ) โดยเรือนทั้งสองจะวางแนวยาวของเรือนขนานกับแนวทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก บางหลังมีการต่อระเบียงเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้งานจากเฮือนหัวลอย โดยจะวางขวางตะวัน ส่วนเฮือนไฟหรือเฮือนคัว (ครัว) จะตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกโดยเชื่อมกับเฮือนนอนด้วยชานแดดและมีบันไดขึ้นลงอยู่ด้านหลัง เฮือนหัวลอยจะมีขนาดใหญ่กว่าเรือนประเภทอืนและมีการก่อสร้างที่ซับซ้อนจึงต้องใช้ช่างที่มีฝีมือ เฮือนนี้มักสร้างด้วยไม้จริง ส่วนใหญ่จึกมักเป็นเรือนของผู้มีฐานะค่อนข้างดี หรือเรือนของช่างสมัยก่อน 2 เฮือนเปิง จะมีส่วนเฮือนนอนและต่อกับส่วนระเบียงที่มีหลังคาคลุมมีผนังเปิดโล่ง 3 ด้าน ในภาคอีสานเรียกว่าเป็นเกยหรือเก๋ย ผู้ไทเรียกพื้นที่นี้ว่าเปิง เฮือนนอนเป็นอาคาร 3 ช่วงเสา หลังคาจั่วทรงสูง ส่วนเปิงเป็นหลังคาพาดยาวเป็นคนละความชัน แต่จะมีความชันน้อยกว่าส่วนเฮือนนอน เฮือนเปิงอาจมีชานแดดต่อจากส่วนเปิง มีการต่อเฮือนไฟ โดยการใช้ชานแดดเชื่อมกับชานมน (เป็นชานเปียกที่ใช้สำหรับซักล้าง ตำแหน่งอยู่ติดกับครัว) อยู่ต่อจากเฮือนไฟ โดยมากอยู่หลังบ้าน มีบันไดอยู่ด้านหลัง เฮือนไฟสร้างขวางตะวัน เฮือนเปิงที่หลังเล็กจะมีครัวไฟอยู่ในพื้นที่เปิงที่เปิดโล่งและมักจะอยู่ช่วงเสาสุดท้ายหรือช่วงเสาหลังบ้าน (ปกติถือเอาทิศตะวันออกคือช่วงเสาแรก เป็นด้านที่บันไดหน้าบ้านวางพาด) 3 เฮือนชั่วคราว สร้างเพื่อรองรับครอบครัวที่พึ่งแต่งงาน แต่ยังไม่สามารถสร้างเฮือนของตนเองได้ จะมีการปลูกเฮือนชั่วคราวใกล้บ้านพ่อแม่ของฝ่ายหญิง ลักษณะเป็นเรือน 2-3 ช่วงเสา ใต้ถุนสูง ผนังใช้ไม้ไผ่สาน พื้นบ้านเป็นไม้ไผ่ทุบและหลังคาใช้หญ้าแฝก เน้นส่วนนอนเป็นหลัก อาจมีชานแดดต่อกับส่วนนอนหรือมีระเบียงที่มีหลังคาคลุมต่อออกมาอีก 1 ช่วงเสา มีการใช้พื้นที่บางส่วนเป็นครัวไฟ แต่ขานดเล็กกว่าและจำนวนช่วงเสาน้อยกว่าประเภทเรือนถาวร (หน้า 17-21) ลักษณะเรือนผู้ไทแบบประเพณีในพื้นที่ศึกษา มีทั้งหมด 6 หมู่บ้าน ได้แก่ ชุมชนบ้านกลางและบ้านค้อน้อย อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร ชุมชนบ้านหนองยาง บ้านหนองหนาวและบ้านหนองหนาวงาม อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร และบ้านโนนยาง อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร โดยมีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับ ทิศทาง ตำแหน่งการวางและองค์ประกอบผังบริเวณ รวมถึงการจัดวางเรือนและองค์ประกอบเรือนผู้ไทแบบประเพณี ซึ่งจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละชุมชน ดังนี้ ทิศทาง ตำแหน่งการวางและองค์ประกอบผังบริเวณ 1 ชุมชนบ้านกลาง จะมีการวางผังบริเวณเรือนแบบประเพณีตามการเสี่ยงทาย ทิศทางของหน้าบ้านต้องหันไปในทิศเหนือและใต้ สันจั่วของหลังคาเฮือนนอนวางขนานกับแนวตะวันออกตะวันตก เล้าข้าวต้องอยู่ไม่สูงกว่าตำแหน่งหัวนอนและห้ามวางในทิศตั้งฉากกับเรือน ห้ามเงาของเอือนนอนทับเล้าข้าวและเงาของเล้าข้าวห้ามทับเฮือนนอน ทั้งนี้เพื่อให้อากาศและแสงแดดส่องถึงทำให้ข้าวไม่ขึ้นรา เฮือนที่เพิ่มขึ้นมาคือเฮือนน้อย ซึ่งแตกต่างจากชุมชนอื่นๆ ที่ศึกษา เป็นเรือนของลูกสาวกับลูกเขยซึ่งเรือนจะเชื่อมต่อกับเรือนเดิมโดยใช้ซานนำหรือซานแดด อยู่ใกล้กับเฮือนคัว หรือจะปลูกแยกเป็นหลังเดี่ยวก็ได้ 2 ชุมชนบ้านค้อน้อย มีการวางผังบริเวณเรือนแบบชุมชนบ้านกลาง คือใช้การเสี่ยงทายเป็นหลัก จะหันหน้าเรือนไปทางทิศเหนือเท่านั้น แต่อนุโลมให้สามารถวางด้านหน้าเรือนขนานกับทิศใต้ได้ สันจั่วของหลังคาเฮือนนอนวางขนานกับแนวตะวันออกไปตะวันตก ห้ามเป็นทิศใต้เพราะถือว่าไม่เป็นมงคลต่อผู้อยู่อาศัย กะเปิง หรือ เกย (พื้นที่ส่วนหน้าบ้านของเรือน ส่วนต่อจากเฮือนนอน) จะวางเป็นแนวยาวตลอดหน้าเฮือนนอน มีบันไดขึ้นสู่กะเปิงหรืออาจมีชานนำต่อเนื่องออกมา ความเชื่อเกี่ยวกับเล้าข้าวคล้ายกับบ้านกลาง ส่วนที่เพิ่มเติมคือ ประตูเล้าข้าวห้ามเปิดในทิศตะวันตกจะไม่เป็นมงคล ทิศที่เหมาะสมคือตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงใต้ ชุมชนบ้านค้อน้อยจะมีความเชื่อเกี่ยวกับทิศเป็นอย่างมาก 3 ชุมชนบ้านหนองยาง ปัจจุบันไม่ได้เคร่งครัดกับคติความเชื่อเกี่ยวกับเรือนและชีวิตแบบผู้ไทมากเท่ากับผู้ไทกลุ่มอื่นที่ได้ทำการศึกษา ยังมีการเสี่ยงทายวางผังบริเวณเรือน แต่ไม่มีการวางเรือนที่แน่นอนว่าอยู่ในทิศใดเมื่อเทียบกับที่ดิน เมื่อวางตำแหน่งของเรือนจะเป็นตัวกำหนดตำแหน่งทิศทางของเล้าข้าวและเฮือนคัว ทิศทางของหน้าบ้านหันไปทางทิศเหนือและใต้เท่านั้น ส่วนเกยแสดงขอบเขตและด้านหน้าของเรือนแต่ละหลัง มีบันไดหลักขึ้นสู่เกยโดยตรง 4 ชุมชนบ้านหนองหนาว วางผังบริเวณเรือนโดยการเสี่ยงทาย ทิศทางของหน้าบ้านต้องหันไปทางทิศเหนือและใต้จะดีต่อผู้อยู่อาศัย การวางเล้าข้าวเหมือนกับผู้ไทกลุ่มอื่นๆ ที่ศึกษา แต่อาจมีเล้าข้าวมากกว่าหนึ่งตามแต่ฐานะของเจ้าของเรือน 5 ชุมชนบ้านหนองหนาวงาม ใช้การเสี่ยงทายเพื่อเลือกที่ดินและตำแหน่งการวางเรือน ต้องวางตำแหน่งของห้องที่สำคัญไปทางทิศตะวันออก ให้หัวนอนไปทางทิศเหนือ หน้าบ้านอยู่ทางทิศใต้ การวางเล้าข้าวเช่นเดียวกับผู้ไทกลุ่มอื่นๆ ที่ศึกษา 6 บ้านโนนยาง เป็นกลุ่มที่มีคติความเชื่อแบบดั้งเดิมค่อนข้างมาก โดยดูจากเรือนแบบโบราณในพื้นที่ศึกษา การปลูกสร้างบ้านเรือนแบบประเพณีเหมือนกับผู้ไทกลุ่มอื่นๆ ที่ศึกษา รูปแบบเรือนเหมือนกับบ้านหนองหนาวงาม คือ เป็นเฮือนหัวลอย มีตำแหน่งและชื่อเรียกคล้ายกัน ยกเว้นตำแหน่งของเสาแฮก (เสาต้นแรกของเรือนใช้ประกอบพิธีกรรม) และเสาขวัญ (เสาที่เป็นมิ่งบ้าน ขวัญบ้าน) ที่เหมือนกับชุมชนบ้านกลาง คือ เสาแฮกจะเป็นเสาที่สองที่รับผนังด้านนอกเรือนอยู่ทางทิศตะวันออกและเสาขวัญอยู่ตรงข้ามกับเสาแฮกอยู่ระหว่างเฮือนนอนกับเกย วางทิศทางของหน้าบ้านไปในทิศเหนือและใต้ จั่วของหัวลอยต้องเตี้ยกว่าและวางแนวยาวของอาคารขนานกับเฮือนนอน ส่วนหัวลอยมีทั้งแบบที่แยกออกจากเฮือนนอนและแบบที่พื้นที่ต่อเนื่องกัน การจัดวางเรือนและองค์ประกอบเรือนผู้ไทแบบประเพณี 1 ชุมชนบ้านกลาง พื้นที่ใช้สอยหลักประกอบด้วย เฮือนนอนขนาด 3 ช่วงเสา มีเฮือนไฟวางตั้งฉากกับเฮือนนอนมีชานนำเป็นตัวเชื่อม มีบันไดหลักทางทิศตะวันออกขึ้นสู่เกยหรือซานแดดทางด้านหน้าบ้านและมีบันไดรองในทิศตะวันตกขึ้นสู่ซานนำใกล้กับเฮือนไฟ ตำแหน่งของเสาแฮก คือเสาที่รับผนังด้านนอกเรือนซึ่งอยู่ทิศตะวันออก และเสาขวัญคือคู่เสาตรงข้ามกับเสาแฮกอยู่ระหว่างภายในเฮือนนอนกับเกย ทิศทางการนอนให้ทิศหน้าบ้านเป็นทิศปลายตีน ให้หัวนอนอยู่ในทิศเหนือหรือใต้ ห้ามนอนขวางขื่อเรือนและพื้นกระดานเนื่องจากใช้สำหรับคนตาย องค์ประกอบในเฮือนนอน ภายในเฮือนนอนประกอบด้วยพื้นที่ใช้งาน 4 ส่วน เรียงจากทิศตะวันออกไปตะวันตก ได้แก่ ฮองพระ ฮองพ่อแม่ ส่วม (ห้องนอนสำหรับลูกผู้หญิงที่โตแล้ว) ส่วนปลายเท้าแบ่งเป็นทางเดินกว้าง 1-1.5 เมตร เดินต่อถึงกันได้หมด ฮองพระใช้สำหรับให้ลูกชายนนอนเป็นพื้นที่ที่สำคัญที่สุดในเรือน ผู้หญิงจะเข้าไปไม่ได้ 2 ชุมชนบ้านค้อน้อย พื้นที่ใช้สอยหลักเหมือนกับชุมชนบ้านกลาง เสาแฮกและเสาขวัญคือเสาคู่แรกสุดด้านตะวันออกของเรือน เสาขวัญอยู่ระหว่างเฮือนนอนกับกะเปิง ตำแหน่งของเสาแฮกจะเป็นตำแหน่งของหิ้งพระ หน้าเรือนอยู่ทางทิศเหนือ หัวนอนอยู่ทางทิศใต้ ห้ามนอนขวางขื่อเรือนและพื้นกระดานเหมือนชุมชนบ้านกลางองค์ประกอบในเฮือนนอนเหมือนกับชุมชนบ้านกลาง 3 ชุมชนบ้านหนองยาง พื้นที่ใช้สอยหลักประกอบด้วย เฮือนนอน เฮือนคัวแยกออกมา บันไดวางอยู่ในทิศตะวันตก ตำแหน่งเสาแฮกบ้านกลางเป็นตำแหน่งของเสาขวัญบ้านบ้านหนองยาง ส่วนตำแหน่งเสาขวัญบ้านกลางเป็นตำแหน่งเสา แฮกบ้านหนองยาง ทิศการนอนเหมือนกับชุมชนบ้านกลาง องค์ประกอบในเฮือนนอนเหมือนกับชุมชนผู้ไทกลุ่มอื่นๆ ที่ศึกษา แต่ใช้ชื่อเรียกต่างกัน ได้แก่ เปิง (ฮองพระ) ให้ลูกชายนอน ส่วมผี (ฮองพ่อ แม่) และส่วม 4 ชุมชนบ้านหนองหนาว พื้นที่ใช้สอยหลักประกอบด้วยเฮือนนอนขนาด 3 ช่วงเสา เฮือนคัวแยกออกมาในลักษณะตั้งฉากกับเฮือนนอน มีซานแดดเป็นตัวเชื่อม วางบันไดหลักในทิศตะวันตกด้านหน้าบ้านและมีบันไดขึ้นชานแดดใกล้กับเฮือนคัว เสาแฮกและเสาขวัญเป็นต้นเดียวกันอยู่เสาที่สองด้านนอกเรือนทางทิศตะวันออก องค์ประกอบในเฮือนนอน เรียงจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก คือ ส่วม ส่วนนอนของพ่อแม่ เปิง ตำแหน่งจะแตกต่างจากผู้ไทกลุ่มอื่นๆ ที่ศึกษา คือมีการสลับตำแหน่งของส่วมและเปิง 5 ชุมชนบ้านหนองหนาวงาม เฮือนนอนและเฮือนหัวลอยอยู่ติดกัน มีเฮือนไฟวางแยกออกในลักษณะตั้งฉากกันกับเฮือนนอนโดยมีซานมนเป็นตัวเชื่อมต่อจากส่วนของหัวลอยจะเป็นเปิงซึ่งอาจมีหลังคาคลุมหรือไม่ก็ได้ ต้องไม่ให้น้ำที่ผ่านการใช้งานแล้ว (ขี้สีก) ไหลผ่านหน้าเรือนเพราะถือว่าเป็นการอับโชค ไม่มีเสาแฮก มีแต่เสาขวัญเป็นเสาต้นที่สองที่รับผนังด้านนอกเรือนซึ่งอยู่ทิศตะวันออก ทิศทางการนอนเหมือนกับผู้ไทกลุ่มอื่นๆ องค์ประกอบในเฮือนนอนเหมือนกับผู้ไทชุมชนบ้านกลาง แต่จะมีเรือนหัวลอย ซึ่งมีความซับซ้อนในการก่อสร้างมากกว่าเรือนประเภทอื่น 6 ชุมชนบ้านโนนยาง องค์ประกอบของเรือน เฮือนนอนมีขนาด 3 ช่วงเสา เฮือนไฟแยกออกโดยเชื่อมด้วยชาน บันไดหลักอยู่ทางทิศตะวันออก อาจมีบันไดรองสำหรับเฮือนครัว เสาแฮกและเสาขวัญเป็นเสาคู่ที่สองจากทิศตะวันออก ต้นด้านนอกเป็นเสาแฮกส่วนต้นด้านในเป็นเสาขวัญ ทิศทางการนอนเหมือนกับผู้ไทกลุ่มอื่นๆ ที่ศึกษา องค์ประกอบภายในเฮือนนอน เฮือนนอนมีพื้นที่เรียงจากทิศตะวันออกไปตะวันตก ได้แก่ ฮองพระ ส่วมปู่ย่า (ที่นอนของพ่อแม่) ส่วม อาจมีผนังกั้นหรือไม่ก็ได้ (หน้า 32-61) โลกทัศน์ของผู้ไทเกี่ยวกับระบบความเชื่อต่อชุมชนและเรือน บทบาทโลกทัศน์กับลักษณะชุมชนผู้ไท จะตั้งชุมชนใกล้แหล่งน้ำ เลือกพื้นที่เป็นเนินสำหรับสร้างบ้านเรือน องค์ประกอบที่สำคัญของชุมชนผู้ไทคือ ดอนปู่ตา ซึ่งถือเอาลักษณะที่ผิดธรรมชาติ เช่น จอมปลวกขนาดใหญ่ ต้นไม้ใหญ่ เชื่อว่าเป็นที่สิงสถิตของผีผู้ปกปักรักษา จะมีการสร้างศาลไว้ ส่วนมากอยู่ทางทิศเหนือของชุมชน ชุมชนผู้ไทเป็นครอบครัวขยายปลูกเรือนภายในบริเวณเดียวกัน จึงมีลานเป็นเหมือนการแสดงขอบเขตที่ไม่ต้องกำหนดด้วยรั้ว แต่จะไม่เข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาติเพราะอาจถูกลงโทษจากผีเรือนซึ่งไม่ได้ถือผีเดียวกัน ไม้ยืนต้นที่ปลูกบริเวณเรือนจะเป็นไม้ที่มีชื่อเป็นมงคล เรือนของชุมชนผู้ไทมีรูปแบบการใช้งานเป็น 3 ส่วนหลัก คือภายในเฮือนใหญ่จะเป็นที่ปิดล้อม ส่วนนอกเฮือนใหญ่เป็นส่วนที่เปิดโล่งและพื้นที่ใต้ถุนเรือน ภายในเรือนห้องที่มีความสำคัญคือห้องเปิง หรือฮอง (ห้องพระ) เป็นที่ตั้งของหิ้งพระและที่บูชาบรรพบุรุษ ชาวผู้ไทจะแต่งลูกเขยเข้าบ้านโดยอาศัยในเรือนหลังเดียวกัน เมื่อพร้อมปลูกเรือนใหม่จะปลูกใกล้บ้านพ่อแม่ หรือปลูกต่อเชื่อมเรือนใหม่กับเรือนเก่า ความหมายและความเชื่อเชิงคติสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับเรือน การเลือกตำแหน่งที่ปลูกเรือนจะใช้การเสี่ยงทายด้วยการวางข้าวสารและใช้ขันคว่ำทับไว้ หากวันรุ่งขึ้นข้าวกระจัดกระจายถือเป็นลางไม่ดีไม่เหมาะเป็นที่ตั้งเรือน ข้าวที่กระจัดกระจายแสดงว่ามีสัตว์พวกมด แมลง หรือหนู ถ้าสร้างเรือนตรงนี้จะถูกรบกวน หากข้าวสารไม่กระจายเป็นตำแหน่งที่ดีจะทำการขุดหลุมปลูกเรือน มีการย้ายตาดิน (แม่ธรณี) ออกจากบริเวณปลูกเรือน ไม้สร้างเรือนโดยเฉพาะ เสาแฮกและเสาขวัญ ต้องหาฤกษ์ยามในการไปตัดไม้และมีการกำหนดสัดส่วนของเสาเรือนที่ชาวผู้ไทเรียกว่า โสก หากโสกดีจะนำความเจริญนำโชคลาภมาให้ หากกำหนดผิดพลาดเจ้าของเรือนจะมีแต่ทุกข์โศดเจ็บไข้และล้มตายโดยง่าย การยกเสาลงหลุมที่ปลายเสาต้องประกอบด้วยสัญลักษณ์แห่งความเป็นมงคล และส่วนที่รองรับเสาภายในหลุมก็เช่นเดียวกัน พิธีการขึ้นเรือนต้องเรียกขวัญเสาเพื่อให้ขวัญที่เคยอยู่กับต้นไม้นั้นกลับมาสถิตอยู่ดังเดิม การที่ให้ความสำคัญกับเสาเนื่องจากเป็นโครงสร้างหลักของเรือนถ้าไม่แข็งแรงจะพังได้ ส่วนเสาแฮกเสาขวัญแสดงถึงอำนาจศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองผู้อยู่อาศัย เรือนผู้ไทวางในแนวตามตะวัน คือการวางด้านยาวหรือด้านหน้าเรือนไปในทิศเหนือและใต้ ผู้ไทจะไม่นอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกเพราะเชื่อว่าเป็นทิศของคนตาย ดังนั้นการวางเรือนขนานกับแกนตะวันออกตะวันตกทำให้ศรีษะหันไปทิศเหนือและใต้เท่านั้น เสาแฮกเสาขวัญ คือเสาคู่ที่สองของเรือนจากด้านทิศตะวันออก ใช้เป็นห้องนอนของลูกชายและเป็นห้องพระ เฮือนคัววางในตำแหน่งที่ต่อเนื่องกับส่วนที่ลูกสาวนอนเพื่อจะได้ทำงานบ้านได้สะดวก ความยาวของแม่บันไดกับพ่อบันไดและจำนวนขั้นของลูกบันได ความยาวของแม่บันไดซึ่งอยู่ทางซ้ายมือจะสั้นกว่าพ่อบันไดอย่างน้อยหนึ่งคืบ (เนื่องจากถือว่าชายเป็นใหญ่และเป็นผู้ปกครอง) จำนวนขั้นของลูกบันไดต้องใช้เลขคี่เสมอ นิยมใช้เลข 7 และ 9 เชื่อว่าการใช้ลูกบันไดเป็นเลขคู่จะทำให้เดินตกบันไดหรืออาจเดินทางไม่สะดวก การกำหนดขนาดของเรือนใช้ขนาดสัดส่วนของเจ้าของเรือนเป็นหลัก โดยปกติใช้ความยาวระหว่างปลายนิ้วถึงข้อศอกของเจ้าของเรือนถือเป็น 1 ศอก ความยาวระหว่างปลายนิ้วมือข้างซ้ายถึงปลายนิ้วมือข้างขวาเมื่อยืนกางแขนจนสุดถือเป็น 1 วา ขนาดของห้องนอน เกย ชาน จะวัดจากขนาดศอกหรือวาของเจ้าของเรือน ระบบวาใช้กับด้านยาวของเรือน ระบบศอกใช้กับความกว้างและความสูงของเสาเรือน ดั้ง ขื่อ บันได โดยสัดส่วนเหล่านี้จะนำมาควบคู่กับการหาโสกเรือนว่าดีหรือไม่ดี การศึกษาเกี่ยวกับขนาดและสัดส่วนเรือนแสดงให้เห็นถึงความเชื่อซึ่งมีผลต่อการปลูกเรือนทุกขั้นตอน ทั้งที่พิสูจน์ไม่ได้และบางครั้งก็มีเหตุผลในการใช้งานจริง พิธีกรรมเกี่ยวกับการวางเรือน ชาวผู้ไทเชื่อว่าหากทำผิดข้อห้ามตามธรรมเนียมโบราณจะทำให้ไม่เป็นสิริมงคล เช่น การปลูกเรือนนิยมปลูกเรือนวันพฤหัสบดีเดือน 4 หรือเดือน 6 ก่อนปลูกเรือนต้องเอาตอไม้ออกให้หมด หากไม่ทำจะเจ็บป่วย ไม้ที่มาทำเสาแฮกเสาขวัญต้องเป็นไม้แดงหรือไม้จิกเท่านั้น โลกทัศน์ผู้ไทกับพฤติกรรมและการใช้พื้นที่ ดังเช่น ในป่าและต้นไม้ใหญ่ในชุมชนเชื่อว่ามีผีดูแลอยู่ ชาวบ้านจึงไม่กล้าตัดต้นไม้จึงกลายเป็นป่าชุมชนที่เป็นแหล่งอาหารตามธรรมชาติ การแบ่งพื้นที่ในบ้านจะให้ห้องลูกชายอยู่ทางขวา ซึ่งเป็นทิศที่ติดกับหน้าบ้าน ห้องตรงการเป็นศูนย์กลางของครอบครัวจะเป็นห้องของปู่ย่าหรือพ่อแม่ หากมีการแต่งงานในบ้านครอบครัวใหม่จะอยู่ในพื้นที่ช่วงเสาซ้ายสุดของเรือน ภูมิปัญญาในการสร้างบ้านของชาวผู้ไท มีใต้ถุนเพื่อใช้งานตอนกลางวัน สร้างหลังคาทรงสูงและมีความลาดชันมากเป็นการป้องกันความร้อนลงสู่เรือน มีช่องระบายอากาศตรงส่วนบนของผนังทำให้อากาศไหลเวียนได้ดี พื้นบ้านจะใช้ไม้ตะแบกเนื่องจากเย็นกว่าไม้ชนิดอื่น เสา และคานจะใช้ไม้แดงและไม้จิกเนื่องจากมีความแข็งแรง (หน้า 64-96)

Folklore

ไม่ได้ระบุไว้ในงานวิจัย

Ethnicity (Ethnic Identity, Boundaries and Ethnic Relation)

ไม่ได้ระบุไว้ในงานวิจัย

Social Cultural and Identity Change

ปัจจุบันชาวผู้ไทมีการสร้างบ้านที่ทันสมัยและสะดวกรวดเร็วกว่าแบบดั้งเดิม มีการตัดถนนเข้าสู่หมู่บ้านและข้อจำกัดของพื้นที่ทำให้การวางทิศในการสร้างเรือนไม่ตรงกับคติความเชื่อดั้งเดิม (หน้า 101-103) และผู้ที่ก่อสร้างเรือนพื้นถิ่นแบบดั้งเดิมมีอายุมากและไม่ได้สืบทอดให้ลูกหลาน

Map/Illustration

ผู้เขียนได้ใช้แผนที่แสดงการอพยพของชาวผู้ไท (หน้า 13) รูปภาพแสดงลักษณะเรือนพื้นถิ่นผู้ไท (หน้า 18,21) แผนผังชุมชนผู้ไทในพื้นที่วิจัย (หน้า 30-31) แผนที่แสดงตำแหน่งพื้นที่ที่ทำการวิจัย (หน้า 33) ภาพถ่ายทางอากาศของชุมชนที่ทำการวิจัย (หน้า 35,41,45,49,53,58) รูปภาพแสดงลักษณะ รูปแบบและการจัดวางผังเรือนผู้ไทในพื้นที่ที่ทำการวิจัย (หน้า 37,44,48,52,56,61) ภาพแสดงตัวอย่างของลักษณะการวางเรือนแบบประเพณีของชุมชนผู้ไทในอดีต (หน้า 70) ภาพแสดงตำแหน่งพื้นที่ใช้สอยในเรือนผู้ไท (หน้า 73,75) ตารางแสดงทิศทางการวางองค์ประกอบเรือนในผังบริเวณและตารางแสดงความสัมพันธ์ของการวางผังและองค์ประกอบเรือน (หน้า 79,80) ตารางเปรียบเทียบเรือนผู้ไทในพื้นที่ทำการวิจัย (หน้า 95) แผนผังแสดงการเปลี่ยนแปลงของเรือนผู้ไท (หน้า 101,103)

Text Analyst มณทิรา เกษมสุข Date of Report 30 มิ.ย 2560
TAG ผู้ไท, คติความเชื่อ, ระบบสังคม, เรือน, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, Translator -
 
 

 

ฐานข้อมูลอื่นๆของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
  ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทย
จารึกในประเทศไทย
จดหมายเหตุทางมานุษยวิทยา
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญในประเทศไทย
หนังสือเก่าชาวสยาม
ข่าวมานุษยวิทยา
ICH Learning Resources
ฐานข้อมูลเอกสารโบราณภูมิภาคตะวันตกในประเทศไทย
ฐานข้อมูลประเพณีท้องถิ่นในประเทศไทย
ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  หน้าหลัก
งานวิจัยชาติพันธุ์ในประเทศไทย
บทความชาติพันธุ์
ข่าวชาติพันธุ์
เครือข่ายชาติพันธุ์
เกี่ยวกับเรา
เมนูหลักภายในเว็บไซต์
  ข้อมูลโครงการ
ทีมงาน
ติดต่อเรา
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ช่วยเหลือ
  กฏกติกาและมารยาท
แบบสอบถาม
คำถามที่พบบ่อย


ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เลขที่ 20 ถนนบรมราชชนนี เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170 
Tel. +66 2 8809429 | Fax. +66 2 8809332 | E-mail. webmaster@sac.or.th 
สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549    |   เงื่อนไขและข้อตกลง